JT 8704 ตอนที่ 2 : การเดินทางที่แสนทรมาน

เมื่อวันเดินทางมาถึง วันนั้นก็เหมือนวันทั่ว ๆ ไปปรกติ แต่เนื่องจากเป็นวันธรรมดา ไม่ใช่ช่วงวันหยุด ผมจึงได้ตัดสินใจลางาน เพื่อเก็บข้าวของ และเตรียมตัวไปในตอนเย็น ซึ่ง Flight ที่เราเดินทางจะเป็น Flight ช่วงเย็น

ผมนัดกับ เอ ให้มารับที่บ้าน เพราะเป็นทางผ่านที่จะไปสนามบินโดยให้แฟนของ เอ ช่วยขับรถไปส่งที่สนามบินดอนเมือง เรากะเวลาไว้เผื่อเดินทางประมาณ 1 ชม. ช่วงนั้นสายการบินยังไม่หนาแน่นเหมือนในปัจจุบัน คิดว่าน่าจะขึ้นเครื่องทันอย่างสบาย

แต่กลายเป็นว่าผลจากรถติด ทำให้ เอ มารับผมช้า และเราก็ไปเจอกับรถติดอีกในทางที่จะไปสนามบิน  ปรกติผมจะใช้เวลาไม่นานในการเดินทางจากบ้านไปถึงสนามบิน เพราะบ้านอยู่แถวลาดปลาเค้า ซึ่งไม่ไกลจากสนามบินดอนเมือง แต่วันนั้นไม่ทราบ่ว่าเกิดอะไรขึ้น เราใช้เวลานานมากในการเดินทางไปสนามบิน

โดยเฉพาะช่วงที่ติดอยุ่หน้าสนามบินนั้น มันเหมือนการลุ้นอยู่ตลอดเวลาว่าจะทัน Flight หรือ ไม่ เพราะมันใกล้เวลาที่เครื่องบินจะออกเต็มที่ แต่เรายังค้างอยู่ตรงสะพาน U turn เพื่อเข้าสนามบิน ผมคุยกับ เอ หากไม่ทันจริง ๆ  เราคงไม่ไปกันแล้ว คงฝากซองเพื่อน ๆ ไปแทน เพราะคงไม่ไปจองเครื่องใหม่เพื่อตามไปอย่างแน่นอน

แต่สุดแล้วรถก็มาจอดหน้าทางเข้าผู้โดยสารขาเข้า ก่อนเครื่องออก 10 นาที ซึ่งช่วงนั้นจะไปเข้าแถวเพื่อต่อคิว check-in คงไม่ทัน เราจึงได้รีบไปแจ้งเจ้าหน้าที่ภาคพื้นของสายการบินว่าเครื่องกำลังจะออก เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการลัดคิวให้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เราทันขึ้นเครื่อง

เรารีบวิ่งจ้ำอ้าว ผ่านเครื่องตรวจกระเป๋า และ รีบวิ่งไปยัง gate ให้เร็วที่สุด  ซึ่งก็ทันอย่างเฉียดฉิว เครื่องยังไม่ออกใน Flight นั้นเราเจอเพื่อนร่วมทริปอีก 2 คน ที่จะไปงานแต่งหนุ่มด้วยกัน คือ อู๋ และ เหยียน ซึ่งเป็นแก๊ง ที่อยู่ด้วยกันสมัยเข้ามาทำงานกรุงเทพใหม่ ๆ แต่ก็ไม่ทันได้ทักทายอะไรกันมาก เพราะ ต่างคนต่างเข้าแถวเพื่อรอขึ้นเครื่องแล้ว

ผมกับ เอ ได้นั่งในส่วนท้าย ๆ ของเครื่องบิน ซึ่งวันนั้นมีผุ้โดยสารเต็มเครื่อง ก็ค่อนข้างอึดอัดในการนั่งเหมือนกัน รวมถึงที่เรารีบมากันทำให้ผมเกิดความตื่นตระหนกเล็กน้อยขณะขั้นเครื่อง รู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวเท่าไหร่

หลังจากแอร์โฮสเตส ทำการสาธิตการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เราไม่เคยสนใจที่จะดูจริง ๆ เครื่องบินก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเพื่อเตรียมการ take off หลังจากนั้น captain ก็ได้ประกาศ เพื่อเตรียมทำการ take off เครื่องบิน

