ทำไม Elon Musk ถึงเกลียด Lidar? เรียบง่ายแต่ปฏิวัติวงการ เบื้องหลังการถอดเซนเซอร์ของ Tesla

หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไม Tesla ถึงกล้าถอดเซนเซอร์ออกจากรถของพวกเขา? เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ ที่ Tesla ทำในสิ่งที่สวนกระแสของอุตสาหกรรม เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของปรัชญาการทำงานที่น่าสนใจ

ในปี 2021 Tesla ได้ตัดสินใจถอดเรดาร์ออกจากชุดเซนเซอร์ และล่าสุดก็มีการถอดเซนเซอร์อัลตร้าโซนิกทั้งหมดออกไปอีก จนเหลือแค่ระบบกล้อง (Vision) เท่านั้น การตัดสินใจแบบนี้ทำให้หลายคนต่างสงสัย

แล้วการเลือกตัดแบบนี้จะทำให้ระบบการรับรู้ของรถยนต์ยากขึ้นหรือง่ายขึ้นกันแน่?

ก็ต้องบอกว่าเมื่อพูดถึงเซนเซอร์ในรถยนต์ หลายคนมักคิดว่ายิ่งมีมาก ระบบจะยิ่งเทพ แต่ความจริงแล้ว เซนเซอร์พวกนี้อาจกลายเป็นภาระมหาศาลที่ทำให้ระบบเละเทะได้เช่นเดียวกัน

เซนเซอร์ไม่ได้มาฟรีๆ ต้องมีทีมจัดซื้อ มีห่วงโซ่อุปทาน เจอปัญหาชิ้นส่วน ต้องเปลี่ยนเมื่อเสียหาย และถ้ามีปัญหา ก็ทำให้สายการผลิตสะดุดได้ง่ายๆ

ยิ่งไปกว่านั้น เซนเซอร์แต่ละชนิดต้องมีทีมเขียนเฟิร์มแวร์ ต้องบูรณาการเข้ากับระบบรวม ทำให้โครงสร้างองค์กรบวมใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนอาจกลายเป็นองค์กรที่จัดการได้ยากในที่สุด

Elon Musk มีแนวคิดโครตเจ๋งที่ว่า “ชิ้นส่วนที่ดีที่สุดคือไม่มีชิ้นส่วน” เขาเข้าใจเรื่องเอนโทรปี (ความไร้ระเบียบ) ในองค์กร และพยายามกำจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปตลอด

หลายคนอาจมองไม่เห็นต้นทุนที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเมื่อพิจารณาต้นทุนทั้งหมด เซนเซอร์พวกนี้อาจเป็นภาระที่ไม่คุ้มค่า เนื่องจากเซนเซอร์แต่ละประเภทมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วันนี้ใช้เรดาร์แบบหนึ่ง พรุ่งนี้อาจเป็นอีกแบบหนึ่ง ทำให้ต้องสร้างระบบฐานข้อมูลที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรองรับความหลากหลายนั้น

สุดท้ายแล้ว เซนเซอร์พวกนี้สร้างสัญญาณรบกวน เพิ่มความไม่เป็นระเบียบ และทำให้องค์กรต้องกระจายความสนใจออกไป ไม่สามารถมุ่งเน้นไปที่สิ่งสำคัญจริงๆ ได้

เมื่อ Tesla เลือกที่จะทำงานเฉพาะกับระบบกล้อง ทรัพยากรทั้งหมดจะถูกมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีเดียว ทำให้สามารถสร้าง data engine และพัฒนาระบบไปข้างหน้าได้อย่างเต็มรูปแบบ

กล้องเป็นเซนเซอร์ที่มีแบนด์วิดธ์มากที่สุด มีความท้าทายสูงสุด และเมื่อลงทุนเต็มที่กับมัน ก็จะพัฒนาให้ดีขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด ไม่ต้องกระจายความสนใจไปที่อื่น

การถกเถียงระหว่าง Lidar และกล้องทำให้หลายคนสับสน แต่ประเด็นจริงๆ ควรอยู่ที่การมีฝูงยานพาหนะ (fleet) สำหรับเก็บข้อมูลมากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าประเภทของเซนเซอร์มาก

Lidar มีราคาแพงมาก ๆ มีปัญหาสารพัด และต้องการการปรับแต่งที่ซับซ้อน ซึ่งสร้างความยุ่งยากและเพิ่มความไม่เป็นระเบียบให้กับระบบอย่างมาก

เมื่อมองภาพรวม ประเด็นสำคัญอยู่ที่การสร้างฝูงยานพาหนะขนาดใหญ่ที่เก็บข้อมูลจำนวนมหาศาล และบูรณาการเข้ากับระบบข้อมูลที่แข็งแกร่ง

ระบบ Vision มีความจำเป็นเพราะโลกถูกออกแบบมาสำหรับการรับรู้ด้วยสายตาของมนุษย์ และในขณะเดียวกันแค่ระบบเดียวมันก็เพียงพอเพราะมีข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับการขับขี่

สังเกตว่ามนุษย์ก็ใช้การมองเห็นเป็นหลักในการขับรถ ไม่ได้ใช้เรดาร์หรือ Lidar แต่อย่างใด ดังนั้น Vision จึงทั้ง “จำเป็น” และ “เพียงพอ” สำหรับการขับขี่อัตโนมัติ

