Gulf จับมือ Binance ปะทะ SCB จับมือ Bitkub กับตาอยู่ที่ชื่อ Thai Digital Assets Exchange (TDX)

ต้องเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตลาดที่กำลังแดงเดือดเลยทีเดียวสำหรับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล ที่ตอนนี้ข่าวล่าสุดที่ Binance ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้จับมือกับบริษัท Gulf Energy Development ประเทศไทย

โดย Gulf ได้มีการเปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ว่าข้อตกลงกับ Binance นั้นเป็นการตอบสนองต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วของโครงสร้างพื้นฐานด้านสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ซึ่งสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กรับระบบการเงินของประเทศ

Binance กล่าวว่าจะจัดตั้งแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน crypto และธุรกิจที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย

“เป้าหมายของเราคือการทำงานร่วมกับรัฐบาล หน่วยงานกำกับดูแล และบริษัทที่มีนวัตกรรมเพื่อพัฒนาระบบนิเวศคริปโตและบล็อคเชนในประเทศไทย” โฆษกของ Binance กล่าว

Binance กับเส้นทางในการถูกควบคุม และการบุกไปทั่วโลก

ในการให้สัมภาษณ์กับ CNBC Zhao กล่าวว่าเขาเต็มใจที่จะก้าวลงจากตำแหน่ง CEO เนื่องจากบริษัทพยายามที่จะกลายเป็นสถาบันการเงินที่มีการควบคุมมากขึ้น

ในขณะที่เขาไม่มีแผนที่จะยกเลิกบทบาทของเขาในทันที เขาเปิดเผยว่า Binance มีแผนในการสืบทอดตำแหน่งของเขาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เรากำลังจะเปลี่ยนเป็นสถาบันการเงินที่มีการควบคุมอย่างเต็มที่ในอนาคต” Zhao กล่าว พร้อมเสริมว่าเขาจะ “เปิดกว้างมาก” ในการหา CEO ทดแทนที่มีประสบการณ์ด้านการกำกับดูแลมากขึ้นในระหว่างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้น

การวางแผนฉุกเฉินของ CEO เริ่มต้นในวันที่ 0 เช่นเดียวกับบทบาทอื่นๆ Zhao รู้สึกว่าซีอีโอไม่ควรอยู่เกินสิบปี เราอาศัยอยู่ในโลกที่มีพลวัต เราต้องการความคิดใหม่ แม้กระทั่งตำแหน่งประธานาธิบดีก็ทำหน้าที่เพียงแค่สี่ปีเท่านั้น

“ผมไม่จำเป็นต้องเป็น CEO และผมจะไม่จากไป ผมจะหาวิธีที่จะช่วยเหลือชุมชนที่อยู่เบื้องหลังรอยสักโลโก้ที่ปลายแขนของผมเสมอ ผมภูมิใจที่ได้เป็นสมาชิกของระบบนิเวศ #binance ให้มันเติบโตต่อไป– Zhao Changpeng ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Binance กล่าวในกระทู้ผ่านทาง Twitter

สำหรับตอนนี้ Binance ตั้งเป้าที่จะตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคหลายแห่งทั่วโลก และจะขอใบอนุญาตทุกที่ที่มี

ล่าสุด Binance ยังได้ประกาศว่าพวกเขากำลังเริ่มว่าจ้างเพื่อเพิ่มทีมการปฏิบัติตามกฎระเบียบเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับบริษัท 1,600 ถึง 1,700 ตำแหน่ง Zhao เน้นว่าความสำคัญสูงสุดของเขาคือการจ้างผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อบังคับ

Binance ยังเพิ่มการจ้างงานในสิงคโปร์ด้วยตำแหน่งงานว่างมากกว่า 50 ตำแหน่ง ตั้งแต่การพัฒนาธุรกิจ การเงิน และการดำเนินงาน

“เรามีเงินสดเพียงพอ ดังนั้นเราจึงสามารถเติบโตได้ด้วยตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเรามีผลกำไรและเรามีการเจริญเติบโตที่ดีเพียงพอ” Zhao กล่าว

Gulf จับมือ Binance ปะทะ SCB จับมือ Bitkub

ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากนะครับ สำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศไทยทั้ง Gulf เอง หรือ SCB ที่เข้ามาลุยในตลาดนี้แบบเต็มตัว แต่การจับมือกับ Binance ของ Gulf นั้นต้องบอกว่ามีความได้เปรียบอย่างมากในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยี

Binance เองนั้นแทบจะเป็นเบอร์หนึ่งของโลกแล้วสำหรับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล มีการให้บริการไปทั่วโลก และผ่านการทดสอบมามาก ด้วยจำนวนผู้ใช้งานมหาศาลจากทั่วโลก ซึ่งถ้าเทียบในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีหลังบ้าน Binance ก็ยังได้เปรียบอยู่มากหากจะเข้ามาเจาะตลาดไทยจริง ๆ

แต่แน่นอนว่าแพลตฟอร์มของไทยทั้ง Bitkub หรือแม้กระทั่ง Zipmex ที่ตอนนี้เรียกได้ว่า ขับรถไปถนนเส้นไหนในกรุงเทพฯ เราก็จะเห็นป้ายโฆษณาแพลตฟอร์มเหล่านี้แทบจะทุกพื้นที่ไปเสียแล้ว มันเป็นการสร้าง brand awareness อย่างต่อเนื่องของแพลตฟอร์มของไทย

แต่การจับมือกับ Gulf ของ Binance นั้นหากรุกตลาดแบบจริง ๆ จัง ๆ เงินทุนในการทำ marketing คงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้การต่อสู้กันเพื่อแย่งฐานลูกค้าสนุกมากขึ้นอย่างแน่อน ไม่ถูกผูกขาดเหมือนในปัจจุบัน

ตาอยู่ที่ชื่อ Thai Digital Assets Exchange (TDX)

เมื่อคนรุ่นใหม่มุ่งหน้าสู่สินทรัพย์ดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะเมินสินทรัพย์เดิม ๆ อย่างตลาดหุ้นไปเลยด้วยซ้ำ แถม ยักษ์ใหญ่ของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนก็มีความชัดเจนว่าจะยอมรับในการถูกควบคุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะสามารถเข้าสู่ตลาดขนาดใหญ่มาก ๆ จากคน Generation อื่นๆ ที่เริ่มหันมาสนใจสินทรัพย์ดิจิทัลมากยิ่งขึ้น และแน่นอนว่าเงินทุนก็ต้องถูกถ่ายเทมาจากตลาดเดิมอย่างตลาดหุ้นนั่นเอง

ซึ่งทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกประกาศบนเว็บไซต์ SET ว่ากำลังเตรียมพัฒนา ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (Thai Digital Assets Exchange: TDX) เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ เชื่อมต่อการซื้อขายจากสินทรัพย์ในปัจจุบันไปสู่สินทรัพย์ดิจิทัล โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการภายในไตรมาส 3 ที่กำลังจะถึง

ดูเหมือนว่าหุ้นมันจะไม่ cool สำหรับคนรุ่นใหม่อีกต่อไป ซึ่ง อาจส่งผลต่อรายได้ของตลาดหลักทรัพย์ในอนาคตอย่างแน่นอนหากไม่ทำอะไรเลย ซึ่งการสร้างแพลตฟอร์มขึ้นมาสู้ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับคนไทย และทำให้การแข่งขันสนุกขึ้นอย่างแน่นอน

บทสรุป

ตลาดแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนเข้าสู่ตลาดแดงเดือด ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อผู้บริโภคอย่างคนไทยแน่นอน เพราะมีทางเลือกเพิ่มขึ้น และการแข่งขันก็จะสูงขึ้น จะเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย เหมือนที่เกิดขึ้นในตลาดที่แข่งขันสูงในตลาดอื่นๆ ตัวอย่างที่ชัดเจนเช่นใน วงการ ecommerce

เราคงไม่เห็นภาพการผูกขาดจำนวนผู้ใช้ระดับ 90% ++ เหมือนเดิมอีกต่อไปอย่างแน่นอน เมื่อทุกแพลตฟอร์มต้องแข่งขันกันมากขึ้น เม็ดเงินที่เข้าสู่วงการนี้ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และคนที่ได้ประโยชน์ที่แท้จริงก็คือผู้บริโภคอย่างพวกเรานั่นเองครับผม