ขณะเครื่องกำลัง take off ขึ้น ผมก็รู้สึกได้ถึงความผิดปรกติของร่างกายทันที ผมไม่แน่ใจว่าวันนั้นมีความผิดปรกติ อะไรของเครื่องบินหรือป่าว เพราะไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ขณะเครื่องกำลังไต่ระดับ รู้สึกเหมือนแรงอัดเข้าที่หู แต่ไม่สามารถปล่อยออกไปได้ ซึ่งปรกติเมื่อเครื่องบิน take off และมีการปรับระดับของเครื่องบินนั้น ก็จะรู้สึกหูอื้อ แต่นี่ไม่ใช่หูอื้อแน่ ๆ มันเหมือนแรงดันเข้ามาเรื่อย ๆ โดยไม่สามารถปล่อยออกไปได้ ซึ่งมันทรมานมาก ๆ ในช่วงแรก

เครื่องบินไต่ถึงระดับคงที่แล้ว แต่อาการผมยังเหมือนเดิม เหมือนมีแรงอะไรมาอัดที่หู มันไม่สามารถปรับความดันได้ เหงื่อผมเริ่มแตก แต่ก็พยายามทำตัวเป็นปรกติ ผมคุยกับเอ ว่าวันนี้รู้สึกแปลก ๆ แต่บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร เหมือนแรงดันไม่สามารถออกไปได้เหมือนที่เคยขึ้นปรกติ มันค่อย ๆ อัดเข้ามาเรื่อยๆ  ไม่สามารถปล่อยออกไปได้ ไม่ว่าจะพยายามบีบจมูก และ ปล่อยลมออกหูยังไง ก็ไม่หาย

อาการมันค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ  ผมเริ่มที่จะหายใจไม่ค่อยออกรู้สึกอึดอัดมาก ๆ ในขณะนั้น ในขณะที่เครื่องบินเพิ่งออกไปเท่านั้น ผมต้องอยู่แบบนี้ไปจนเครื่องลงเลยหรือ ( ผมคิดในใจ ) และเหมือนวันนั้นอากาศจะไม่ค่อยดี เครื่องบินผ่านหลุมอากาศ จำนวนมาก รู้สึกได้ว่าข้างนอกมีฝนตกอยู่ ผมยิ่งอึดอัดเข้าไปใหญ่ เริ่มหาวิธีท่จะทำให้หาย หลาย ๆ วิธี ซึ่งทำยังไงมันก็ไม่หาย

ผมทรมานอยู่ประมาณเกือบครึ่งชม. แต่ก็ยังพยายามทำตัวปรกติ แค่ บอก เอ ว่ารู้สึกไม่ค่อยดีวันนี้ เหมือนมีอะไรแปลก แต่ร่างกายมันทรมานมาก มันเริ่มหายใจไม่ออกขึ้นเรื่อย ๆ จึงตัดสินใจเรียก แอร์โฮสเตส เพื่อขอยาดม ไม่รู้คิดยังไงเหมือนกัน แต่อยากได้ยาดม เพราะรู้สึกเหมือนจะหมดสติแล้วในตอนนั้น   น้องแอร์โอสเตสบอกผมว่าบนเครื่องไม่มียาดม  ผมจึงขอน้ำเปล่ามาก่อน ตอนนั้น ยังไงก็ได้ ดีกว่าอยู่เฉย ๆ มันยิ่งทรมานขึ้นเรื่อย ๆ ผมดื่มน้ำเข้าไปก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น มันแน่นหน้าอกไปหมด ร่างกายเหมือนจะหมดสติ แต่น้องแอร์โฮสเตส ก็เข้ามาบอกว่า มีแอมโมเนีย อยู่  น้องเค้าก็หยดใส่สำลีมาให้  ผมรีบเอามาดมอย่างรวดเร็ว มันก็พอช่วยได้บ้าง ให้หายใจสะดวกขึ้น แต่อาการก็ยังไม่ดีเท่าไหร่

ยังโชคดีที่ flight นี้เดินทางไม่นานมาก และรู้สึกเหมือนจะถึงก่อนกำหนด จึงทำให้ใกล้เข้าถึงเขตเชียงรายแล้วหลังจากกัปตันประกาศ ผมต้องอดทดอีกนิด เพราะเครื่องใกล้จะลงแล้ว แต่ความรู้สึกมันยังทรมานอยู่ จนมาถึงช่วงที่เครื่องต้องปรับระดับลง พอเครื่องเริ่มปรับระดับ อาการผมก็มาอีกครั้ง เหมือนอาการตอนขึ้น มันไม่สามารถที่จะปรับแรงดันอากาศได้ ผมรู้สึกได้เลยว่าร่างกายมันไม่ปรับแรงดันให้ ทำให้เกิดอาการหวิวๆ และแน่นหน้าอก

