Book Review : ชีวประวัติ แจ๊ค หม่า มีชีวิตอยู่เพื่อสะท้านโลก

หนังสือเล่มนี้ถือเป็นหนึงในหนังสือที่ผู้ที่ทำ Start Up หรือ เหล่า Entrepreneur ควรที่จะหามาอ่านเป็นอย่างยิ่ง ถือว่าเป็นการรวมรวมประวัติของ Jack Ma ที่มีรายละเอียดที่มากที่สุดเล่มนึง ซึ่งทำการแปลโดยสำนักพิมพ์ postbooks

ด้วยเนื้อหาของหนังสือที่ค่อนข้างเยอะมาก โดยมีรายละเอียดปลีกย่อยของประวัติ Jack Ma ค่อนข้างเยอะมาก ตั้งแต่ช่วงชีวิตการเรียน จนมาสร้างบริษัท Starup และจนประสบความสำเร็จเป็นเจ้าของ Alibaba ในปัจจุบัน และทำ IPO ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก จนมีมูลค่า Market Cap สูงถึง 7.3 ล้านล้านบาทซึ่งทำให้กลายเป็นบริษัทที่มูลค่าสูงสุดติดอันดับต้น ๆ ของโลกเลยก็ว่าได้

ประวัติของ Jack Ma นั้นถือว่าไม่ธรรมดาเพราะเริ่มต้นด้วยอาชีพการเป็นครูภาษาอังกฤษ และแทบไม่มีพื้นฐานทางด้านความรู้ของ internet เลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยโชคชะตา และ โอกาส ทำให้เค้านั้นได้กลายเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งในจีนทันทีเมื่อบริษัทได้ทำ IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐ

ในช่วงเริ่มต้นนั้น jack ma ได้มีโอกาสเป็นตัวแทนของทางเมืองหังโจวเพื่อไปเจรจาทางกาค้ากับบริษัทในอเมริกา เพื่อตรวจสอบความมีตัวตนของบริษัททางฝั่งอเมริกาที่จะมาลงทุนในประเทศจีน ในเมืองบ้านเกิดของเค้าคือ หังโจว  ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ทำให้เค้าได้พบเจอกับ internet ซึ่งในยุคนั้นถือว่ายังเป็นสิ่งที่ใหม่มากของโลกเลยก็ว่าได้ เพราะอเมริกาเป็นจุดเริ่มต้นของ technology internet การที่ jack ได้ประเจอกับสิ่งใหม่คือ internet ทำให้เค้ามีความคิดที่จะกลับบ้านมาสร้างกิจการ internet ที่บ้านของเขาในเมืองจีน ซึ่งแทบจะว่ายังล้าหลังมาก ๆ ในยุคนั้น

่jack ma นั้นเริ่มต้นด้วยการสร้าง web directory ของประเทศจีนและเป็นเจ้าแรก ๆ ในจีนที่ได้สร้างเว๊บไซต์ขึ้น โดยที่เขานั้นยังไม่มีความรู้ใด ๆ  โดยมีการติดต่อกับบริษัทในอเมริกาเพื่อให้สร้าง website ให้และนำมาจัดจำหน่ายในประเทศจีน ซึ่งในยุคนั้น แทบจะไม่มีคนจีนรู้จักกับ internet รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีนั้นในจีนแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ทำให้ในตอนแรก มีแต่คนมองว่าเค้าเป็นคนหลอกลวง ซึ่งเค้าก็เพียรพยายามสู้ทุกอย่างเพื่อให้ลูกค้าได้เข้าถึงโอกาสสำคัญที่จะทำให้มีการปฏิวัติการทำธุรกิจในประเทศจีนด้วยระบบ internet

สิ่งที่ jack ma ทำนั้นก็เปรียบเสมือน YAHOO ของประเทศจีนเพื่อทำการ promote ธุรกิจผ่าน website โดยลูกค้าสามารถสมัครเพื่อนำ profile ของบริษัทตัวเองขึ้นสู่ง website เป็น model การทำธุรกิจง่ายๆ  ในสมัยนั้น แต่เนื่องจากไม่มีใครที่มีความรู้เลยในประเทศจีน จึงทำให้ jack ma ถูกมองว่าเป็นบิดาแห่ง internet ประเทศจีนเลยก็ว่าได้ จนต้องถูกทางการที่ปักกิ่งโดยกระทรวงการค้าญี่ปุ่นเรียกตัวไปช่วยสร้างระบบทางการค้าให้กับกระทรวงการค้าของประเทศจีนเพื่อให้สู่ระบบ online เป็นหน่วยงาน แรก ๆ ของประเทศจีนที่ได้สัมผัสกับ internet

แต่การทำงานกับรัฐบาลจีนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลยสำหรับ jack ma ในที่สุดเค้าก็รู้ความจริงว่าถูกหลอกจากรัฐบาลจีนว่าจะให้หุ้นส่วน แต่ความจริงแล้วนั้น รัฐบาลนั้นไม่สามารถให้หุ้นส่วนกับ jack ได้เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านกฏหมาย ซึ่งจุดนี้เป็นจุดแรกที่ทำให้ jack เข้าใจถึงความโหดร้ายของการทำธุรกิจกับรัฐบาลจีน และเนื่องจากเค้านั้นทำงานได้ประสบความสำเร็จกับกระทรวงการค้าจีน และแม้เค้าจะได้รายได้ที่ค่อนข้างดี แต่เค้ามองที่การทำธุรกิจตั้งแต่แรก เค้าจึงเบนเข็มกลับบ้านเกิดที่เมืองหังโจว เพื่อสร้างธุรกิจของตัวเองอย่างเต็มที่ ซึ่งการทำงานกับกระทรวงการค้าจีนนั้นก็ทำให้ jack ma ได้เห็นถึงโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของ model ธุรกิจแบบ B2B ซึ่งมี SME อยู่จำนวนมากในประเทศจีนที่ต้องการที่จะเข้าสู่ระบบ internet การมุ่งหน้ากลับมาสร้างธุรกิจใหม่ของ jack นั้นถือว่าเป็นจุดสำคัญ เค้าปฏิเสธงานจากหลายๆ  ที่แม้กระทั่ง YAHOO ในประเทศจีนก็เคยเสนอให้เค้ามาดูแล แต่ jack ma นั้นไม่สนใจแต่อย่างใด เค้ามีเป้าหมายในตัวเองอยู่แล้วที่จะสร้าง website B2B ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกให้ได้

การเริ่มต้นสร้าง alibaba นั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากสำหรับ jack ma เนื่องจากเงินทุนเริ่มต้นที่น้อยนิด และเค้าต้องการเริ่มต้นด้วยทุนของตัวเองทั้งหมด จึงได้รวบรวมเงินกับพนักงานผู้ก่อตั้งของเค้าและมากองรวมกัน เพื่อให้ทุกคนได้เป็นหุ้นส่วนของบริษัทใหม่อย่างเต็มตัว และทุ่มเทให้กับการทำงานเต็มที่เพราะทุกคนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ alibaba มาตั้งแต่แรก  เริ่มแรกนั้นก็ใช้บ้านของ jack เป็น office เริ่มต้นในเมืองหังโจวและทุกคนก็มาอยู่ร่วมกัน พวกพนักงานอย่าง programmer ก็แทบจะใช้ชีวิตทั้งกินนอน และทำงานกันอยู่ที่นั่น ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัท startup ส่วนใหญ่ในตอนเริ่มต้นทำกันทั้งในอเมริกาหรือประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

ในช่วงแรกนั้นบริษัทประสบปัญหาต่าง ๆ มากมาย ทั้งเงินทุน ทั้งเรื่องของคนเนื่องจากเป็นพนักงานเพียงไม่กี่คนและทำ website ขนาดใหญ่ที่ต้องการนำ SME ทั่วโลกมาใช้บริการโดยเริ่มต้นจากประเทศจีนบ้านเกิดของเค้าเอง และ สิ่งสำคัญคือตอนนั้น jack ก็ยังไม่ได้คิด model ธุรกิจการทำเงินที่ชัดเจนจึงประสบกับปัญหาสภาวะขาดทุนในช่วงปีแรก ๆ เป็นอย่างมากจนแทบจะไม่มีเงินบริษัทเหลือ

ทางเดียวที่จะทำให้บริษัทอยู่รอดต่อไปนั้น jack ต้องทำการหานักลงทุนเพื่อเข้ามาลงทุนร่วมและเข้าใจเป้าหมายระยะยาวของ alibaba เพื่อให้เป็น partner ร่วมกันไปอีกหลายปี และเนื่องจาก jack นั้นมีการเลือกที่ค่อนข้างละเอียดในส่วนของนักลงทุน จึงทำให้ปฏิเสธการลงทุนไปหลายรายมาก ๆ เค้ามองว่าในอนาคตนั้นบริษัทจะมีมูลค่ามหาศาลแน่ ๆ จึงพิถีพิถันกับการเลือกนักลงทุนที่จะเข้ามาร่วมกับ jack แม้บางบริษัทจะให้เงินทุนจำนวนมาก แต่ jack ก็ปฏิเสธอย่างไม่ใยดีในช่วงแรก เพราะเขาต้องการผู้ลงทุนที่มีวิสัยทัศน์เช่นเดียวกับเขาและมองการลงทุนในระยะยาวมากกว่า การเข้ามาเพื่อหากำไรในระยะสั้น

สุดท้ายบริษัทที่ได้ลงส่วนแรกคือ Goldman sachs ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจอยู่เหมือนกันที่เป็นบริษัททางด้านการลงทุนจากอเมริกา ซึ่งช่วงนั้น jack ก็ได้ขุนพลสำคัญที่จะมาเป็น CFO คู่ใจของเขาอีกยาวนานคือ โจเซฟ ไช่ ซึ่งเป็นนักเรียนนอกจาก harward และทำงานบริษัทใหญ่ ๆ มานักต่อนักแล้ว ซึ่งเป็นสเน่ห์ที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ alibaba ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน jack มีความสามารถในการดึงดูดคนเก่ง ๆ มาร่วมงานได้อย่างง่ายดาย  โจเฟซ ไช่ ก็เช่นกันยอมทิ้งเงินเดือนสูง จากบริษัท Investor AB มาร่วมงานกับบริษัทเล็ก ๆ ในเมืองหังโจวอย่าง alibaba เพราะเค้าได้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ของ jack นั่นเอง

