ประวัติ Bill Gates ตอนที่ 1 : A Revolution Begins

เรื่องราวมันก็เหมือนกับเด็กอัจฉริยะทางคอมพิวเตอร์ทั่วโลกที่เกมส์นั้นเป็นจุดดึงดูดพวกเขาให้เข้ามาสู่โลกของคอมพิวเตอร์ ซึ่งเด็กน้อยที่ชื่อ Bill Gates ก็เช่นเดียวกัน ในวัยเพียง 13 ขวบนั้น เขาก็ได้เริ่มเขียนโปรแกรมตัวแรกขึ้นมานั่นก็คือ Tic-Tac-Toe มันคือเกมส์ O-X ที่เราเล่นกันนั่นเอง

และเมื่อย้อนกลับไปในช่วงวัยดังกล่าวของ Bill Gates นั้นก็ต้องบอกว่าคอมพิวเตอร์ในสมัยนั้นยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ยังไม่มีใช้งานกันเลย ตอนนั้นเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ และที่สำคัญมันยังประมวลผลได้ช้ามาก ๆ อีกด้วยเมื่อเทียบกับความเร็วของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันต้องบอกว่าห่างกันหลายล้านปีแสงเลยก็ว่าได้

ในช่วงปี 1960 โรงเรียนมัธยมของ Bill Gates อย่างโรงเรียนเลกไซด์ ในเมืองซีแอตเติล ได้ทำการตัดสินใจครั้งสำคัญในการติดตั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ Terminal เพื่อให้เหล่านักเรียนได้มีคอมพิวเตอร์ใช้ในเวลาว่างนั่นเอง

และเนื่องด้วยมันเป็นคอมพิวเตอร์แบบ Terminal เพราะฉะนั้นมันเป็นการฝึกปรือฝีมือให้กับ Bill Gates ได้อย่างดีในการทดสอบโปรแกรมที่เขียนไป เพราะมันจะรู้ได้ทันทีผ่าน Terminal ว่าโปรแกรมนั้นสมบูรณ์หรือไม่ เรียกได้ว่า เป็นการฝึก Bill Gates ให้ทำงานแบบ Perfect มาตั้งแต่เยาว์วัยเลยก็ว่าได้

แต่แน่นอนว่าการเข้ามาคลุกคลีกับคอมพิวเตอร์มากไปของ Gates นั้น ก็ทำให้เขาเริ่มมีปัญหากับการเข้าสังคม เพื่อไปร่วมกิจกรรมเหมือนเด็ก ๆ คนอื่น เพื่อนๆ เขาก็ได้ตีตราเขาให้กลายเป็นมนุษย์คอมพิวเตอร์ตั้งแต่เด็ก

และการเล่นคอมพิวเตอร์ในสมัยนั้นมันต้องแลกมาด้วยค่าเช่าเวลาเพื่อใช้งานคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้ Gates ต้องคิดหาทางสร้างรายได้เพื่อมาใช้เวลากับคอมพิวเตอร์แสนรักของเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

และนี่เองเป็นจุดเริ่มต้นให้ Gates เข้าสู่ธุรกิจ Software เป็นครั้งแรก เพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเวลาคอมพิวเตอร์นั่นเอง ตอนนั้น Gates และ คู่หูต่างวัยอย่าง Pual Allen ได้เริ่มรับงานเขียนโปรแกรมในช่วงปิดเทอม ซึ่งต้องบอกว่าทำเงินได้ถึง 5,000 เหรียญ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลยสำหรับเด็กมัธยมปลายอย่าง Gates

คู่หูต่างวัยหารายได้เสริมเพื่อมาจ่ายค่าเช่าเวลาคอมพิวเตอร์

ตัว Pual Allen นั้นมีอายุมากกว่า Gates 3 ปี ซึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของทั้งคู่คือการที่ Allen ได้นำวารสาร Popular Electronics มาให้ Gates ได้ดู ซึ่งกล่าวถึงการพัฒนา Microprocessor 8008 ของบริษัท Intel

หากย้อนกลับไปต้องบอกว่าในยุคนั้น คอมพิวเตอร์ยังไม่มีแนวความคิดที่จะสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาจริง ๆ จาก Microprocessor เลยด้วยซ้ำ ซึ่งตอนนั้นผู้คนต่างมองเป็นเรื่องเพ้อฝันหากคิดถึงเรื่องของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล

