ประวัติ Jack Ma แห่ง Alibaba ตอนที่ 2 : ChinaPages

เมื่อแจ๊คเดินทางกลับจากซีแอตเทิลถึงหังโจว ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ของแจ๊คนั้นได้นำเอาของวิเศษหนึ่งอย่างมาจากอเมริกาด้วย มันคือ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คอินเทล 386 ซึ่งเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในขณะนั้นเลยก็ว่าได้ 

เพียงแค่คืนแรกที่กลับถึงหังโจว แจ๊ค เขาก็เริ่มเดินหน้าธุรกิจที่เขาได้คิดไว้อย่างทันที เขาเชิญเพื่อนสนิทที่สุด 24 คนมากินข้าวที่บ้าน และเริ่มบรรเลงโชว์ ของวิเศษ (คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คอินเทล 386) ทุกคนที่ถูกเชิญมาต่างอ้าปากค้าง และรู้สึกทึ่งกับเจ้าสิ่งนี้ ซึ่งไม่ต่างจากตอนที่แจ๊ค นั้นเห็นคอมพิวเตอร์สุดแรงนี้ ครั้งแรกที่อเมริกา

เมื่อถึงจีนเรียกเพื่อนนักธุรกิจมาฟังเรื่อง internet ทันที
เมื่อถึงจีนเรียกเพื่อนนักธุรกิจมาฟังเรื่อง internet ทันที

หลังจากนั้น แจ๊ค ก็ได้เริ่มพูดถึงเรื่อง internet และได้บรรยายถึงความวิเศษของมันที่เขาได้เจอมาที่อเมริกา และพรรณนา ว่า มันวิเศษยิ่งกว่าโทรศัพท์เสียอีก แค่เพียงคลิกเดียวก็สามารถเข้าถึงทุกแห่งทุกหนในโลกได้ และ ให้วิสัยทัศน์ว่า เจ้าสิ่งนี้ จะต้องรุ่งเรืองในประเทศจีนได้อย่างแน่นอน

แต่ต้องเข้าใจว่า ในยุคนั้น ไม่มีใครเข้าใจกับคำว่า internet แม้แจ๊ค จะพยายามพูดล้างสมองเพื่อนอย่างไรก็ตาม แต่ดูเหมือนว่ากลุ่มเพื่อน ๆ ของเขาที่ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจในจีนอยู่แล้ว จะไม่ได้สนใจมันแต่อย่างใด หาว่าแจ๊คนั้นเป็นคนเพ้อฝัน

เขากล่าวกับเพื่อนว่า ๆ จะลาออกจากงานมาเริ่มธุรกิจ internet แต่มันกลับกลายเป็นว่าเพื่อน ๆ ของเขาทั้งหมดแทบจะคัดค้านกับแนวคิดของ แจ๊ค หลาย ๆ คนก็พยายามถามรายละเอียดของ internet จากแจ๊ค  แต่ก็อย่างที่ทราบ แจ๊ค นั้นก็มีความรู้ทางด้าน internet แบบผิวเผินเท่านั้น ไม่สามารถตอบคำถามใด ๆ จากเพื่อน  ๆ เขาได้เลย ซึ่งหลังจากให้ทำการโหวตปรากฏว่า 23 คันค้าน และมีคนเห็นด้วยกับแจ๊ค เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

และในที่สุดแจ๊ค ก็ได้พบกับความจริงที่โหดร้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นคือ ไม่ว่าจะอย่างไร เขาคงไม่สามารถที่ชักจูงเหล่าเพื่อน ๆ ของเขาให้มาลองทำธุรกิจ internet กับเขาได้อย่างแน่นอน ทำให้แจ๊คเสียใจมากและถึงกับจิตตกไปเลยทีเดียว

แต่แม้จะมีถึง 23 คนที่คัดค้าน มันยังมีอีกหนึ่งคนที่สนับสนุนความคิดของแจ๊ค ซึ่งเพื่อนคนนี้สนับสนุนให้แจ๊คได้ลองทำดู ซึ่ง เขาคือ เหออิปิง เป็นเพื่อนนักศึกษามหาวิทยาลัยครูหังโจวของแจ๊ค

และแม้มันจะมีเพียงหนึ่งเสียงสนับสนุน แต่ สัญชาติญาณของแจ๊ค นั้นก็สั่งให้เขาเริ่มธุรกิจนี้ ก้าวแรกของการสร้างธุรกิจคือหาเงินทุน ซึ่งแจ๊คและภรรยานั้นได้ทุ่มเงินหมดตัว 6,000 หยวน และทำการรวบรวมจากญาติพี่น้องได้อีกราว  ๆ 40,000 หยวน และ อีกส่วนคือการนำเอาสินทรัพย์ของสำนักแปลภาษาไห่โป๋ธุรกิจแรกของเขาออกเทขายทั้งหมด ซึ่งได้มาอีก 30,000 หยวน รวมเป็นส่วนของตัวเขาและภรรยาทั้งสิ้น 80,000 หยวน

แจ๊คและภรรยาลงขันกับญาติ ๆ และเพื่อนอีกสองคน ตั้งบริษัทขึ้นมา
แจ๊คและภรรยาลงขันกับญาติ ๆ และเพื่อนอีกสองคน ตั้งบริษัทขึ้นมา

และเพื่อนที่สนับสนุนแนวคิดนี้ของแจ๊คอย่าง เหออิปิง นั้น ก็ได้ร่วมลงทุน 10,000 หยวน ส่วนอีก 10,000 หยวนสุดท้ายได้มาจากเพื่อนอีกคนที่ชื่อ ซ่งเว่ยชิง  ซึ่งทำให้ตอนนี้ เงินลงทุนตั้งต้นของธุรกิจใหม่ของแจ๊คนั้น มีรวมแล้วประมาณ 100,000 หยวน

และในที่สุดบริษัทเทคนิคอินเตอร์เน็ตไห่โป๋ เจ้อเจียง ที่ดำเนินการกิจการไดเร็กทอรี่อุตสาหกรรมการค้าออนไลน์ และเป็นเว๊บไซต์ internet แห่งแรกของประเทศจีน – เยลโล่เพจเจสประเทศจีน ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อเดือน เมษายน ปี 1995

และในวันที่ 9 พฤษภาคม 1995 ไชน่าเพจเจส (http://www.chinapages.com) ได้ขึ้นออนไลน์อย่างเป็นทางการ และเป็นเว๊บไซต์ธุรกิจเว๊บแรกในประวัติศาตร์ของ internet ของประเทศจีน

chinapages ในสมัยแรก ๆ เป็นเว๊บไดเร็กทอรี่ คล้าย ๆ yahoo
chinapages ในสมัยแรก ๆ เป็นเว๊บไดเร็กทอรี่ คล้าย ๆ yahoo