เงินลงทุนหลายล้านเหรียญในช่วงแรกนั้น jack ma ทุ่มทุนไปกับการจ้างคน และย้ายที่ทำการบริษัทใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม โดยช่วงนั้น alibaba ก็เริ่มมีชื่อเสียงกับนักลงทุน มีนักลงทุนหน้าใหม่มากหน้าหลายตามาติดต่อ jack เพื่อที่จะลงทุนกับเขา และนั่นเป็นที่มาให้เขาได้พบนักลงทุนทางด้านยุทธศาสตร์ที่สำคัญกับ alibaba ในอนาคตที่สำคัญอย่าง มาซาโยซิ ซัน จาก Softbank ประเทศยี่ปุ่น ซึ่งคนนี้ถือเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญในการขยายตลาดสำหรับ alibaba ในช่วงเริ่มต้น เพราะทาง มาซาโยซิ ซันนั้นได้ให้ลงทุนถึง 30 ล้านเหรียญ สำหรับการถือหุ้น 40% ของ Alibaba ทำให้ alibaba มีเงินทุนสำหรับการขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกทั้งการตั้งศูนย์ R&D ในอเมริกา การตั้ง สำนักงานใหญ่ในฮ่องกง และ การขยายไปยังทวีปยุโรป

ตัว มาซาโยซิ ซัน นั้นเป็นนักลุงทุนที่เน้นลุงทุนในบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกอยู่แล้ว ในช่วงหนึ่งนั้นมูลค่าหุ้นของเค้าแทบจะทำให้เค้ากลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกแซงหน้า bill gates ไปเลยก็ว่าได้ แต่เนื่องจากการประสบกับปัญหาของฟองสบู่ดอทคอม ในช่วงปี 2000 นั้นก็ทำให้มูลค่าหุ้นของเขาหายไปกว่า 90% เลย แต่เค้าก็พร้อมที่จะรับความเสี่ยงนี้ต่อไปโดยหลังจาก ช่วงปี 2000 บริษัทดอทคอมก็เริ่มกลับมาบูมอีกครั้ง และเขาก็ได้กระจายการลงทุนไปยังทั่วโลกจนตอนนี้ ก็แทบได้ว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีลำดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น และของโลก

หลังจากได้เงินทุนจำนวนมหาศาลจาก softbank นั้น jack ก็เน้นไปที่การขยายกิจการเพิ่มขึึ้น และใช้เงินเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการจ้างคนที่มีคุณภาพจากฝั่งอเมริกาและยุโรป ทำให้เงินทุนค่อยๆ ร่อยหรอลงไปเรื่อย ๆ จนแทบจะใกล้หมด กว่าเขาจะรู้ตัวเงินก็เหลือเพียงแค่ไม่กี่ล้านเหรียญแล้ว jack จึงต้องผ่านบททดสอบครั้งใหญ่ในการพากิจการก้าวไปข้างหน้าให้ได้ โดยเขาต้องทำการปลดพนักงานออกเป็นจำนวนมากทั้งในอเมริกา ยุโรป และ ฮ่องกง ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่สำคัญครั้งนึงของ jack ในการบริหาร alibaba เลยก็ว่าได้

หลังจากนั้น jack ก็เริ่มมาสนใจธุรกิจที่นอกเหนือจาก B2B อย่าง B2C หรือ C2C จุดใหญ่ที่สำคัญที่เป็นบทพิสูจน์ความเก่งกาจของ jack คือการสร้างธุรกิจ C2C อย่าง เถาเป่า บริษัทการที่แทบจะเลียนแบบ ebay มาเลยก็ว่าได้ ซึ่งในตอนนั้น ebay นั้นเป็นยักใหญ่ในบริษัท C2C และ B2C ของโลกโดยมีการลงทุนเข้าซื้อบริษัทยักใหญ่ในจีน และควบรวมกลายเป็น ebay china ซึ่งครองตลาดกว่า 80% ในขณะนั้น

ebay นั้นพร้อมทุกอย่างทั้งบุคคลากร และเงินทุนจำนวนมากจาก อเมริกา จึงไม่มีใครสามารถสู่ได้ในขณะน้น แต่ jack ก็พร้อมที่จะรบเต็มที่สร้าง เถาเป่า ขึ้นมาเพื่อมาสู้กับ ebay โดยเฉพาะ และสงครามก็เริ่มขึ้น ebay ทุ่มทุน โฆษณาอย่างยิ่งใหญ่ ใช้งบไปหลายร้อยล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการสร้างตลาดใหม่ขึ้นมา ทำให้มูลค่าตลาด C2C นั้นสูงขึ้นอย่างมากและ เถาเป่า ก็สู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรี และเนื่องจากการที่ jack เป็นคนจีน จึงเข้าใจวัฒนธรรมของคนจีนมากกว่า และ สร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวจีนมากกว่า ทำให้ ผู้บริโภคย้ายมาใช้บริการของ เถาเป่าเป็นจำนวนมาก จนในที่สุดก็สามารถชนะ ebay ได้ จนทำให้ ebay ต้องถอนการลงทุนจากจีนออกไป ซึ่งจุดนี้เป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญของ jack ในการบริหารกิจการเล็ก ๆ และล้มยักใหญ่อย่าง ebay ในจีนได้