แม้ตัว 8008 นั้นจะทำอะไรได้ไม่มาก แต่ถือเป็นการทดลองได้อย่างดีของคู่หูทั้งสองที่จะนำเอา Microprocessor มาสร้างอะไรบางอย่าง ซึ่งทั้งคู่นั้นคิดว่าชิปขนาดเล็กอย่าง 8008 นั้นน่าจะมาสร้างวงจรการวิเคราะห์ข้อมูลและนับจำนวนรถยนต์ที่วิ่งบนถนนได้

และมันเป็นจุดเริ่มต้นให้ทั้งคู่ได้สร้างบริษัทแรกขึ้นมาในชื่อ Traf-O-Data โดยผลิตเครื่องต้นแบบของการนับรถยนต์ และได้นำเสนอไปยังเทศบาลหลายแห่ง แต่ไม่มีใครสนใจแนวคิดของพวกเขาเลย เพราะพวกเขาทั้งสองยังดูเป็นเด็กน้อยอยู่ในขณะนั้น

Traf-O-Data เครื่องนับรถยนต์อัตโนมัติ ที่ตอนนั้นแทบจะไม่มีใครสนใจซื้อมัน

แต่มันก็ได้เกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอีกครั้งเพราะในปี ค.ศ. 1974 Intel ได้ประกาศชิปตัวใหม่ของบริษัทคือ 8080 ซึ่งทำงานได้เร็วกว่า 8008 ถึง 10 เท่า และนี่เองที่ทำให้ ทั้ง Gates และ Allen ได้ค้นพบสิ่งสำคัญที่สุดครั้งนึงในประศาสตร์คอมพิวเตอร์ นั่นคือ หัวใจของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคใหม่นั่นเอง

ตอนนั้นต้องบอกว่าเหล่าบริษัทคอมพิวเตอร์ไม่ได้มอง Microprocessor เหล่านี้เป็นคู่แข่งเลยด้วยซ้ำ แม้กระทั่งผู้ผลิตอย่าง Intel เอง ก็แทบจะมองไม่เห็นศักยภาพของ 8080 เหมือนที่ Gates และ Allen กำลังมองเห็น

ทั้งคู่มองเห็นอนาคตของวงการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเห็นว่าชิปตัวใหม่อย่าง 8080 นี้สามารถพัฒนาเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สมบูรณ์แบบได้ และที่สำคัญยังมีราคาไม่แพง โดยตัวชิป มีราคาประมาณ 200 เหรียญเท่านั้น และสามารถนำมาแก้ไขปรับปรุงได้ง่ายผ่านความสามารถทางด้าน Software ของทั้งคู่

ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ Bill Gates ได้เข้าเรียนที่ Harvard เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เขายังมีความฝันที่จะสร้างบริษัท Software ให้สำเร็จ เพราะเขามองเห็นโอกาสและอนาคตที่ยิ่งใหญ่ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรออยู่ข้างหน้า

โดย Gates นั้นได้ส่งจดหมายของเขาไปยังบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่ง เสนอตัวที่จะเขียนโปรแกรมภาษา Basic สำหรับชิป Intel ตัวใหม่นี้ แต่ไม่มีผู้ใดตอบรับเขาเลย ทำให้ Gates รู้สึกท้อแท้หมดความหวังเป็นอย่างมาก

และในช่วงเวลานั้นเองที่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ Gates และ Allen ตกใจสุดขีดเนื่องจากวารสาร Popular Electronics ได้เปิดเผยเครื่อง Altair 8800 ซึ่งมันเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กเครื่องแรก และมันเป็นแนวคิดเดียวกับที่ทั้ง Gates และ Allen คิด แต่ตอนนี้มีคนทำตัดหน้าเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Altair 8800 กับแนวคิด Micro Computer ครั้งแรกของโลก

แต่อย่างน้อย Altair 8800 มันไม่มี Software มันจึงไม่สามารถส่งคำสั่งใด ๆ ได้ ไม่มีคีย์บอร์ด ไม่มีจอภาพ และมันถึงเวลาสำคัญของทั้งคู่แล้ว โครงการแรกของทั้งคู่ในบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่คือ การเขียนโปรแกรมภาษา Basic สำหรับเครื่อง Altair 8800 ตัวนี้นั่นเอง