แต่ทุกอย่างมันก็ไม่ได้เริ่มต้นด้วยกลีบกุหลาบ ระยะแรกเริ่ม เป็นช่วงเวลาที่ ไชน่าเพจเจส ลำบากที่สุด ออฟฟิสหลักของบริษัทนั้น ก็แค่เช่าบ้านธรรมดาหลังหนึ่งเป็นห้องทำงาน และ มีอุปกรณ์ชิ้นเดียวคือ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คอินเทล 386 ที่แจ๊คนั้นได้หอบหิ้วมาจากอเมริกานั่นเอง 

เพียงแค่ค่าเช่าออฟฟิส ก็กินเงินทุนของแจ๊คไปมากโขแล้ว เพราะต้องจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าเป็นปี ซึ่งในสภาวะย่ำแย่ในช่วงแรก ๆ ของการก่อตั้งบริษัทนั้น ในบัญชีบริษัทมีเงินสดเหลือเพียง 200 หยวน เท่านั้น และ ที่สำคัญ ไชน่าเพจเจส ยังแทบจะไม่มีลูกค้าเลยด้วยซ้ำ

กับทีมงาน chinapages ยุคก่อตั้ง
กับทีมงาน chinapages ยุคก่อตั้ง

นักธุรกิจในประเทศจีนซึ่งแทบไม่เคยได้ยินคำว่า internet มาก่อน ซึ่งการที่แจ๊ค จะไปอธิบายให้พวกเขาเสียเงินซื้อในสิ่งที่มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ ทำให้บรรดาเถ้าแก่นักธุรกิจจีนต่างส่ายหน้าหนี internet กันแทบจะทั้งสิ้น และมองมันเป็นเรื่องหลอกลวงเท่านั้น

สาเหตุหลักอีกประการหนึ่งน่าจะมาจากราคาที่สูงลิ่ว เพราะไชน่าเพจเจสในยุคแรกเป็นการร่วมมือกับบริษัท VBN ของสหรัฐ เช่า server จากอเมริกา และต้องมีการแบ่งผลกำไร 40:60 ซึ่ง ไชน่าเพจเจสนั้นได้เพียง 40% ส่วน VBN ที่นอนรอลูกค้าอยู่ที่อเมริกานั้นได้ถึง 60% และต้นทุนของค่าจ้างในการทำเว๊บเพจนั้นก็แพงเอามาก ๆ เสียด้วย

และการที่ลูกค้าจะเห็นหน้าโฮมเพจของตัวเองนั้นก็ต้องให้ VBN print ภาพหน้าโฮมเพจออกมาและส่งด่วนทาง UPS กลับมาที่หังโจว เพื่อโชว์ให้ลูกค้าดู ซึ่งมันเป็นโมเดลธุรกิจที่แปลกประหลาดอย่างมาก หากคุณเป็นลูกค้าของแจ๊คในยุคนั้น ก็คงคิดเหมือนคนเหล่านี้ เพราะ จีนตอนนั้นยังไม่สามารถเข้าถึง internet ได้นั่นเอง

และลูกค้ารายแรก ๆ ส่วนใหญ่นั้นเป็นเพื่อนนักธุรกิจของแจ๊ค ซึ่งตอนแรกนั้นแทบจะไม่คิดค่าใช้จ่าย อยากจะช่วย promote ให้ฟรี ๆ เพื่อเป็นการบุกเบิกลูกค้า และ ทำให้ลูกค้าคนอื่น ๆ เริ่มหันมาสนใจบ้าง

และในที่สุดไชน่าเพจเจส ก็ได้ลูกค้าที่จ่ายเงินเป็นรายแรก นั่นก็คือ โรงแรมระดับสี่ดาวของเมืองหังโจว  โรงแรมวั่งหู ซึ่งเจ้าของโรงแรมนั้นก็เป็นเพื่อนของแจ๊ค อีกเช่นเคย

เนื่องจากไม่มีใครที่หังโจวนั้นรู้จักกับ internet แจ๊คจึงต้องรับภาระหนักในการไปโฆษณาเผยแพร่ และไปสาธิตให้ลูกค้าแต่ละรายด้วยตัวเอง ซึ่งแจ๊ค ในขณะนั้นโดยตำแหน่งแล้วเป็นผู้จัดการ แต่ความจริงเขาก็คือ เซลล์แมน ของไชน่าเพจเจสต่างหาก และ ยังทำตัวเป็นจิตอาสา ในการเผยแพร่ความรู้ด้าน internet ของจีนให้ชาวเมืองหังโจวอีกด้วย

ทำงานจิตอาสาให้ความรู้ด้าน internet กับชาวเมืองหังโจว
ทำงานจิตอาสาให้ความรู้ด้าน internet กับชาวเมืองหังโจว

และแม้ความจริงแล้วนั้น เหล่าลูกค้ารุ่นแรก ๆ ของไชน่าเพจเจส จะมีความคลางแคลงใจต่อ internet ที่แจ๊คโฆษณาให้ แต่มันก็เริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นกับธุรกิจของพวกเขาเหล่านั้น กลุ่มลูกค้าเหล่านี้เริ่มได้รับโทรศัพท์และแฟกซ์สอบถามจากต่างประเทศ ซึ่งพวกเขาแทบจะไม่เคยเจอมาก่อนเลยด้วยซ้ำ แต่ลูกค้าเหล่านั้นก็ยังไม่เชื่อถึงความเชื่อมโยงของผลลัพธ์เหล่านี้กับไชน่าเพจเจสของแจ๊ค พวกเขายังแค่มองมันเป็นคำหลอกลวงของแจ๊ค เหมือนเคย

และเหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างแจ๊คบ้างแล้ว ในที่สุด เดือน กรกฏาคม ปี 1995 ด้วยการอนุมัติของกรมโทรคมนาคม สังกัดกระทรวงไปรษณีย์ของจีน มีการจัดตั้งสาย internet เฉพาะกิจ 44K ที่เซี่ยงไฮ้เป็นครั้งแรก และมันก็เริ่มทำให้แจ๊คเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์บ้างแล้ว

หนึ่งเดือนหลังจากนั้น มันเป็นวันที่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ต้องจารึกชื่อของแจ๊ค หม่า มันเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ internet ของประเทศจีน 