หลังจากศึก ebay นั้น alibaba group ก็แทบจะครองธุรกิจ ecommerce จีนแบบเบ็ดเสร็จ และเค้าได้สร้างนวัตกรรมที่สำคัญอีกหลายอย่างทั้ง alipay , alimama , china smart logistics เพื่อ inegrate service ของ alibaba ทุกอย่างเข้าด้วยกัน รวมถึงการได้ partner ที่สำคัญอีกบริษัทอย่าง YAHOO ที่สุดท้ายก็ต้องยก YAHOO ประเทศจีนให้กับ alibaba ของ jack ma โดยแลกกับหุ้นส่วน กว่า 40% ในบริษัท alibaba และยอมร่วมเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เช่นเดียวกับ softbank จากญี่ปุ่น

และสุดท้ายบริการที่ยิ่งใหญ่อีกตัวหนึ่งของ alibaba สำหรับตลาดธุรกิจ B2C คือ Tmall โดยมีการแยกออกมาจาก เถาเป่า ซึ่งเป็นบริการล่าสุดของ alibaba group ทำให้ alibaba แทบจะครอบครองส่วนแบ่งการตลาดแบบเบ็ดเสร็จของ ecommerce ในประเทศจีน ซึ่งแค่ยอดขายในวันที่ 11/11 ของทุก ๆ ปีนั้น alibaba group ก็จะมีการลดราคาครั้งยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะในปี 2013 นั้น แค่วันเดียวก็สามารถทำยอดขายได้กว่า หลายหมื่นล้านเหรียญ ซึ่งแซง ecommerce ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ อเมริกาเป็นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

สรุปหนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่อ่านแล้วจะเข้าใจ jack ma และความสามารถของเค้านั้นได้พิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่าเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำพาบริษัท alibaba ก้าวเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกบริษัทนึงในอนาคตอันใกล้นี้คาดว่า alibaba นั้นก็จะเป็นบริษัท ecommerce ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้อย่างแน่นอนเนื่องจากการ มีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญครบหมดแล้วทั้งด้านการชำระเงิน logistics และ platform ที่ครอบคลุมทั้ง C2C , B2C, และ B2B จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อทำ IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐแล้วนั้นบริษัทจะทำให้บริษัทมีมูลค่ากิจการสุงถึง 7.3 ล้านล้านบาท และ ในอนาคต alibab จะเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อย่างแน่นอน

เก็บตกจากหนังสือ 

  • Jack Ma นั้นไม่ได้เป็นคนที่พื้นฐานความรู้ทางด้าน technology ที่แข็งแกร่งแบบเดียวกับผู้ก่อตั้งทาฝั่งอเมริกาเลยแต่ก็สามารถนำพาบริษัท technology ที่ยิ่งใหญ่ได้
  • เสน่ห์ที่่สำคัญของ jack คือการที่สามารถดึงดูดคนเก่งมาร่วมงานได้ และยอมถวายชีวิตการทำงานให้กับวิสัยทัศน์ของเค้าได้
  • การลงทุนทางด้านบริษัทเทคโนโลยีนั้นมีความเสี่ยงสูง แต่ return of investment ก็สูงมาก ๆ  เช่นเดียวกัน จึงทำให้ดึงดูดนักลุนทุนจำนวนมาก เช่น YAHOO, Softbank ที่เข้ามาลงทุนกับ alibaba นั้นก็แทบจะไม่มายุ่งกับการบริหารของ alibaba มากมายเลย

Movie Review : Citizenfour


Review

สำหรับหนังเรื่องนี้ ที่มีโอกาสได้เข้าฉายในไทยนั้น ผมมองว่าถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของเราที่ได้มีโอกาสได้ดู documentary จากเรื่องจริงที่ได้กลายมาเป็นหนังในเรื่องนี้ ซึ่งจะต่างจากหนังของ Julian assange อย่าง  The fifth Estate ซึ่งเป็นหนังที่ถูกนำมาเล่าใหม่โดยอิงมาจากเรื่องจริงซึ่งจะทำให้ได้อรรถรสของการดูหนังมากกว่า หนังแนวสารคดี อย่าง citizenfour เรื่องนี้

สำหรับเรื่องนี้นั้นเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของ Edward Snowden ตั้งแต่ช่วงแรกที่มีการติดต่อนักข่าวของ The Guardian อย่าง Glenn Greenwald  ผู้ที่บทบาทสำคัญในการดำเนินเรื่องในในสารคดีเรื่องนี้

