ประวัติ Tim Cook ตอนที่ 2 : The Soul of the South

Timothy Donald Cook เกิดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี 1960 ที่เมือง Mobile , Alabama เมืองท่าเรือทางชายฝั่ง และเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของรัฐ โดยตัว Cook นั้นเป็นลูกชายคนที่ 2 จาก 3 คนที่เกิดมาจาก Don และ Geraldine Cook พ่อแม่ของเขา โดยทั้งคู่เป็นชาวพื้นเมือง Alabama ในแถบชนบท

Don พ่อของ Cook ทำงานที่อู่ต่อเรือ ซึ่งถือเป็นอาชีพหลักของชาวเมืองในขณะนั้น ส่วน Geraldine ทำงานเป็นเภสัชกร พาร์ทไทม์ และอุทิศเวลาส่วนที่เหลือให้กับงานบ้าน และมีช่วงเวลาหนึ่งที่ครอบครัวต้องย้ายไปอยู่ที่เมือง Pensacola รัฐ Florida ซึ่ง Don ได้งานทำที่ฐานทัพเรือขนาดใหญ่

แต่เมื่อเข้าสู่ปี 1971 เมื่อ Cook เข้าสู่ช่วงวัยเรียนมัธยม ครอบครัวของเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะย้ายกลับมาตั้งรกรากที่ Alabama ใน Robertsdale เมืองเล็ก ๆ ในชนบท ที่ตั้งอยู่กลาง Baldwin County ซึ่งเป็นเขตที่ใหญ่ที่สุดของรัฐ ซึ่งสาเหตุที่ Gereldine เลือกที่จะพาครอบครัวมาตั้งรกรากที่นี่ ก็เพื่อให้ลูกชายทั้งสามคนของเขา ได้รับประโยชน์สูงสุดจากระบบโรงเรียนของรัฐนั่นเอง

เมือง Robertsdale เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของอเมริกา มีประชากรไม่ถึง 5 พันคนเท่านั้น ผู้คนในเมืองแทบจะรู้จักกันทั้งหมดเลยก็ว่าได้ ต้องเรียกได้ว่าเป็นเมืองที่เหมาะแก่การพักผ่อน รวมถึงการผ่อนคลาย Robertsdale เป็นเมืองที่มีพื้นที่เพาะปลูกอุดมสมบูรณ์

ครอบครัวของ Cook ได้ปลูกฝังเขาให้มาเป็นคนที่มีความเคร่งในศาสนา เขามักอ้างอิงความเชื่อเรื่องศาสนาตลอดอาชีพการทำงานของเขา ซึ่งต้องบอกว่าพื้นฐานทางด้านศาสนาของ Cook นี่เองที่เป็นสิ่งหนึ่งที่ปลูกฝัง Cook ให้กลายมาเป็นยอด CEO อย่างที่เราได้เห็นในทุกวันนี้

เขาเป็นเด็กที่เจียมเนื้อเจียมตัว แต่มีความแข็งแกร่งด้วยความที่เป็นนักกีฬา ในการเรียนนั้นเขาเก่งในเรื่องเกี่ยวกับการวิเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง พีชคณิต เรขาคณิต หรือ ตรีโกณมิติ ซึ่งทุกอย่างล้วนแล้วอาศัยทักษะในการวิเคราะห์

และไม่ใช่เพียงแค่เรื่องการเรียนอย่างเดียวเท่านั้น แต่เขายังเก่งในกิจกรรมนอกหลักสูตรและแสดงให้เห็นถึงความเฉียบแหลมทางธุรกิจ ตั้งแต่อายุน้อย ๆ เขาเคยเป็นคนจัดการเรื่องการผลิตหนังสือประจำปีของโรงเรียน ที่เป็นการฝึกให้เขาต้องหาค่าโฆษณาให้เพียงพอเพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการผลิตหนังสือประจำปี

Cook (ล่างซ้าย) สมัยเรียนมัธยมในรัฐ Alabama
Cook (ล่างซ้าย) สมัยเรียนมัธยมในรัฐ Alabama

Cook ได้เริ่มคิดวิธีการในการทำการตลาด รวมถึงสร้างโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย เพื่อกระตุ้นยอดขายของหนังสือตั้งแต่เขายังเด็ก ซึ่งในปีนั้น Cook สามารถทำสถิติใหม่ทั้งยอดขายหนังสือ รวมถึงยอดโฆษณา ที่ไม่เคยมีใครสามารถทำได้มาก่อน

แน่นอนว่าประสบการณ์สำคัญทางธุรกิจในวัยเด็กของ Cook นั้นช่วยหล่อหลอมและวางรากฐานทางแนวคิด ในการทำงานเมื่อเขาเติบโตขึ้น เช่นเดียวกับการสร้างสถิติใหม่ในการสร้างรายได้ให้กับหนังสือของเขาที่โรงเรียน และสุดท้ายเขาก็สามารถทำได้แบบเดียวกันที่ Apple ในอีกหลายปีต่อมานั่นเอง

แม้ว่าทุกอย่างในเมือง Robertsdale นั้นจะดู perfect ไปหมดสำหรับ Cook แต่ก็มีเรื่องนึงที่คอยหล่อหลอมเขาในเรื่องของความเท่าเทียม เพราะเมืองที่เงียบสงบแห่งนี้ ยังคงมีกระแสของการเหยียดทางเชื้อชาติพันธุ์อยู่ ซึ่งประสบการณ์ถูกเหยีดในเรื่องเชื้อชาติที่ Robertsdale นี่เองที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อ Cook เกี่ยวกับมุมมองของเขาต่อโลก และการเน้นความเท่าเทียมกันที่เขามักจะโฟกัสอยู่เสมอเมื่อขึ้นมาดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple

ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 เมื่อตอนที่ Cook เรียนในชั้นมัธยม ในคืน ๆ หนึ่งที่เขาขับจักรยานคู่ใจไปตามท้องถนนในเมือง เขารู้สึกประหลาดใจเมื่อได้เห็นกลุ่มไฟ อยู่ตรงหัวถนน เขาพยายามที่จะพาจักรยานคู่ใจมาใกล้ ๆ กับกลุ่มไฟดังกล่าว

เขาต้องรู้สึกตกใจเมื่อได้เห็นภาพ ไม้กางเขนกำลังถูกเผา ล้อมรอบด้วยกลุ่มเสื้อคลุมชุดขาว ที่เป็นสมาชิกของคูคลักซ์แคลน ซึ่งในแถบดินแดนใต้ของอเมริกาที่ Cook อาศัยอยู่นั้น ลัทธิของกลุ่มคูคลักซ์แคลนเคยมีจำนวนสูงสุดถึง 4 ล้านคน ก่อนที่จะลดลงเหลือไม่กี่พันคนในช่วงปี 1970 ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าตกใจสำหรับ Cook ในวัยเยาว์ ณ ขณะนั้น

คุณค่าหลาย ๆ อย่างที่ Cook ได้นำมาใช้กับ Apple นั้นดูเหมือนจะเป็นผลโดยตรงจากประสบการณ์ในวัยเด็กของเขา ความเกลียดชัง และการถูกเลือกปฏิบัติที่ Cook ได้เห็นในแถบดินแดนใต้ของอเมริกานั้น เป็นประสบการณ์ที่ติดอยู่กับเขาตลอดชีวิต ซึ่งล้วนมีอิทธิพลต่อวิธีที่เขาใช้ชีวิตและการดำเนินธุรกิจ

ต้องบอกว่าความมีคุณธรรมของ Cook ที่ทุกคนได้เห็นทั้งการใช้ชีวิตและการดำเนินธุรกิจ ล้วนมีรากฐานมากจากการเลี้ยงดูแบบคริสเตียน มารยาทแบบคนใต้ และคำสอนของ มาร์ติน ลูเทอร์คิง จูเนียนร์ และ โรเบิร์ต เอฟ เคเนดี ซึ่งเป็นวีรบุรุษของเขา

โดยหลังจากที่ Cook จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมในปี 1978 เขาก็ได้ออกจากเมือง Robertsdale ไปเข้าเรียนต่อที่ Auburn University ในสาขาวิศวกรรมอุตสาหการ ซึ่งตอนนั้นถือเป็นความฝันของเขาเลยทีเดียว

แนวควาวคิดหลาย ๆ อย่างของ Cook ถูกปลูกฝังที่ Auburn University
แนวควาวคิดหลาย ๆ อย่างของ Cook ถูกปลูกฝังที่ Auburn University

เขาเลือกเรียน วิศวกรรมอุตสาหการที่ Auburn อย่างชาญฉลาด อดีต CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่หลาย ๆ คน มีพื้นฐานทางวิศวกรรมอุตสาหการ เช่นเดียวกับ Cook ซึ่ง Cook ก็ต้องการดำเนินรอยตามเหล่าผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น Lee Iacocca ที่เป็นอดีต CEO ของบริษัท ไครสเลอร์

การเรียนในด้านวิศวกรรมอุตสาหการนั้นมุ่งเน้นไปที่วิธีการในการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบที่ซับซ้อนที่สุด ในการกำจัดค่าใช้จ่ายที่สูญเปล่า และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งนี่เองเป็นทักษะที่สำคัญที่ Cook พัฒนามาตั้งแต่ต้น

ที่ Auburn นี่เองที่เขาได้เรียนรู้ทักษะมากมายที่จะช่วยเขาตลอดอาชีพการทำงานของเขา เขาเรียนรู้วิธีการเขียนโปรแกรม ในชั้นปีหนึ่ง เขาเคยสร้างระบบเพื่อปรับปรุงเวลาของสัญญาณไฟจราจรใกล้มหาวิทยาลัย

และที่ Auburn ดูเหมือนว่าจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญเกี่ยวกับวิธีการทำงานของ Cook และมุมมองโลกของเขา Cook นั้นเชื่อในการทำงานหนักตั้งแต่อายุยังน้อยและเห็นได้อย่างชัดเจนจากวิธีที่เขาใช้ในการบริหาร Apple ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

และที่สำคัญเขายังได้รับประสบการณ์ครั้งแรกในการจัดการองค์กร เขาเคยใช้เวลาส่วนหนึ่งที่บริษัท Reynolds Aluminium ใน Richmond รัฐเวอร์จิเนีย เขาได้เคยช่วยประธานบริษัทในการจัดการงานที่ซับซ้อนขององค์กร ในการรีดประสิทธิภาพขององค์กร ด้วยการลดจำนวนพนักงานที่มีความซ้ำซ้อนลง ซึ่งถือเป็นบทบาทหนึ่งที่เขาเคยได้ลองงานด้านการบริหารองค์กร ก่อนที่จะก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดที่บริษัท Apple ในภายหลัง

Cook จบการศึกษาจาก Auburn ในปี 1982 ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากการทำ IPO ของ Apple เพียงแค่ 18 เดือน แต่ตอนนั้น Apple ยังคงเป็นบริษัทเล็ก ๆ ที่ Cook นั้นยังไม่แทบชายตามองเลยด้วยซ้ำ

ซึ่งเมื่อเขาจบการศึกษา ก็ได้ข้อเสนอจาก IBM ที่ตอนนั้นเพิ่งเปิดตัว PC เครื่องแรกของ IBM รวมถึงได้ข้อเสนอจากบริษัท Andersen Consulting รวมถึง General Electric (GE) ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกา ในขณนั้น ที่มักจะดึงดูดเหล่าอัจฉริยะที่เพิ่งเรียนจบใหม่จากมหาลัยชื่อดังในสหรัฐ