มันเป็นวันที่แจ๊ค นำเจ้าคอมพิวเตอร์ เชื่อมต่อกับ internet 44K ที่เซี่ยงไฮ้ ได้สำเร็จ แจ๊คหมุนโทรศัพท์ถึงโทรคมนาคมของเซี่ยงไฮ้ ผ่านไปราว ๆ นาทีกว่า ๆ การเชื่อมต่อ internet ก็สำเร็จในที่สุด ในวันนั้นมีการถ่ายทอดการเชื่อมต่อครั้งสำคัญนี้ผ่านสถานีโทรทัศน์ในเมืองหังโจว 

เชื่อมต่อ internet ผ่านการหมุนโทรศัพท์
เชื่อมต่อ internet ผ่านการหมุนโทรศัพท์

เมื่อแจ๊ค เริ่มเปิดโปรแกรม Mosaic ซึ่งเป็น Web Browser ในสมัยนั้น และบรรจงพิมพ์ address “http://www.chinapages.com”  หลังจากรอกว่า 3 ชั่วโมง เว๊บเพจทั้งหมดก็ดาวน์โหลดเสร็จสิ้น และมันปรากฏภาพของเพจหน้าหลักของโรงแรมวั่งหู ลูกค้ารายแรกของแจ๊ค รวมถึง เพจของลูกค้าคนอื่น ๆ เรียงรายตามมาในหน้าของไชน่าเพจเจส

ลูกค้าต่างตื่นเต้น ผู้สื่อข่าวที่มาทำข่าวก็ตื่นเต้น และที่ตื่นเต้นที่สุดคงจะเป็นแจ๊ค และหุ้นส่วนของเขา หลังจากทำงานหนักกันมากว่า 4 เดือน ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นเว๊บเพจของตนเองบน internet และหลุดพ้นจากการที่เหล่าผู้คนต่าง ๆ กล่าวหาว่าเขาเป็นคนหลอกลวงได้เสียที

ต้องบอกว่า การที่ชาวเมืองหังโจวได้เห็นเรื่องจริงของ internet ผ่านจอโทรทัศน์ที่ทำการถ่ายทอดเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้ชาวหังโจว เริ่มที่จะกลับมาเชื่อแจ๊ค ได้อีกครั้ง internet ไม่ได้เป็นเรื่องหลอกลวงที่แจ๊ค สร้างขึ้นมา ไม่ใช่เป็นเรื่องของสิ่งลี้ลับ หรือ เรื่องผีสาง แต่ internet มันคือสิ่งมหัศจรรย์ใหม่ ที่กำลังจะมาเปลี่ยนวิถีชีวิตชาวจีน รวมถึงชาวโลก

สำหรับแจ๊คและหุ้นส่วนแล้ว มันเต็มไปด้วยคราบน้ำตาแห่งความปิติยินดีรวมถึงความสุข และนับเป็นก้าวที่สำคัญที่สุดก้าวนึงของแจ๊ค ที่ได้ปลดแอกเรื่องที่เขาถูกกล่าวหาว่าหลอกลวงได้เสียที และมันช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้แจ๊คที่ต่อไปนี้จะไม่ได้จำกัดอยู่ในเพียงเมืองเล็ก ๆ อย่างหังโจวแล้ว ธุรกิจของเขามันกำลังเริ่มที่จะขยายไปต่างมณฑล ก้าวต่อไปของแจ๊ค กับ ไชน่าเพจเจส จะเป็นอย่างไร โปรดติดตามในตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 3 : The Wall of Capital

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Internet *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Jack Ma แห่ง Alibaba ตอนที่ 1 : Internet

เด็กชายนามว่า “หม่า หยุ่น” หรือชื่อจริงของ Jack Ma นั้นเกิดในครอบครัวยากจนในเมืองหังโจว เขาเติบโตมาพร้อมกับความอยากรู้ภาษาอังกฤษมาโดยตลอด เขามักจะออกจากบ้านไปพูดคุยกับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างสม่ำเสมอ ชื่อ Jack ของเขานั้นก็มาจากคำแนะนำของนักท่องเที่ยวคนหนึ่งนั่นเอง

เรื่องการเรียนในวัยเด็กเรียกว่าเข้าขั้นย่ำแย่เลยสำหรับ แจ๊ค เขาสอบตกเลขจบเกือบจะไม่ได้เรียนต่อในชั้นมหาลัยด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายเขาก็ได้ไปศึกษาต่อที่โรงเรียน Hangzhou Teacher School จนจบการศึกษาในที่สุด

Jack Ma เกิดในครอบครัวยากจนในเมืองหังโจว
Jack Ma เกิดในครอบครัวยากจนในเมืองหังโจว

แจ๊ค นั้นไม่ได้มีความคิดที่จะเป็นครูภาษาอังกฤษไปตลอดชีวิต ในปี 1992 แจ๊คกับเพื่อนได้ร่วมกันก่อตั้งสำนักแปลไห่โป๋ขึ้นมา ซึ่งเป็นก้าวแรกของเขาที่ย่างเข้าสู่วงการธุรกิจ สำนักแปลไห่โป๋ ของแจ๊ค นั้นดำเนินธุรกิจอย่างล้มลุกคลุกคลาน จนเริ่มมีกำไรในปี 1995 และกลายเป็นสำนักแปลภาษาที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหังโจวในที่สุด 

เปิดสำนักแปลภาษาไห่โป๋ และเป็นครูสอนภาษาอังกฤษไปด้วย

และในต้นปี 1995 นั้น เมืองหังโจวเกิดดีความสัญญากับต่างประเทศขึ้นมาคดีหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องการลงทุนสร้างทางด่วนกับบริษัทในอเมริกา ซึ่งมีข้อพิพาทกัน ทำให้เทศบาลเมืองหังโจวต้องตัดสินใจส่งตัวแทนไปติดต่อกับฝ่ายอเมริกัน เพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

jack ma ในวัยหนุ่ม ต้องเดินทางมาเป็นตัวแทนเทศบาลหังโจวเพื่อไกล่เกลี่ย
jack ma ในวัยหนุ่ม ต้องเดินทางมาอเมริกา เป็นตัวแทนเทศบาลหังโจวเพื่อไกล่เกลี่ย

ซึ่งมันกลายเป็นภารกิจของแจ๊ค ที่ขณะนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาษาอังกฤษที่สุดแห่งสำนักแปลไห่โป่ ที่ต้องไปช่วยเหลือเทศบาล โดยเขาต้องเดินทางไปยังอเมริกาที่เมือง ลอสแองเจลลิส แต่มันเป็นความซวยที่มาเยือนของแจ๊ค เมื่อทางการได้สืบสวนในทางลับแล้วพบว่า บริษัทเหล่านี้เป็นพวกนักต้มตุ๋นระดับชาติ แต่มันช้าไปซะแล้ว เพราะแจ๊คเข้าถ้ำเสือเดินทางถึงอเมริกาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