ก่อนลงผมเลยลองวิธีสุดท้ายคือ เอามือทั้งสองอุดหู แล้วค่อย ๆ ปล่อยคลายลมออกมา พบว่าวิธีนี้ work ผมจึงทำอย่างงั้นอยู่เรื่อย ๆ ในขณะเครื่องทำการลง ใช้สองมือปิด และค่อย ๆ เปิดรูหูสลับกันไปมา ทำให้อาการดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ปรกติเท่าไหร่ แต่ไม่ทรมาน เหมือน 1 ชม.ที่ผ่านมา

ในที่สุดเครื่องก็ลงถึงพื้น ทุกอย่างหายเป็นปรกติ ไม่มีอาการใด ๆ ผมสงสัยมากว่ามันเกิดอะไรขึ้นบนเครื่อง มันเป็น flight ที่ทรมานที่สุดในชีวิต ตั้งแต่ได้นั่งเครื่องบินมา สุดท้ายก็เดินออกมาจากสนามบิน โดยมีรถตู้ที่หนุ่มจ้างไว้มารับที่หน้าสนามบิน ผมก็เดินขึ้นรถ พร้อมกับความสงสัยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินคืออะไร?

Blog Series : JT8704 Flight เปลี่ยนชีวิต

Image Ref : jehoynews.com

JT 8704 ตอนที่ 1 : จุดเริ่มต้น

แม้ว่าเรื่องจะผ่านมาค่อนข้างนานแล้ว แต่ ผมก็ค่อนข้างจำจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ได้ดี ใน Group Line ของกลุ่มเพื่อนที่คณะวิศวะคอมพิวเตอร์ ตอนเรียนมหาลัย มีการเริ่มแจ้งข่าวว่า หนุ่ม เพื่อนที่เคยอยู่คอนโดเดียวกันตอนเริ่มทำงานใหม่ ๆ จะแต่งงาน

ย้อนกลับไปในสมัยแรก ๆ ของการเริ่มทำงานตอนจบใหม่ ๆ พวกเราที่หางานได้ก่อน ได้มาเช่าคอนโดร่วมกันอยู่แถว เมเจอร์รัชโยธิน หนุ่มก็เป็น หนึ่งในนั้น จำได้ว่าช่วงมาใหม่ ๆ เราซุกตัวกันอยู่หลายคนมากในคอนโดขนาดไม่กี่ตร.ม  วัน ๆ ก็เอาแต่เล่นเกมส์ ตอนนั้นยังเป็นช่วงที่เพิ่งได้ออกจากมหาลัย ทกคนก็เลยไม่ได้คิดอะไรกันมาก อยู่ร่วม ๆ กัน เที่ยวด้วยกัน เล่นเกมส์ด้วยกัน แทบจะเป็นช่วงที่มีความสนุกมากช่วงหนึ่งของชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะเราเพิ่งได้ก้าวสู่ชีวิตวัยทำงาน และเริ่มทำงานหาเงินได้ จึงยังไม่คิดถึงอนาคตอะไรกันมากในช่วงนั้น

หลังจากที่ไม่ได้เจอหนุ่มหลายปีหลังจากย้ายออกจากคอนโด เผลอแป๊บเดียวก็มีข่าวว่าหนุ่มจะแต่งงานแล้ว ซึ่งการแต่งงานของเพื่อนในมหาลัยนั้น ก็เหมือนเป็นการ Re Union ที่จะได้เจอเพื่อน ๆ เก่า ซึ่งนาน ๆ จะได้มีโอกาสได้เจอกันที เพราะหลายคนก็เริ่มมีครอบครัว รวมถึงมีหน้าที่การงานที่ค่อนข้างรัดตัว จึงไม่ค่อยได้มีการรวมกลุ่มกันเหมือนเก่า หรือเหมือนช่วงจบใหม่ ๆ ที่พวกเราจะแทบไปเมากันทุกอาทิตย์

