เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เอาอีกแล้วเหรอ

ยอมรับอย่างสัจจริง ผมไม่ชอบนโยบายนี้เลย กับนโยบาย ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนจะนำมาเป็นนโยบายก็ตาม มันไม่ได้ช่วยเหลือค่าครอบชีพให้ชาวแรงงานเลยแม้แต่นิดเดียว มันกลับกลายเป็นทำให้ค่าครองชีพเราสูงขึ้นโดยใช่เหตุไปเปล่า ๆ ผมยังจำได้ดีกับการขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาทในยุคสมัยของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มันไม่คุ้มเลยกับการขึ้นค่าแรงเพียงน้อยนิด ซึ่งแลกกับการขึ้นค่าครองชีพอย่างมโหฬาร อย่างเห็นได้ชัดเจน

นโยบา่ยนี้ มองเผิน ๆ เหมือนจะเป็นสิ่งที่ดี ชาวแรงงานจะได้รับผลประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้น แต่เปล่าเลยคนที่ฉกฉวยผลประโยชน์จากนโยบายแบบนี้กลับกลายเป็นพ่อค้าแม่เค้า ต่างหากที่จ้องที่จะขึ้นราคาข้าวของต่าง ๆ ทันที หากนโยบายแบบนี้ผ่านไปได้ ครั้งที่แล้วที่ขึ้นมาแบบยกแผง 300 บาทนั้น ทำให้ผลกระทบตกกับอาชีพอื่นๆ  ที่รายได้ไม่ขึ้นตาม % ที่ขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งบริษัทปรกตินั้นก็ขึ้นเงินเดือนไม่เกิน 6-10% ของฐานเงินเดือน แต่การที่ปรับค่าแรงขึ้นแบบ 30-50% นั้น กลายเป็นค่าครองชีพขึ้นไปทันที 30-50% เช่นกัน

ถ้ามองกันให้ดีชาวแรงงานก็แทบจะไม่ได้ขึ้นอะไรกับเค้า เพราะแลกกับการซื้อข้าวของที่แพงขึ้น แต่ คนที่ประกอบอาชีพอื่นนั้นได้รับผลกรรมตามไปด้วย เพราะต้องแบกรับค่าครอบชีพ ที่สวนทางกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นไม่ทันกับค่าครองชีพ และการที่บอกว่าทางพาณิชย์ จะควบคุมราคานั้น ก็ไม่เคยเห็นผลสำเร็จของการควบคุมราคาเลย ผมคิดว่า พ่อค้าแม่ค้านั้นได้ขึ้นราคาข้าวของนำไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเราทุกคนก็ต้องทำใจยอมรับมัน เมื่อค่าแรงขึ้น

แต่รอบนี้ที่เห็นการมาเรียกร้องแบบขึ้นค่าแรง เพิ่มกว่า 100% หรือ 2 เท่าของค่าแรงเดิมนั้น เป็นผลที่จะตามมาน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะ ข้าวของต่าง ๆ ผมคิดว่าเค้าจะขึ้นราคาแน่นอน อาจจะไม่ถึง 100% แต่คิดว่าต้องขึ้นมามากพอสมควร เพราะมันมักจะมากับนโยบายแบบนี้เสมอไป ซึ่งไม่คุ้มเลย เดี่๋ยวการทานข้าวตามสั่งทั่วไป ก็ขึ้นมาระดับ 40-50 บาท แล้วทั้งนั้น จะเห็นได้ว่า effect จากนโยบายนี้นั้น เป็นผลกระทบที่กว้างขวางมากเกินกว่าที่ชาวแรงงานจะเข้าใจได้ ซึ่งเปรียบได้กับการที่อยู่ดี ๆ เงินเดือนที่มีอยู่ก็ลดลงไปเฉย ๆ นั่นเอง ในทุก ๆ อาชีพ

ความจริงนโยบายแบบนี้ควรกำหนดกฏหมายที่ชัดเจน ในเรื่องการขึ้นค่าครองชีพ ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ได้ผลกับชาวแรงงานจริง ๆ ว่ารายได้เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ว่า รายได้เพิ่มขึ้น แต่ไปซื้อของที่แพงขึ้น ซึ่งความเป็นอยู่ก็คงไม่ต่างจากเดิมมากนัก  ซึ่งลองย้อนกลับไปก่อนที่จะขึ้นค่าแรงเป็น 300 ผมมองว่า เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้ แม้รายได้จะไม่เยอะ แต่เรามีคุณภาพชีวิต ที่ดีกว่านี้อย่างแน่นอน