มีการต้อนรับแจ๊ค อยางดีจากฝั่งอเมริกา เพื่อหลอกให้แจ๊คตายใจ แต่สุดท้ายทางฝั่งอเมริกาก็เผยไต๋ในที่สุด และได้จับกุมแจ๊ค ไปขังเป็นเวลา 2 วัน ซึ่งกว่าจะหลุดมาได้นั้น แจ๊ค ก็ต้องจำเป็นเล่นบทเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนของบริษัทอเมริกาเสียเอง ทำเหมือนว่าหักหลังเทศบาลที่ส่งเขามาช่วยเจรจาไกล่เกลี่ย จนโดนปล่อยตัวมาในที่สุด

แต่มันเหมือนภารกิจของเขายังไม่สำเร็จ เขาเลยคิดว่าจะไปที่ไหนต่อดี และนึกขึ้นได้ว่า ตอนอยู่ประเทศจีนมีครูต่างชาติคนหนึ่งที่ชื่อพิล ซึ่งเคยเล่าเรื่องลูกเขยของเขาให้ฟัง ว่ากำลังทำอะไรบางอย่างกับ “internet” อยู่ที่เมือง ซีแอตเทิล

นั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นที่แจ๊ค ได้ถือโอกาส ไปทำความรู้จักกับ internet เสียหน่อย เพราะอุตส่าห์มาตั้งไกลแล้ว จึงได้ซื้อตั๋วเครื่องบินมุ่งหน้าไปยัง ซีแอตเทิล ทันที

มุ่งหน้าสู่ ซีแอตเทิล เพื่อค้นหา internet
มุ่งหน้าสู่ ซีแอตเทิล เพื่อค้นหา internet

ซึ่งเมื่อถึงเมือง ซีแอตเทิล แจ๊คไปตามที่อยู่ที่เพื่อนให้ไว้ และไปพบกับลูกเขยของเพื่อนอย่างรวดเร็ว เขาคือแซม ที่ขณะนั้น กำลังก่อตั้งบริษัท VBN บริษัทขนาดเล็ก ซึ่งตอนนั้นกำลังให้บริการ ISP เจ้าแรกแห่ง Silicon Valley แถมยังเป็นบริษัทแรกที่ทำธุรกิจนี้ในอเมริกาอีกด้วย

และนี่เป็นครั้งแรกที่แจ๊ค ได้เห็นเจ้า internet กับตาตัวเอง ซึ่งคอมพิวเตอร์ที่แจ๊คเห็นตอนนั้นคือเครื่อง PC386 ที่ทันสมัยที่สุดในโลกของยุคนั้น ซึ่งมีราคาอยู่ที่ประมาณ 600-700 เหรียญ

PC386 เครื่องคอมพิวเตอร์สุดแรงในสมัยนั้น
PC386 เครื่องคอมพิวเตอร์สุดแรงในสมัยนั้น

แจ๊คซึ่งตอนนั้นแทบจะไม่เคยเห็นเจ้าคอมพิวเตอร์มาก่อนเลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึง internet ซึ่งเป็นสิ่งที่ใหม่มากในยุคนั้น และเริ่มทดลองใช้มัน โดยลองพิมพ์คำว่า “Beer” ลงใน Search Engine ของ Yahoo ซึ่งต้องบอกว่าตอนนั้น Yahoo ในยุคก่อนการเกิดของ Google นั้นถือเป็น Search Engine ที่ทันสมัยที่สุดในโลก internet เลยก็ว่าได้

เมื่อ คีย์ คำว่า “Beer” แล้วกด enter เขาก็ตาลุกวาวทันที มันเต็มไปด้วยผลการค้นหา ทั้งเบียร์อเมริกันยี่ห้อต่าง ๆ เบียร์ญี่ปุ่น เบียร์เยอรมัน เบียร์ฝรั่งเศษ ต่างพากันปรากฏขึ้นมาให้หน้าผลการค้นหา

yahoo search engine ชื่อดังก่อนยุค google ครองโลก
yahoo search engine ชื่อดังก่อนยุค google ครองโลก

แต่สิ่งที่ทำให้แจ๊คสงสัยมากที่สุด คงจะเป็น ทำไมถึงไม่มีเบียร์จีนโผล่ขึ้นมาเลย แจ๊คนึกในใจว่า หรือเบียร์ฝรั่ง จะมีชื่อเสียงมากกว่าเบียร์จีน พวกฝรั่งคงรู้จักแต่เหมาไถของกุ้ยโจว แต่ไม่รู้จักเบียร์จีนกันอย่างแน่แท้

แต่เขาก็คิดอีกว่า ต่อให้ไม่พบเบียร์จีนใน internet แต่ถ้าจะหา ประเทศจีน ที่มีประชากรถึง 1 ใน 5 ของโลกและมีเนื้อที่ใหญ่โตมหาศาล คงจะหาเจอละมั๊ง

และแล้ว เขาจึงบรรจง คีย์คำว่า “China” ลงในช่อง search engine ของ yahoo อีกครั้ง ผลปรากฏว่าบนจอขึ้นคำที่เหลือมากคือ “no data” หรือไม่มีข้อมูล

เจ้า internet มันไม่รู้จักประเทศจีน มันเป็นไปได้ไง แจ๊ครู้สึกสะเทือนใจ และผิดหวังอย่างมาก และคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ และแล้ว มันก็เป็นเวลาที่เขาครุ่นคิดอย่างหนัก

หลังผ่านไปราวหนึ่งนาที แจ๊ค ก็ได้ถามแซมว่า “ผมตั้งสำนักแปลภาษาอยู่ที่หังโจว จะเอามันเข้าไปอยู่ในโลก internet ได้ไหม” ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องเพียงแค่นี้ มันไม่ได้เป็นปัญหาของแซมอยู่แล้ว

และเวลานั้นเอง แจ๊ค ผู้แสนฉลาดได้เริ่มคิดการณ์ใหญ่ขึ้นมาแล้ว เขาได้ปิ๊งไอเดียที่เขาจะทำการขยายธุรกิจของสำนักแปลไห่โป๋ได้แล้ว ทีมงานของแซม ก็เริ่มทำตามความต้องการของแจ๊ค โดยสร้างเว๊บเพจสำนักแปลไห่โป๋เสร็จ และอัพโหลดขึ้น internet ทันที