ซึ่งทั้งคู่ต้องทำงานกับแบบไม่หลับไม่นอน ไม่รู้วันรู้คืน และใช้เวลาตลอด 5 สัปดาห์ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน สร้างโปรแกรมภาษา Basic สำหรับเครื่อง Altair 8800 ได้สำเร็จ และนี่เองได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ ของ บริษัท Software สำหรับ ไมโครคอมพิวเตอร์แห่งแรกของโลก ซึ่งทั้งคู่ตั้งชื่อมันว่า “Microsoft” นั่นเองครับ

–> อ่านตอนที่ 2 : The Standard

References : https://e.rpp-noticias.io/large/2015/10/28/18379001jpg.jpg

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

Blog Series : Bill Gates-The Man Behind Microsoft Empire

ชายผู้เป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยีโลก ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาของ Microsoft การที่ผู้ชายคนนึงได้ก้าวข้ามผ่านยุคการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล การเกิดขึ้นของ internet การเข้าสู่โลก Social Network และ การก้าวเข้าสู่ยุคมือถืออย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบัน

ต้องบอกว่า มีเพียงไม่กี่คนในโลกที่ได้เห็นการเปลี่ยนผ่านเหล่านี้ ผ่านบริษัทตัวเองอย่าง Microsoft ทำให้ Microsoft กลายเป็นยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง ที่ผ่านมรสุมการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีมามากมายได้อย่างไร

ต้องบอกว่า Bill Gates ถือเป็นบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Microsoft ในทุก ๆ ยุค เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างมากว่าเค้าสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีที่ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างไร

Blog Series ชุดนี้จะมานำเสนอเรื่องราวของชายที่น่าสนใจคนนี้กันครับ โดยเนื้อหาหลักนั้นจะมาจากหนังสือสองเล่ม คือ The Road Ahead ที่แปลโดย น.ต. วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ รวมถึงอีกเล่มหนึ่งคือ หนังสือ Bill Gates Speaks : Insight from the world’s greatest entrepreneur

หนังสือ Bill Gates
หนังสือ Bill Gates

ร่วมกับข้อมูลอื่น ๆ ที่มีอยู่ในโลก internet นะครับ หวังว่าจะถ่ายทอดเรื่องราวของ Bill Gates ออกมาได้อย่างน่าสนใจอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะครับผม

–> อ่านตอนที่ 1 : A Revolution Begin

References : http://www.famous-entrepreneurs.com/images/bill-gates.jpg

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

หนังสือ The Road Ahead
ผู้เขียน : บิล เกตส์
ผู้แปล : น.ต. วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ

หนังสือ Bill Gates Speaks : Insight from the world’s greatest entrepreneur
ผู้เขียน : Janet Lowe

หนังสือ พลิกธุรกิจด้วยวิถีไมโครซอฟท์ : Hit Refresh
ผู้เขียน : Satya Nadella (สัตยา นาเดลลา),Greg Shaw,Jill Tracie Nichols
ผู้แปล : จารุจรรย์ คงมีสุข

https://www.biography.com/business-figure/bill-gates

https://en.wikipedia.org/wiki/Bill_Gates

https://www.britannica.com/biography/Bill-Gates

https://www.thoughtco.com/bill-gates-biography-and-history-1991861

Search War ตอนที่ 9 : Bing (But It’s Not Google)

ในปี 2004 เริ่มมีพนักงานเก่าของ Microsoft ย้ายมาทำงานกับ google มากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขนาดที่ว่า google ได้มาเป็นสำนักงานใหม่ในเมือง ซีแอตเทิล ซึ่งเเป็นฐานที่มั่นใหญ่ และเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ HQ ของ Microsoft เลยก็ว่าได้ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้คนของ Microsoft นั้นย้ายมาอยู่กับ google ได้ง่ายยิ่งขึ้น

ในขณะที่เดือน พฤศจิกายนในปีเดียวกันนั้น Microsoft ได้ทำการเปิดตัว Search Engine อย่างเป็นทางการอีกครั้ง นั่นก็คือ MSN Search ซึ่งทาง Microsoft ได้คุยโวไว้ว่า “จะให้คำตอบที่เป็นประโยชน์มาขึ้นจากคำค้นหาของผู้ใช้งาน และผู้ใช้งานสามารถควบคุมประสบการณ์การค้นหาของตัวเองได้ดีขึ้น”