และสุดท้าย Cook ก็ได้ตัดสินใจเริ่มงานครั้งแรกในชีวิตการทำงานที่ IBM แม้ตอนนั้นโชคชะตาจะพาเขาเข้าสู่วงการคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะเขาเองก็ไม่ได้คิดถึงงานด้านคอมพิวเตอร์เลยด้วยซ้ำ แต่เขารับรู้ได้ว่า Personal Computer (PC) ของ IBM มันกำลังจะเปลี่ยนโลกของเราไปตลอดการ มันมีบางสิ่งบางอย่างที่กำหนดให้เขาต้องเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิวัติทางด้านเทคโนโลยีครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ แล้วเส้นทางเดินของ Tim Cook จะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

-> อ่านตอนที่ 3 : Jobs in Time

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Death of God *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

References : https://www.flickr.com/photos/iphonedigital/29134927722 https://www.gkac.us/auburn-university/

Blog Series : Tim Cook The Genius Who Took Apple to Next Level

ชายที่มีนามว่า Tim Cook ได้เข้ามาเป็น CEO แบบเต็มตัวของ Apple ในปี 2011 แน่นอนว่าเขาต้องมารับภาระอันยิ่งใหญ่ที่ Steve Jobs ผู้จากลาได้สร้าง Apple ไว้อย่างยิ่งใหญ่ แต่ก็เป็นตัว Jobs เองที่ตัดสินใจมอบภารกิจสานต่อ Apple ให้กับ Tim Cook เพราะเขาเชื่อมั่นในตัว Tim Cook เป็นอย่างมาก

แม้เหล่านักวิจารณ์ รวมถึงสื่อต่าง ๆ จะค่อนขอดกับความสามารถของ Tim Cook ว่าคงไม่สามารถสร้าง Apple ให้ยิ่งใหญ่ได้เหมือนที่ Steve Jobs ทำไว้ เพราะเขาไม่ได้มีจิตวิญญาณที่เป็นนักสร้างสรรค์สิ่งใหม่ และไม่มีวี่แววของความเป็นศิลปิน อย่างที่ Jobs เคยทำกับ Apple ตลอดมา

ซึ่งหลังจากเข้ามากุมบังเหียน Apple ในครั้งที่สองของ Jobs เมื่อปี 1995 ทุกคนต่างมองว่า Cook เป็นเพียงแค่มือ Operation ที่อยู่ภายใต้เงาของ Jobs เพียงเท่านั้น คงไม่สามารถทำให้ Apple กลับมาเฉิดฉายในเวทีโลกได้เหมือนช่วงที่ Steve Jobs อยู่อีกต่อไป

แต่เหล่านักวิจารณ์ก็คิดผิดมหันต์ เพราะถัดจากนั้น 8 ปี หลังจากที่ Cook ได้เข้ามาคุม Apple ในฐานะ CEO เต็มตัว เขาได้หักปักกาเหล่านักวิจารณ์ทั้งหลายจนหมดสิ้น Cook ทำให้ Apple ขึ้นสู่จุดสูงสุด กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก

บริษัทมีเงินสดสำรอง เพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่านับตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งสูงถึง 267.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ Cook ทำให้ Apple สร้างรายได้ 88.3 พันล้านเหรียญ และทำกำไรได้ถึง 20 พันล้านเหรียญใน Q1 ของปี 2018

Cook ได้สร้างแนวรบใหม่ของ Apple ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่าง Apple Watch ในปี 2015 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักชิ้นแรกที่ออกมาจากมันสมองของ Cook ล้วน ๆ โดยไม่มีเงาของ Jobs อีกต่อไป โดยเขาสามารถทำให้ Apple Watch ขายได้กว่า 40 ล้านเครื่อง และยังมียอดขายเพิ่มขึ้น 50% ไตรมาสต่อไตรมาส นับตั้งแต่เปิดตัว และที่สำคัญ Cook กำลังเดินหน้าพา Apple บดขยี้ในทุกสถิติที่บริษัทมหาชนยักษ์ใหญ่ในธุรกิจ จะสามารถทำได้ โดยแทบจะไม่ผ่อนคันเร่งแต่อย่างใด

ต้องบอกว่า ชีวิตของ Tim Cook นั้นถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ คนหนึ่ง โดยใน Blog Series ชุดนี้ ต้อนรับปี 2020 เราจะมาทำความรู้จักกับ Tim Cook กันให้มากขึ้นผ่าน Blog Series ชุด Tim Cook The Genius Who Took Apple to Next Level กันครับ

หนังสือ Tim Cook The Genius Who Took Apple to Next Level

โดยข้อมูลหลักผมจะนำมาจากหนังสือ Time Cook The Genius Who Took Apple to Next Level มาเรียบเรียงใหม่ ในสไตล์ผมเอง และรวบรวมข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ ทั้ง wikipedia หรือ ทางเว๊บไซต์ออนไลน์ มารวมรวมใหม่ ใน Blog Series ชุดนี้กันครับ

–> อ่านตอนที่ 1 : The Death of God

References : https://www.ndtv.com/book-excerpts/an-empty-chair-windows-covered-by-post-its-how-world-mourned-steve-jobs-2024333

ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง iPod ตอนที่ 5 : Digital Hub

