ในปีที่แรงปลาย

ผ่านเกมส์ใหญ่ไปอย่างน่าประใจสำหรับ อาเซน่อลในเกมส์พบกับ liverpool เมื่อคืนนี้ ก่อนเกมส์นั้นก็มองว่าเกมส์นี้น่าจะออกได้ทั้ง 3 หน้า เนื่องจาก liverpool หลังปีใหม่มานี่ก็ฟอร์มแจ่มไม่ใช่เล่น เพิ่งมาสะดุดในเกมส์ที่แล้วที่แพ้แมนยู คาบ้านมาเท่านั้นเอง เกมส์เมื่อคืนนี้ก็ไม่ได้ถือว่าเล่นได้ดีเท่าไหร่นัก ดูโอกาสการทำประตูของทั้งสองทีมก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่ จุดเด่นในปีนี้ของอาเซน่อลคือ จังหวะการทำประตูนั้นมีความคมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งมีการปรับรูปแบบการเล่นเพื่อความแน่นอนมากขึั้น จะไม่เห็นการพยายามต่อบอลจนไปถึงประตูหน้ากรอบประตูเหมือนเมื่อก่อน เริ่มมีความหลากหลายของการทำเกมส์รุกมากขึ้นซึ่งถือว่า ลงตัวเลยทีเดียว ไม่ต้องคอยชิ่งไปมาหน้ากรอบประตูเหมือนเมื่อก่อน อีกส่วนที่สำคัญก็คือเกมส์รับนั้นถือว่า ได้ ก๊อกโกแลง มาถือว่าเป็นจิ๊กซอว์ ชิ้นสำคัญเลยก็ว่าได้ที่ทำให้ทีมฟอร์มดีอย่างต่อเนื่องถึงตอนนี้ เพราะไม่ต้องมานั่่งกังวลกับเกมส์รับมากมาย ตัวรุกของทีมก็รุกกันได้อย่างสบายใจเมื่อมีคนคอย screen หลังให้ ก่อนจะถึงกองหลัง ซึ่งก็ออกมาเป็นผลงานอย่างที่เห็นที่เจอกับลิเวอร์พูล

ปรกติในหลาย ๆ ฤดูกาลหลังในช่วงนี้ของฤดูกาลคือ ช่วง มีนาคม – เมษายน นั้น อาเซน่อลจะฟอร์มแผ่วในทุก ๆ ปีและจะประสบกับปัญหานักเตะบาดเจ็บในช่วงนี้ของทุก ๆ ปี แต่ปีนี้ถือว่ามาแปลกเลยทีเดียวที่ตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมานั้น ถือว่าเป็นทีมที่ฟอร์มยอดเยี่ยมที่สุดในลีคเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าเซอร์ไพรซ์ ไม่น้อยสำหรับฟอร์มช่วงหลังของอาเซน่อล  แต่ที่ผิดหวังคือทำไมต้องมาแรงช่วงปลายฤดูกาล หรือ ต้นฤดูกาลสลับกันแบบนี้ อยากให้เป็นอย่างงี้ตั้งแต่ต้นฤดูกาลบ้างจนจบ  คิดว่าคงได้แชมป์แน่ ๆ หากเล่นได้แบบนี้ตั้งแต่ต้นฤดูกาล ซึ่งก็เข้าใจได้สำหรับในปีนี้นั้น ช่วงแรก ๆ อาจจะมีฟอร์มสะดุด เนื่องจากพบปัญหานักเตะบาดเจ็บเป็นหางว่าว ถือว่าเป็นคราวซวยซ้ำซวยซ้อนของอาเซน่อล ที่ต้องมีช่วงนึงของฤดูกาลที่นักเตะเจ็บกันเป็นพรวน ๆ  แต่พอหายเจ็บก็หายเจ็บกลับมาพร้อม ๆ กัน ทำให้ฟอร์มเริ่มดีขึ้นอย่างที่เห็น

ถ้าดูจากทีมเชลซี จ่าฝูงนั้น จะพบว่าไม่ค่อยพบกับปัญหานักเตะบาดเจ็บยาว ๆ เลย ทีมค่อนข้างไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นฤดูกาล มีเจ็บนิด เจ็บหน่อย หรือ อาจจะโดนแบน 1-2 เกมส์แล้วก็กลับมาทำให้ฟอร์มของทีมเชลซีนั้นค่อนข้างแน่นอนมาตั้งแต่ต้นฤดูกาล ซึ่งปีนี้ก็คิดว่าไม่น่าจะพลาดในตำแหน่งแชมป์ ถึงแม้ตามทฤษฏีแล้ว อาเซน่อลก็ยังมีโอกาสที่จะแซงได้ในเกมส์ที่เหลือ แต่ถ้ามองถึงความเคี่ยวของ มูรินโย่ แล้วนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ในการตามหลังถึง 7 คะแนนและแข่งมากกว่า 1 นัดแบบนี้