เช่นเดียวกับในหนังอย่าง the fifth estate หนังเรื่องนี้ตีแผ่เรื่องราวที่ค่อนข้างเป็นประเด็นใหญ่ที่ไม่ใช่แค่เฉพาะสหรัฐอเมริกา แต่เป็นประเด็นที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อทั้งโลกเราเลยก็ว่าได้ ทำให้เราต้องมามองเรื่องของ Privacy  ของ Data ในระบบ internet ในปัจจุบัน ซึ่งเราใช้ดำรงชีวิตอยู่ทั้งการใช้ social network , การส่ง email , การใช้ messenger หรือ การใช้โทรศัพท์มือถือ ซึ่งล้วนแล้วแต่สำคัญต่อการใช้ชีวิตในยุคอินเตอร์เน็ตอย่างปัจจุบัน

ถ้ามองโดยส่วนตัวคิดว่า รัฐบาลสหรัฐนั้น น่าจะมีการล้วงข้อมูล อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมีการล้วงได้ทุกข้อมูลของพลเมืองสหรัฐเช่นนี้ ซึ่งถือเป็นประเด็นใหญ่มากมีผลต่อการดำรงชีวิตของเราแทบจะทุกคน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ผม เริ่มหันมามองการใช้ internet แม้กระทั่งในประเทศไทย ซึ่งคิดว่า รัฐบาลก็น่าจะมีการล้วงข้อมูลในบางส่วนออกไปได้ โดยเฉพาะ web หรือ service ใด ๆ ที่ไม่ได้มีการเข้ารหัสนี่ โดนแน่ ๆ แต่พวกที่มีการเข้ารหัสนั้น ก็คิดว่า ก็น่าจะถอดได้เช่นกัน เหมือนที่สหรัฐทำ

เข้ามาที่ประเด็นของหนังนั้น ก็ถือว่า โดยรวมนั้นก็ถือว่าติดตาม เพราะเป็นประเด็นข่าวที่ค่อนข้างดังที่ edward snowden นั้นได้ยอมเปิดเผยตัวตน ที่ ฮ่องกง ซึ่งถือว่าผลที่ตามมาของเค้านั้นมากมายอย่างยิ่ง เพราะเป็นเรื่องของความมั่นคงของชาติที่เป็นมหาอำนาจที่สุดของโลกอย่าง สหรัฐอเมริกา เรื่องนี้เป็นหนังเชิงสารคดีที่ควรจะหามาดูอย่างยิ่งโดยเฉพาะพวกเราที่อยู่ในยุคที่ทุกอย่าง online อย่างในปัจจุบัน และเราก็ไม่ควรให้เกิดการเข้าถึงข้อมูลแบบนี้ในประเทศไทย

เก็บตกจากหนัง

  • หนังเป็นหนังเชิงสารคดีซึ่งใช้ตัวแสดงจริงทั้งหมดและถ่ายทำจริงจาก video ที่ได้ทำการบันทึกไว้ในช่วงเวลาดังกล่าว
  • Edword Snowden นั้นในตอนแรกก็ไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมาว่ามันจะโหดร้ายได้ขนาดนี้ ที่เขาได้เลือกเปิดเผยตัวตน
  • ตอนนี้เขาก็ยังลี้ภัยอยู่ยังไม่สามารถกลับไปยัง USA เช่นเดียวกับ case ของ Julian Assange

คะแนน

8/10


สรุป
“เป็นเรื่องที่กล่าวถึง Privacy ที่เราทุกคนควรจะทราบไว้ เพื่อดำรงชีวิตในยุค everything is online”

ประวัติ Reed Hastings ผู้ก่อตั้ง เน็ตฟลิกซ์

ถือว่าเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งในวงการ Technology Start up ของ America สำหรับ Platform ดังอย่าง Netflix ซึ่งมีที่มาที่ไปค่อนข้างหน้าสนใจ เลยทีเดียว ถือเป็น startup ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนาน ในวงการธุรกิจของอเมริกา

ประวัติ Reed Hastings (รีด แฮสติงส์)

Reed Hastings นั้น เรียนจบ ระดับมัธยมศึกษาจาก Buckingham Browne & Nichols School Cambridge หลังจากเรียนจบ ในระดับมัธยมศึกษา ก็ได้ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ Bowdoin College ในสาขาด้านคณิตศาสตร์

และหลังจากนั้น เขาได้อาสาสมัคร ไปยังประเทศ Swaziland ซึ่งเป็นประเทศด้อยพัฒนาในทวีป Africa เพื่อทำการสอนวิชาคณิตศาสาตร์ ที่เขาได้ร่ำเรียนมา ให้เหล่านักเรียน ในช่วงปี 1983-1985

ภายหลังจากกลับมาจากเป็นอาสาสมัคร เขาก็ใช้ profile เหล่านี้ในการเข้าศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัย Standford University และสำเร็จการศึกษาในระดับ Master Degree ในสาขาวิชา วิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ในปี 1988