สถานการณ์ของ apple เริ่มกลับมาดูดีขึ้นอีกครั้ง หลังจากทำยอดขายได้ถล่มทลายจากผลิตภัณฑ์ตัวชูโรงตัวใหม่ อย่าง iMac ซึ่งเป็นผลงานการรังสรรค์ ที่ผสมผสานความงดงามด้านศิลปะ จาก ไอฟฟ์ และ โครงสร้างพื้นฐานทางวิศวกรรมที่แข็งแกร่ง ไร้ที่ติ จาก จ๊อบส์

การได้ ทิม คุก เข้ามาจัดการเรื่องซัพพลายเชน ของ apple ทำให้สถานการณ์ทางการเงินดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เรียกว่าเพียงไม่กี่ปีที่จ๊อบส์ เข้ามาทำงานอย่างหนักเพื่อปรับเปลี่ยนหลาย ๆ อย่างใน apple ในรอบสองนี้ มันกำลังเริ่มเห็นผลลัพธ์ ทุกอย่างกำลังเดินหน้าไปในทิศทางที่ดี ซึ่งมันแสดงให้เห็นชัดเจนอย่างยิ่งในเรื่องตัวเลข ของรายได้ และ กำไรของบริษัท apple ที่รายงานต่อสาธารณะชน

ได้ทิม คุก keyman คนสำคัญมาช่วยด้านซัพพลายเชน และการผลิต
ได้ทิม คุก keyman คนสำคัญมาช่วยด้านซัพพลายเชน และการผลิต

และในทุก ๆ ปี จ๊อบส์ จะพาพนักงานที่มีความสำคัญที่สุดไปเข้าค่ายประชุม และพักผ่อนนอกสถานที่ร่วมกัน ซึ่งเขาเรียกงานนี้ว่า “The Top 100”  ซึ่งเหล่า 100 คนที่ได้ถูกคัดเลือกนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้บริหารหรือวิศวกรหัวกะทิระดับแนวหน้าของ apple แทบจะทั้งสิ้น

ซึ่งการเข้าค่ายในทุก  ๆ ปี ก็จะมีการรวมหัวกันคิดว่า apple ควรจะทำอะไรเป็นลำดับถัดไป โดยให้มีการ ลิสต์ 10 หัวข้อที่ apple ควรจะทำต่อจากนี้คืออะไร?  แล้วให้ผู้บริหารและพนักงานหัวกะทิ เหล่านี้ ถกเถียงกัน โดยจ๊อบส์ จะคอยเป็นกรรมการ และยังคอยช่วยคัดกรองหัวข้อที่เขาคิดว่า “ไม่ได้เรื่อง” ออกไปทีละหัวข้อ และสุดท้าย มันจะเหลือเพียง 3 หัวข้อที่ทั้งหมดสรุปกันว่าน่าจะทำได้เท่านั้น

ก้าวเข้าสู่ปี 2001 Apple ก็สามารถที่จะกอบกู้ผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของบริษัทให้กลับมาฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง และตอนนี้มันถึงเวลาที่จะต้องคิดต่าง รายการลำดับต้น ๆ จากการเข้าค่าย “The Top 100” นั้น มันกำลังจะกลายเป็นโครงการลำดับถัดไปของ apple เพราะสถานการณ์ต่าง ๆ ในบริษัท เริ่มกลับมาอยู่ในภาวะปรกติแล้ว

ถึงเวลาที่ apple ต้องคิดต่าง เพื่อเข้าสู่ยุคใหม่
ถึงเวลาที่ apple ต้องคิดต่าง เพื่อเข้าสู่ยุคใหม่

ในขณะนั้น วงการเทคโนโลยี อยู่ในสภาวะ มืดมนเต็มที เกิดฟองสบู่ ดอทคอม ขึ้นในปี 2000 บริษัท it ใน ซิลิกอน วัลเลย์ โดยเฉพาะ startup หน้าใหม่ อยู่ในสภาวะล้มละลาย นักลงทุนเริ่มหนีหาย ตลาดหุ้น NASDAQ หล่นฮวบไปกว่า 50% จากยุคที่เคยเฟื่องฟูแบบสุด ๆ และมันถึงจุดอิ่มตัวของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแล้ว

Digital Hub

และจ๊อบส์ ก็ได้เปิดวิสัยทัศน์ใหม่ โดย จะแปลงโฉม apple โดยทำการปรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้กลายเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมดิจิตอล หรือ “ดิจิตอลฮับ” มันจะปรับหน้าที่ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ให้คอยประสานงานอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เป็น ดิจิตอล ตั้งแต่เครื่องเล่นเพลง กล้องวิดีโอ ไปจนถึง กล้องถ่ายรูป โดยให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นศูนย์กลาง ให้อุปกรณ์ต่างๆ  เหล่านี้เข้ามาเชื่อมต่อ

จ๊อบส์ เปิดวิสัยทัศน์ใหม่ หลังจากบริษัทเริ่มกลับมาอยู่ในสภาวะปรกติ
จ๊อบส์ เปิดวิสัยทัศน์ใหม่ หลังจากบริษัทเริ่มกลับมาอยู่ในสภาวะปรกติ

คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล จะกลายเป็นอุปกรณ์ ที่คอยจัดการเพลง แสดงภาพ วีดีโอ หรือ ข้อมูลทางดิจิตอลต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่จ๊อบส์ เรียกมันว่า “ไลฟ์สไตล์แบบดิจิตอล” ซึ่งจะเป็นรากฐานที่สำคัญของ apple ในยุคต่อไป

apple นั้นจะไม่เป็นเพียงแค่บริษัทคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป โดยจ๊อบส์ ได้ตัดคำว่า คอมพิวเตอร์ ออกจากชื่อบริษัทด้วย โดยเครื่อง Mac นั้นจะผันตัวเองมาเป็นศูนย์กลางสำหรับอุปกรณ์ใหม่ ๆ อีกหลากหลาย รูปแบบ 