หลังจากได้ข่าว ผมก็ต้องเริ่มทำการจองตั๋วล่วงหน้า กำหนดการของหนุ่ม คือมีการจัดงานแต่งที่เชียงราย (หนุ่มได้ย้ายครอบครัวไปสร้างบ้านอยู่ที่เชียงรายแล้ว) โดยผม ได้คุยกับ เอ (เพื่อนร่วมคอนโดยุคบุกเบิกอีกหนึ่งคน)  ว่าเราจะจองตั๋วไปพร้อมกัน โดยผมจะเป็นคนจัดการจองตั๋วให้

วันนั้นจำได้ว่าผมนั่งจองตั๋วเครื่องบินอยู่ที่ office ก็ได้เริ่มค้นหาตั๋วราคาถูก จาก Lion Air ซึ่งช่วงนั้นกำลังมีโปรโมชั่นพอดี ผมก็คอยดักดูอยู่ว่าราคาโปรจะออกมาเมื่อไหร่ เหมือนช่วงนั้น ราคามันจะ random อยู่เข้าแต่ละช่วง  หรือ แต่ละเครื่องที่เข้าได้ราคาไม่เท่ากัน และ เนื่องจากมีความงก ก็เลยกะจะจองให้ได้ตั๋วราคาถูกสุด

ผ่านไป 2 ชม.  ผมโทรไปบอก เอ  “กูได้ตั๋วถูกแล้วโว้ย 300 บาท” ราคาโครตดี ผมคิดในใจ จึงรีบทำการจองเผื่อ เอ ด้วย โดยหารู้ไม่ว่า จากตั๋วถูกจะกลายเป็นถูกจ่ายเพิ่มสองเท่า

ไม่ต้องงง ครับ ที่ได้ราคาถูกนั้น เนื่องจากผมได้จองไปผิดเดือนนั่นเอง จากปลายเดือน พฤาภาคม ผม ดันไปจองเป็น ปลายเดือน มิถุนายน มันก็เลยได้ราคาถูกนั่นแหละ เพราะผมพยามเช็คหลายเครื่อง ที่เห็นมันราคาไม่เท่ากันนั้น น่าจะมาจากเลือกช่วงเวลาคนละช่วงกัน จึงได้ซื้อตั๋วราคา 300 บาทฟรี ถึง 2 ใบ และเนื่องจากเป็นตั๋วแบบโปร ไม่สามารถเลื่อนได้ ก็ต้องยอมทิ้งไป

สุดท้ายผมก็ต้องมาจองตั๋วแบบธรรมดาเหมือนเดิม สรุป เสียไป 2 เด้ง ทั้งตั๋วโปร ที่ต้องทิ้งไป และตั๋วจริงราคาเต็ม ซึ่งทำให้ผมรู้สึกตะหงิด ๆ ตั้งแต่เริ่มแล้วว่า ทริปนี้มันต้องมีอะไรแปลก ๆ อย่างแน่นอน

Blog Series : JT8704 Flight เปลี่ยนชีวิต

4 ปีของ Ozil

ผมยังจำช่วงเวลานั้นได้ดี ในคือปิดตลาดนักเตะของ ฤดูกาล 2013/2014 ต้องยอมรับว่าถึงกับไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว สำหรับแฟนทีมอาเซน่อลในคืนนั้น เมื่อทีมกำลังมีข่าวใกล้เซ็นสัญญากับ Ozil Playmaker world class จากทีม Real Madrid ในขณะนั้น  ต้องลองจินตนาการไปในฤดูกาลดังกล่าว ที่ค่าตัวนักเตะยังไม่เฟ้อเหมือนอย่างปัจจุบัน ค่าตัวของ Ozil ในขณะนั้น 42.5 ล้านปอนด์ ถ้าจำไม่ผิด ถือว่าเป็นการลงทุนที่เซอร์ไพรซ์ แฟน อาเซน่อลทั่วโลกเลยก็ว่าได้ ต่างคนต่างเฝ้ารอการชู้เสื้อของ Ozil จนแทบไม่ได้นอนในคืนนั้น

เมื่อมีข่าว official การเซ็นสัญญากับ Ozil แฟนบอลทั่วโลกต่างดีใจว่าสามารถดึง superstar ระดับโลกเข้ามาร่วมทีมได้สำเร็จ มีการฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ และเป็นวันนึงที่มีความสุขที่สุด ตั้งแต่ เชียร์อาเซน่อลมาเลยก็ว่าได้ เพราะตอนนั้นสถานะ Ozil นั้นเป็นนักเตะระดับ World class แล้ว แม้กระทั่งแฟนทีม Real Madrid ยังอาลัยอาวร กับการจากไปของ Ozil ในฤดูกาลนั้น