การเพิ่มเซนเซอร์อื่นๆ ทำได้ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ในที่สุดก็ต้องขีดเส้นและตัดสินใจว่าอะไรคือสิ่งจำเป็นจริงๆ ซึ่ง Tesla มองว่าเซนเซอร์นอกเหนือจาก Vision หรือ กล้อง ไม่คุ้มค่าพอ

บริษัทอื่นๆ ตัวอย่างเช่น Waymo ที่พัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติเช่นเดียวกับ Tesla เลือกใช้วิธีสร้างแผนที่ความละเอียดสูงล่วงหน้า และจำกัดพื้นที่ที่รถวิ่งได้

การสร้างและบำรุงรักษาแผนที่ที่มีความแม่นยำระดับเซนติเมตรสำหรับทุกพื้นที่ที่รถจะวิ่งผ่าน เป็นเรื่องบ้าคลั่งและไม่สมเหตุสมผล หากเรากำลังพูดถึงการปฏิวัติระบบขนส่งระดับโลกที่ต้องมีการ scale ระบบได้ง่าย

มนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีแผนที่ละเอียดระดับเซนติเมตรในการขับรถ แค่รู้ว่ามีทางแยกข้างหน้าก็พอ Tesla ใช้ข้อมูลแผนที่แบบเดียวกับ Google Map แต่ไม่ได้ทำแผนที่แบบละเอียดยิบ

การทำแผนที่แบบละเอียดอาจจะทำให้เสียสมาธิ เพิ่มความไม่เป็นระเบียบ และทำให้ทีมกระจายความสนใจออกไป แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่ปัญหาคอมพิวเตอร์วิชั่นที่แท้จริง

การลดทอนเซนเซอร์ลงเหลือเพียง Vision ไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพแย่ลง ในทางกลับกัน การมุ่งเน้นทรัพยากรไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีเดียวให้แข็งแกร่งที่สุด ทำให้ระบบพุ่งทะยานขึ้นได้เช่นเดียวกัน

การลดความซับซ้อนยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ เนื่องจากมีจุดที่อาจเกิดความล้มเหลวน้อยลง ระบบที่พึ่งพาเซนเซอร์หลายประเภทอาจจะล้มเหลวได้ง่ายหากเซนเซอร์ใดเซนเซอร์หนึ่งมีปัญหา

เมื่อไม่ต้องกังวลกับการรวมข้อมูลจากเซนเซอร์หลายประเภท ทีมวิศวกรสามารถรังสรรค์อัลกอริทึมการประมวลผลภาพให้แม่นยำและเร็วขึ้น นำไปสู่การพัฒนาที่ก้าวกระโดด

มนุษย์ขับรถได้อย่างปลอดภัยโดยใช้แค่ตาเป็นหลัก แม้จะได้ยินเสียงและรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวด้วย แต่การมองเห็นยังเป็นประสาทสัมผัสหลักในการขับขี่

การพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติโดยเลียนแบบวิธีการรับรู้ของมนุษย์จึงเป็นแนวทางที่มีเหตุผล แทนที่จะเพิ่มเทคโนโลยีเซนเซอร์ที่มนุษย์ไม่เคยต้องใช้มาก่อน

การมุ่งพัฒนาระบบ Vision ให้มีความสามารถเทียบเท่าหรือเหนือกว่าความสามารถในการมองเห็นของมนุษย์จึงเป็นเป้าหมายที่ตรงจุดและได้ผลมากกว่า

ข้อได้เปรียบมหาศาลของ Tesla คือการมีฝูงรถกว่าล้านคันที่วิ่งอยู่บนท้องถนนทั่วโลก ทำหน้าที่เป็นเครื่องเก็บข้อมูล ข้อมูลจากสถานการณ์จริงเหล่านี้มีค่ามากในการฝึกอัลกอริทึม AI

การมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้จากข้อมูลจริงในโลกจริง แทนที่จะพึ่งพาแผนที่สร้างไว้ล่วงหน้าหรือเซนเซอร์พิเศษ ทำให้ระบบของ Tesla มีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดีกว่า ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับการขับขี่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คาดคิด

การตัดสินใจของ Tesla ในการลดจำนวนเซนเซอร์อาจผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์อัตโนมัติทั้งหมดเปลี่ยนแนวคิด บริษัทอื่นๆ อาจเริ่มลดการพึ่งพาเซนเซอร์หลากหลายประเภทในอนาคต

เมื่อเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์วิชั่นและการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) มีความก้าวหน้ามากขึ้น การใช้กล้องเพียงอย่างเดียวก็อาจมีประสิทธิภาพเพียงพอและคุ้มค่ากว่า

การตัดสินใจของ Tesla ในการลดเซนเซอร์ลงเหลือแค่ Vision สะท้อนปรัชญาการทำงานที่มุ่งเน้นความเรียบง่ายและประสิทธิภาพ แม้จะดูเหมือนลดความสามารถลง แต่จริงๆ แล้วเป็นการมุ่งเน้นทรัพยากรไปที่เทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงสุด

การลดความซับซ้อนช่วยลดความไร้ระเบียบและเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนา ในขณะที่การมีฝูงยานพาหนะขนาดใหญ่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลจากโลกจริง สร้างความได้เปรียบที่สำคัญในการปลุกปั้นระบบ AI

ในท้ายที่สุด การถกเถียงเรื่องเทคโนโลยีเซนเซอร์ไม่ควรมุ่งเน้นเพียงประเภทของเซนเซอร์ แต่ควรพิจารณาถึงระบบโดยรวม รวมถึงความสามารถในการเก็บข้อมูล การประมวลผล และการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง ซึ่งจะเป็นตัวขีดชะตาผู้ชนะในการแข่งขันพัฒนายานยนต์ขับขี่อัตโนมัติในอนาคต