มันเป็นหน้าเว๊บที่เรียบง่าย จนเข้าขั้นน่าเกลียดเลยด้วยซ้ำ ไม่มีภาพ ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีโฆษณา Flash มีแต่คำอธิบายเป็นตัวอักษรไม่กี่ตัวอักษร คือ เป็นการแนะนำสำนักแปลไห่โป๋ บวกกับรายการค่าจ้างแปล เช่น 1,000 ตัวอักษร คิด xx หยวน เป็นต้น พร้อมกับ email ในการติดต่อ

เสร็จงานหลังจากวันนั้น แซม ก็ได้พาแจ๊คออกไปเที่ยว ทั้งเช้า และ เย็น จนแจ๊คนั้นแทบไม่ได้พักเลยด้วยซ้ำ  และเมื่อเขากลับถึงที่พักเพื่อที่จะพักผ่อน ทว่าเขาเพิ่งจะเอนตัวลงไปกำลังจะนอนเท่านั้น

เสียงกริ่งโทรศัพท์ข้างเตียงก็ดังขึ้น แจ๊คตกใจ น้ำเสียงปลายสายเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “แจ๊ค รีบมาดู มีอีเมล์ถึงคุณห้าฉบับ”

เป็นเสียงแซม นั่นเองที่โทรมาจากบริษัท VBN แจ๊ค จึงรีบวิ่งตรงไปยังบริษัท ที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักนัก เมื่อเปิด email ของตนเอง ก็ตกใจมาก มี mail ส่งถึงแจ๊ค ทั้งจาก อเมริกา ญี่ปุ่น และ ยุโรป มีทั้งหน่วยงานรัฐ รวมถึงบริษัทเอกชนด้วย

ในจำนวนหนึ่งของ email เหล่านี้เขียนไว้ว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่เราพบเว๊บของบริษัทประเทศจีน คุณอยู่ที่ไหน เราอยากทำธุรกิจกับคุณ”

แจ๊ค แทบจะไม่เชื่อสายตากับสิ่งที่ได้เห็น คราวนี้เขาเริ่มเชื่อถึงพลังมหัศจรรย์ของ internet อย่างหมดหัวใจแล้ว เขาเริ่มตื่นเต้น และดีใจจนเนื้อเต้น

ตอนนั้น ได้เกิดความคิดวาบขึ้นในสมองของแจ๊คทันที : เขาจะกลับประเทศไปสร้างธุรกิจทำ internet เขาจึงบอกกับแซมและทีมในบริษัท VBN ทันที “พวกเรามาร่วมมือกัน พวกคุณ (บริษัท VBN) รับผิดชอบด้านเทคนิคที่นี่ ผมจะกลับไปทำธุรกิจ บุกเบิกลูกค้า ขยายกิจการ ที่ประเทศของผม”

และมันเหมือนโชคชะตา ฟ้าลิขิต ที่นำพา แจ๊ค หม่า ให้มาได้พบเจอกับ internet โลกใบใหม่ ที่เขาแทบไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต การเดินทางมายังอเมริกาครั้งนี้ ได้เปลี่ยนความคิดของชายคนนี้ไปตลอดกาล ด้วยหัวทางธุรกิจที่เขามีอยู่แล้วเป็นทุนเดิมนั้น  เมื่อกลับไปถึงเมืองจีน แจ๊ค จะทำอย่างไรกับ เจ้า internet สิ่งมหัศจรรย์ สิ่งนี้ โปรดติดตามในตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 2 : ChinaPages

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

Blog Series : Jack Ma Rise of the Dragon

blog series ชุดก่อนๆ  หน้าที่ผมได้เขียนมานั้น จะเป็นบริษัทเทคโนโลยีทางฝั่ง Silicon Valley เสียเป็นส่วนใหญ่ สำหรับในชุดใหม่นี้ ผมจะขอย้ายถิ่นฐานจากโลกตะวันตกสุด จากดินแดน Silicon Valley มาสู่เมืองจีน ดินแดนที่กำลังเดินหน้าสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะทางด้านเทคโนโลี ไม่แพ้ฝั่งโลกตะวันตกเลยในขณะนี้

ผมขอเริ่มด้วยเรื่องของ Jack Ma อดีตครูสอนภาษาอังกฤษธรรมดา ๆ คนหนึ่งในเมืองหางโจว ที่ได้เริ่มต้นสร้างธุรกิจอย่าง Alibaba ให้สามารถกลายเป็น อาณาจักร E-Commerce ขนาดใหญ่ที่สุด แห่งหนึ่งของโลกในปัจจุบัน

อาณาจักรที่สร้างสถิติการเปิดขายหุ้น IPO ในตลาด New York Stock Exchange ด้วยเงินระดมทุน ที่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งมีผลทำให้ Alibaba กลายมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงกว่า สามแสนล้านเหรียญสหรัฐ เขาทำในสิ่งที่เหลือเชื่อเช่นนี้ได้อย่างไร

Blog Series ชุดนี้ นำเนื้อหาหลักมาจากหนังสือ Alibaba : The House That Jack Ma Built ที่เป็นหนังสือ ที่เล่าเรื่องราวของ Jack Ma และ อาณาจักร Alibaba ตั้งแต่จุดเริ่มต้น จนถึง ปี 2016 ผ่านสายตา คนที่เป็นคนวงใน อย่าง Duncan Clark ซึ่งเป็นอดีตที่ปรึกษาของบริษัท Alibaba Group ที่เห็นภาพการเติบโต และ ปัญหา อุปสรรค ต่าง ๆ ที่ Jack Ma ได้เผชิญ ก่อนที่ Alibaba จะมายิ่งใหญ่ได้อย่างในปัจจุบัน

หนังสือ Alibaba : The House That Jack Ma Built
หนังสือ Alibaba : The House That Jack Ma Built

และข้อมูลจากหนังสือแปลไทยอีกเล่มที่เป็นอัตถชีวประวัติ แจ๊ค หม่า (มีชีวิตอยู่เพื่อสะท้านโลก) ที่มาจากนักเขียนจีนอย่าง หลิวซื่ออิง และ เผิงเจิง โดยการแปลขอบคุณ ชาญ ธนประกอบ 

ชีวประวัติ แจ๊ค หม่า มีชีวิตอยู่เพื่อสะท้านโลก
ชีวประวัติ แจ๊ค หม่า มีชีวิตอยู่เพื่อสะท้านโลก

และเหมือนเคย ผมจะนำมาเรียบเรียง เรื่องราวใหม่ โดยใส่ข้อมูลเพิ่มเติม จากแหล่งอื่นๆ เช่น Wikipedia และ ข้อมูลจากเว๊บไซต์ต่าง ๆ  ซึ่งอาจจะทำให้ Timeline ของเนื้อหานั้น อาจจะเปลี่ยนไป และ เขียนในสไตล์ของผม ซึ่ง รับรองว่าคุณจะสนุก กับ ประวัติ ที่โชกโชน ของ Jack Ma และ Alibaba อย่างแน่นอนครับ โปรดติดตามกันด้วยนะครับผม