Reed Hastings นั้นได้ตั้งบริษัทของตนเองในชื่อ Pure Software โดยนำเสนอ solution ในการแก้ปัญหาปัญหาต่าง ๆ ให้เหล่าองค์กร หรือ SME ต่าง ๆ และสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วเป็นอย่างมาก

หลังจากนั้น ในปี 1997 ได้ทำการร่วมกับ Marc Randolph และจับมือกันเพื่อก่อตั้งบริษัท Netflix ขึ้น เพื่อดำเนินธุรกิจด้านการให้เช่าสื่อความบันเทิง แบบ online ให้แก่ลูกค้าที่อยู่ในประเทศอเมริกา

จับมือกับ Marc Randolph เพื่อสร้าง netflix

จับมือกับ Marc Randolph เพื่อสร้าง netflix

Netflix นั้นผ่านมรสุมของธุรกิจมาอย่างมากมายตั้งแต่เริ่มคิด idea ในการสร้างธุรกิจการเช่าหนังแบบ Online โดยใช้ระบบเหมาจ่าย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ใหม่เอามาก ๆ สำหรับในยุคนั้น ที่ร้านเช่า DVD แทบจะอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งตามเหมืองใหญ่

แต่ไม่ใช่ปัญหาของ Reed Hastings ผู้ก่อนตั้ง Netflix ซึ่งจบมาทางด้าน computer science ได้ทำการสร้าง model ธุรกิจใหม่และ สร้างระบบ online ที่ใช้ในการเช่าหนังโดยมีการผสมผสานระหว่าง Technology และ การบริการได้อย่างลงตัวกล่าวคือ เป็นการเลือกหนังจาก website แต่จะมีการส่งให้ยืมผ่านระบบไปรษณีย์ ซึ่งในยุคนั้น เครื่องเล่น DVD ยังเป็นส่ิ่งสำคัญประจำบ้านของทุกครัวเรือนในสหรัฐ ยังไม่มีการดูหนัง online streamming อย่างเช่นในปัจจุบัน

ตอนที่เขาได้เริ่มกิจการนั้น ผู้คนปรกติยังใช้การเช่าหนังผ่านระบบร้านเช่า ซึ่งที่เป็นยักษ์ใหญ่ในสหรัฐขณะนั้นก็คือ Blockbuster ซึ่งมีรายได้หลายพันล้านเหรียญต่อปี แต่ ทาง Reed Hastings ก็ใช้ Technology เข้ามาผสมผสานกับรูปแบบของ model ธุรกิจใหม่ทำให้บริษัทของเค้าเจริญเติบโตไปได้อย่างรวดเร็ว

ถีงแม้ภายหลังทาง blockbuster จะมาทำ service แข่งนั้น โดยการลดราคาแข่งขัน สุดท้ายแล้ว ก็ทำให้ service อื่นๆ  ตายลงไปหมดและ Netflix ก็ได้ไป take over มาเนื่องจากทาง Netflix เน้นความพึงพอใจของลูกค้าสูงสุด และเข้าใจลูกค้าได้ดีสุด จนสุดท้ายนั้นบริษัท Blockbuster ได้ถึงกับล้มละลาย ซึ่งถือเป็น Case Study ที่น่าศึกษาของบริษัทที่ไม่มีการปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีสมัยใหม่

netflix ทำให้ blockbuster ถึงกับล้มละลาย

netflix ทำให้ blockbuster ถึงกับล้มละลาย

ถึงแม้ทาง netflix จะ win ในศึกแรกมาได้ แต่ก็ต้องมาเจอศึกใหม่กับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนเป็นใหญ่อย่างรวดเร็วทั้งทางด้าน infrastucture ของ internet ซึ่งทำให้ internet มี speed สูงมาก และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนเป็น โหลดจากทาง Web แทนทั้งที่ถูกกฏหมายและผิดกฏหมายรวมถึงการเกิดขึ้นของระบบ Bit Torrent ทำให้ยอดสมาชิกร่วงลงเป็นจำนวนมาก

Bittorrent ศัตรู ตัวฉกาจของ netflix

Bittorrent ศัตรู ตัวฉกาจของ netflix

แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจาก Reed Hastings นั้นเป็นคนที่ปรับตัวอย่างรวดเร็วทำให้รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นหากไม่มีการปรับตัวเพราะผู้บริโภคได้เปลี่ยนรูปแบบการดูหนังไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เค้าเลยได้สร้างระบบ Streaming ขึ้นมาเพื่อให้สามารถชม online ผ่าน internet ได้ และมีการปรับตัวเข้ากับ Platform ใหม่ ๆ ทั้งระบบ IOS หรือ Android รวมถึงการดูผ่าน Web Streaming ซึ่งทำให้สามารถรอดจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของผู้บริโภคไปได้ ซึ่ง Case นี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับการปรับตัวได้ทันกับ Technology ที่เปลี่ยนไปไม่งั้นเราคงไม่เห็น Netflix เติบโตมาได้จนถึงวันนี้ครับ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol

Bloomberg Game Changer : How Microsoft Attacked the Beast who created Netscape, Mozilla Firefox & invested Skype