ในปีหน้าอาเซน่อลน่าจะพร้อมที่จะล่าแชมป์อย่างเต็มตัว หลังจากได้เติมผู้เล่นระดับเกรด A อย่างอเล็กซิซ ซานเชส และ เมซุต โอซิลเข้ามาร่วมทีม ปีหน้าก็ภาวนาอย่างยิ่งว่า จะไม่มีนักเตะหลัก ๆ เจ็บพร้อม ๆ กันเหมือนกับในหลาย ๆ ฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้อาเซน่อลเป็นคู่แข่งสำคัญในการลุ้นแชมป์ในปีหน้านั่นเองครับ

Movie Review : Birdman


Review

เนื่องจากเพิ่งได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก Oscar 2015 มาหมาด ๆ สำหรับหนังเรื่องนี้ จึงไม่ควรที่จะพลาดชมเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวในอีกหลาย ๆ เรื่อง ๆ ของ series oscar 2015 ที่ผมได้พยายามทยอยเก็บในช่วงนี้

สำหรับ Birdman นั้นเป็นผลงานของผู้กำกับ  Alejandro Gonzalez Innaritu ผู้กำกับชาวสเปน ที่เน้นแนวหนัง indy ซะเป็นส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีการกำกับหนังใหญ่ที่ทำเงินได้เท่าไหร่นัก  ซึ่งเรื่องนี้ได้ดารานักแสดงนำชายคือ  Micheal Keaton  ที่หายหน้าหายตากับบทนำไปนานพอสมควรมารับบท Riggan ดารารุ่นใหญ่ผู้ตกอับจากผลงานการแสดงที่โด่งดังจากเรื่อง Birdman ในอดีต ร่วมด้วย Edward Norton ที่รับบท Mike ที่มาร่วมเป็นนักแสดงของ Riggan ในเรื่องนี้ รวมถึงได้นักแสดงดัง ๆ อย่าง Emma Stone , Naomi Watts เข้าร่วมด้วย ทำให้หนังเรื่องนี้ถึงแม้จะเป็นแนวหนังที่ไม่หนังกระแสหลัก แต่ดาราที่เข้าร่วมงานนั้นถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

สำหรับเรื่องเนื้อหาของหนังเรื่องนี้ เป็นหนังที่เสียดสี เรื่องราวของวงการ hollywood ได้เจ็บแสบเลยทีเดียวหนังมีการล้อเลียนตัวพระเอกในเรื่องอย่าง Micheal Keaton ซึ่งเคยโด่งดังจากภาพยนต์ชุุด Batman ใน สองภาคแรก คือ Batman ภาคแรกในปี 1989 รวมถึง Batman Returns ในปี 1992 ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดในการแสดงของ Micheal Keaton ทั้งในชีวิตจริง และที่หนังนำมาเสียดสีในเรื่อง Birdman เรื่องนี้โดยส่วนตัวชอบบทบาทการแสดงของ Edward Norton มาก เป็นตัวที่รับบทเด่นในหนังเรื่องนี้ ซึ่งช่วยส่งให้การแสดงของ Miceal Keaton นั้นโดดเด่นขึ้นมาเลยทีเดียว  เรื่องนี้เป็นหนังที่ถ้ามองดูให้ดี ๆ จะเสียดสีไปหลายอย่างมาก ทั้งเรื่องของ Hollywood การแสดงต่อหน้าผู้ชม แต่พอลงเวทีก็กลายเป็นอีกเรื่องนึงไปเรย รวมถึงมีการเสียดสีสังคม รวมถึง social network ด้วย ตัวพระเอกนั้นไม่สนใจการเปลียนแปลงของโลกปัจจุบันและไม่ทราบถึง impact ของ social network ในปัจจุบันที่มีผลกระทบค่อนข้างสูงต่อดารา หรือ นังแสดงหรือนักกีฬาจำนวนมาก ซึ่งเนื้อเรื่องนั้นพยายามสื่อถึงการหลอนถึงภาพในอดีตที่เค้าโด่งดังจากการเป็น super star ของหนังเรื่อง Birdman ซึ่งเช่นเดียวกับชีวิตจริงของ keaton ที่แทบจะโด่งดังมาก ๆ จากหนังเพียงเรื่องเดียวคือ Birdman และก็ตกต่ำเรื่อย ๆ ทั้งในชีวิตจริงและในหนังเรื่องนี้