–> อ่านตอนที่ 1 : Internet

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

หนังสือ Alibaba : The House That Jack Ma Built by Duncan Clark

หนังสือ ชีวประวัติ แจ็ค หม่า มีชีวิตอยู่เพื่อสะท้านโลก
ผู้เขียน หลิวซื่ออิง
ผู้แปล ชาญ ธนประกอบ

Book Review : ชีวประวัติ แจ๊ค หม่า มีชีวิตอยู่เพื่อสะท้านโลก

หนังสือเล่มนี้ถือเป็นหนึงในหนังสือที่ผู้ที่ทำ Start Up หรือ เหล่า Entrepreneur ควรที่จะหามาอ่านเป็นอย่างยิ่ง ถือว่าเป็นการรวมรวมประวัติของ Jack Ma ที่มีรายละเอียดที่มากที่สุดเล่มนึง ซึ่งทำการแปลโดยสำนักพิมพ์ postbooks

ด้วยเนื้อหาของหนังสือที่ค่อนข้างเยอะมาก โดยมีรายละเอียดปลีกย่อยของประวัติ Jack Ma ค่อนข้างเยอะมาก ตั้งแต่ช่วงชีวิตการเรียน จนมาสร้างบริษัท Starup และจนประสบความสำเร็จเป็นเจ้าของ Alibaba ในปัจจุบัน และทำ IPO ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก จนมีมูลค่า Market Cap สูงถึง 7.3 ล้านล้านบาทซึ่งทำให้กลายเป็นบริษัทที่มูลค่าสูงสุดติดอันดับต้น ๆ ของโลกเลยก็ว่าได้

ประวัติของ Jack Ma นั้นถือว่าไม่ธรรมดาเพราะเริ่มต้นด้วยอาชีพการเป็นครูภาษาอังกฤษ และแทบไม่มีพื้นฐานทางด้านความรู้ของ internet เลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยโชคชะตา และ โอกาส ทำให้เค้านั้นได้กลายเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งในจีนทันทีเมื่อบริษัทได้ทำ IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐ

ในช่วงเริ่มต้นนั้น jack ma ได้มีโอกาสเป็นตัวแทนของทางเมืองหังโจวเพื่อไปเจรจาทางกาค้ากับบริษัทในอเมริกา เพื่อตรวจสอบความมีตัวตนของบริษัททางฝั่งอเมริกาที่จะมาลงทุนในประเทศจีน ในเมืองบ้านเกิดของเค้าคือ หังโจว  ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ทำให้เค้าได้พบเจอกับ internet ซึ่งในยุคนั้นถือว่ายังเป็นสิ่งที่ใหม่มากของโลกเลยก็ว่าได้ เพราะอเมริกาเป็นจุดเริ่มต้นของ technology internet การที่ jack ได้ประเจอกับสิ่งใหม่คือ internet ทำให้เค้ามีความคิดที่จะกลับบ้านมาสร้างกิจการ internet ที่บ้านของเขาในเมืองจีน ซึ่งแทบจะว่ายังล้าหลังมาก ๆ ในยุคนั้น

่jack ma นั้นเริ่มต้นด้วยการสร้าง web directory ของประเทศจีนและเป็นเจ้าแรก ๆ ในจีนที่ได้สร้างเว๊บไซต์ขึ้น โดยที่เขานั้นยังไม่มีความรู้ใด ๆ  โดยมีการติดต่อกับบริษัทในอเมริกาเพื่อให้สร้าง website ให้และนำมาจัดจำหน่ายในประเทศจีน ซึ่งในยุคนั้น แทบจะไม่มีคนจีนรู้จักกับ internet รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีนั้นในจีนแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ทำให้ในตอนแรก มีแต่คนมองว่าเค้าเป็นคนหลอกลวง ซึ่งเค้าก็เพียรพยายามสู้ทุกอย่างเพื่อให้ลูกค้าได้เข้าถึงโอกาสสำคัญที่จะทำให้มีการปฏิวัติการทำธุรกิจในประเทศจีนด้วยระบบ internet

สิ่งที่ jack ma ทำนั้นก็เปรียบเสมือน YAHOO ของประเทศจีนเพื่อทำการ promote ธุรกิจผ่าน website โดยลูกค้าสามารถสมัครเพื่อนำ profile ของบริษัทตัวเองขึ้นสู่ง website เป็น model การทำธุรกิจง่ายๆ  ในสมัยนั้น แต่เนื่องจากไม่มีใครที่มีความรู้เลยในประเทศจีน จึงทำให้ jack ma ถูกมองว่าเป็นบิดาแห่ง internet ประเทศจีนเลยก็ว่าได้ จนต้องถูกทางการที่ปักกิ่งโดยกระทรวงการค้าญี่ปุ่นเรียกตัวไปช่วยสร้างระบบทางการค้าให้กับกระทรวงการค้าของประเทศจีนเพื่อให้สู่ระบบ online เป็นหน่วยงาน แรก ๆ ของประเทศจีนที่ได้สัมผัสกับ internet

แต่การทำงานกับรัฐบาลจีนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลยสำหรับ jack ma ในที่สุดเค้าก็รู้ความจริงว่าถูกหลอกจากรัฐบาลจีนว่าจะให้หุ้นส่วน แต่ความจริงแล้วนั้น รัฐบาลนั้นไม่สามารถให้หุ้นส่วนกับ jack ได้เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านกฏหมาย ซึ่งจุดนี้เป็นจุดแรกที่ทำให้ jack เข้าใจถึงความโหดร้ายของการทำธุรกิจกับรัฐบาลจีน และเนื่องจากเค้านั้นทำงานได้ประสบความสำเร็จกับกระทรวงการค้าจีน และแม้เค้าจะได้รายได้ที่ค่อนข้างดี แต่เค้ามองที่การทำธุรกิจตั้งแต่แรก เค้าจึงเบนเข็มกลับบ้านเกิดที่เมืองหังโจว เพื่อสร้างธุรกิจของตัวเองอย่างเต็มที่ ซึ่งการทำงานกับกระทรวงการค้าจีนนั้นก็ทำให้ jack ma ได้เห็นถึงโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของ model ธุรกิจแบบ B2B ซึ่งมี SME อยู่จำนวนมากในประเทศจีนที่ต้องการที่จะเข้าสู่ระบบ internet การมุ่งหน้ากลับมาสร้างธุรกิจใหม่ของ jack นั้นถือว่าเป็นจุดสำคัญ เค้าปฏิเสธงานจากหลายๆ  ที่แม้กระทั่ง YAHOO ในประเทศจีนก็เคยเสนอให้เค้ามาดูแล แต่ jack ma นั้นไม่สนใจแต่อย่างใด เค้ามีเป้าหมายในตัวเองอยู่แล้วที่จะสร้าง website B2B ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกให้ได้