Geek Story EP323 : ทำไม Elon Musk ถึงเกลียด Lidar? เรียบง่ายแต่ปฏิวัติวงการ เบื้องหลังการถอดเซนเซอร์ของ Tesla

การพัฒนารถยนต์ขับขี่อัตโนมัติเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและท้าทาย โดยเฉพาะในประเด็นของเทคโนโลยีเซนเซอร์ที่ใช้ในการรับรู้สภาพแวดล้อม ในช่วงที่ผ่านมา Tesla ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการถอดเซนเซอร์ออกจากระบบขับขี่อัตโนมัติของพวกเขา เริ่มจากการถอดเรดาร์ออกเมื่อปี 2021 และได้ทำการถอดเซนเซอร์อัลตร้าโซนิกทั้งหมดออกไปด้วย เหลือเพียงระบบกล้อง (Vision) เท่านั้น

การตัดสินใจนี้สร้างคำถามมากมายในวงการยานยนต์และเทคโนโลยี หลายคนสงสัยว่าการพึ่งพาเพียงกล้องอย่างเดียวจะทำให้ปัญหาด้านการรับรู้ยากขึ้นหรือง่ายขึ้น พอดแคสต์ EP นี้จะพาคุณไปสำรวจแนวคิดเบื้องหลังการตัดสินใจของ Tesla ผ่านมุมมองของผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม รวมถึงเปรียบเทียบกับแนวทางของบริษัทอื่นๆ ที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติเช่นกัน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/2jmyfn82

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/5fjh5f7r

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/262uxmaw

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/PneQmheETwE

Geek Story EP321 : ทำไมสหรัฐฯ ถึงกลัวโรงงานแบตเตอรี่จีน? เมื่อจีนควบคุมห่วงโซ่อุปทานแบตเตอรี่โลก สหรัฐฯจะรับมืออย่างไร

จีนมั่นใจว่า “ถ้าเราควบคุมการผลิต เราก็จะควบคุมราคาได้” ผลที่ตามมาคือบริษัทจีนควบคุมสัดส่วนที่สำคัญของอุปทานแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับแบตเตอรี่ทั่วโลก แต่จุดที่จีนควบคุมห่วงโซ่อุปทานอย่างแท้จริงคือขั้นตอนหลังการทำเหมือง ไม่ว่าใครจะทำเหมืองแร่ธาตุเหล่านี้

จีนทำการกลั่นแร่ส่วนใหญ่ของโลก นี่คือขั้นตอนที่โรงงานบดย่อยวัตถุดิบที่ขุดได้และสกัดแร่ธาตุที่ต้องการออกมา ซึ่งสร้างมลพิษค่อนข้างมาก นั่นคือเหตุผลที่เรามักไม่เห็นการกลั่นแร่มากนักในประเทศที่พัฒนาแล้ว จากนั้นโรงงานจีนยังผลิตส่วนประกอบทั้งสี่อย่างของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่ด้วย: แคโทด แอโนด อิเล็กโทรไลต์ แล้วนำมาประกอบเป็นเซลล์แบตเตอรี่ เพราะมีการผลิตแบตเตอรี่ที่พัฒนามาอย่างดีแล้ว

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/3zmvrm6k 

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4r93kf2t

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/4hedjkxx

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/v-gnXnQGk_w

‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’ จริงหรือ? ยุคทองของไทยกำลังจะจบลงหรือนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นครั้งใหม่

ประเทศไทย ศูนย์กลางการผลิตรถยนต์เจ๋งที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขนานนามตัวเองว่า “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” แต่คำถามที่น่าสนใจก็คือฉายานี้ยังใช้ได้อยู่จริงหรือ?

ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านกำลังสงสัยกับตำแหน่งที่ไทยภาคภูมิใจนี้ และด้วยการมาของรถยนต์ไฟฟ้าที่พุ่งทะยาน ทำให้พวกเขามีโอกาสที่จะเข้ามาแทนที่อย่างแท้จริง ไทยจะรักษาตำแหน่งผู้นำในการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคได้หรือไม่?

ย้อนไปหกทศวรรษ ไทยพัฒนาจากการประกอบรถแบบ Complete Knock-down (นำชิ้นส่วนจากต่างประเทศมาประกอบ) สู่การผลิตครบวงจรในโรงงาน 18 แห่งทั่วประเทศ ความสำเร็จนี้มาจากแรงงานราคาถูก ภาษีนำเข้าสูง การยกเว้นภาษี และข้อตกลงการค้าเสรี

ปี 1960 รัฐบาลไทยผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง มุ่งเน้นยานยนต์และอุตสาหกรรมโดยรวมด้วยการเพิ่มภาษี และถึงขั้นห้ามนำเข้ารถยนต์ เพื่อกระตุ้นการผลิตในประเทศอย่างเต็มที่

ช่วงทศวรรษ 1980-1990 ไทยเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศ “เสือแห่งเอเชีย” เพราะบทบาทสำคัญในการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วน ทำให้ไทยเป็นที่เชิดหน้าชูตาในวงการอุตสาหกรรมระดับภูมิภาค

ทุกอย่างเริ่มต้นในยุค 60 ด้วย Ford และ Nissan ปี 1961 Ford เปิดไลน์ประกอบในประเทศผลิตรถรุ่น Cortina แต่ตลาดเล็กมาก ผลิตได้เพียง 525 คันในปีนั้น