แต่ข่าวร้ายก็เกิดขึ้นทันที เพราะหลังจากเปิดใช้งานเพียงชั่วครู่ เว๊บไซต์ก็ล่ม ซึ่งใช้เวลาเป็นวัน ๆ กว่าจะแก้ไขให้มันกลับมาใช้งานได้ปรกติอีกครั้ง เหล่าสื่อชื่อดังต่างสับ Microsoft เละเทะ มันทำให้ความน่าเชื่อถือของ Microsoft ในธุรกิจ Search Engine เสียหายมาก ๆ 

และสิ่งที่ช้ำใจที่สุดคือ ตอนนี้ เหล่าวิศวกรหัวกะทิทั้งหลายต่างรู้ดีว่า Microsoft ไม่ใช่สถานที่ทำงานที่สุดยอดเหมือนในอดีตอีกต่อไป และ google กำลังทำสิ่งที่เป็นนวัตกรรมใหม่ มีการเปิดโลกของ Software ใหม่ เมื่อเข้าสู่ปี 2005 มีพนังงาน Microsoft กว่า ร้อยคนลาออกไปทำงานกับ google 

ถึงช่วงกลางปี 2005 Microsoft ได้ทุ่มเงินไปกับโปรเจค Underdog ไปกว่า 150 ล้านเหรียญ แต่ดูเหมือนว่า Search Engine ของพวกเขานั้นยังตามหลัง google อยู่ไกลแสนไกล

และแน่นอนว่า เกตส์ เริ่มจะหงุดหงิด ที่ไม่ได้เข้ามาในธุรกิจการค้นหาก่อนคนอื่น และยังมอง google เป็นภัยคุกคามครั้งสำคัญของ Microsoft ซึ่ง เกตส์มองว่า google ไม่ใช่เป็นเพียงแค่โปรแกรมการค้นหาเท่านั้น พวกเขาพยายามใช้การค้นหาไปสู่ส่วนอื่น ๆ ของ Software และดูเหมือนว่า google จะเป็นคู่แค่ที่เหมือน Microsoft มากกว่ารายอื่น ๆ ที่เขาเคยแข่งด้วย

และ Microsoft คงจะใช้แผนเดิมอีกครั้งไม่ได้อีกแล้วในการให้ Search Engine ของพวกเขา กลายเป็นค่าเริ่มต้นในผลิตภัณฑ์ของพวกเขาอย่าง Internet Exproler เพราะมีความเสี่ยงมากต่อการเจอกฏหมายต่อต้านการผูกขาดทางการค้า เหมือนที่ Windows เคยเจอ ซึ่งดูแล้วมันจะไม่คุ้มเสีย

Microsoft ที่เคยโดนคดีต่อต้านการผูกขาด คงไม่คิดจะใช้วิธีเดิม ๆ เพราะส่งผลเสียอย่างมาก
Microsoft ที่เคยโดนคดีต่อต้านการผูกขาด คงไม่คิดจะใช้วิธีเดิม ๆ เพราะส่งผลเสียอย่างมาก

ในปี 2006 Microsoft ได้ขุนพลคนใหม่อย่าง สตีฟ เบอร์โควิตช์ ที่มาจาก Askjeeves บริษัททางด้าน Search Engine ที่เป็นคู่แข่ง และเขาก็มองว่า Microsoft นั้นหลงใหลใน Software มาเกินไป ซึ่งการตัดสินใจมากมายของ Microsoft นั้นถูกกำหนดโดยเทคโนโลยีไม่ใช่เหล่าผู้บริโภค

มีการเปลี่ยน Brand จาก MSN Search เป็น Windows Live Search ในปี 2007 แต่ถึงตอนนี้ ความพยายามของทีม Underdog ก็ยังไม่บรรลุผล Microsoft ยังคงตามหลัง google อย่าง สุดกู่ google ก็ได้พัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ 

พอดึงเดือนพฤษภาคม ปี 2009 เพียงไม่ถึงสามปีหลังจากเปลี่ยนชื่อเป็น Windows Live Search  ก็ยังไม่มีความก้าวหน้าใด ๆ และไม่มีทีท่าที่จะไล่ตาม google ทันแต่อย่างใด ต่อมาจึงได้มีการเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น “Bing” ซึ่งมาที่มาจาก “But It’s Not Google” และเป็นครั้งแรกที่ทีม Underdog รู้สึกว่าผลงานของพวกเขาหลุดพ้นเงาของ Windows เสียที และมาเกิดใหม่ในชื่อที่มีชีวิตชีวา และ เข้าถึงผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น