ให้ Mac เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อกับ อุปกรณ์ ดิจิตอลทั้งหลาย
ให้ Mac เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อกับ อุปกรณ์ ดิจิตอลทั้งหลาย

มันมีหลายสาเหตุ ที่ทำให้จ๊อบส์ นั้นสามารถมองเห็น และอ้าแขนรับยุคใหม่แห่งการปฏิวัติ ดิจิตัล ได้ดีกว่าคนอื่น ๆ จ๊อบมีทั้งส่วนประกอบของศิลปศาสตร์และเทคโนโลยี เขารักเสียงเพลง รูปภาพ วีดีโอ และยังรักคอมพิวเตอร์อีกด้วย

ซึ่งหัวใจของวิสัยทัศน์ใหม่ของจ๊อบส์ ในเรื่อง ดิจิตอลฮับ คือ การเป็นตัวเชื่อมความนิยมชมชอบที่เขามี กับ ความคิดสร้างสรรค์ทั้งทางศิลปะและงานวิศวกรรม ที่มีการหลอมรวมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด

ในตอนท้ายของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ทุก ๆ ครั้ง จ๊อบส์ จะฉายสไลด์ เป็นรูปจุดที่มีการบรรจบระหว่างความเป็น “ศิลปศาสตร์” กับ “เทคโนโลยี” และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงคิดเรื่องดิจิตอลฮับได้ก่อนใครเพื่อน และเขาจะกำลังจะนำพา apple ก้าวไปยังจุดนั้นให้ได้

และด้วยความที่จ๊อบส์ นั้นเป็นคนที่รักในความสมบูรณ์แบบ เขาจึงรู้ว่า ต้องมีการบูรณาการทุกแง่มุมของผลิตภัณฑ์ เข้าด้วยกัน ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ คอนเทนต์ และ การตลาด ซึ่งจะทำให้ apple เป็นฝ่ายได้เปรียบ ในโลกยุค ดิจิตอลฮับ เพราะ เขาสามารถ control ทุกอย่างได้ใน ecosystem ของเขา ข้อมูล หรือ คอนเทนต์ ในอุปกรณ์พกพาต่าง ๆ จะถูกควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ของ apple ได้อย่างแนบเนียนแบบไม่สะดุด

ซึ่งตอนนี้ มันถึงเวลาแล้ว ที่เขาจะต้อง ทุ่มเทหมดหน้าตัก กับวิสัยทัศน์ใหม่ดังกล่าว ฟองสบู่ดอตคอมที่แตกไป ทำให้บริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ต้องเริ่มระมัดระวังในเรื่องการลงทุนกับผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ซึ่งนี่เป็นช่องว่างที่สำคัญ ที่จะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสของบริษัทอย่าง apple

เน้นทุ่มเทให้กับงานวิจัยและพัฒนา ในช่วงวิกฤต เพื่อฉีกหนีคู่แข่ง
เน้นทุ่มเทให้กับงานวิจัยและพัฒนา ในช่วงวิกฤต เพื่อฉีกหนีคู่แข่ง

จ๊อบส์ จึงตัดสินใจที่จะใช้วิธีลงทุนตลอดระยะเวลาที่เศรษฐกิจกำลังตกต่ำในขณะนั้น  ในช่วงเวลาที่คู่แข่งต่าง ๆ กำลังเก็บตัวเงียบ เขาได้ทุ่มเงินให้กับงบในการวิจัย และพัฒนา ประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมา และเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นมา apple ก็จะนำหน้าคู่แข่งไปไกลทันที ซึ่งจะเป็นที่มาของทศวรรษอันยิ่งใหญ่แห่งนวัตกรรมที่ยั่งยืนที่สุดของบริษัท apple ในยุคใหม่

ต้องบอกว่า มันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมากจริง ๆ สำหรับ apple ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ กำลังชะลอการลงทุนในผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มันเป็นช่องว่างที่สำคัญ ที่จะทำให้ apple กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และ นั่นเป็นที่มาของการสร้างนวัตกรรม ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของความยิ่งใหญ่ของ apple ที่จะเกิดขึ้นในยุคหลังจากนั้น เพราะจ๊อบส์กำลังที่จะสร้าง อุปกรณ์เล่นเพลงแบบพกพา ที่ตอนนั้นแทบทุกยี่ห้อล้วนมีปัญหาใช้งานยาก และมี user interface ที่ซับซ้อน  แล้วจ๊อบส์นั้น จะสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาได้อย่างไร วิสัยทัศน์ เรื่อง ดิจิตอลฮับนั้น จะเปลี่ยนแปลง apple ไปได้แค่ไหน โปรดติดตามตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 6 : The Magical Port

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง iPod ตอนที่ 4 : Crazy Jobs

ไม่มีใครสงสัยในเรื่องที่จ๊อบส์ เป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ และ มีวิสัยทัศน์ ซึ่ง จ๊อบส์นั้นได้แสดงคุณสมบัติเหล่านี้ให้เห็นอย่างชัดเจนตั้งแต่เขาคุม apple ในสมัยแรก แต่ปัญหาหลักของจ๊อบส์ น่าจะอยู่ที่การบริหารงานบริษัทมากกว่า การทะเลาะกับทีมงานไปทั่ว นิสัยเอาแต่ใจตัวเอง รวมถึง การดูถูก เหยีดหยาม แม้กระทั่งทีมงานตัวเอง หากทำอะไรไม่ดั่งใจของเขา นั้นเป็นสาเหตุสำคัญที่ ทำให้เขาถูกบีบออกจาก apple ในปี 1985