Image Ref : https://www.facebook.com/MatichonOnline/

JT 8704 ตอนที่ 3 : เที่ยวให้เต็มที่สิ

หลังจากผ่านการเดินทางที่แสนทรมาน ผมก็ถึงที่หมายคือ เชียงราย หนุ่มได้จัดรถตู้มารับเราถึงสนามบินไปส่งที่โรงแรม ซึ่งขณะนั้นอยู่ในช่วงเวลาประมาณทุ่ม ถึง 2 ทุ่ม ผมรู้ว่าเพื่อนในแก๊งค์ หลายคนได้มาถึงเชียงรายกันหมดแล้ว เราก็เดินทางเข้าสู่โรงแรม ซึ่งอยู่ใกล้ๆ  กับ มหาลัยแม่ฟ้าหลวง ผมกับเอ ได้พักห้องเดียวกัน ต่างคนต่างทิ้งกระเป๋า เพื่อเตรียมไปเจอเพื่อน ๆ แก๊งค์ใหญ่ ที่รออยู่ใจกลางเมืองเชียงราย

ผมมีแก๊งที่ดื่มกันประจำตอนเรียนมหาลัย คือ แก๊งค์ ของ โอม โดยมี โจ้ ที่เป็นเพื่อนสนิทที่สุด ซึ่งเราเริ่มมาทำงานกรุงเทพด้วยกัน ตั้งแต่เริ่ม และย้ายไปอยู่ที่ทำงานที่สองด้วยกัน ผมจึงสนิทกับโจ้เป็นพิเศษ

ความจริงตอนเรียนอยู่มหาลัยตอนเข้าสู่ภาควิชา คอมพิวเตอร์ นั้น ผมเป็นเด็กจากคณะวิศวะรวมในปี 1  ที่ไม่ได้แยกเข้าภาค คอมมาตั้งแต่ปี 1 ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะสนิทกันใน group กันอยู่แล้ว พอเข้าสู่ภาควิชาคอมพิวเตอร์ในปี 2 นั้นก็ทำให้ผมเคว้งไปพักหนึ่งเหมือนกัน เพราะไม่ค่อยมีเพื่อนในช่วงแรก จนมาเจอกับแก๊งค์ ของโอม ในการไปช่วยเหลือเหยื่อ สึนามิ ที่พังงาด้วยกัน ทำให้สนิทกันมากขึ้น จึงได้นัดดื่มกันบ่อย ๆ โดยเฉพาะ โจ้ นี่เป็นเพื่อนดื่มที่เจอกันมากที่สุดเลยก็ว่าได้เพราะอยู่ด้วยกันหลายปีมาก ก่อนที่ต่างคนต่างแยกย้ายไปในตอนหลัง

เราได้รวมแก๊งค์กันในร้านเบียร์ใจกลางเมือง ตอนนั้นผมลืมเหตุการณ์ที่ขึ้นเครื่องบินไปสนิท เพราะไม่มีอาการใด ๆ หลังจากลงเครื่องมา เราจึงดื่มกันเต็มที่ตั้งแต่ช่วง 3 ทุ่ม ไปถึง เกือบตี 1 จนร้านเบียร์ปิด เราก็ไปต่อกันที่ร้านคาราโอเกะ แล้วก็กินเหล้าต่อ เนื่องจากไม่ได้เจอกันนาน จึงมีเรื่องคุยกันเยอะสนุกสนานเฮฮา หยอกล้อกันไป จนร้านคาราโอเกะปิด ในตี 4 เราก็เริ่มเมากันได้ที่ ความจริงก็อยากหาที่ไปต่อ แต่ถามแท็กซี่เจ้าถิ่น ก็บอกว่าไม่มีที่ไปแล้ว จึงเดินทางกลับ ซึ่งรุ่งเช้านั้น ก็จะเป็นงานเช้าของงานแต่งงานหนุ่ม แต่แทบจะไม่มีคนตื่นไปงานเช้ากันเลย มีแค่บางคนที่ไม่ได้กินหนักก็พอไปได้ แต่ยอมรับว่าคืนนั้นเมามาก ๆ ซึ่งไม่ได้กินเยอะขนาดนี้มานานมาแล้วเพราะภาระหน้าที่การงานที่ค่อนข้างรัดตัว กลับมาก็สลบคาเตียงไม่รู้ตัว กว่าจะตื่นก็ บ่าย ๆ ของอีกวัน

ผมตื่นมาพร้อมอาการแฮงค์ แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณใด ๆ จากร่างกายว่าเริ่มผิดปรกติ ทุกอย่างเป็นปรกติ ผมไปหาข้าวทานซึ่งต้องเดินไกลพอสมควร เนื่องจากแถวนั้นไม่มีร้านข้าวเลย แต่อยู่ใกล้หอพักของนักศึกษา เราก็ไปนั่งกินกัน แทบจะเป็นมื้อเดียวของวันนั้น เพราะตอนเย็นก็จะมีงานแต่งงานหนุ่ม ซึ่งเราต้องกลับไปเตรียมตัวเพื่อไปงานแต่งหนุ่มในตอนเย็น

Blog Series : JT8704 Flight เปลี่ยนชีวิต

Image Ref : www.deathandtaxesmag.com

 

 

เขาเรียกผมว่า “มหาเทพ”

เป็นอีกครั้งที่ เวนเกอร์มักจะรอดจากการถูกกดดันให้ออก เมื่อทีมกลับมามีผลงานดีขึ้นในการแข่งขันนัดล่าสุด ซึ่งกระแสกดดันรอบนี้ ถือว่าหนักสุดในรอบหลาย ๆ ปี หลังจากแพ้ลิเวอร์พูลอย่างเละเทะ ก่อนเกมส์การแข่งขันบอลโลก