และถึงตอนนี้ ภายใน Microsoft นั้นเป้าหมายหลักของพวกเขาคือ การแข่งขันกับ google เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งเหนือสิ่งอื่นใด เพราะ google เริ่มเข้ามารุกรานในตลาดโปรแกรม office หลังจากทำการปล่อยบริการออนไลน์อย่าง google docs ออกมาเรียกได้ว่าเป็นการก้าวขึ้นมาท้าทาย Microsoft โดยตรงเป็นครั้งแรก

ตอนนี้ google เริ่มเปิดแนวรบใหม่ รุกมายังผลิตภัณฑ์หลักอย่างชุดโปรแกรม office ของ Microsoft เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และทำให้ทางฝั่ง Microsoft โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เรียกไ้ดว่า google นั้นใช้ Search Engine ผลักดันให้ตัวเองมาสร้างผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ซึ่งอีกไม่นอนก็คงจะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Microsoft ทั้งหมด แล้ว Microsoft จะทำอย่างไรต่อ กับความพลาดพลั้งในครั้งนี้ Bing จะกลับมาสู้กับ google ได้อีกครั้งหรือไม่ โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 10 : Partnership

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Beginning of Search *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Search War ตอนที่ 7 : The Underdog Project

ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2003 ผู้บริหารอาวุโสของบริษัท Microsoft รวมทั้งสิ้น 25 คน ซึ่งรวมรวมถึงผู้บริหารระดับสูงอย่าง Bill Gates และ Steve Ballmer ได้มารวมตัวกันที่อาคาร 36 ฝั่งตะวันออกของสำนักงาน Microsoft HQ ที่เรดมอนต์ เพื่อร่วมฟัง คริสโตเฟอร์ เพย์น ซึ่งตอนนั้นอายุเพียง 37 ปี และเป็นรองประธานบริษัท และดูแลรับผิดชอบ MSN โดยตรง เล่าถึงภัยคุกคามครั้งสำคัญต่อ Microsoft ที่เหล่าผู้บริหารต่างมองข้าม

เพย์น นั้นมีประสบการณ์อยู่เบื้องหลัง MSN Search ซึ่งเมื่อ เพย์น ได้มารับผิดชอบในส่วนของ บริการออนไลน์ของ Microsoft ซึ่งในขณะนั้นมีรายได้เพียงน้อยนิด เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทอย่าง Windows และชุด Office เมื่อ เพย์น โฟกัสมาที่ธุรกิจค้นหา เขาได้เริ่มตระหนักว่า บริษัทกำลังเผชิญปัญหาใหญ่หลวงที่กำลังรุกคลานเข้ามา

ซึ่งแน่นอนว่า เพย์น ที่ได้รับผิดชอบแผน online ของ Microsoft ทำให้รู้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ traffic ที่เข้ามายัง MSN ที่เป็นเว๊บ portal หลักของ Microsoft และ เพย์น ก็เริ่มพบความผิดปรกติบางอย่างเกิดขึ้น เมื่อพบว่า เหล่าผู้ใช้ MSN นั้นมาที่มาจาก google มากเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

ซึ่งต้องบอกว่าตอนนั้น Inktomi ได้รับผิดชอบผลการค้นหาของ MSN และส่วนของการโฆษณานั้นจะมาจาก Overture ซึ่ง Microsoft นั้นไม่ได้ทำอะไรเลยกับส่วนของการค้นหา เพียงแค่พึ่งบริการของที่อื่นแทบจะทั้งสิ้น

Microsoft ใช้บริการจากบริษัทอื่น ๆ ในโปรแกรมการค้นหา
Microsoft ใช้บริการจากบริษัทอื่น ๆ ในโปรแกรมการค้นหา

ทั้ง ๆ ที่มันกำลังจะกลายเป็นกระแสความนิยมใหม่ในโปรแกรม การค้นหา แต่ Microsoft ยังเริ่มต้นจากศูนย์ ซึ่งเพยน์ต้องการโน้มน้าวให้ผู้บริหารระดับสูงที่มาเข้าร่วมประชุม ให้เริ่มระแวดระวังภัยที่อาจจะมาจาก google และยังโน้มน้าวให้ลงทุนในการค้นหาแบบเต็มตัวเสียทีหลังจากพึ่งบริการอื่น ๆ มานาน