ปี 1962 Nissan ก่อตั้งโรงงานประกอบรถญี่ปุ่นแห่งแรกในกรุงเทพฯ มีพนักงานแค่ 120 คน และผลิตรถได้เพียงวันละ 4 คัน ซึ่งถือว่าน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับปัจจุบัน

การลดหย่อนภาษีและนโยบายอื่น ๆ ดึงดูดแบรนด์นานาชาติให้เข้ามาในตลาดมากขึ้น มาถึงปี 2023 ไทยผลิตรถยนต์ได้ถึง 1.83 ล้านคัน ผู้ผลิตชั้นนำอย่าง Toyota, Isuzu, Honda, Mitsubishi, Nissan และ Ford ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกและจังหวัดระยอง

ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นเข้ามาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ เนื่องจากไทยมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจมากกว่าประเทศอื่นในเอเชียเล็กน้อย ซึ่งในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรามักจะเห็นแบรนด์ญี่ปุ่นเต็มไปหมด

บริษัทอย่าง Toyota และ Ford ต่างมาสร้างโรงงานในไทย สิ่งนี้สร้างรากฐานและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการที่ประเทศไทยได้รับฉายา “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” และแบรนด์อื่น ๆ ก็ตามกันมาเป็นขบวน

ปี 2002 สถาบันยานยนต์ไทยประกาศแผนที่จะเป็น “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” นี่เป็นความทะเยอทะยานสุด ๆ เพราะดีทรอยต์เปรีบเสมือนบ้านเกิดของผู้ผลิตรถยนต์ที่มีอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นคือ “Big Three” ได้แก่ Ford, General Motors และ Chrysler

ปี 1913 Henry Ford ปฏิวัติการผลิตรถยนต์ด้วยการริเริ่มสายการผลิตแบบประกอบ ซึ่งลดต้นทุนการผลิตลงอย่างมหาศาล ทำให้รถยนต์มีราคาถูกลงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น นี่คือจุดกำเนิดของการผลิตรถยนต์จำนวนมาก

การที่ไทยตั้งเป้าเป็นดีทรอยต์แห่งภูมิภาคอาจจะเป็นแค่ความฝัน เพราะประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็อยากมีส่วนแบ่งในตลาดการผลิตรถยนต์เช่นกัน

การตั้งฐานการผลิตที่มีต้นทุนต่ำ แต่ยังสามารถผลิตรถยนต์ราคาถูกและส่งออกไปยังตลาดอย่างยุโรปหรือสหรัฐฯ โดยไม่ต้องจ่ายภาษี การผลิตในประเทศไทยจึงมีเหตุผลทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้าง make sense

เราอาจจะเห็นพาดหัวข่าวเกี่ยวกับสงครามการค้าหรือภาษีนำเข้า ภาษีที่บริษัทต้องจ่ายเมื่อนำเข้าสินค้าเข้าสู่ประเทศที่ไม่ได้ผลิตสินค้านั้น ซึ่งมันเป็นวิธีง่าย ๆ ในการให้ความได้เปรียบแก่เศรษฐกิจและผู้ผลิตในประเทศ

สถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนรุนแรงถึงขั้นเรียกว่า “สงครามการค้า” ในปี 2024 ภาษีรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนในสหรัฐฯ พุ่งจาก 25% เป็น 100% จึงมีเหตุผลทางเศรษฐกิจที่จะย้ายกำลังการผลิตบางส่วนออกจากจีนหรือสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีเหล่านี้

ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายมองหาฐานการผลิตในพื้นที่ที่มีต้นทุนต่ำ โดยเฉพาะค่าแรงงาน พวกเขาต้องการมีฐานการผลิตต้นทุนต่ำทั้งในจีนและประเทศอื่น ๆ อย่างไทย

ผู้ผลิตจากจีนกำลังมาแรงสุด ๆ มี 9 รายแล้ว และ BYD เพิ่งสร้างโรงงานทันสมัยเสร็จในปี 2024 ด้วยเงินลงทุนราว 500 ล้านดอลลาร์ ผลิตรถยนต์ได้ 150,000 คันต่อปี เป็นโรงงานแห่งแรกที่ BYD เป็นเจ้าของทั้งหมดนอกจีน

หากพิจารณารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนรุ่นแรก ๆ อย่าง Neta หรือ BYD ที่มักนำเสนอฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่อัดแน่นทำให้ผู้บริโภคไทยเริ่มหันมาสนใจ และกำลังสร้างผลกระทบอย่างชัดเจน

พวกเขากำลังสร้างการรับรู้เพราะ BYD เป็นบริษัทที่มีความทะเยอทะยานสูงมาก ๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก สิ่งนี้กำลังปรับโฉมการผลิตรถยนต์ไทยอย่างมาก

ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Toyota และ Honda ที่ค่อนข้างช้าในการเปลี่ยนไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า ตอนนี้ต้องมาแข่งขันกับแนวคิดแบบจีนที่ว่า “ทุกอย่างต้องเป็นไฟฟ้า” อย่างเข้มข้น

ผู้ผลิตรถยนต์จากจีนมองว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกเป็นโอกาสที่จะแข่งขันในระดับโลกได้ ในอดีต พวกเขาประสบปัญหาในการพิสูจน์คุณภาพหรือทำให้ผู้บริโภคนอกจีนซื้อแบรนด์ของพวกเขา