ที่สะใจเข้าไปกว่านั้นคือการที่ทีมคู่รัก คู่แค้นร่วมเมืองอย่าง สเปอร์ ก็ต้องเสียตัวนักเตะซุปเปอร์สตาร์ของทีม อย่าง เกเร็ธ เบล ไปให้กับ Madrid ซึ่งก็เป็นเหตุผลนึงที่ Real Madrid นั้นต้องทำการปล่อยตัว Ozil ออกมา

จำได้ว่าตอนมานัดแรก ก็ไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวังเลย สำหรับการทำ Assist ตั้งแต่นัดแรกที่ลงสนาม ตอนนั้นจินตนาการได้ถึงความยิ่งใหญ่ของอาเซน่อลกำลังจะกลับมาเลยทีเดียว และฟอร์มในช่วงแรกในฤดูกาลนั้น ก็สามารถ นำขึ้นไปเป็นจ่าฝูงได้ช่วงคริสมาสต์ เลยก็ว่าได้

แต่แล้วความจริงก็คือความจริง การเจอกับทีมใหญ่ในปีนั้น ทีมแทบจะไม่สามารถเก็บแต้มได้เลย รวมถึงการแพ้อย่างมโหฬาร กับทีมอย่าง แมนซิตี้ เชลซี รวมถึง ลิเวอร์พูล ที่เป็น score ที่แพ้แบบขาดมาก จนอันดับคะแนนร่วงหล่นมาเรื่อย ๆ จนปลายฤดูกาลก็เข้าสู่ฟอร์มเดิม คือ เข้าป้ายอันดับ 4 คว้าโควต้าแชมเปี้ยนลีคไปอย่างเฉียดฉิว แต่ก็ได้แชมป์แรกในรอบหลาย ๆ ปีอย่าง FA Cup ก็ถือว่าได้ปลอบใจแฟน ๆ ที่ร้างราราการเป็นแชมป์มานานแสนนาน

Ozil นั้น มาพีค ที่สุดตอนฤดูกาล 2015/2016 คือเป็น Top Goal Assist ได้ในปีนั้น และเป็นปีที่น่าเสียดายที่สุดของแฟนอาเซน่อลเลยก็ว่า ทุกทีมใหญ่ต่างหลุดฟอร์มกันไปหมด แต่กลายเป็นทีมม้ามืดอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ที่มาปาดหน้าคว้าแชมป์ไปซะอย่างงั้น โดยอาเซน่อล จบด้วยอับดับ 2 ซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดในรอบหลายปีหลังเลยก็ว่าได้ แต่ก็ไม่สามารถคว้าแชมป์ได้สำเร็จ ท้งที่ปัจจัยหลาย ๆ อย่างเอื้ออำนวยให้ทีมเป็นอย่างมากในปีนั้น แต่ก็ไม่สามารถทำได้ต้องจบฤดูกาลโดยไม่ได้แชมป์แบบไม่น่าให้อภัยเลยก็ว่าได้

ต้องยอมรับว่าผ่านมา 4 ปีนั้น ทำให้ผมเป็นแฟนตัวยงของ โอซิล ทั้งในนามทีมชาติ และ สโมสร โดยในทีมชาตินั้น ก็ช่วยลุ้น ทำให้คว้าแชมป์โลกในปี 2014 ไปได้ แม้เจ้าตัวจะฟอร์มไม่ดีนัก แต่เนื่องจากขุมกำลังของ เยอรมันยุคนั้น แทบจะสมบูรณ์แบบ ทำให้คว้าแชมป์โลกไปได้ หลังจากห่างหายไปตั้งแต่ปี 1990 ที่ได้แชมป์ครั้งล่าสุด