ซึ่งเหล่าผู้เข้าฟัง ก็คล้อยตาม เพย์น โดยที่ทั้ง Gates และ Ballmer นั้นค่อนข้างเห็นด้วย และพร้อมที่จะผลักดันโครงการโปรแกรมค้นหา Microsoft อย่างเต็มที่ และมันเป็นความท้าทายทางวิทยาการคอมพิวเตอร์ครั้งสำคัญที่สุดอีกครั้งนึงของ Gates ซึ่งตอนนั้นอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าแผนกสถาปนิกซอฟต์แวร์เสียด้วย

หลังจากได้รับความเห็นชอบจากผู้บริหาร เพย์น ก็ได้เลือก เคน มอสส์ โปรแกรมเมอร์มือฉกาจ ที่ได้รับการยอมรับนับถือและมีประสบการณ์สูง โดยทำงานร่วมกับ Microsoft มาถึง 16 ปี และเป็นหนึ่งในทีมงานที่ช่วยกันสร้าง Microsoft Excel ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของ Microsoft นั่นเอง

และมอสส์ ก็ได้รวบรวมทีมงานเล็ก ๆ เพื่อที่จะมาสร้างโปรแกรมค้นหาตัวใหม่นี้ของ Microsoft และตั้งชื่อโครงการนี้ว่า “Underdog” ซึ่งความหมายแบบไทย ๆ ก็คือไก่รองบ่อนนั่นเอง ซึ่งต้องบอกว่า เป็นชื่อโครงการที่ดูไม่เข้ากับ Microsoft ยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีในขณะนั้นเลยก็ว่าได้

เกตส์ นั้น เข้ามาสนับสนุนอย่างเต็มที่ในโครงการนี้ มันเป็นความท้าทายครั้งสำคัญอีกครั้งของ เกตส์ และรับปากกับทีมงานว่า เขามั่นใจว่าจะตามเจ้าตลาดอย่าง google ให้ทันภายใน 6 เดือน

แต่มันมีปัญาหาอยู่ 3 อย่างที่จะไล่ google ที่ถูกออกแบบโดย บริน และ เพจ ที่ทำงานวิจัยเรื่อง PageRank มาก่อนที่สแตนฟอร์ด ซึ่ง หนึ่ง ทำอย่างไรจะส่งผลที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาให้ถึงผู้ใช้งานให้เร็วที่สุด สอง จะทำรายได้อย่างไรกับโปรแกรมการค้นหา และ สาม ปัญหาทางเทคนิค ในเรื่องการกระจาย Index เนื้อหา ที่มี Server อยู่กระจายทั่วโลกได้

โดยโครงการ Underdog ของ Microsoft ได้คัดเลือกเหล่าวิศวกรหัวกระทิจากแผนก R&D ของ Microsoft เพื่อสร้างระบบในการจัดลำดับผลการค้นหา ที่เกี่ยวข้องมากที่สุด กับคำที่ผู้ใช้งานค้นหา

แต่ทีมงานใน Project Underdog นั้นก็ต้องเจออุปสรรคมากมาย และเริ่มรู้ความจริงที่ว่า การสร้างโปรแกรมการค้นหาที่ดีนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายกว่าที่คิด  ปัญหาใหญ่ที่สำคัญอย่างนึงคือ โปรแกรม Crawler ที่ใช้ในการคลานเข้าไปตาม www เพื่อ index ข้อมูลนั้น ได้เข้าไปติดกับดักของเหล่าเครือข่าวเว๊บลามก อนาจร ที่มีอยู่ทั่วอินเตอร์เน็ต

และมันจะอยู่เป็นเครือข่าย ที่เหล่า Crawler นั้นหลุดเข้าไปแล้วจะออกไปสู่เว๊บไซต์ปรกติอื่น ๆ ได้ยากมาก ทีมจึงต้องมีการปรับแต่งตัว Web Crawler หลายครั้งเพื่อไม่ให้ไปเก็บข้อมูลขยะที่โปรแกรมการค้นหาไม่ต้องการ

ปัญหาเรื่อง Web Crawler ที่ Google นั้นได้พัฒนาไปไกลมากแล้ว
ปัญหาเรื่อง Web Crawler ที่ Google นั้นได้พัฒนาไปไกลมากแล้ว

ส่วนเรื่องความเร็วในการส่งผลการค้นหาไปยังผู้ใช้งานนั้น เป็นเรื่องที่ยากกว่า เพราะต้องได้ผลการค้นหารที่่ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานด้วย ซึ่งการใช้ความเร็วในระดับ Millisecond แถมยังต้องจัดการกับคำร้องขออีกเป็นล้าน ๆ เครื่องจาก User นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ 