มักเป็นเพราะปัญหาคุณภาพหรือการรับรู้ว่าเป็นรถคุณภาพต่ำกว่าเมื่อเทียบกับผู้ผลิตจากยุโรปและสหรัฐฯ แต่ด้วยการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า ทุกคนอยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกันมากขึ้น

จีนมีความได้เปรียบในฐานะผู้บุกเบิกรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง BYD และผู้ผลิตแบตเตอรี่อย่าง CATL ก็ล้วนก็พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานของตัวเอง

สิ่งนี้อาจกดดันซัพพลายเออร์ท้องถิ่นของไทยหรืออาจถึงขั้นทำให้พวกเขาถึงคราล่มสลายได้เลย และอีกประเด็นที่อาจทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าคือการค้นพบลิเธียมในภาคใต้ของประเทศเมื่อเร็ว ๆ นี้ คาดว่าในอนาคตจะสามารถนำลิเธียมมาพัฒนาเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสำหรับรถ EV ได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคัน

แต่สิ่งที่เคยได้ผลสำหรับประเทศไทยก็เป็นสิ่งที่ประเทศอื่น ๆ สามารถทำได้เช่นกัน มาเลเซียและโดยเฉพาะอินโดนีเซียกำลังไล่ตามประเทศไทยอย่างหนัก ในขณะที่โลกกำลังหันไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า

ตามข้อมูลของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย การผลิตรถยนต์ของไทยลดลงจากจุดสูงสุดในปี 2013 ที่ 2.46 ล้านคัน เหลือ 1.88 ล้านคันในปี 2022 ลดลงประมาณ 23% ในช่วงเวลาเดียวกัน อินโดนีเซียเพิ่มการผลิตขึ้น 30% ถึง 1.47 ล้านคันในปี 2022

ปัจจัยสำคัญที่สุดคือขนาดของตลาดภายในประเทศ เพราะการขายในประเทศง่ายกว่าการขายบางส่วนในประเทศแล้วส่งออก และนี่คือจุดที่อินโดนีเซียได้เปรียบอย่างมาก แม้ว่าอินโดนีเซียจะไม่มีประวัติศาสตร์ด้านการผลิตยานยนต์มากนัก

อินโดนีเซียมีอย่างอื่นที่น่าสนใจมาก: ประเทศนี้เป็นแหล่งนิกเกิลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณสำรองประมาณ 22% ของปริมาณสำรองทั่วโลก นิกเกิลเป็นโลหะที่สำคัญมากสำหรับการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

อินโดนีเซียส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องด้วยการลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือเพียง 1% Hyundai จากเกาหลีใต้และ SAIC-GM-Wuling จากจีนเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอินโดนีเซียในปี 2022 และแม้แต่ Tesla ก็กำลังมองถึงการสร้างโรงงานที่นั่น

Ernst and Young ถึงกับคาดการณ์ว่าอินโดนีเซียจะแซงหน้าไทยกลายเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในทศวรรษหน้า

อินโดนีเซียไม่ต้องการให้บริษัทต่าง ๆ เข้ามาเอานิกเกิลไปแล้วก็หายเข้ากลีบเมฆ พวกเขาต้องการนำบริการที่มีมูลค่าเพิ่มเข้ามา รัฐบาลอินโดนีเซียกำลังใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือในการดึงดูดบริษัทซัพพลายเออร์ทั้งหลายในอุตสาหกรรมยานยนต์ให้เข้ามาลงทุนในประเทศ

พวกเขาเชิญชวนให้เข้ามาสร้าง กลั่นนิกเกิลในประเทศ และจ้างคนอินโดนีเซียมากขึ้นเพื่อผลิตรถยนต์ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ฉลาดสุด ๆ ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรธรรมชาติของตัวเอง

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่แน่นอน: ผู้ผลิตรถยนต์จีนจะย้ายออกนอกประเทศจีนในอนาคตอันใกล้นี้เนื่องจากภาษีของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีเหล่านี้ 40% ของชิ้นส่วนรถยนต์จำเป็นต้องผลิตนอกประเทศจีน

ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตที่พัฒนาแล้วซึ่งเติบโตมาหลายทศวรรษ และอินโดนีเซียอาจเป็นตลาดส่งออกที่ดีและมีศักยภาพสำหรับตลาดภายในประเทศที่น่าสนใจด้วยประชากรถึง 275 ล้านคน

บทบาทสำคัญอาจขึ้นอยู่กับประเทศใดที่สามารถทำข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปได้ก่อน ตำแหน่งศูนย์กลางการผลิตรถยนต์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังรอให้แย่งชิงกันในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ไม่ว่าจะเป็นการเชิดชูแบรนด์ญี่ปุ่นหรือการจับมือกับจีน ไทยต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรักษาตำแหน่งลูกพี่ในวงการนี้ ไม่เช่นนั้น อาจสูญเสียฉายา “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” ที่ภาคภูมิใจไปอย่างน่าเสียดาย

ในขณะที่เทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ากำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ประเทศที่มีวิสัยทัศน์และความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงจะเป็นผู้ชนะในที่สุด นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะขีดเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคนี้

Musk ขวาจัด กับราคาที่ Tesla ต้องจ่าย ‘คิงเมกเกอร์’ แห่งยุคดิจิทัล การเดิมพันครั้งใหญ่ที่อาจทำลายธุรกิจตัวเอง

ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผมว่าหลายคนอาจจะได้เห็น Elon Musk ในแง่มุมใหม่ ๆ เป็น Elon Musk ที่หลาย ๆ คนน่าจะไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน โดยมีเรื่องหนึ่งที่น่าจับตามองคือการที่เขาสนับสนุนพรรคฝ่ายขวาจัดในเยอรมนีอย่างเปิดเผย

มหาเศรษฐีเทคโนโลยีรายนี้โพสต์สนับสนุนพรรค Alternative fur Deutschland (AfD) บนแพลตฟอร์ม X ของเขาเองกว่า 24 ครั้ง สัมภาษณ์ผู้นำพรรค และบอกผู้ติดตาม 219 ล้านคนว่าพรรคนี้คือ “ความหวังเดียว” ของเยอรมนี

แต่เจ้าพ่อเทคโนโลยีคนนี้อาจต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่ไม่คาดฝัน เพราะแม้ AfD จะได้อันดับสองในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ แต่การสนับสนุนของ Musk ดูจะมีอิทธิพลเพียงเล็กน้อยต่อความสำเร็จนี้

CEO ของ Tesla ยังคงยืนหยัดสนับสนุนอุดมการณ์ฝ่ายขวาทั่วยุโรปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดกลับตกอยู่กับแบรนด์ Tesla ที่กำลังเละเทะไม่เป็นท่า

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า Musk อาจมีเป้าหมายระยะยาวสำหรับอาณาจักรธุรกิจ: สนับสนุนพรรคการเมืองที่มีแนวโน้มลดกฎระเบียบที่เขามองว่าขัดขวางนวัตกรรม

ย้อนไปเดือนมกราคม Musk แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนต่อสิ่งที่เขาเรียกว่า “ชั้นของกฎระเบียบและระบบราชการ” ของยุโรป หลังเจ้าหน้าที่สหภาพยุโรปขู่ลงโทษเขาเมื่อปีที่แล้ว

Musk ตอบโต้บน X ด้วยมีมจากหนัง “Tropic Thunder” ที่ว่า: “ถอยหลังก้าวใหญ่และเอา… หน้าตัวเองไปได้เลย!” แสดงถึงความแสบที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา

ต้องบอกว่า AfD ไม่ใช่พรรคธรรมดา หน่วยข่าวกรองเยอรมันจัดให้เป็น “กลุ่มหัวรุนแรงต้องสงสัย” แต่กลับกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านใหญ่ที่สุดหลังการเลือกตั้งล่าสุด แม้จะมีมลทินเชื่อมโยงกับฝ่ายขวาจัดเพราะประวัติศาสตร์นาซีของเยอรมนี

นักการเมืองอาวุโสคนหนึ่งของพรรคเคยถูกบังคับให้ถอนตัวเมื่อปีที่แล้วหลังพูดว่า SS ซึ่งเป็นกองกำลังหลักของนาซี “ไม่ใช่อาชญากรทั้งหมด” ทั้งนี้ Musk ได้ถ่ายทอดการสัมภาษณ์กับ Alice Weidel ผู้นำพรรค AfD บน X เมื่อวันที่ 9 มกราคม

ความนิยมที่พุ่งทะยานของ AfD ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเยอรมนี แต่สะท้อนการเติบโตแบบพุ่งพรวดของพรรคฝ่ายขวาจัดทั่วยุโรป

จากเดิมที่เคยเป็นแค่กลุ่มชายขอบ ปัจจุบันพรรคฝ่ายขวาจัดในหลายประเทศได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งหรือร่วมรัฐบาลในอิตาลี เนเธอร์แลนด์ ฮังการี สโลวาเกีย ฟินแลนด์ และโครเอเชีย

พวกเขาเป็นพรรคใหญ่ที่สุดหรืออันดับสองในรัฐสภาของสวีเดน ออสเตรีย และเยอรมนี มีคะแนนนิยมพุ่งในฝรั่งเศส และกำลังเติบโตในโรมาเนีย เบลเยียม สเปน และโปรตุเกส

ปัจจัยที่ดันความนิยมพรรคเหล่านี้คือการย้ายถิ่นฐานที่สูง เศรษฐกิจชะงักงัน และการรับรู้ว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถูกจำกัด – ซึ่งเป็นประเด็นที่ Musk มักจะโพสต์จี้ประเด็นเหล่านี้ใน X

มีการสังเกตว่า Musk ให้ความสนใจการเมืองยุโรปมากขึ้นหลังช่วย Trump ชนะเลือกตั้งกลับสู่ทำเนียบขาวเมื่อพฤศจิกายนด้วยเงินบริจาคกว่า 250 ล้านดอลลาร์

Musk ไม่ได้จำกัดการแสดงความคิดเห็นเฉพาะในเยอรมนี แต่ใช้ X สนับสนุนบุคคลฝ่ายขวาในอังกฤษ อิตาลี และโรมาเนีย พร้อมไม่ลังเลที่จะเยาะเย้ยผู้นำการเมืองและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหภาพยุโรป

ข้อมูลชี้ว่าเมื่อ Musk เริ่มสนับสนุน AfD ครั้งแรกวันที่ 20 ธันวาคม พรรคมีคะแนนนิยมอยู่ที่ 19.3% และสุดท้ายได้ 20.8% ในการเลือกตั้ง แสดงว่าอิทธิพลของเขาต่อผลเลือกตั้งมีน้อยมาก

นักวิเคราะห์บางคนมองว่าปัจจัยอื่นส่งผลต่อคะแนน AfD มากกว่า เช่น เหตุการณ์โจมตีรุนแรงในเยอรมนีโดยผู้ต้องสงสัยจากตะวันออกกลางและอัฟกานิสถาน ซึ่งตรงกับนโยบายของพรรคที่ต้องการเนรเทศผู้อพยพ