โดยส่วนตัวนั้นเป็นคนชอบดู Documentary ของทางเมืองนอก โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับวงการ IT และ Series หนึ่งที่ชอบติดตามดูเป็นพิเศษคือ Game Change : ของทางฝั่ง Bloomberg ที่ได้สร้าง Documentary ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาที่น่าสนใจในหลาย ๆ ประเด็น

สำหรับตอนที่จะกล่าวใน blog นี้คือ How Microsoft Attacked the Beast who created Netscape, Mozilla Firefox & invested Skype เป็นเรื่องราวในยุคต้นกำเนิดของ Internet ซึ่งเราคงมองภาพไม่ออกในยุคแรก ๆ  ที่ยังไม่มี internet ใช้ ในสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหม่มาก ๆ สำหรับการสร้าง Web Browser มาซัวในยุคปลาย 1990

สำหรับ Browser ตัวแรกของโลกนั้นต้องยกให้กับ Mosaic ที่พัฒนาโดย Lab ของ University of Illinois of Urbana Chanpaign ที่ผู้ที่ได้ว่าเป็นผู้ถือกำเนิดมันก็คือ Marc Andreessen ซึ่งต้องถือเป็นเจ้าพ่อ internet ในยุคแรก ๆ เลยก็ว่าที่ทำให้ internet เป็น Graphic ที่สวยงามให้คนทั่วไปใช้งานได้อย่างง่ายดาย ซึ่งในช่วงนั้นยังเป็นรูปแบบของ text mode อยู่ หลังจากปล่อยให้ Download Free และเป็นที่นิยมอย่างมากแล้วนั้น Marc ก็ถูกนายทุน โดย  Jim Clark ที่ชักชวน Marc ให้มาเปิดบริษัทเพื่อพัฒนา Web Browser เพื่อขายเป็น commercial โดยได้ร่วมตั้ง Netscape ขึ้นมา ต้องถือว่าโชคดีผมก็มีโอกาสได้ใช้ Netscape กับเค้าเหมือนกัน ๆ กันยุคแรก ๆ  ก่อนที่ Microsoft จะใช้ IE ตีตลาดจนไม่เหลือที่ว่างให้ Netscape และก็ได้มีโอกาสได้สร้าง HTML Web ในช่วงแรก ๆ เหมือนกันซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เบนเข็มมาเรียนทางด้าน Computer Engineer

ในช่วงปลาย 1990 นั้น Marc ถือว่าเป็นบุคคลที่โด่งดังมาก เนื่องจากหลังจากสร้าง NetScape และปล่อยออกสู่ตลาดนั้น ก็ได้นำบริษัททำ IPO เพื่อเข้าตลาดหุ้นโดยแทบจะทันที ซึ่งตอนนั้นก็ทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วนอยู่พอสมควร เนื่องจากมูลค่าหุ้นขึ้นไปสูงถึงระดับ 171$  ในช่วงเปิดตัวแรก ๆ  ทำให้บริษัทมีมูลค่าทันทีถึง  2 พันล้านเหรียญในยุคนั้น ซึ่งถือว่ามากพอตัว   และทำให้เค้ากลายเป็นเศรษฐีหนุ่มทันทีจากมูลค่าหุ้น และนักลงทุน ที่ร่วมก็รวย ๆ กันไปตาม ๆ กันจากมูลค่าหุ้นที่พุ่งขึ้นสูงสุดในช่วงดังกล่าว

แต่การเกิดขึ้นของ NetScape นั้นเหมือนเป็นการปลุกยักษ์ให้ตื่น Microsoft ในสมัยนั้นเป็นบริษัทที่มูลค่าแทบจะสูงที่สุดในโลกของ Technology Company ซึ่ง Gate ก็ไม่รอช้า ในช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่ Microsoft ต้องออก OS ใหม่พอดีซึ่งก็คือ Microsoft Windows 95  โดยทาง Microsoft นั้นใช้แผนที่เหนือเมฆ คือนำ Internet Exproler ออกสู่ตลาดโดยแถมมากับระบบปฏิบัติการ Windows 95 เลยแทบจะทันที โดย microsoft นั้นก็ได้พัฒนาตัว IE โดยใช้พื้นฐานมาจาก Mosaic ที่ Marc เป็นคนพัฒนาขึ้นในตอนอยู่  University of illinois of Urbana Chanpaign นั่นเอง ซึ่ง Microsoft นั้นเป็นบริษัทที่ทุนหนาอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหาเรื่องการเงินแต่อย่างใด ในการแถม Browser ไปกับระบบปฏิบัติการ และเป็นยิ่งส่งเสริมให้คนหันมาใช้ ระบบปฏิบัติการ Windows 95 มากยิ่งขึ้นเสียไปอีก ซึ่งเป็นความโหดมากของ microsoft ในการแทบจะ ฆ่า Netscape ออกไปจากตลาด และ เพิ่มยอดขายของ Windows 95 เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยทีเดียว

สุดท้ายก็มีการฟ้องร้องกันหาว่า Microsoft ผูกขาดการตลาดของระบบปฏิบัติการ ทางฝั่ง microsoft นั้นก็ไม่แยแสในเรื่องที่เกิดขึ้นเดินหน้าแถม Browser ต่อไปจนครองส่วนแบ่งแทบจะทั้งหมดของ Browser ในขณะนั้น และ ทำให้ Netscape ต้องถูกขายให้กับ AOL ในภายหลังก่อนจะพัฒนากลายมาเป็น Moziila Firefox อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ส่วนคดีความฟ้องร้องนั้น ถึงแม้สุดท้าย ศาลจะพิพากษาให้ Microsoft เป็นฝ่ายผิด แต่ microsoft ก็ยินยอมจ่ายค่าปรับเพียงร้อยกว่าล้านเหรียญเท่านั้น ซึ่งเปรียบเหมือนในสงครามนี้ microsoft ยอมแพ้ในศาลแต่ ในเชิงธุรกิจนั้น Netscape ได้ตายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

Movie Review : Whiplash


Review

ต่อเนื่อง Series Oscar 2015 ด้วยเรื่อง Whiplash จากผลงานการกำกับ ของ Demien Chazelle  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้รับการเข้าชิงในหลายสาขา และ สาขาใหญ่ที่ได้รับรางวัลคือ ดาราสมทบชายยอดเยี่ยมจาก J.K. Simmons  ที่รับบท Fletcher Conductor ผู้ควบคุมวงที่รับบทบาทโหดได้อย่างสมจริง และส่งให้เขาได้รับรางวัลดังกล่าวไป

หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวงดนตรี และ นักดนตรี โดยเฉพาะมือกลองที่พระเอกคือ Miles Teller ที่รับบท Andrew หนุ่มที่ใฝ่ฝันที่จะได้เป็นมือกลองอาชีพ แต่ถูกขัดขวางโดนผู้เป็นผู้ที่ไม่อยากให้ลูกประกอบอาชีพนี้  เรื่องนี้ทำให้ลืมบทเก่า ๆ ที่ได้รับของ Miles Teller ไปเลยที่ส่วนใหญ่จะรับบทที่เป็นวัยรุ่นทั่วไป ซึ่งไม่ได้ทำให้เค้าได้แสดงศักยภาพการแสดงออกมาเต็มที่เท่าไหร่ แต่เรื่องนี้ทำให้เราได้เห็นถึงการเล่นบท Drama ของเขาที่ถือว่าเป็นการแสดงที่ดีที่สุด เท่าที่เคยได้เล่นมาเลยในตลอดช่วงหลายปีให้หลังเลยก็ว่าได้

ส่วน J.K Simmons นั้นการันตีด้วยรางวัลที่ผ่านมามากมาย ไม่ต้องห่วงเรื่องการแสดง และเรื่องนี้ก็เป็นบทพิสูจน์ถึงความเป็นนักแสดงคุณภาพของเขาที่ได้รับรางวัลใหญ่อย่าง ดาราสมทบชายยอดเยี่ยม ซึ่งความจริงนั้น เรื่องนี้เค้าแทบจะแบกรับหนังทั้งเรื่องไว้ และส่งการแสดงให้กับ Miles Teller ทำให้แสดงได้อย่างดีมาก ๆ

ตัวหนังนั้นเป็นหนัง Drama โดยผสมผสานเรื่องของความรัก และ ครอบครัวเข้ามา และสิ่งสำคัญของเรื่องนี้ที่ขาดไม่ได้คือ ดนตรี Jazz ซึ่งเป็นส่วนที่ผสมที่ลงตัวเอามาก ๆ แต่จะเสียดายตรงตอนจบของหนังนิดหน่อยที่มันยังไม่ค่อยสุดเท่าไหร่ น่าจะมีบทการจบของหนังที่ดีกว่านี้ แต่เนื่องจากเป็นหนังที่ปูทางเรื่องของดนตรีมาทั้งเรื่องทำให้ นักดนตรีหรือคนที่เกี่ยวข้องกับวงดนตรี ( โดยเฉพาะ Jazz) อาจจะอินกับหนังเรื่องนี้ได้ดีกว่าคนทั่วไป แต่ก็เป็นหนังที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งครับ

เก็บตกจากหนัง

  • การเล่นดนตรี Jazz นั้นไม่ใ่ช่เรื่องง่าย
  • จังหวะของเพลง Caravan หรือ Whiplash ที่เป็นจังหวะกลองนั้นโหดน่าดู
  • ดูเรื่องนี้จะอินกับบทบาทการเล่นของ J.K. Simmons มาก ๆ
  • หนังเรื่องนี้สื่อให้เราทราบถึงอาชีพของนักดนตรีหรือศิลปินนั้นก็เปรียบเป็นอาชีพที่เต้นกินรำกินที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวซักเท่าไหร่ ไม่ต่างจากในประเทศไทย

คะแนน

9/10


สรุป
“ดนตรี jazz , ความรัก , ครอบครัว คือส่วนผสมที่ลงตัวสำหรับหนังเรื่องนี้”