การเริ่มต้นสร้าง alibaba นั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากสำหรับ jack ma เนื่องจากเงินทุนเริ่มต้นที่น้อยนิด และเค้าต้องการเริ่มต้นด้วยทุนของตัวเองทั้งหมด จึงได้รวบรวมเงินกับพนักงานผู้ก่อตั้งของเค้าและมากองรวมกัน เพื่อให้ทุกคนได้เป็นหุ้นส่วนของบริษัทใหม่อย่างเต็มตัว และทุ่มเทให้กับการทำงานเต็มที่เพราะทุกคนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ alibaba มาตั้งแต่แรก  เริ่มแรกนั้นก็ใช้บ้านของ jack เป็น office เริ่มต้นในเมืองหังโจวและทุกคนก็มาอยู่ร่วมกัน พวกพนักงานอย่าง programmer ก็แทบจะใช้ชีวิตทั้งกินนอน และทำงานกันอยู่ที่นั่น ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัท startup ส่วนใหญ่ในตอนเริ่มต้นทำกันทั้งในอเมริกาหรือประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

ในช่วงแรกนั้นบริษัทประสบปัญหาต่าง ๆ มากมาย ทั้งเงินทุน ทั้งเรื่องของคนเนื่องจากเป็นพนักงานเพียงไม่กี่คนและทำ website ขนาดใหญ่ที่ต้องการนำ SME ทั่วโลกมาใช้บริการโดยเริ่มต้นจากประเทศจีนบ้านเกิดของเค้าเอง และ สิ่งสำคัญคือตอนนั้น jack ก็ยังไม่ได้คิด model ธุรกิจการทำเงินที่ชัดเจนจึงประสบกับปัญหาสภาวะขาดทุนในช่วงปีแรก ๆ เป็นอย่างมากจนแทบจะไม่มีเงินบริษัทเหลือ

ทางเดียวที่จะทำให้บริษัทอยู่รอดต่อไปนั้น jack ต้องทำการหานักลงทุนเพื่อเข้ามาลงทุนร่วมและเข้าใจเป้าหมายระยะยาวของ alibaba เพื่อให้เป็น partner ร่วมกันไปอีกหลายปี และเนื่องจาก jack นั้นมีการเลือกที่ค่อนข้างละเอียดในส่วนของนักลงทุน จึงทำให้ปฏิเสธการลงทุนไปหลายรายมาก ๆ เค้ามองว่าในอนาคตนั้นบริษัทจะมีมูลค่ามหาศาลแน่ ๆ จึงพิถีพิถันกับการเลือกนักลงทุนที่จะเข้ามาร่วมกับ jack แม้บางบริษัทจะให้เงินทุนจำนวนมาก แต่ jack ก็ปฏิเสธอย่างไม่ใยดีในช่วงแรก เพราะเขาต้องการผู้ลงทุนที่มีวิสัยทัศน์เช่นเดียวกับเขาและมองการลงทุนในระยะยาวมากกว่า การเข้ามาเพื่อหากำไรในระยะสั้น

สุดท้ายบริษัทที่ได้ลงส่วนแรกคือ Goldman sachs ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจอยู่เหมือนกันที่เป็นบริษัททางด้านการลงทุนจากอเมริกา ซึ่งช่วงนั้น jack ก็ได้ขุนพลสำคัญที่จะมาเป็น CFO คู่ใจของเขาอีกยาวนานคือ โจเซฟ ไช่ ซึ่งเป็นนักเรียนนอกจาก harward และทำงานบริษัทใหญ่ ๆ มานักต่อนักแล้ว ซึ่งเป็นสเน่ห์ที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ alibaba ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน jack มีความสามารถในการดึงดูดคนเก่ง ๆ มาร่วมงานได้อย่างง่ายดาย  โจเฟซ ไช่ ก็เช่นกันยอมทิ้งเงินเดือนสูง จากบริษัท Investor AB มาร่วมงานกับบริษัทเล็ก ๆ ในเมืองหังโจวอย่าง alibaba เพราะเค้าได้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ของ jack นั่นเอง

เงินลงทุนหลายล้านเหรียญในช่วงแรกนั้น jack ma ทุ่มทุนไปกับการจ้างคน และย้ายที่ทำการบริษัทใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม โดยช่วงนั้น alibaba ก็เริ่มมีชื่อเสียงกับนักลงทุน มีนักลงทุนหน้าใหม่มากหน้าหลายตามาติดต่อ jack เพื่อที่จะลงทุนกับเขา และนั่นเป็นที่มาให้เขาได้พบนักลงทุนทางด้านยุทธศาสตร์ที่สำคัญกับ alibaba ในอนาคตที่สำคัญอย่าง มาซาโยซิ ซัน จาก Softbank ประเทศยี่ปุ่น ซึ่งคนนี้ถือเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญในการขยายตลาดสำหรับ alibaba ในช่วงเริ่มต้น เพราะทาง มาซาโยซิ ซันนั้นได้ให้ลงทุนถึง 30 ล้านเหรียญ สำหรับการถือหุ้น 40% ของ Alibaba ทำให้ alibaba มีเงินทุนสำหรับการขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกทั้งการตั้งศูนย์ R&D ในอเมริกา การตั้ง สำนักงานใหญ่ในฮ่องกง และ การขยายไปยังทวีปยุโรป

ตัว มาซาโยซิ ซัน นั้นเป็นนักลุงทุนที่เน้นลุงทุนในบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกอยู่แล้ว ในช่วงหนึ่งนั้นมูลค่าหุ้นของเค้าแทบจะทำให้เค้ากลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกแซงหน้า bill gates ไปเลยก็ว่าได้ แต่เนื่องจากการประสบกับปัญหาของฟองสบู่ดอทคอม ในช่วงปี 2000 นั้นก็ทำให้มูลค่าหุ้นของเขาหายไปกว่า 90% เลย แต่เค้าก็พร้อมที่จะรับความเสี่ยงนี้ต่อไปโดยหลังจาก ช่วงปี 2000 บริษัทดอทคอมก็เริ่มกลับมาบูมอีกครั้ง และเขาก็ได้กระจายการลงทุนไปยังทั่วโลกจนตอนนี้ ก็แทบได้ว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีลำดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น และของโลก