References : https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-01-17/binance-ties-up-with-bangkok-billionaire-on-thai-crypto-exchange
https://www.reuters.com/technology/gulf-energy-binance-announce-thailand-crypto-partnership-2022-01-17/
https://www.forbes.com/sites/jonathanburgos/2021/09/06/crypto-billionaire-changpeng-zhao-to-cease-some-binance-services-in-singapore-amid-regulatory-scrutiny/
https://infomediang.com/changpeng-zhao-binance-founder/
https://en.wikipedia.org/wiki/Changpeng_Zhao
https://vulcanpost.com/757584/zhao-changpeng-binance-ceo-22nd-richest-man-singapore/
https://coinmarketcap.com/currencies/binance-coin/
https://www.forbes.com/sites/pamelaambler/2018/02/07/changpeng-zhao-binance-exchange-crypto-cryptocurrency/

Ryvval กับ Crypto Startup ที่ทำให้คุณสามารถระดมทุนในการต่อสู้คดีของผู้อื่น

บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีรายใหม่วางแผนที่จะวางตัวเป็น “ตลาดหุ้นของการจัดหาเงินทุนเพื่อการดำเนินคดี” โดยอนุญาตให้ชาวอเมริกันเดิมพันคดีแพ่งผ่านการซื้อโทเค็น ซึ่งบริษัทหวังที่จะให้เงินทุนแก่บุคคลที่ไม่สามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้

สตาร์ทอัพที่มีชื่อว่า Ryvval กำลังสร้างโลกแห่งการระดมทุนในการดำเนินคดีเพื่อต่อกรกับระบบศาลของสหรัฐฯ ในลักษณะที่จะเป็นประโยชน์ต่อลูกความและนักลงทุน

กระบวนการระดมทุนในการดำเนินคดีเป็นวิธีสำหรับคนที่มีเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ไม่มีเงินทุนในการฟ้องร้อง และในทางกลับกัน พวกเขาจะได้รับส่วนแบ่งจากการชนะคดีที่อาจเกิดขึ้น

อุตสาหกรรม cypto ที่เฟื่องฟู ได้สร้างการระดมทุนรูปแบบใหม่ในการดำเนินคดีโดยมีการเสนอคดีฟ้องร้องเบื้องต้น (Initial Litigation Offerings – ILO) ซึ่งใช้แนวคิด crypto โดยอนุญาตให้นักลงทุนรายย่อยค้นหาและให้ทุนกับเคสที่เกิดขึ้นต่าง ๆ บนบล็อคเชนได้

โดยมีการเปิดตัวในปลายปี 2020 บนบล็อคเชน Avalanche ซึ่ง ILO แรกอนุญาตให้ นักลงทุนซื้อ “โทเค็นการดำเนินคดี” ในเคสของ Apothio, LLC ซึ่งเป็นบริษัทผู้ปลูกกัญชาในแคลิฟอร์เนียที่ฟ้องมณฑลของตนที่ทำลายพืชผล 500 เอเคอร์ คดีนี้หยุดชะงักไปตั้งแต่ต้นปี 2021 แต่นั่นไม่ได้หยุดนักลงทุนจากการทุ่มเงินมากกว่า 330,000 ดอลลาร์ในคดีซึ่งสูงกว่าเป้าหมายการระดมทุน 250,000 ดอลลาร์

Ryvval ซึ่งก่อตั้งโดยทนายความ Kyle Roche ได้สร้างแนวคิดของ ILO ซึ่ง Roche ได้ทำการสร้างแพลตฟอร์มที่ช่วยให้บุคคลต่างๆ สามารถลงทุนในคดีในศาลของ ILO ได้

ในขณะที่ Roche กล่าวว่า “เป้าหมายของ Ryval คือการเข้าถึงความยุติธรรมในราคาที่ถูกกว่า” และเขาต้องการ “ทำให้ระบบศาลของรัฐบาลกลางสามารถเข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับทุกคน” 

ซึ่งข้อมูลจากเว็บไซต์ของ Ryvval อ้างว่านักลงทุนจะสามารถเข้าถึงระดับการลงทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เปิดให้สาธารณชนเข้ามาลงทุน

Roche กล่าวว่า ” นักลงทุนที่ได้รับการรับรองเท่านั้น (เช่น คนรวย นักธุรกิจ และหน่วยงานอื่นๆ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ถือว่ามีสิทธิ์ได้รับการยกเว้นด้านกฎระเบียบ) จะสามารถซื้อขายได้ทันที ในขณะที่คนกลุ่มอื่น ๆ ที่อยากจะลงทุนต้องรอไปอย่างน้อยอีก 1 ปี