ส่วนสำคัญอีกอย่างของหนังเรื่องนี้การถ่ายทำแบบ long take และมีการตัดฉากได้เนียนมาก ซึ่งเมื่อดูในเรื่องนั้นแทบจะดูไม่ออกต้องถือว่าการตัดต่อของหนัง และการถ่ายทำแบบ long take ของหนังเรื่องนี้ทำได้ดีมาก ต้องยกความดีให้ผู้กำกับของหนังเรื่องนี้ ที่ทำออกมาได้สมบูรณ์แบบมาก และคิดว่าเป็นส่วนนึงที่ทำให้หนังเรื่องนี้ได้รับรางวัลภาพยนต์ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่ที่่สุดของ Oscar 2015 ในปีนี้

สรุปคือหนังเรื่องนี้ได้ให้หลายแง่มุมที่น่าสนใจของวงการ hollywood ซึ่งไม่ค่อยจะมีหนังเรื่องไหนได้ทำกันซึ่งถือว่า ได้สร้างความแปลกใหม่ และได้รสชาติใหม่ของการดูหนังได้อย่างดีเยี่ยม เรื่องนี้อาจจะดูยากนิดนึง แต่ถ้าทำความเข้าใจว่าผู้กำกับต้องการสื่อถึงอะไรนั้น ถือว่าเป็นหนังที่ประทับใจที่สุดเรื่องนึงของผมเลยทีเดียว

เก็บตกจากหนัง

  • หนังเรื่องนี้ต้องอ่านข้อมูลมาบ้างพอสมควรเพื่อให้เข้าใจว่าผู้กำกับต้องการเสียดสีเรื่องอะไรไว้บ้าง
  • ฉาก long take นั้นทำให้ดีมากจนต้องยกนิ้วให้
  • สำหรับ keaton นั้นก็ไม่ถึงกับแสดงได้ดีที่สุด ผมมองว่า edward norton นั้นแสดงได้ดีกว่า ซึ่งไม่แปลกใจว่าทำไมถึงไม่ได้ดารานำชายยอดเยี่ยม แต่เสียดายตัว edward norton ที่น่าจะได้รางดาราสมทบชาย

คะแนน

9.5/10


สรุป
“เหมาะสมกับการเป็นภาพยนต์ยอดเยี่ยมของ Oscar 2015 ทุกประการ”

Movie Review : The Theory of Everything


Review

เป็นหนึ่งใน Series หนัง oscar 2015 ที่ผมกำลังพยายามไล่ดูอยู่ให้ครบทุกเรื่อง  เช่นเดียวกัน The Theory of Everything เป็นหนังที่ได้รับการเข้าชิงรางวัลหลายรางวัล และ คว้ารางวัลใหญ่ในส่วนของ ดารานำชายยอดเยี่ยม สำหรับ Eddie Redmayne  ที่รับบท Stephen Hawking นักฟิสิกส์ผู้หยิ่งใหญ่คนหนึ่งของประเทศอังกฤษ

หนังเรื่องนี้กำกับการแสดงโดย James Marsh ที่เคยกำกับหนังเรื่อง Shadow Dancer หนังเริ่องหนึ่งที่ประทับใจผมมาก เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกับ ทฤษฏีเกี่ยวกับ เวลา ที่เชื่อมโยงกับการกำเนิดของจักรวาลของเรา ซึ่งถ้านับเวลาในช่วงนั้น ๆ  ถือว่าเป็นทฤษฏีหนึ่งที่น่าสนใจ ที่ใช้อธิบายเรื่องเวลา และการกำหนดของจักรวาล ซึ่งจะสามารถ อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเราได้ ตามชื่อเรื่อง The Theory of Everything สำหรับส่วนของเนื้อหานั้น ก็เป็นแนว Biography ของ Stephen Hawking ดำเนินเรื่องราวของชีวิตของเขา มีการเชื่อมโยงระหว่างเรื่องของความรักกับเรื่องของวิทยาศาสตร์ได้อย่างลงตัว ถึงจะดูรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้างในการอธิบาย ทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ มีเรื่องของ Drama ในส่วนของการใช้ชีวิตคู่กับภรรยา ซึ่งโดยรวมนั้น ก็สมควรให้รางวัลดารานำชายกับ Eddie Redmayne อย่างไม่ต้องสงสัย สามารถแสดงได้อย่างกลมกลืนเหมือนกับประสบกับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเข้าแบบจริง ๆ