หลังจากได้เงินทุนจำนวนมหาศาลจาก softbank นั้น jack ก็เน้นไปที่การขยายกิจการเพิ่มขึึ้น และใช้เงินเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการจ้างคนที่มีคุณภาพจากฝั่งอเมริกาและยุโรป ทำให้เงินทุนค่อยๆ ร่อยหรอลงไปเรื่อย ๆ จนแทบจะใกล้หมด กว่าเขาจะรู้ตัวเงินก็เหลือเพียงแค่ไม่กี่ล้านเหรียญแล้ว jack จึงต้องผ่านบททดสอบครั้งใหญ่ในการพากิจการก้าวไปข้างหน้าให้ได้ โดยเขาต้องทำการปลดพนักงานออกเป็นจำนวนมากทั้งในอเมริกา ยุโรป และ ฮ่องกง ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่สำคัญครั้งนึงของ jack ในการบริหาร alibaba เลยก็ว่าได้

หลังจากนั้น jack ก็เริ่มมาสนใจธุรกิจที่นอกเหนือจาก B2B อย่าง B2C หรือ C2C จุดใหญ่ที่สำคัญที่เป็นบทพิสูจน์ความเก่งกาจของ jack คือการสร้างธุรกิจ C2C อย่าง เถาเป่า บริษัทการที่แทบจะเลียนแบบ ebay มาเลยก็ว่าได้ ซึ่งในตอนนั้น ebay นั้นเป็นยักใหญ่ในบริษัท C2C และ B2C ของโลกโดยมีการลงทุนเข้าซื้อบริษัทยักใหญ่ในจีน และควบรวมกลายเป็น ebay china ซึ่งครองตลาดกว่า 80% ในขณะนั้น

ebay นั้นพร้อมทุกอย่างทั้งบุคคลากร และเงินทุนจำนวนมากจาก อเมริกา จึงไม่มีใครสามารถสู่ได้ในขณะน้น แต่ jack ก็พร้อมที่จะรบเต็มที่สร้าง เถาเป่า ขึ้นมาเพื่อมาสู้กับ ebay โดยเฉพาะ และสงครามก็เริ่มขึ้น ebay ทุ่มทุน โฆษณาอย่างยิ่งใหญ่ ใช้งบไปหลายร้อยล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการสร้างตลาดใหม่ขึ้นมา ทำให้มูลค่าตลาด C2C นั้นสูงขึ้นอย่างมากและ เถาเป่า ก็สู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรี และเนื่องจากการที่ jack เป็นคนจีน จึงเข้าใจวัฒนธรรมของคนจีนมากกว่า และ สร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวจีนมากกว่า ทำให้ ผู้บริโภคย้ายมาใช้บริการของ เถาเป่าเป็นจำนวนมาก จนในที่สุดก็สามารถชนะ ebay ได้ จนทำให้ ebay ต้องถอนการลงทุนจากจีนออกไป ซึ่งจุดนี้เป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญของ jack ในการบริหารกิจการเล็ก ๆ และล้มยักใหญ่อย่าง ebay ในจีนได้

หลังจากศึก ebay นั้น alibaba group ก็แทบจะครองธุรกิจ ecommerce จีนแบบเบ็ดเสร็จ และเค้าได้สร้างนวัตกรรมที่สำคัญอีกหลายอย่างทั้ง alipay , alimama , china smart logistics เพื่อ inegrate service ของ alibaba ทุกอย่างเข้าด้วยกัน รวมถึงการได้ partner ที่สำคัญอีกบริษัทอย่าง YAHOO ที่สุดท้ายก็ต้องยก YAHOO ประเทศจีนให้กับ alibaba ของ jack ma โดยแลกกับหุ้นส่วน กว่า 40% ในบริษัท alibaba และยอมร่วมเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เช่นเดียวกับ softbank จากญี่ปุ่น

และสุดท้ายบริการที่ยิ่งใหญ่อีกตัวหนึ่งของ alibaba สำหรับตลาดธุรกิจ B2C คือ Tmall โดยมีการแยกออกมาจาก เถาเป่า ซึ่งเป็นบริการล่าสุดของ alibaba group ทำให้ alibaba แทบจะครอบครองส่วนแบ่งการตลาดแบบเบ็ดเสร็จของ ecommerce ในประเทศจีน ซึ่งแค่ยอดขายในวันที่ 11/11 ของทุก ๆ ปีนั้น alibaba group ก็จะมีการลดราคาครั้งยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะในปี 2013 นั้น แค่วันเดียวก็สามารถทำยอดขายได้กว่า หลายหมื่นล้านเหรียญ ซึ่งแซง ecommerce ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ อเมริกาเป็นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

สรุปหนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่อ่านแล้วจะเข้าใจ jack ma และความสามารถของเค้านั้นได้พิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่าเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำพาบริษัท alibaba ก้าวเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกบริษัทนึงในอนาคตอันใกล้นี้คาดว่า alibaba นั้นก็จะเป็นบริษัท ecommerce ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้อย่างแน่นอนเนื่องจากการ มีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญครบหมดแล้วทั้งด้านการชำระเงิน logistics และ platform ที่ครอบคลุมทั้ง C2C , B2C, และ B2B จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อทำ IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐแล้วนั้นบริษัทจะทำให้บริษัทมีมูลค่ากิจการสุงถึง 7.3 ล้านล้านบาท และ ในอนาคต alibab จะเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อย่างแน่นอน

เก็บตกจากหนังสือ 

  • Jack Ma นั้นไม่ได้เป็นคนที่พื้นฐานความรู้ทางด้าน technology ที่แข็งแกร่งแบบเดียวกับผู้ก่อตั้งทาฝั่งอเมริกาเลยแต่ก็สามารถนำพาบริษัท technology ที่ยิ่งใหญ่ได้
  • เสน่ห์ที่่สำคัญของ jack คือการที่สามารถดึงดูดคนเก่งมาร่วมงานได้ และยอมถวายชีวิตการทำงานให้กับวิสัยทัศน์ของเค้าได้
  • การลงทุนทางด้านบริษัทเทคโนโลยีนั้นมีความเสี่ยงสูง แต่ return of investment ก็สูงมาก ๆ  เช่นเดียวกัน จึงทำให้ดึงดูดนักลุนทุนจำนวนมาก เช่น YAHOO, Softbank ที่เข้ามาลงทุนกับ alibaba นั้นก็แทบจะไม่มายุ่งกับการบริหารของ alibaba มากมายเลย