การกลับมาครั้งที่สองในรอบนี้ของจ๊อบส์นั้น เขาเติบโตขึ้นมาก ทั้งในเรื่องความคิด และ นิสัยส่วนตัว หลักการบริหารของ apple ในยุคใหม่ของเขามันเป็นคำสั้น ๆ แต่มี impact อย่างมหาศาลต่อ apple คือ คำว่า “โฟกัส”

ในการบริหาร apple รอบสองนี้ ยึกหลักใหญ่ที่สำคัญคือ
ในการบริหาร apple รอบสองนี้ ยึดหลักใหญ่ที่สำคัญคือ “โฟกัส”

เขาได้เริ่มตัดสายผลิตภัณฑ์ ที่ไม่จำเป็นทิ้ง ตัด function หรือ features ที่ไม่จำเป็นสำหรับระบบปฏิบัติการใหม่ของ apple ออกไป  ในเรื่องการผลิตนั้นเขาหันไปจ้างผู้ผลิตจากภายนอกให้ทำแทนทุกอย่าง ตั้งแต่แผงวงจร ไปจนถึง คอมพิวเตอร์ที่ประกอบเสร็จสมบูรณ์แล้ว 

เขาเพิ่มความเฮี้ยบ กับเหล่า ซัพพลายเออร์ทุกราย โดยให้มีวินัยอย่างเคร่งครัด ปรับการจัดการสินค้าคงคลังใหม่ทั้งหมด โดยเมื่อถึงต้นปี 1998 นั้น จ๊อบส์ นั้นสามารถลดปริมาณสินค้าคงคลังให้ลดลงเหลือเพียงครึ่งนึงจากเดิม ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นต้นทุนแฝง ที่สูญเงินเปล่าของ apple แทบจะทั้งสิ้น และเพียงไม่นานก็ส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัททันที โดยมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 500 ล้านเหรียญ จากการจัดการเรื่องดังกล่าวทั้งหมด

เรียกได้ว่าการกลับมารอบใหม่ของจ๊อบส์ นั้น เค้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มีเพียงนิสัยเดิม ๆ บางอย่างที่ยังคงเหลืออยู่บ้าง แต่ อยู่ในหลักการหลักที่จ๊อบส์ยึดมั่นไว้เสมอในการบริหารงาน apple รอบนี้ คือ การ โฟกัส กับสิ่งที่ทำ

และด้วยการทำงานอย่างบ้าคลั่งของ จ๊อบส์ นั้นทำให้ผู้บริหารหลาย ๆ รายเริ่มจะทนความกดดันไว้ไม่ไหว หลังจากจ๊อบส์ บริหารงานได้ 3 เดือน ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของ apple ก็ต้องขอลาออก และเป็นเวลาเกือบปีที่จ๊อบส์ นั้นต้องลงมาดูงานปฏิบัติการทั้งหมดด้วยตัวเอง เพราะผู้สมัครในตำแหน่งนี้ทุกคนที่เขาสัมภาษณ์ นั้น ยังไม่ถูกใจเขา เขาอยากได้คนที่สามารถสร้างระบบโรงงานซัพพลายเชนแบบทันท่วงที หรือ (just-in-time-JIT) อย่างที่ ไมเคิล เดลล์ เคยทำได้มาแล้ว

Tim Cook

และในที่สุดปี 1998 จ๊อบส์ ก็ได้เจอกับ ทิม คุก ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อและซัพพลายเชนของ Compaq Computers ซึ่งในขณะนั้น เป็นหนุ่มโสด วัย 37 ปี  คุก นั้นตกหลุมเสน่ห์ของจ๊อบทันทีเมื่อได้สัมภาษณ์งานกับจ๊อบ เขาใช้เวลาเพียง 5 นาที ในการตัดสินใจมาร่วมงานกับจ๊อบส์ ซึ่งการร่วมงานกับ apple นั้นเป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่จะได้ทำงานกับ อัจฉริยะด้านความคิดสร้างสรรค์อย่าง จ๊อบส์

บทบาทหลักของ คุก ที่ apple คือการนำสิ่งที่จ๊อบส์คิด มาลงมือปฏิบัติ การที่เขาเป็นหนุ่มโสด ทำให้เขาสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ เขาตื่นตีสี่ครึ่งในทุกวัน ออกกำลังกายเสร็จ เขาก็จะเข้ามาที่ office ของ apple ในเวลาหกโมงเศษ

การได้จิ๊กซอว์ ชิ้นสำคัญอย่าง คุก มานั้น ทำให้ apple สามารถลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมหาศาล คุกนั้นได้ลดจำนวนซัพพลายเออร์รายสำคัญของ apple จาก 100 รายให้เหลือเพียง 24 ราย เขาได้เกลี้ยกล่อมให้ซัพพลายเออร์หลายราย ย้ายโรงงานมาอยู่ใกล้ ๆ โรงงานของ apple

ทิม คุก คือ keyman คนสำคัญที่ จ๊อบส์ ไว้ใจมากที่สุด
ทิม คุก คือ keyman คนสำคัญที่ จ๊อบส์ ไว้ใจมากที่สุด

สิ่งที่จ๊อบส์ทำได้คือ เคยลดสินค้าคงคลังจากเดิมที่มีปริมาณเท่ากับ 2 เดือน ให้เหลือเพียงเดือนเดียวได้ในปี 1998 แต่ คุก นั้นสามารถทำให้ จ๊อบส์ เซอร์ไพรซ์อย่างมาก ด้วยการทำให้มันลดเหลือเพียงแค่ 2 วัน ซึ่งนับว่าน่าทึ่งมาก และเขายังสามารถที่จะลดระยะเวลาในการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ของ apple แต่ละเครื่องลงจาก 4 เดือน เหลือเพียงแค่ 2 เดือน ซึ่งทั้งหมดนี้นอกจากจะช่วยประหยัดเงินแล้วนั้น ยังทำให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องได้ใช้ชิ้นส่วนล่าสุดที่มีอยู่ในท้องตลาดอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างตลาดคอมพิวเตอร์