ส่วนตัวคิดว่า Ozil นั้นเล่นเต็มที่ทุกเกมส์อยู่แล้ว แต่หลาย ๆ องค์ประกอบไม่ค่อยเอื้ออำนวยให้กับ Ozil ยามที่มาใส่เสื้ออาเซน่อล ทั้งคุณภาพนักเตะ ที่เกรดต่ำกว่าตอนอยู่ Real Madrid เยอะ ทำให้การเล่นพลอยสะดุดไปด้วย เนื่องจากต้องมาเล่นเกมส์รับมากขึ้น ซึ่งผมมองว่าแกยังไม่ค่อยถนัดมาเล่นเกมส์รับซักเท่าไหร่ จากที่เห็นได้ในหลาย ๆ เกมส์  Ozil นั้นเหมาะสำหรับการทำเกมส์รุกแบบ อิสระ เสรี อยูด้านมากกว่า ควรมีมิดฟิลด์ ที่มาคอย ทำหน้าที่เกมส์รับอย่างสมบูรณ์ Ozil ถึงจะเล่นได้ดีในหลาย ๆ เกมส์ ซึ่งนี่ก็ถือเป็นจุดอ่อนจุดนึงของอาเซน่อล รวมถึง กองหน้า ที่ไม่สามารถฝากผีฝากไข้ได้อย่าง ชิรูด์ ซึ่งไม่เหมาะกับ style ของ Ozil ซักเท่าไหร่ จึงทำให้เขาฟอร์ม drop ลงไปอย่างเห็นได้ชัดในช่วงหลัง ๆ บางทีดูแล้วก็อึดอัดเหมือนกันทั้งที่ Skill ของ Ozil ควรจะทำอะไรได้มากกว่านี้ แต่เหมือนเค้ายังไม่ได้รีดเอาประสิทธิภาพของ Ozil ออกมากได้ทั้งหมด อาจจะเป็น เพราะ tactic หรือ เพื่อนร่วมทีมที่ยังไม่พร้อม

สำหรับ 4 ปีที่ผ่านมาก็ต้องบอกว่า Ozil ก็ได้ทำให้แฟนบอลอาเซน่อล มีความสุข ทั้ง แชมป์ FA Cup ถึง 3 ครั้งในรอบ 4 ปี ก็ต้องขอบคุณ Ozil ที่ทำให้เราได้ฉลองความสำเร็จเหมือนทีมอื่นๆ  ได้บ้าง หลังจากที่ร้างรา มานานแสนนาน ขาดแค่เพียงอย่างเดียวก็คือ แชมป์ลีก ซึ่งหากทำได้ก็ถือว่าสมบูรณ์แบบ ปีนี้อาจจะเป็นปีสุดท้ายที่เราจะได้เห็น Ozil ในสีเสื้ออาเซน่อลแล้วก็ว่าได้ เพราะดูแล้ว หากสถานการณ์ยังเป็นอย่างงี้ Ozil คงเลือกไม่ต่อสัญญาอย่างแน่นอน ก็เหลือเพียงได้ลุ้น ว่าปีนี้ Ozil จะส่งท้ายด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ลีคได้หรือไม่ ก็ต้องคอยตามเชียร์กันต่อไปสำหรับฤดูกาลนี้ ถึงแม้จะดูแล้วยาก แต่ก็เพียงแค่เริ่มต้นฤดูกาล เราก็ยังสามารถที่จะลุ้นได้ต่อไป เชื่อว่ามันยังมีโอกาสหากทีมเรากลับมาสามัคคีแล้วเล่นกันให้เต็มที่ในฤดูกาลสุดท้ายของ Ozil

เมื่อคนไม่มีใจ จะรั้งไว้ทำไม

ผ่าน transfer deadline มาได้แบบไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี คือ อาเซน่อล ไม่ได้ขาย alexis ออกไป เก็บไว้ใช้งานต่ออีก 1 ปี ซึ่งปีหน้าก็จะหมดสํญญากับทีมอย่างเป็นทางการ

ไม่รู้ว่าทำไมช่วงหลังนโยบาลของทีมเริ่มแปลก ๆ กับการต่อสัญญานักเตะ ที่ไม่ยอมต่อสัญญาตั้งแต่เนิ่น ๆ รอกันจนใกล้หมดสัญญาแทบจะทุกคน ซึ่งถือว่าไม่เป็นผลดีกับทีมเลย เพราะไม่สามารถกำหนดทิศทางในอนาคตของทีมได้เลย ไล่ดูตํวอย่างตั้งแต่ การเสีย oxlade chamberlain ออกไป ก็เนืองจากการปล่อยให้เป็นสัญญาปีสุดท้าย ซึ่ง ปีหน้าก็จะกลายเป็นฟรี ก็ต้องยอมขายออกไปให้ liverpool ซึ่งถือว่าได้เงินมาพอสมควร แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้มันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้