น่าสังเกตว่าแพลตฟอร์ม Ryval นั้นยังไม่พร้อมใช้งานจริง แต่ผู้ร่วมก่อตั้งหวังว่าจะสามารถใช้งานได้ภายในสิ้นไตรมาสแรก จนถึงตอนนี้ ปรากฏว่า Apothio , LLC เป็น ILO เพียงเคสเดียวที่มีการซื้อขายต่อสาธารณะ แต่ Roche หวังว่าจะมีอีกห้าถึงสิบแห่งเมื่อถึงเวลาที่แพลตฟอร์มพร้อมและมีการเปิดแบบเต็มตัว

ต้องบอกว่า แนวคิดของ Ryval นั้นน่าสนใจ โอกาสที่นักลงทุนใจดีจะช่วยเหลือผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงเงินทุนที่ใช้ในการฟ้องบริษัทหรือรัฐบาลนั้นเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แนวคิดในการสร้างสิ่งจูงใจให้สอดคล้องกันระหว่างคนจนกับคนรวยนั้นก็ถือว่าส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่าย

บทสรุป

อ่านข่าวนี้แล้วต้องบอกว่า เป็นอีกหนึ่งสตาร์ทอัพ crypto ที่น่าสนใจมาก ๆ เลยทีเดียว ต้องบอกว่าปัญหาใหญ่ในการสร้างความยุติธรรมให้กับทุก ๆ คน ก็คือเงินทุน ยิ่งการต้องต่อสู้กับอำนาจรัฐ หรือ กลุ่มนายทุนใหญ่ ที่ต้องอาศัยเงินจำนวนมหาศาลในการทำคดีให้ชนะ

มันมีบทเรียนมากมายที่เกิดขึ้น จากความไม่เป็นธรรมเหล่านี้ แม้กระทั่งในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง ในสารคดีของ Netflix ก็มีการฉายภาพเรื่องราวเหล่านี้ ว่าเงินทุนมันสำคัญขนาดไหนในการต่อสู้คดี มันสามารถชี้ถูกเป็นผิด หรือ ผิดเป็นถูกได้เลย

การเกิดขึ้นของนวัตกรรมแบบนี้ถือว่าน่าสนใจนะครับ แต่อาจจะเกิดกับพวกคดีแพ่งที่สามารถเรียกร้องส่วนแบ่งได้ก่อน ซึ่งก็ถือเป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้ขัดสนอีกหลาย ๆ คน ที่จะกล้าลุกขึ้นมาทวงความยุติธรรมให้กับตนเองมากยิ่งขึ้นนั่นเองครับผม

References : https://www.unilad.co.uk/technology/tech-startup-wants-to-enable-people-to-bet-on-court-cases-with-crypto/
https://www.vice.com/en/article/v7d7x3/tech-startup-wants-to-gamify-the-us-court-system-using-crypto-tokens
https://futurism.com/crypto-startup-fund-lawsuits

Changpeng Zhao (CZ) จากศูนย์สู่มหาเศรษฐี Crypto ภายในหนึ่งปีกับการก่อตั้ง Binance

นับตั้งแต่มีการเสนอเหรียญ BNB ครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 2018 BNB โทเค็น ของ Binance ได้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นจากประมาณ 10 เซนต์เป็น 448 ดอลลาร์ ทำให้มีมูลค่าตลาด 74 พันล้านดอลลาร์ Zhao วัย 44 ปี ซึ่งสวมเสื้อฮู้ดสีดำ เหมือนกับที่ Mark Zuckerberg และ Steve Jobs ใส่ ได้กลายเป็นมหาเศรษฐี crypto ระดับแนวหน้า

ผู้ชายที่เอาแต่ใจ เขาได้ขายบ้านของเขาในเซี่ยงไฮ้ในปี 2014 เพื่อซื้อ Bitcoin ทั้งหมดแม้ว่า Zhao จะรวยด้วย crypto แต่เขาไม่มีรถยนต์ เรือยอทช์ หรือนาฬิกาหรูๆ ในทางกลับกัน เขามักจะใช้แล็ปท็อปอย่างฟุ่มเฟือย โดยส่วนใหญ่ที่เขาซื้อคือแล็ปท็อปครั้งละห้าหรือหกเครื่องเพียงเพราะเขา “ทำลายมันอย่างรวดเร็ว”

Zhao เกิดในมณฑลเจียงซูประเทศจีน พ่อแม่ของเขาทั้งคู่เป็นนักการศึกษา พ่อของเขาซึ่งเป็นศาสตราจารย์ ถูกตราหน้าว่าเป็น “ผู้มีปัญญาของชนชั้นนายทุน” และถูกเนรเทศชั่วคราวหลังจากเกิด Zhao ได้ไม่นาน 

