ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 8 : An Imperial Awakening

ในตอนเย็นของวันพุธที่ 23 ตุลาคม 2002 นักสู้ชาวเชเชนติดอาวุธอย่างหน้อยสี่สิบคนได้บุกเข้าไปในโรงละครดนตรี Dubrovka ในย่านชานเมืองมอสโกทางใต้ของเครมลิน โดยยิงไรเฟิลจู่โจมขึ้นไปในอากาศ ขณะที่นักเต้นแท็ปแดนซ์กำลังเดินข้ามเวทีเพื่อเปิดฉากที่สอง

ดูเหมือนจะกลายเป็นฝันร้ายที่สุดของ Putin ตั้งแต่ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี นักสู้ชาวเชชเนียที่นำโดย Movsar Barayev หลานชายของกลุ่มกบฎที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของเชชเนีย เรียกร้องให้ยุติสงครามที่กระทำโดยรัสเซีย

ข่าวปิดล้อมกระฉ่อนไปทั่วมอสโก เหล่านักการเมืองฝ่ายค้านและเจ้าหน้าที่ความมั่นคงรวมตัวกันนอกโรงละครท่ามกลางความมืดและสายฝนที่หนาวเหน็บ ทุกคนต่างตกใจว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรเพียงแค่สามไมล์ครึ่งจากเครมลิน มีกลุ่มกบฎจำนวนมากที่ติดอาวุธสามารถเข้าไปในโรงละครได้อย่างไร

Putin ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่ลุกลามจนควบคุมไม่ได้ ในขณะที่เขากำลังหาทางออกจากวิกฤติ เขาได้ยกเลิกการเดินทางไปเม็กซิโก ซึ่งเขาจะต้องเดินทางไปพบกับผู้นำระดับโลก รวมทั้งประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุชของสหรัฐฯ

กลุ่มกบฎได้อนุญาติให้บุคคลสำคัญบางคนเข้ามาในโรงละครเพื่อเจรจา ซึ่งรวมถึงสมาชิกรัฐสภาและนักร้องชื่อดัง Iosif Kobzon นักการเมืองฝ่ายค้านเสรีนิยม และ นักข่าว Anna Politkovskaya ซึ่งเป็นที่รู้จักจากการรายงานอย่างไม่เกรงกลัวต่อสงครามในเชชเนีย

ในที่สุดหน่วยรักษาความปลอดภัยของรัสเซียก็ได้ลงมือก่อนรุ่นสางในวันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ไห้กลุ่มกบฎวางระเบิด แก๊สจึงถูกปล่อยเข้าไปในโรงละครผ่านระบบระบายอากาศของอาคาร

ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ตัวประกันและนักสู้ชาวเชชเนียบางคนล้มลง แต่มันก็ทำให้ตัวประกันเสียชีวิตจำนวนมาก ผู้ที่รอดชีวิตถูกนำมาวางไว้ริมถนน อาเจียนบ้าง บางคนก็หมดสติ บางคนสำลักจากควันแก๊ส

การโจมตีโรงละคร Dubrovka ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก (CR:BBC)
การโจมตีโรงละคร Dubrovka ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก (CR:BBC)

วันถัดมา มีรายงานอย่างเป็นทางการพบว่ามีตัวประกันเสียชีวิต 115 ราย มีเพียงสองคนที่ถูกสังหารด้วยปืนจากกลุ่มกบฎ ส่วนที่เหลือล้วนเสียชีวิตจากแก๊ส

แต่ผลที่ตามมากลับกลายเป็นผลบวกสำหรับ Putin ประชาชนส่วนใหญ่ต่างโล่งใจที่รู้ว่ายอดผู้เสียชีวิตไม่ได้สูงมากนัก Putin ได้รับการยกย่องจากนานาชาติและนักการเมืองท้องถิ่นในการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว

คะแนนความนิยมของเขาพุ่งขึ้นสูงสุดตั้งแต่เขาได้รับตำแหน่ง แทนที่จะเผชิญกับความสั่นคลอนที่ยอมให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายติดอาวุธเข้ามาในใจกลางกรุงมอสโก บริการด้านความมั่นคงของรัสเซียกลับได้รับเงินสนับสนุนที่เพิ่มขึ้น

และที่สำคัญการโจมตีในครั้งนี้ ทำให้คนของ Putin สามารถปฏิบัติการทางทหารในเชชเนีย ยกเลิกแผนการที่จะลดจำนวนทหาร ทำให้หลังจากนั้นชาวเชชเนียนับไม่ถ้วนเริ่มหายตัวไปจากบ้านของพวกเขาในตอนกลางคืน

Putin เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น ในความฝันที่จะสร้างจักรวรรดิ์รัสเซียใหม่ เขาเริ่มที่จะเชื่อในอำนาจของเขาในฐานะซาร์องค์ใหม่ เขากล้าที่จะตัดสินใจที่เข้มงวดและมีความเผด็จการมากยิ่งขึ้น และเขาได้คนไว้ใจมาทดแทนกลุ่มคนจากตระกูล Yeltsin อย่าง Dmitry Medvedev ซึ่งได้ถูกแต่งตั้งให้เห็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของเครมลินคนใหม่