กับซุปเปอร์สตาร์ทั้งสองของทีม อย่าง โอซิล และ ซานเชส นั้น   สำหรับโอซิล ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะต่อสัญญาออกไปแต่อย่างใด ส่วน ซานเชส นั้นไม่ต้องพูดถึง แทบจะหมดใจให้กับทีมไปแล้ว ดูจากการแสดงออกทางสีหน้าและแววตาในเกมส์ล่าสุดที่เจอกับ ลิเวอร์พูลนั้น แทบจะไม่มีใจอยู่กับทีมไปแล้ว

เนื่องจากปีนี้ทีมเราไม่ได้เข้าไปเล่นแชมเปี้ยนลีค ซึ่งดูจะเป็นเป้าหมายที่สำคัญของซานเชส เลยก็ว่าได้เนื่องจากเค้ายังไม่เคยได้แชมป์ถ้วยใบนี้เลย ถึงแม้จะอยู่ในทีมของเป๊ป ในชุดบาร์เซโลน่า แต่ก็ไม่ได้สัมผัสกับถ้วยแชมป์นี้แม้แต่ครั้งเดียว

ก็ไม่รู็ว่าปีนี้ฟอร์มของ ซานเชส นั้นจะเป็นอย่างไร หลังจากผิดหวังที่ไม่ได้ย้ายทีม ซึ่งคิดว่าเจ้าตัวคงผิดหวังเป็นอย่างมากอย่างแน่นอน ที่ไม่ได้ย้ายไปร่วมทีม แมน ซิตี้ ในตลาดซื้อขายรอบนี้ ซึ่งดูเจ้าตัวจะหวังไว้มากกับการย้ายทีมครั้งนี้ แต่ก็เจอคาถา ปฏิเสธลูกเดียวของเวนเกอร์เข้าไป จึงคิดว่า ซานเชส จึงไม่พอใจ เวนเกอร์อยู่พอสมควรกับการรั้งเค้าไว้แบบนี้ แต่ยังไงก็คงต้องเก็บไว้ และคงไม่มีการต่อสัญญากับทีมอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะให้ค่าเหนื่อยมากมายขนาดไหน สภาพทีมตอนนี้จึงแย่พอสมควร ทำให้สภาพจิตใจ ของเพื่อนร่วมทีมนั้น พลอยแย่ไปด้วย เพราะไม่มีความชัดเจนจากสโมสรแต่อย่างใด

สำหรับส่วนตัวนั้น คิดว่าควรขายมากกว่า เพราะนักเตะที่เหลือสัญญาปีเดียวแบบนี้ และสภาพทีมขณะนี้ คงไมมีทางโน้มน้าวให้ต่อสัญญาได้อยู่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าเวนเกอร์กำลังคิดอะไรอยู่เหมือนกัน กับสถานการณ์ของทีมในตอนนี้ ที่ดูจะย่ำแย่ลงไปเรื่อย ๆ ทั้งผลงานในสนาม และ เรื่องการบริหารจัดการนอกสนาม

สำหรับ โอซิลนั้น หากยังไม่ต่อในเร็ว ๆ นี้ คิดว่าปีหน้าคงไปแน่นอน เพราะมีหลายทีมอยากได้ตัวไปร่วมทีม และสามารถไปลุ้นแชมป์ได้ดีกว่ามาอยู่ดักดานกับทีมอย่าง อาเซน่อลในสภาพปัจจุบันที่ดูเป็นทีมที่ไร้อนาคตสิ้นดี

Image Ref : www.joe.co.uk

Movie Review : What Hapened To Monday


Review

ต้องบอกตรง ๆ เลยว่าหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่เป็นหนังฟอร์มยักษ์ หรือ เป็นหนังจากค่ายยักษ์ใหญ่อะไรทั้งสิ้น แต่จากการ promote พล็อตของหนังจาก Mongkol Major นี่ต้องบอกได้ว่าทำให้กระแสของหนังเรื่องนี้มาแรงไม่ใช่ย่อยเลยก็ว่าได้ เนื่องจากบทของหนังที่ค่อนข้างแปลกใหม่ที่ค่อนข้างหาดูได้ยากในหนังปัจจุบัน