และที่สำคัญนั้น ทิม คุก นั้นเป็นคนเดียวที่รู้ว่า จ๊อบส์ ต้องการอะไร มีวิสัยทัศน์ ในด้านการผลิตแบบเดียวกับจ๊อบส์ และสามารถคุยสื่อสารเรื่องยุทธศาสตร์ระดังสูงได้ ทำให้ คุก กลายมาเป็นคนที่ จ๊อบส์ ไว้ใจมากที่สุด

Presenter ระดับเซียน

หนึ่งใน skill ที่สำคัญที่สุดอย่างนึงของจ๊อบส์ คือ เขากลายเป็นพรีเซ็นเตอร์ระดับเซียน ซึ่งไม่มีผู้นำคนใด แม้กระทั้งบริษัทใหญ่ ๆ ในอเมริกา เองก็ตามที สามารททำได้อย่างที่เขาทำ

การนำเสนอของจ๊อบส์แต่ละครั้งนั้น มันเหมือนมีมนต์สะกด ให้กับผู้ฟัง คอยจดจ่อกับการบรรยาย สรรพคุณ หรือ ผลิตภัณฑ์ของ จ๊อบส์ และเขาเริ่มจะเก็บทุกอย่างไว้เป็นความลับไม่ให้แพร่งพรายออกไปถึงมือสื่อ ก่อน การพรีเซ็นต์ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ apple

skill ที่สำคัญคือ การ present บนเวทีของ จ๊อบส์
การนำเสนอของจ๊อบส์แต่ละครั้งนั้น มันเหมือนมีมนต์สะกดต่อผู้ฟังให้คล้อยตาม

ซึ่งงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่แต่ละครั้งนั้น จ๊อบ และทีมงานต้องเตรียมการอย่างละเอียด จ๊อบส์ นั้นจะเขียนคำบรรยายสไลด์และประเด็นที่จะพูดด้วยตัวเองทั้งหมด และซ้อมการพรีเซ็นต์อย่างหนัก ก่อนที่จะขึ้นเวทีจริง

และการสาธิตผลิตภัณฑ์แต่ละครั้ง นั้น จะใช้เพียงเวทีที่ปล่อยโล่ง มีของประกอบฉาก เพียงไม่กี่ชิ้นเพียงเท่านั้น ซึ่งมันเป็นการสะท้อนถึงอัตลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ apple เป็นอย่างดี เพราะมันเป็นความเรียบง่าย แต่ลึกลงไปนั้น มันคือความเหนือชั้นอย่างแท้จริง

การกลับมาในครั้งนี้ของจ๊อบส์ นั้น มันกำลังเปลี่ยน apple ไปอย่างสิ้นเชิง เขามาพร้อมกับไฟที่เต็มเปี่ยม ทั้งประสบการณ์จากความพลาดพลั้งที่ผ่านมา มันเป็นบทเรียนให้จ๊อบส์ จะไม่ทำพลาดอีกในคำรบที่สอง ครั้งนี้ จ๊อบ ได้รวบรวม ทีมงานที่มีคุณภาพในทุกด้าน

สุดยอดทีมงานคุณภาพของจ๊อบส์
สุดยอดทีมงานคุณภาพของจ๊อบส์

ทุกคนเป็นคนที่จ๊อบส์ คัดเลือกมากับมือ ที่พร้อมจะพา apple ทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่กลัวใครอีกต่อไปแล้ว จ๊อบส์ กำลังจะเปลี่ยนโลกอีกครั้ง และครั้งนี้ มันจะยิ่งใหญ่กว่าเดิมอย่างแน่นอน โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปเด็ดขาด 

–> อ่านตอนที่ 5 : Digital Hub

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ทีเด็ด Apple ปีนี้อยู่ที่ Electrocardiogram

ต้องบอกว่าเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ไม่ได้มานั่งฟัง Live สดการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ Apple เพราะ โดยส่วนตัวก็ห่างจากผลิตภัณฑ์จาก Apple มาค่อนข้างนานแล้ว

ปีนี้จึงเป็นปีแรกในรอบหลาย ๆ ปีที่มีโอกาสได้ดู Live ของงาน Apple Event ต้องบอกว่าไม่มีอะไรเซอร์ไพรซ์ จากข่าวหลุดที่ออกมาก่อนหน้านี้เลย ทั้งชื่อรุ่น รูปแบบของ Iphone รวมถึง Spec ต่าง ๆ ที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ ต้องบอกว่า Apple ลดมนสเน่ห์ของงานนี้ลงไปมาก จากการที่ไม่สามารถจัดการข่าวที่หลุดออกไปได้ก่อนหน้า

ถ้าพูดถึงผลิตภัณฑ์เด่น ที่เปิดตัว อย่าง Iphone XS นั้น ต้องบอกว่าโดยส่วนตัวแล้ว ถือว่าน่าผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง แทบจะไม่มีอะไรว้าว ให้น่ากล่าวถึงเลยด้วยซ้ำ มีเพียงแค่การเล่นกับเรื่องเดิม ๆ ทั้งเรื่อง spec ที่เพิ่มในแบบ xเท่า ของชิ้นส่วนต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องปรกติของการ Present ของ Apple ไปเสียแล้ว