ในที่สุดครอบครัวก็อพยพไปแวนคูเวอร์ แคนาดาในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ในช่วงวัยรุ่น Zhao ได้ช่วยค่าใช้จ่ายในครัวเรือน โดยทำงานที่ McDonald’s และทำงานกะข้ามคืนที่ปั๊มน้ำมัน

หลังจากศึกษาวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัย McGill ในเมืองมอนทรีออลแล้ว Zhao ใช้เวลาทั้งในโตเกียวและนิวยอร์ก ในการสร้างระบบสำหรับการจับคู่คำสั่งการค้าในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว

จากนั้นจึงได้ไปทำงานที่ Tradebook ของ Bloomberg ซึ่งเขาได้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับการซื้อขายล่วงหน้า แต่ถึงแม้หลังจากที่นักเขียนโค้ดวัย 27 ปีได้รับการเลื่อนตำแหน่งสามครั้งในเวลาน้อยกว่าสองปีให้คุมทีมในนิวเจอร์ซีย์ ลอนดอน และโตเกียว Zhao ก็เริ่มหมดความอดทน

ดังนั้นในปี 2005 เขาลาออกและย้ายไปเซี่ยงไฮ้เพื่อเริ่มต้นบริษัทระบบการค้าของตนเองชื่อ Fusion Systems

เริ่มต้นกับ Bitcoin

จากนั้นในปี 2013 Zhao ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ Bitcoin จาก Bobby Lee ซึ่งเป็น CEO ของ BTC China และนักลงทุนของเขาในเกมโป๊กเกอร์ 

Lee แนะนำให้เขาแปลง 10 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าสินทรัพย์ของเขาเป็น bitcoin โดยบอกว่ามีโอกาสสูงที่มันจะเติบโต 10 เท่า ซึ่งหมายความว่าโดยพื้นฐานแล้วหมายถึงการเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของเขาเป็นสองเท่า

นั่นทำให้เขาสนใจ แต่เนื่องจากไม่มีเนื้อหาด้านการศึกษาเกี่ยวกับ Bitcoin ในตอนนั้น เขาจึงค้นคว้าโดยดาวน์โหลดเอกสารออนไลน์และเข้าไปดูในฟอรัม bitcointalk.org ซึ่งจากภูมิหลังทางเทคโนโลยี เขาเข้าใจแนวคิดนี้ค่อนข้างเร็วและชอบแนวคิดของ Bitcoin เพราะมันไร้พรมแดนและดูแลโดยเครือข่าย

เขาเริ่มเข้าไปร่วมกับโครงการ crypto ที่โดดเด่น เขาเข้าร่วม Blockchain.info ในฐานะสมาชิกคนที่สามของทีมกระเป๋าเงินดิจิตอล 

ในฐานะหัวหน้าฝ่ายพัฒนาเป็นเวลาแปดเดือน เขาทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้เผยแพร่ลัทธิ Bitcoin ที่มีชื่อเสียงเช่น Roger Ver และ Ben Reeves เขายังทำงานที่ OKCoin ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีมาเป็นเกือบหนึ่งปี ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายแบบสปอตระหว่างคำสั่งและสินทรัพย์ดิจิทัล

Zhao ทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้เผยแพร่ลัทธิ Bitcoin ที่มีชื่อเสียงเช่น Roger Ver (CR:Finance Magnates)
Zhao ทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้เผยแพร่ลัทธิ Bitcoin ที่มีชื่อเสียงเช่น Roger Ver (CR:Finance Magnates)

ตลอดเวลานั้น Zhao กำลังคิดที่จะเริ่มต้นสร้างแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลของเขาเอง เขาคิดว่าหากไม่มีการเชื่อมต่อกับสถาบันการเงิน ความเสี่ยงและการเข้ามาแทรกแซงด้านกฎระเบียบที่ Roger Ver อดีตเพื่อนร่วมงานของเขาเตือนเขาจะลดลง

จนกระทั่งปี 2017 ICO บูมและปริมาณการซื้อขายเริ่มทะยานพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึงตัดสินใจครั้งสำคัญ เงินทุนจำนวน 15 ล้านดอลลาร์ที่เขาระดมทุนได้จากการขายโทเค็น 200 ล้านดอลลาร์ของ Binance เป็นทุนเริ่มต้นของเขาในการสร้างฝันครั้งใหม่