และสำหรับเหล่าผู้ใช้งานนั้น ดูเหมือนว่า ผู้คนไม่ได้ตัดสินคุณภาพของ Search Engine จากผลการค้นหาแบบธรรมดา แต่เป็นล้วนตัดสินใจจากการค้นหาแบบไม่ธรรมดาเสียมากกว่า เช่นการหาข้อมูลส่วนตัวของคู่เดทลงไป เพื่อใช้ในการเตรียมตัวออกเดท ซึ่ง หากพวกเขาเหล่านี้ไม่พบผลการค้นหา ก็มักจะย้ายไปยัง Search Engine ตัวอื่นทันที โดยเฉพาะ google 

ซึ่งแน่นอนว่า หาก Microsoft สร้างผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องการไม่ได้ พวกเขาจะมุ่งหน้าไปยัง google แทนอย่างแน่นอน เพราะในขณะที่ Microsoft เพิ่งตั้งไข่โปรเจค Underdog ของตัวเองนั้น google ได้กลายเป็นคำติดปากคนทั่วไปที่ใช้ในการค้นหาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เรียกได้ว่า เป็นงานที่หนักหน่วงมาก ๆ สำหรับ ยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ที่ต้องการเข้ามาในตลาดการค้นหา ซึ่ง google ได้นำหน้าไปไกลแล้ว เพราะไม่ใช่แค่เรื่องทางวิศวกรรมคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องของความเข้าใจต่อผู้ใช้งาน ว่าพวกเขาต้องการอะไร และ Search Engine ต้องให้สิ่งที่ดีที่สุดให้กับพวกเขาได้ ดูแล้วงานนี้น่าจะเป็นการประลองศึกทางด้านเทคโนโลยีที่สนุกที่สุดครั้งนึงเลยก็ว่าได้ระหว่าง Microsoft และ google จะเกิดอะไรขึ้นกับ Project Underdog จะไล่ตาม google ทันภายใน 6 เดือนอย่างที่ bill gates ว่าไว้หรือไม่? โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 8 : Let the war begin!

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Beginning of Search *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของ Bill Gates

Bill Gates ผู้ร่วมก่อตั้งของ Microsoft ได้กล่าวถึงช่วงเวลาของเขากับบริษัท Microsoft เมื่อมีการตัดสินใจครั้งสำคัญในเรื่องระบบปฏิบัติการมือถือ ในระหว่างการสัมภาษณ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ Village Global ซึ่งเป็น บริษัทร่วมทุน โดย Gates เปิดเผยว่า “ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต” ของเขาคือ Microsoft การปล่อยให้ Android นั้นถือกำเนิดขึ้นมา :

“ ในโลกของซอฟต์แวร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแพลตฟอร์มที่ใหญ่อย่างมือถือนั้น เป็นตลาดที่สามารถพลิกเกมธุรกิจได้ ดังนั้นความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการจัดการผิดพลาดที่ผมมีส่วนร่วมซึ่ง Microsoft นั้นมองตลาดพลาดไป และปล่อยให้ Android เติบโตขึ้นมาจากลายเป็นแพลตฟอร์มมาตรฐานของโลกที่นอกเหนือจาก Apple 

ซึ่งส่วนนั้นมันควรเป็นของ Microsoft  ซึ่งมันมีที่ว่างสำหรับระบบปฏิบัติการที่ไม่ใช่ของ Apple และผลตอบแทนที่ Android ได้รับกว่า 400 พันล้านเหรียญที่ผ่านมา ที่จะถูกโอนจาก บริษัท google ไปยัง บริษัท Microsoft แทนนั่นเอง”

อดีต CEO ของ google อย่าง Eric Schmidt ยอมรับว่าจุดเริ่มต้นของ Google คือการพยายามเอาชนะ Windows Mobile ในช่วงต้นของการสร้างระบบปฏิบัติการของ “ ในขณะที่เรากังวลอย่างมากว่ากลยุทธ์มือถือของ Microsoft จะประสบความสำเร็จ” Schmidt กล่าวระหว่างการต่อสู้ทางกฎหมายกับ Oracle เกี่ยวกับ Java ในปี 2012 ในที่สุด Android ก็สามารถเอาชนะได้ทั้ง Windows Mobile และ Windows Phone และกลายเป็น Windows ในโลกมือถือจนถึงปัจจุบัน