รวมถึงการอัด Spec ต่าง ๆ นาๆ ทั้ง 6 CPU เอย  4 GPU เอย ต้องบอกว่า การทำงานนั้น User ทั่วไปแทบจะมองไม่เห็นความแตกต่างอยู่แล้ว คือ Spec ในตอนนี้นั้น ต้องบอกว่า สามารถไปใช้งานเป็น Server ได้แล้วด้วยซ้ำ มันไม่ใช่ แค่สำหรับ End User ใช้งานมือถือ เท่านั้น ต้องบอกว่าเรื่อง Spec นั้นไม่ได้เป็นจุดเด่นของแต่ละเจ้าอีกต่อไป เมื่อทุกเจ้า สามารถอัดมาได้เหมือนกันหมด จึงแทบไม่เห็นความแตกต่าง ของ Android รุ่นท็อป กับ Apple รุ่นท๊อป อีกต่อไป

พระเอกของงานตัวจริง

ต้องบอกว่า แทบจะไม่มีข่าวหลุดมาเลยสำหรับตัว AppleWatch Series 4 ที่ apple ได้เปิดตัวในปีนี้  ซึ่งทำให้โดยส่วนตัวนั้น เริ่มอยากจะหามาใช้บ้างแล้ว หลังจากไม่เคยชายตามองเลยสำหรับ Apple Watch

ข้อมูลที่เหลือเชื่อมาก  ๆ คือ apple watch นั้นเป็นนาฬิกาที่ขายดีที่สุดในโลกไปแล้วในตอนนี้  ซึ่งไม่ใช่แค่ Smart Watch เท่านั้น แต่ apple ได้ส่วนแบ่งการตลาดของวงการนาฬิกาแบบดั้งเดิมไปได้มากที่สุดไปแล้ว ซึ่งตอนเปิดตัวมาตอนแรก ไม่คิดว่า apple watch จะเดินมาได้ไกลถึงขนาดนี้

ต้องยอมรับว่า apple ทำการตลาดในเรื่อง apple watch มาอย่างดี เน้นไปในเรื่องสุขภาพอย่างเห็นได้ชัด โดยอัดเซ็นเซอร์ต่าง ๆ เข้าไปมากมายให้กับผู้ใช้ ได้วัดค่าต่าง ๆ ของร่างกายได้ง่ายยิ่งขึ้น จึงกลายเป็นตลาดขนาดใหญ่ตลาดใหม่ของ apple ซึ่งก็ต้องถือว่า apple watch นั้นเป็นผลงานชิ้นแรก ของ ทิม คุ๊ก หลังจากการจากไปของ สตีฟ จ๊อป ที่สามารถประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ โดยไม่อยู่ใต้เงาของผลิตภัณฑ์ที่ สตีฟ จ๊อบ เป็นผู้สร้างมา

Electrocardiogram กับก้าวที่สำคัญของ Apple Watch

ต้องบอกว่าสิ่งที่ เซอไพรซ์ที่สุดของงานปีนี้ น่าจะเป็น เซ็นเซอร์ ตัวใหม่ของ Apple Watch ซึ่งเรียกว่า Electrocardiogram หรือในศัพท์ทางการแพทย์จริง ๆ ก็คือ การวัด ECG ที่เราใช้ตรวจคลื่นหัวใจเพื่อวัดความผิดปรกติของหัวใจ

ต้องบอกว่า มีผู้คนมากมาย ในโลกนี้ ต้องจบชีวิต ไปอย่างฉับพลัน ด้วยโรคหัวใจ บางคนต้องเสียหัวหน้าครอบครัว สูญเสียคนที่ตัวเองรัก ไปแบบฉับพลัน จากโรคหัวใจ ซึ่งต้องบอกว่าจากความเปลี่ยนแปลงของโลกเราในยุคปัจจุบัน ทั้งเรื่องรูปแบบการกิน รวมถึง รูปแบบการใช้ชีวิต ทำให้คนในรุ่นใหม่ ๆ มีความเสี่ยงกับเรื่องโรคหัวใจมากยิ่งขึ้น

การที่ apple เข้ามาเจาะในตลาด Healthcare อย่างเต็มตัว รวมถึงการเพิ่มความสามารถในส่วนการวัดค่า ECG ได้ หากอย่างที่ Apple โฆษณาจริง ๆ ต้องบอกว่า เป็น Features ที่ปฏิวัติ วงการเลยก็ว่าได้ ให้คนทั่วไปสามารถ คอยมอนิเตอร์ การเปลี่ยนแปลงของคลื่นหัวใจได้ และการทำงานร่วมกับ Apple Watch ก็สามารถทำให้ส่งสัญญาณเตือนให้กับผู้ใช้ได้ โดยหากยิ่งเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจอยู่แล้ว ถือว่าเป็นนวัตกรรมที่ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหัวใจได้อย่างมาก

และไม่ใช่แค่ผู้ป่วยเท่านั้น ที่สนใจที่จะซื้อ apple watch เพราะบรรดาลูกหลานต่าง ๆ ที่เป็นห่วงคุณพ่อ คุณแม่ หรือ คนเฒ่า คนแก่ ก็สามารถที่จะซื้อ apple watch เพื่อคอย มอนิเตอร์ ข้อมูลด้านสุขภาพของคนที่เค้ารักเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ซึ่งจากในงานนั้น ได้มี หมอด้านหัวใจ ออกมารับรองคุณภาพของตัวเซ็นเซอร์ตัวใหม่นี้ ซึ่งคิดว่า apple คงได้ทำการทดสอบมาอย่างดีแล้ว และทีสำคัญ ได้รับการรับรองจาก FDA ของสหรัฐอเมริกา เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย ซึ่งคิดว่า เมื่อมีการวางขายอย่างเป็นทางการของ Apple Watch Series 4 แล้วนั้น คงทำให้รายได้ของ apple เติบโตไปอีกก้าวอย่างแน่นอน ไม่ได้พึ่งเพียงแค่ผลิตภัณฑ์หลักอย่าง Iphone เหมือนเดิมอีกต่อไป

 

References : apple.com