แพลตฟอร์ม Binance มีเหรียญ BNB ของตัวเอง ซึ่งผู้ใช้สามารถซื้อ ขาย และถือครองได้ ซึ่งวันนี้เป็นสกุลเงินดิจิตอลที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกโดยมีมูลค่าตลาดเกือบ 74 พันล้านดอลลาร์

โดย Binance อนุญาตให้ผู้ใช้แลกเปลี่ยนสกุลเงิน โดยเสนอทางเลือกที่หลากหลายสำหรับสกุลเงินดิจิทัลเพื่อการลงทุน Binance ยังมีกระเป๋าเงินดิจิตอลเข้ารหัสสำหรับผู้ค้า ซึ่งผู้ใช้สามารถจัดเก็บ ส่ง และรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ของพวกเขาได้

Zhao มักจะย้ายที่อยู่เสมอ ไล่มาตั้งแต่ดินแดนอาทิตย์อุทัย และจากนั้นไปยังไต้หวัน และได้มาลงเอยที่ฐานที่มั่นปัจจุบันที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ปริมาณการซื้อขายของ Binance ไม่ได้ถูกครอบงำโดยจีนอีกต่อไป 

ปี 2020 Binance มีรายรับมากกว่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐและมีมูลค่าการซื้อขายรวมถึง 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนเมษายน ปี 2019 Binance ยังได้เข้าซื้อ CoinMarketCap และเปิดตัวบัตรเดบิตสกุลเงินดิจิทัลของตนเอง

Binance กำลังเผชิญกับการตรวจสอบด้านกฎระเบียบ

แม้ว่า Binance จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่กฎระเบียบในจีนนั้นค่อนข้างขัดขวางความก้าวหน้าหลังจากที่รัฐบาลสั่งห้ามการซื้อขายในปี 2017 ซึ่ง Binance ตอบโต้ด้วยการย้ายไปต่างประเทศและขยายไปยังสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม Binance อยู่ภายใต้การตรวจสอบกฎระเบียบที่เข้มงวดเมื่อเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากทางการทั่วโลกพยายามที่จะปราบปรามอุตสาหกรรม crypto ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

ในสหราชอาณาจักร Financial Conduct Authority (FCA) ได้สั่งห้ามหน่วยงานอังกฤษของ Binance ไม่ให้ดำเนินกิจกรรมที่มีการควบคุมใดๆ ซึ่งจากข้อมูลของ FCA นั้น Binance เป็นหนึ่งในบริษัท crypto หลายแห่งที่ถอนใบสมัครออกจากระบบการออกใบอนุญาตชั่วคราวของสหราชอาณาจักรเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการต่อต้านการฟอกเงิน

Financial Conduct Authority (FCA) จากอังกฤษทำการแบน Binance (CR:The Crypto Times)
Financial Conduct Authority (FCA) จากอังกฤษทำการแบน Binance (CR:The Crypto Times)

หน่วยงานกำกับดูแลในญี่ปุ่น แคนาดา และอิตาลี ต่างก็กดดันบริษัทดังกล่าว โดยเตือนว่าบริษัทไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการในประเทศต่างๆ

หลังจากการถูกกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลจากประเทศต่าง ๆ หลายครั้ง Zhao ได้แสดงความตั้งใจที่จะร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลระดับโลกและ “ปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเต็มที่” เพื่อปกป้องผู้ใช้และอุตสาหกรรม crypto

“เราจำเป็นต้องเป็นสถาบันการเงินที่ได้รับใบอนุญาตทุกที่ที่เราดำเนินการ” Zhao กล่าวระหว่างการแถลงข่าวที่จัดขึ้นในเดือนกรกฎาคมเมื่อปีที่ผ่านมา

เขาเสริมว่าหากหน่วยงานกำกับดูแลคาดหวังว่า Binance จะมีสำนักงานใหญ่ Binance จะจัดตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งจะทำให้พวกเขามีโครงสร้างบริษัทที่สามารถเข้าใจได้ง่าย

แล้ว Binance จะเป็นอย่างไรต่อไป?