ดูเรื่องนี้จบก็ให้แง่คิดกับการดำเนินชีวิต ถึงแม้ Stephen Hawking นั้นจะประสบกับโรคร้ายคือ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ทำให้ไม่สามารถ ดำรงชีวิตได้อย่างง่ายดายเหมือนคนปรกติ แต่เขาก็ต่อสู้ไม่ยอมแพ้ และดำเนินชีวิต โดยสร้างผลงานที่เป็นที่เลื่องชื่อในด้านวิทยาศาสตร์ออกมาได้ ถึงแม้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์ใด ๆ จวบจนถึงปัจจุบันก็ตามก็ถือว่า  Stephen Hawking นั้นเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญคนหนึ่งในวงการวิทยาศาสตร์ของโลกเรา

เก็บตกจากหนัง

  • เป็นหนังที่อธิบายทฤษฏีทางด้านฟิสิกส์ค่อนข้างเยอะ ทำให้บางส่วนอาจจะไม่รู้เรื่องได้หากไม่มีความรู้ด้านนี้
  • หนังเป็นเหมือนการเล่าอัตถชีวประวัติของ Stephen Hawking แต่อาจจะมีการปรับบทให้มีความ Drama มากขึ้น
  • คนเราจะประสบความสำเร็จนั้นไม่จำเป็นต้องมีความสมบูรณ์ perfect ทุกอย่างก็สามารถประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับ Stephen Hawking ได้

คะแนน

8/10


สรุป
“หนังตีความเรื่องความรักกับวิทยาศาสตร์ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว”

April Fools Day

ตามธรรมเนียมของทางฝั่งเมืองนอกสำหรับวันที่ 1 เมษายนของทุกปี หรือ april Fools Day  ซึ่งเป็นวันโกหกแห่งชาติตามธรรมเนียมของเมืองนอกเค้ากัน ซึ่งผมก็ชอบมานั่งดูว่า ปีนี้บริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ เค้าจะเอาอะไรมาโชว์เรียกความฮากันบ้าง ปีนี้ก็เหมือนเคยครับ หลาย ๆ เจ้า ก็ส่งของแปลกแหวกแนวมาหลอกกันเช่นเคย

Google Panda

มาในตัวแรกเลยคือ Google Panda จาก Google Japan  อันนี้เล่นเอาฮาเลยทีเดียว สำหรับผู้ช่วยส่วนตัวโดยใช้ตุ๊กตา panda จริง ๆ มาคอยโต้ตอบกับผู้ใช้ (idea นี้ทำจริงน่าจะ Work เหมือนกัน )

UberBoat

uberboat

เจ้านี้มาพร้อมกระแสน้ำท่วมที่มาแรงในไทยได้ดีทีเดียว เป็นการล้อเลียนชาวกรุงได้อย่างเจ๊บแสบมาก ๆ อันนี้ไม่ใช่เรือสำหรับแล่นในแม่น้ำ แต่เป็นเรือสำหรับแล่นในท้องถนนจริง ๆ ของบ้านเรา

Samsung Galaxy Blade Edge

ทางฝั่งค่าย Samsung ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันครับ เปิดตัว Galaxy Blade Edge มีดทำครัวของโค้งด้วย spec ไร้เทียมทานขนาดนี้ เหล่า Brand มีทำครัวน่าจะหนาว ๆ ร้อน ๆ กัน

Amazon Dash Button

ทางฝั่ง amazon.com ก็ธรรมดาซะที่ไหน เปิดตัว ปุ่ม amazon dash เมื่อของใกล้ตัวเครื่องใช้ประจำวันอย่างสบู่ ยาสีแฟน น้ำยาลางจานหมด  เพียงแค่กด ปุ่มเพื่อสั่งซื้อสินค้าก็จะมาส่งทันที  ตัวนี้น่าคิดเหมือนกันว่าน่าจะทำออกมาขาย จริง ๆ ได้นะสำหรับ amazon เป็น product ที่น่าสนใจมาก

Gmail SmartBox

สำหรับ google นี่ค่อนข้างจะเด่นชัดไปหน่อยไม่ค่อยเนียน มาแบบเว่อร์อลังการ กับ SmartBox ที่สามารถ connect กับรูปแบบของจดหมายจริงได้ สามารถแจ้งเตือนผ่าน app ได้ด้วย นี่ถ้าทำได้จริงนี่มันหลุดโลกเลยนะ

Com.google

google รู้สึกจะออกมาเยอะมากสำหรับวันนี้ นี่ก็เช่นกัน  สำหรับ com.google สามารถใช้ได้งานได้จริงเหมือนกัน www.google.com แต่แค่ สลับซ้ายขวาเหมือนมองกระจกเท่านั้น