หนังเรื่องนี้เป็นผลงานของผู้กำกับ Tommy Wirkola ซึ่งต้องยอมรับตรง ๆ ว่าผมก็ไม่เคยได้ติดตามงานของผู้กำกับคนนี้ แต่ผ่านผลงานของนักแสดงนำอย่าง Noomi Rapace มาบ้างจากหนังอย่าง Prometheus ซึ่งส่วนใหญ่นั้นเธอจะรับบทบาทจากหนัง action เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในเรื่องนี้ถือว่าเธอได้พลิกบทบาทการแสดงไปพอสมควรเลยทีเดียว

สำหรับเนื้อเรื่องนั้นว่ากันด้วยเหตุการณ์ในอนาคต ที่ประชากรเริ่มล้นโลก รัฐบาลจึงต้องมีมาตรการจัดการมนุษย์ล้นโลก เพราะอาหารเริ่มไม่เพียงพอต่อประชากรโลกซึ่งมาตรการขั้นเด็ดขาดนั้นคือ การกำหนดให้แต่ละครอบครัวมีลูกได้เพียง 1 คนเท่านั้น ซึ่งประเด็ดปัญหาก็คือตัวเอกอย่าง Noomi Rapace นั้นที่รับบทหนักคือเป็นแฝดทั้ง 7 ของตระกูล settman ซึ่งต้องอยู่อย่างแอบ ๆ โดยอาศัยตัวตนเพียง 1 คนคือ Karen Settman โดยทุกคนจะได้เป็นตัวตนของ Karen Settman แค่เพียงวันเดียวต่อสัปดาห์เท่านั้น

ต้องยอมรับการแสดงในเรื่องนี้ของ Noomi ที่สามารถรับบทแฝด 7 ที่มีคาแรคเตอร์ที่ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ที่จะ acting เป็นทั้ง 7 character พร้อม ๆ กัน ซึ่งผลงานโดยรวมนั้น ก็ถือว่าเธอแสดงได้แนบเนียนมาก สวมบทบาทของแต่ละคนได้อย่างลงตัว ซึ่งเธอก็แทบแบกหนังทั้งเรื่องไว้คนเดียวแม้จะผ่านตัวละครทั้ง 7 ตัว

ในส่วนของเนื้อเรื่องนั้น ถือว่า ฉีกแปลกแหวกแนวจากหนังตลาดโดยทั่วไป อย่างชัดเจน โดยเฉพาะ เรื่องการมีตัวตนบนโลกจริงแค่ 1 คน จากพี่น้องทั้ง 7 คนนั้นก็ถือได้ว่า ไม่เคยมีหนังเรื่องไหนทำแนวนี้มาก่อน ทำให้เป็นหนังที่น่าสนใจ เรื่องนี้ถือว่ามีส่วนประกอบแทบจะครบรส ทั้ง drama romantic รวมไปถึงการนำเอาความเป็น action มาผสมผสานได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว ทำให้เราเพลิดเพลินกับหนังเรื่องนี้ไปจนจบเรื่อง โดยเฉพาะตอนท้ายที่มีหักมุมตามแบบฉบับหนัง hollywood ก็ถือได้ว่าไม่ทำให้คอหนังต้องผิดหวังแต่อย่างใด

ถ้าถามว่าเรื่องนี้น่าจะไปดูมั๊ย คำตอบคือ แนะนำให้ไปดูอย่างยิ่ง โดยเฉพาะที่ช่วงนี้ ยังไม่มีหนังฟอร์มยักษ์เรื่องไหนเข้านั้น what happened to monday ก็ถือเป็นตัวเลือกนึง ที่น่าสนใจ ที่ไม่ควรพลาดชมเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าถามว่าเหมาะกับผู้ชมกลุ่มไหน นั้น ก็ต้องบอกว่าหนังดูได้แทบจะทุกกลุ่ม เพราะมีส่วนผสมของความ action , drama รวมถึง romantic ไว้ได้อย่างลงตัว

เก็บตกจากหนัง

  • เป็นการพลิกบทบาทของ Noomi Rapace ที่คิดว่าหลาย ๆ คนคงไม่เคยได้สัมผัสผลงานแนวนี้ของเธอ
  • Location ของหนังที่ถ่ายทำนั้นถือว่าน้อยไปหน่อย มีอยู่ไม่กี่ฉาก
  • มีส่วนผสมของ action , romantic , comady ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว

คะแนน

8/10

สรุป
“เป็นหนังที่ไม่ควรพลาดในช่วงที่ไม่มีหนังฟอร์มยักษ์เข้าในช่วงนี้”