แม้อิทธิพลจะไม่มาก แต่ Martin Fassnacht ประธานด้านกลยุทธ์และการตลาดที่ WHU – Otto Beisheim School of Management กล่าวว่า “เขาช่วยให้ AfD ดูเจ๋งและสร้างสรรค์มากขึ้น” โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุน้อย ซึ่งอาจเป็นผลดีต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ในขณะที่ Musk สยายปีกอิทธิพลทางการเมืองในยุโรป ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าของเขากลับดิ่งลงเหว การแสดงจุดยืนทางการเมืองฝ่ายขวาจัดทำให้ยอดขาย Tesla ในยุโรปลดฮวบถึง 45% ในเดือนมกราคมเทียบกับปีก่อน ขณะที่คู่แข่งเพิ่มขึ้นกว่า 37%

ข้อมูลในช่วงต้นกุมภาพันธ์ชี้ว่าแนวโน้มการลดลงยังคงดำเนินต่อไป ผู้จัดการในอุตสาหกรรมรถยนต์ขององค์กรสี่แห่งบอกว่าส่วนแบ่ง Tesla ในการดูแลของพวกเขาคงที่หรือลดลง ส่งสัญญาณถึงช่วงเวลาท้าทายที่ Tesla กำลังเผชิญ

Reuters วิเคราะห์โพสต์ของ Musk บน X พบว่าเขาหันมาสนใจการเมืองยุโรปมากขึ้นหลังช่วย Trump ชนะเลือกตั้งด้วยเงินบริจาคมหาศาล

ในอังกฤษ Musk โจมตีนายกฯ Keir Starmer เรียกร้องปล่อยนักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาจัดที่ถูกจำคุก และสนับสนุนพรรค Reform ซึ่งมีนโยบายลดการย้ายถิ่นฐานและละทิ้งเป้าหมายการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ Trump

ในอิตาลี เขาสร้างสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายกฯ Giorgia Meloni โดยทั้งคู่กังวลเรื่องการย้ายถิ่นฐานและอัตราเกิดที่ลดลงในประเทศตะวันตก Meloni ถึงกับเรียก Musk ว่าเป็น “อัจฉริยะผู้ทรงคุณค่า”

ส่วนในโรมาเนีย Musk ส่งเสริมโพสต์เกี่ยวกับนักการเมืองฝ่ายขวาจัด Calin Georgescu และวิจารณ์ผู้พิพากษาที่ยกเลิกการลงสมัครประธานาธิบดีของ Georgescu เมื่อปีที่แล้ว ด้วยข้อสงสัยเรื่องการแทรกแซงจากรัสเซีย

Damian Tambini ผู้เชี่ยวชาญจาก London School of Economics บอกว่าแพลตฟอร์มเทคโนโลยีอเมริกันอย่าง X มีพลังมหาศาลในการกำหนดความคิดเห็นสาธารณะในยุโรป

“ไม่เหลือเชื่อเกินไปที่ Musk จะพลิกประเทศผ่านการเมืองได้” Tambini กล่าว “ซึ่งจะสร้างสมดุลอำนาจที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง” ภายในสหภาพยุโรป เมื่อรัฐบาลฝ่ายขวาจัดมีอิทธิพลมากขึ้น พวกเขาอาจช่วย Musk ยกเลิกหรือลดความเข้มงวดของกฎระเบียบที่เขาไม่ชอบ

Musk ซึ่งเข้ามาช่วย Trump ในการลดขนาดรัฐบาลกลางสหรัฐ วิจารณ์กฎระเบียบธุรกิจยุโรปอย่างเปิดเผย เรียกว่าเป็นสิ่งไม่ดีต่อการเติบโตและเป็นการเซ็นเซอร์

เขาถูกสอบสวนโดยสหภาพยุโรปเป็นเวลากว่าหนึ่งปีสำหรับการละเมิดกฎหมายที่กำกับแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ โดย X อาจเจอค่าปรับ 6% ของรายได้ทั่วโลกหากไม่จัดการกับเนื้อหาผิดกฎหมายและข้อมูลเท็จ

เมื่อวิเคราะห์การวิจารณ์ยุโรปของ Musk พบว่าเขามักแชร์ข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยันและรีโพสต์คนดัง ๆ ที่มักเผยแพร่ข้อมูลเท็จ

โพสต์ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐาน ข้อจำกัดเสรีภาพแสดงความคิดเห็น อัตราเกิดที่ลดลง และสิทธิคนข้ามเพศ เขาหลีกเลี่ยงสื่อกระแสหลัก นักการเมือง และนักวิชาการ แต่สนับสนุนเครือข่ายบัญชีฝ่ายขวาจัดใน X

หนึ่งในบัญชีที่ Musk สนับสนุนคือ PeterSweden7 โดย Peter Imanuelsen นักข่าวที่เคยบอกว่าเหตุการณ์ 9/11 เป็นการจัดฉากและการลงจอดบนดวงจันทร์เป็นของปลอม Musk รีโพสต์ข้อความบิดเบือนของเขาอย่างน้อย 6 ครั้ง

อีกบัญชีที่ Musk มีปฏิสัมพันธ์ประจำคือของ Tommy Robinson นักปลุกระดมฝ่ายขวาที่มีประวัติฉ้อโกงและทำร้ายร่างกาย ปัจจุบันติดคุกเพราะฝ่าฝืนคำสั่งศาลลอนดอน Musk เรียกร้องปล่อยตัวเขาโดยรีโพสต์ข้อความเท็จว่าเขาเป็น “นักโทษการเมือง”