Moto SelfieStick

อันนี้จากฝั่ง motorolla ซึ่งถือว่า จริงจังกับการทำ production มาก เป็นการออกแบบ ไม้ selfies สำหรับ moto รุ่น X  จะเห็นได้ว่างาน craft และ leather นั้นมีรายละเอียดค่อนข้างมากดู มืออาชีพมากสำหรับ คลิปนี้

MS-DOS mobile for Lumia

ฝั่ง Microsoft ก็ไม่ยอมน้อยหน้าเช่นกัน นำ product classic อย่าง MS-DOS มาลงในมือถือรุ่นล่าสุดอย่าง Microsoft Lumia  ซึ่งดูแล้ว classic ไม่เบาเลยทีเดียว

Zenfone Zero

มาทางฝั่ง Brand จากไต้หวันกันบ้างสำหรับ Zenfone ที่ออก รุ่นใหม่ Zenfone Zero สำหรับใช้ภายในบ้านแบบเดียวกับโทรศัพท์บ้าน นี่แถมมาพร้อมกับ ZenUI ด้วยนะไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

Sony PlayStation Flow

มาปิดท้ายด้วยค่ายเกมส์ยังใหญ่อย่าง Sony เปิดตัว PlayStation Flow ที่จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถพบกับประสบการณ์เหมือนจริงสำหรับเกมส์ที่มีฉากดำน้ำ  อันนี้ต้องยอมรับเลยว่า idea เจ๋งมา ๆ

Movie Review : The Imitation Game

Review
เป็นหนังที่ผมคาดหวังไว้ค่อนข้างสูงเหมือนกันสำหรับเรื่องนี้ เนื่องจากชอบผลงานโดยส่วนตัวของ Benedict Cumberbatch ชอบบทบาทของเค้าในหลาย ๆ เรื่องในช่วงหลัง ๆ โดยเฉพาะการรับบท Juliam Assange ใน The fifth Estate สำหรับ The Imitation Game นั้นเป็นหนึงในหนัง Series Oscar 2015 ของผม ที่ได้พยามยามไล่ดูให้หมด

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กล่าวถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Hitler ขยายอำนาจไปทั่วทั้งยุโรป และ key สำหรับอย่างหนึ่งที่ใช้ในการชนะสงครามครั้งนี้คือ การถอดรหัสของ Enigma machine ที่ทางเยอรมันใช้ในการสื่อสารโดยการเข้ารหัสเพื่อสั่งการรบไปยังจุดต่าง ๆ ทั่วยุโรป ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีเครื่อง Super Computer เหมือนสมัยนี้ทำให้การ Break ชุดรหัสที่ได้ทำการ Encrypt ไว้นั้นยากมาก ๆ สำหรับในสมัยนั้น

โดยส่วนตัวจะชอบหนังที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองเป็นทุกเดิมอยู่แล้ว ไล่ดูมาแทบทุกเรื่องซึ่งมีการเล่าในมุมที่แตกต่างกัน ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หยิบ เรื่องของการถอดรหัส Enigma Machine มาเล่าโดยผ่านตัวละครอย่าง Alan Turing ที่รับบทโดย Benedict Cumberbatch เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถอดมาจากเรื่องจึง จึงเหมือนเป็นการเล่าประวัติของ Alan Turing ตั้งแต่เด็ก ๆ จนเรียนมหาลัย โดยตัดฉากกลับมาในยุคปัจจุบัน (ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2) หนังสามารถดำเนินเรื่องได้ดีพอควร มีในส่วนของ Drama เข้ามาเพื่อสร้างสีสันให้กับหนัง  โดยรวมก็ถือได้ว่าเป็นหนังสงครามโลกที่น่าประทับใจเรื่องนึงเลยทีเดียว

เก็บตกจากหนัง

  • การ Break Enigma Machine ได้นั้นถือว่าเป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งที่ทำให้ สัมพันธมิตรสามารถชนะสงครามได้
  • หนังมีการเล่าเรื่องสลับไปมาระหว่างอดีต กับ ปัจจุบัน (สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2)
  • เราจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันนั้นเหล่า hacker สามารถ break ตัว encryption ต่าง ๆ ได้บ่อย ๆ ซึ่งแตกต่างจากอดีตที่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก

 

ระดับความมันส์

7/10

 

สรุป
“เป็นหนังสงครามโลกครั้งที่สองที่น่าจะหามาดูครับ”