Android จากจุดเริ่มต้นเล็กจนกลายเป็นระบบปฏิบัติการที่มีการใช้งานมากที่สุดในโลก
Android จากจุดเริ่มต้นเล็กจนกลายเป็นระบบปฏิบัติการที่มีการใช้งานมากที่สุดในโลก

แม้ว่าคำกล่าวของ Gates นั้นค่อนข้างน่าแปลกใจ ซึ่งหลายคนคิดว่าความผิดพลาดในตลาดมือถือของ Microsoft นั้นเป็นความผิดพลาดในยุคของ Steve Ballmer เราคงยังจำกันได้ในขณะที่ iPhone ได้เปิดตัวต่อสาธารณะชนในปี 2007 Ballmer หัวเราะและกล่าวถึง iPhone ว่า “ เป็นโทรศัพท์ที่แพงที่สุดในโลกและไม่ดึงดูดลูกค้าธุรกิจเพราะมันไม่มีคีย์บอร์ด” 

นี่เป็นส่วนสำคัญของความผิดพลาดในช่วงแรก ๆ ในมือถือของ Microsoft และ Microsoft ใช้เวลาหลายเดือนในการพิจารณาว่า บริษัทควรจะเลิกความพยายามในการพัฒนา Windows Mobile ซึ่งในเวลานั้นไม่ได้เป็นระบบสัมผัสและเกิดจากยุคเก่าของอุปกรณ์ที่ขับเคลื่อนด้วยสไตลัส Microsoft ตัดสินใจในการประชุมฉุกเฉินเดือนธันวาคม 2008 เพื่อยกเลิก Windows Mobile และรีบูตระบบปฏิบัติการมือถือใหม่ให้กลายเป็น Windows Phone อย่างสมบูรณ์

Ballmer ที่ประเมินการเปิดตัวของ iPhone ต่ำเกินไป
Ballmer ที่ประเมินการเปิดตัวของ iPhone ต่ำเกินไป

ในขณะที่อดีตหัวหน้า Windows อย่าง Terry Myerson และ Joe Belfiore ของ Microsoft มีส่วนร่วมในการประชุมฉุกเฉินครั้งนั้นและเป็นไปได้ว่า บริษัทอาจจะมีการขอคำแนะนำจาก Bill Gates ในบางเรื่อง โดยที่ Gates ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ในปี 2000 โดยรับตำแหน่งหัวหน้าสถาปนิกทางด้านซอฟต์แวร์

ในช่วงเวลาที่สำคัญซึ่งนำ Microsoft ไปสู่ ​​Windows Phone และ Windows Vista  แต่ท้ายในที่สุด Gates ก็ก้าวลงจากตำแหน่งหัวหน้าสถาปนิกซอฟต์แวร์ในเดือนกรกฎาคม 2008 และดำรงตำแหน่งประธาน บริษัท จนกระทั่ง Satya Nadella เข้ารับตำแหน่ง CEO ในปี 2014

Gates อาจไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการตัดสินใจในเรื่องกลยุทธ์ทางด้านมือถือของ Microsoft แต่การลงจากตำแหน่งของเขาเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ Microsoft ตัดสินใจไม่ใช้ Android ซึ่งเมื่อเทียบกับอดีตซีอีโอไมโครซอฟท์อย่าง Steve Ballmer ที่กล่าวว่า Windows Vista เป็นความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาที่ไมโครซอฟท์ก่อนที่เขาจะอำลาไปด้วยคราบน้ำตาก่อนส่งไม้ต่อให้ Satya Nadella

ไมโครซอฟท์ดูเหมือนว่าจะมีความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยทั้งที่ผ่านศึกในธุรกิจมือถือมาอย่างยาวนาน แต่ตอนนี้ธุรกิจ Cloud กำลังพาบริษัทกลับมารุ่งเรือง “ มันน่าอัศจรรย์สำหรับผมที่ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง แต่หลายสิ่งหลายอย่างของบริษัท ทั้งสินทรัพย์อื่น ๆ ของเราเช่น Windows และ Office ยังคงแข็งแกร่งมากดังนั้นเราจึงยังคงเป็นบริษัทชั้นนำ” Gates กล่าว . “ถ้าเรามีโอกาศที่เหมาะสมอีกครั้งหนึ่งเราจะกลายเป็นบริษัทชั้นนำ อันดับ 1 ของโลกได้อีกครั้ง.”

References : 
https://www.theverge.com/2019/6/24/18715202/microsoft-bill-gates-android-biggest-mistake-interview