Mert Can Bayar นักวิจัยจาก University of Washington บอกว่า สำหรับ Musk เจ้าของบัญชีเหล่านี้เป็นเหมือนทหารในสงครามระหว่างนักการเมืองฝ่ายซ้ายที่จำกัดเสรีภาพ กับผู้สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นฝ่ายขวา

ในขณะที่อิทธิพลของ Musk ต่อการเมืองยุโรปยังไม่ชัดเจน การเคลื่อนไหวทางการเมืองของเขาส่งผลกระทบชัดเจนต่อ Tesla ยอดขายในยุโรปดิ่งเหว หลังจากลดลง 10.8% ในปี 2024 ในช่วงที่ตลาดลดลงเพียง 1.3%

การสำรวจโดย Electrifying.com พบว่า 59% ของชาวอังกฤษที่เป็นเจ้าของรถไฟฟ้าหรือวางแผนซื้อ จะไม่เลือก Tesla เพราะ Musk มีแคมเปญต่อต้าน Tesla ใน X ด้วยแฮชแท็ก #teslatakedown และ #swasticars

ความคิดเห็นทางการเมืองของ Musk เพิ่มปัญหาให้ Tesla เมื่อ Model Y เปิดตัวปี 2020 มีรถไฟฟ้าเพียง 25 รุ่นในอังกฤษ แต่ในปัจจุบันมี 133 รุ่น เพราะแบรนด์จีนนำรถราคาไม่แพงเข้ามาลุยตลาด

Tim Albertsen ซีอีโอของ Ayvens บริษัทให้เช่ารถใหญ่ที่สุดในยุโรป กล่าวว่า “ไลน์อัพผลิตภัณฑ์ ของ Tesla ค่อนข้างอ่อนแอ”

Ben Kilbey ผู้บริหารบริษัทสื่อสารในอังกฤษ เจ้าของ Model Y สามปี บอกว่ากำลังจะเลิกใช้รถคันนี้เพราะ Musk “ผมรัก Tesla ของผม รักเทคโนโลยี แต่ไม่อยากถูกเชื่อมโยงกับการเมืองหรือเรื่องคุยโวโอ้อวดของ Musk ใน X”

การเคลื่อนไหวของ Musk ในยุโรปสะท้อนการคำนวณที่ซับซ้อนระหว่างธุรกิจและอุดมการณ์ส่วนตัว แม้การแสดงจุดยืนฝ่ายขวาจัดทำร้าย Tesla ในระยะสั้น แต่เขาอาจวางแผนระยะยาวเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่ออาณาจักรเทคโนโลยีในอนาคต

การสนับสนุนพรรคที่แนวโน้มลดกฎระเบียบอาจเป็นกลยุทธ์ให้ Tesla, SpaceX หรือ X ดำเนินการได้อิสระมากขึ้น โดยเฉพาะในสหภาพยุโรปที่มีกฎเข้มงวด

แต่การเดิมพันนี้มาพร้อมความเสี่ยงสูง ผู้บริโภคในยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มสนใจรถไฟฟ้า มักมีแนวคิดเสรีนิยมและให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและสังคม การผลักดันวาระการเมืองที่ขัดค่านิยมลูกค้า อาจทำลายแบรนด์ Tesla ระยะยาว

ความท้าทายของ Musk คือสร้างสมดุลระหว่างวาระส่วนตัวกับความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น Tesla ที่อาจกังวลเรื่องมูลค่าหุ้นและส่วนแบ่งตลาดที่ลดลง

การบูรณาการระหว่างเทคโนโลยีและการเมืองแบบนี้อาจเป็นเทรนด์ที่เติบโตในอนาคต เมื่อบริษัทเทคโนโลยีมีอำนาจมากขึ้นต่อชีวิตผู้คน ผู้นำบริษัทอาจรู้สึกมีสิทธิ์และความรับผิดชอบในการร่วมกำหนดนโยบายที่ส่งผลต่อธุรกิจ

คำถามสำคัญคือ การมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้นำเทคโนโลยีอย่าง Musk จะส่งผลดีต่อประชาธิปไตยและสังคมหรือไม่ หรือจะนำสู่การกระจุกตัวของอำนาจมากเกินไปในมือคนกลุ่มเล็กที่มีทรัพยากรและอิทธิพลมหาศาล

การเคลื่อนไหวของ Musk ในยุโรปน่าจะดำเนินต่อไป โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาความสำเร็จล่าสุดในการสนับสนุน Trump และบทบาทเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของเขา การสนับสนุนพรรคฝ่ายขวาจัดในยุโรปอาจเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์สร้างระเบียบโลกใหม่ที่เอื้อต่อวิสัยทัศน์ของเขา

ในท้ายที่สุด เรื่องราวของ Musk เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่างผู้นำธุรกิจ บริษัท และการเมือง แม้เขามีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นและสนับสนุนพรรคที่เลือก แต่การกระทำมีผลกระทบต่อทั้งธุรกิจและสังคมในวงกว้าง

ชะตากรรมของ Tesla และอิทธิพลทางการเมืองของ Musk จะเป็นเรื่องน่าจับตาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งจะบอกเราว่าเกมของมหาเศรษฐีเทคโนโลยีผู้นี้จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ในการขีดชะตาอนาคตของยุโรปและธุรกิจของเขาเอง