ในการให้สัมภาษณ์กับ CNBC Zhao ยังกล่าวอีกว่าเขาเต็มใจที่จะก้าวลงจากตำแหน่ง CEO เนื่องจากบริษัทพยายามที่จะกลายเป็นสถาบันการเงินที่มีการควบคุม

ในขณะที่เขาไม่มีแผนที่จะยกเลิกบทบาทของเขาในทันที เขาเปิดเผยว่า Binance มีแผนในการสืบทอดตำแหน่งของเขาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เรากำลังจะเปลี่ยนเป็นสถาบันการเงินที่มีการควบคุมอย่างเต็มที่ในอนาคต” Zhao กล่าว พร้อมเสริมว่าเขาจะ “เปิดกว้างมาก” ในการหา CEO ทดแทนที่มีประสบการณ์ด้านการกำกับดูแลมากขึ้นในระหว่างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้น

การวางแผนฉุกเฉินของ CEO เริ่มต้นในวันที่ 0 เช่นเดียวกับบทบาทอื่นๆ Zhao รู้สึกว่าซีอีโอไม่ควรอยู่เกินสิบปี เราอาศัยอยู่ในโลกที่มีพลวัต เราต้องการความคิดใหม่ แม้กระทั่งตำแหน่งประธานาธิบดีก็ทำหน้าที่เพียงแค่สี่ปีเท่านั้น

“ผมไม่จำเป็นต้องเป็น CEO และผมจะไม่จากไป ผมจะหาวิธีที่จะช่วยเหลือชุมชนที่อยู่เบื้องหลังรอยสักโลโก้ที่ปลายแขนของผมเสมอ ผมภูมิใจที่ได้เป็นสมาชิกของระบบนิเวศ #binance ให้มันเติบโตต่อไป– Zhao Changpeng ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Binance กล่าวในกระทู้ผ่านทาง Twitter

สำหรับตอนนี้ Binance ตั้งเป้าที่จะตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคหลายแห่งทั่วโลก และจะขอใบอนุญาตทุกที่ที่มี

ล่าสุด Binance ยังได้ประกาศว่าพวกเขากำลังเริ่มว่าจ้างเพื่อเพิ่มทีมการปฏิบัติตามกฎระเบียบเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับบริษัท 1,600 ถึง 1,700 ตำแหน่ง Zhao เน้นว่าความสำคัญสูงสุดของเขาคือการจ้างผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อบังคับ

Binance ยังเพิ่มการจ้างงานในสิงคโปร์ด้วยตำแหน่งงานว่างมากกว่า 50 ตำแหน่ง ตั้งแต่การพัฒนาธุรกิจ การเงิน และการดำเนินงาน

“เรามีเงินสดเพียงพอ ดังนั้นเราจึงสามารถเติบโตได้ด้วยตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเรามีผลกำไรและเรามีการเจริญเติบโตที่ดีเพียงพอ” Zhao กล่าว

บทสรุป

จากเรื่องราวของ Binance เราจะเห็นได้ว่า เทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนขนาดใหญ่อย่าง Binance นั่นก็คือการที่ต้องตกอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐของแต่ละประเทศ

ตัวอย่างในประเทศไทยเอง เราก็มีปัญหามากมายกับการควบคุม ตัวอย่างล่าสุดก็คงเป็นเรื่องภาษี ซึ่งมีหลายคนที่ให้ความเห็นว่าจะหนีจากแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนของไทยไปที่ Binance

แต่ถ้าดูจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การหนีออกไปก็ไม่ใช่ทางออกระยะยาวเลยซะทีเดียว เพราะดูเหมือนว่าสุดท้ายทุกแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยน หากคิดจะเติบโตระยะยาวได้ และสามารถสร้างฐานลูกค้าจำนวนมหาศาลได้อีกมากมาย สุดท้ายพวกเขาก็ต้องโค้งคำนับให้กับหน่วยงานด้านกำกับดูแลในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

** ตัวเลขราคา มูลค่าต่าง ๆ อัพเดท ณ วันที่ 07/01/2022 **

References : https://www.forbes.com/sites/jonathanburgos/2021/09/06/crypto-billionaire-changpeng-zhao-to-cease-some-binance-services-in-singapore-amid-regulatory-scrutiny/
https://infomediang.com/changpeng-zhao-binance-founder/
https://en.wikipedia.org/wiki/Changpeng_Zhao
https://vulcanpost.com/757584/zhao-changpeng-binance-ceo-22nd-richest-man-singapore/
https://coinmarketcap.com/currencies/binance-coin/
https://www.forbes.com/sites/pamelaambler/2018/02/07/changpeng-zhao-binance-exchange-crypto-cryptocurrency/