ซึ่งครึ้งนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งในอีกหลาย ๆ ครั้งที่ เวนเกอร์ มักจะลบกระแสกดดันให้จางลงไปได้ หลังจากโชว์พาทีมโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมอีกครั้งในเกมส์กับ บอร์นสมัธ ซึ่งดวงเวนเกอร์ นี่ ถือว่าโชคเข้าข้างเสมอ ตั้งแต่ปีที่แล้ว ที่อดไปเล่นแชมเปี้ยนลีค แต่ดันไปคว้าแชมป์ F.A Cup กูหน้ามาซะได้ซะอย่างงั้น

นัดนี้ถือว่าเป็นการจัดตัวผู้เล่นได้ถูกใจแฟนบอลอีกครั้ง จึงทำให้ทีมกลับมาฟอร์มยอดเยี่ยม ถล่ม บอร์นสมัธ ไปได้ 3-0 แบบรูปเกมส์สวยงาม และสกอร์ก็เด็ดขาด แทบไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อยเลยด้วยซ้ำ ประกอบกับ ทีมนำอย่าง แมนยู ก็มาสะดุดเสมออีก จะทำให้สถานการณ์ ก็สามารถกลับมาลุ้นแชมป์ได้อย่างไม่น่าเกลียดอีกครั้ง

สำหรับแมตช์นี้ คนที่ต้องพูดถึงหน่อย ก็คือ แดนนี่ เวลเบ็ค ซึ่งสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ยิงได้ถึงสองประตู + 1 assist เสียดายที่ไม่สามารถทำ แฮทริก ได้ โดยถูกเปลี่ยนตัวออกก่อน ผมก็ได้ติดตามดูฟอร์มของเวลเบ็ค มาหลายปี ตั้งแต่อยู่แมนยู คือต้องยอมรับว่า เวลเบ็ค นั้น มีแววอัจฉริยะ ในการเล่นฟุตบอลอยู่พอสมควร เหมือนจะขาดอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ จึงทำให้ไม่สามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ซักที ปีที่แล้ว ก็เจ็บไปครึ่งค่อนปี กว่าจะกลับมาร่างกายสมบูรณ์ ก็ปลายฤดูกาล จึงไม่ได้โชว์ฟอร์มอะไรมากมาย

แต่สำหรับปีนี้ ผมคิดว่า ร่างกายของ เวลเบ็ค ค่อนข้างสมบูรณ์เต็มที่แล้ว และฟอร์มการเล่นทั้งในทีมชาติ และสโมสร ก็ไม่ธรรมดา ยิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง ความจริง คนที่คล้ายอองรี มากที่สุดหลังจากหมดยุคอองรี ก็คงเป็นเวลเบ็ค นี่แหละ แต่เสียอย่างเดียวจังหวะเด็ดขาดนั้นยังไม่คมเท่าอองรี ซึ่งคิดว่าเวนเกอร์น่าจะเห็นจุดนี้เหมือนกัน เลยพยายามรีดศักยภาพของเวลเบ็คออกมาเต็มที่ ซึ่งผมหวังว่าปีนี้จะเป็นปีแจ้งเกิดของเวลเบ็คได้ซักที หลังจากอยู่กับทีมมาหลายฤดูกาล หากไม่มีอาการบาดเจ็บผมคิดว่า มหาเทพเวลเบ็คของเราจะพาทีมไปลุ้นแชมป์ได้อย่างแน่นอน

สำหรับเวลเบ็คนั้น ถ้าสังเกตการเล่นจริง ๆ จะพบว่า การยิงประตูง่าย ๆ มักไม่ค่อยทำ ชอบทำประตูที่ยาก ๆ เสมอ อย่างในทีมชาตินัดเจอมอลตา ก็ลงไปยิงอย่างสวยงาม รวมถึงเกมส์ที่เจอกับ บอร์นสมัธ เสียดายลูกล็อกหลบกองหลัง 4 คน เข้าไปชิพ ข้ามประตูไปนิดเดียว ถ้าลูกนั้นเข้าและเป็นแฮตทริก ของเค้า คนคงจะพูดถึงไปอีกนาน

ไม่แปลกใจเลยทำให้เวนเกอร์ถึงเลือกใช้เค้าเป็นลำดับแรกเสมอ ในปีนี้ เพราะความสมบูรณ์ของร่างกายเค้ามาถึงจุดพีคแล้วในปีนี้ และคิดว่า ฉายา มหาเทพ นั้น จะทำให้เวลเบ็คกลายเป็นเทพตัวจริงในฤดูกาลนี้ หากพาทีมคว้าแชมป์รายการใหญ่ได้ซักครั้ง โดยยิงประตูเป็นกอบเป็นกำเหมือนกับที่อองรีเคยทำได้กับอาเซน่อลในอดีต

Image Ref : www.espnfc.com