การเลือกตั้งประธานาธิบดีในวาระเทอมสองของ Putin เขาสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดายด้วยคะแนนเสียงมากกว่า 71% คู่แข่งอย่าง Gennady Zyuganov หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ และ Vladimir Zhirinovsky แห่งพรรคเสรีประชาธิปไตยแห่งชาติ ไม่สามารถจะต่อกรกับ Putin ได้เลยแม้แต่น้อย กลายเป็นว่า Nikolai Kharitonov ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมาเป็นอันดับสองด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 13

ต้องบอกว่ามันไม่ใช่การแข่งขันที่แท้จริง Putin ได้ควบคุมทุกอย่างไว้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทีวีของรัฐให้เวลาของคู่แข่งในการหาเสียงเท่ากับศูนย์สำหรับผู้สมัครฝ่ายค้าน

ในไม่ช้า KGB ของ Putin ก็เข้ามาควบคุมตำแหน่งที่ทรงอิทธิพลที่สุดในคณะรัฐมนตรี พวกเขากำลังเริ่มดำเนินการวาระที่สองโดยแทบจะไม่มีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจเหมือนในยุค Yeltsin อีกต่อไปแล้ว

กลายเป็นว่าคนเดียวที่คัดค้านการดำรงตำแหน่งในวาระที่สองของ Putin ก็คือ Lyudmilla ภรรยาของเขา เธอถูกเลี้ยงดูมาในหมู่บ้านที่ทรุดโทรมในคาลินินกราด พ่อของเธอเป็นคนขี้เมาหนักมาก และเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะปรับตัวให้เข้ากับภาระหน้าที่ใหม่ของ Putin

เป็นการยากที่ Lyudmilla จะปรับตัวให้กับ Putin ที่ทำงานอย่างหนัก ตลอดอาชีพการงานของ Putin เขาต้องออกไปทำงานเป็นเวลานานหลายชั่วโมงในทุก ๆ วัน Putin พยายามรักษาระยะห่างระหว่างเขากับภรรยา โดยพา Lyudmilla ไปออกงานอย่างเป็นทางการน้อยมาก ๆ

สำหรับอุดมการณ์ใหม่ของกลุ่ม KGB เพื่อฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของรัฐรัสเซียและสนับสนุนความสัมพันธ์ของจักรพรรดิกับอดีตสาธารณรัฐโซเวียตได้เกิดขึ้น หนึ่งในการกระทำครั้งแรกของ Putin ในฐานะประธานาธิบดี ที่สร้างความผิดหวังให้กับกลุ่ม Yeltsin คือการเรียกคืนเพลงโซเวียต ‘The Unbreakable Union of Freeborn Republics’ บทเพลงอันทรงพลัง

ซึ่งเป็นบทเพลงที่เป็นการเรียกร้องให้รื้อฟื้นอาณาจักรแห่งอดีตสหภาพโซเวียต มันได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นบทเพลงของสตาลินและความสำเร็จที่ประเทศประสบความสำเร็จในฐานะมหาอำนาจระดับโลก เช่นเดียวกับการเสียสละอันน่าสยดสยองที่เกิดขึ้นในระหว่างทาง

รวมถึงเรื่องของศาสนา ความร้อนแรงแบบใหม่สำหรับคริสตจักรออร์โธดอกซ์ดูเหมือนจะจับกลุ่มชนชั้นปกครอง Putin ได้เผยแพร่ความเชื่อทางศาสนาของเขาไปทั่วโลกในหนังสือสัมภาษณ์ที่ตีพิมพ์ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีของเขา

เขาเล่าอย่างภาคภูมิใจว่าแม่และเพื่อนบ้านในอพาร์ตเมนต์ของชุมชนเลนินกราดให้บัพติศมา (พิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน) เขาอย่างลับ ๆ โดยปกปิดไม่ให้พ่อของเขารู้ เพราะพ่อของเขาเป็นสมาชิกพรรคและไม่สามารถมีความเชื่อทางศาสนาได้

เขาเคยเล่าให้ฟังว่าในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 เมื่อเขาจะไปเยือนอิสราเอลในฐานะรองนายกเทศมนตรีเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก แม่ของเขาได้มอบไม้กางเขนบัพติศมาให้เขาเพื่อที่เขาจะได้พรที่สุสานของพระเยซู

“ผมไม่เคยถอดมันออกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา” เขากล่าว

มันดูเหมือนเป็นเรื่องแปลกสำหรับเจ้าหน้าที่ KGB ที่ใช้ชีวิตในอาชีพการงานของรัฐที่สั่งห้ามคริสตจักรออร์โธดอกซ์ให้ยอมรับความเชื่อทางศาสนา แต่ KGB ที่รายล้อมรอบตัว Putin กำลังค้นหาเอกลักษณ์ประจำชาติใหม่

หลังคำสอนของนิกายออร์โธดอกซ์ได้ก่อให้เกิดลัทธิการรวมพลังอันทรงพลังซึ่งย้อนไปไกลกว่ายุคโซเวียตจนถึงสมัยของอดีตจักรพรรดินิยมของรัสเซีย ที่กล่าวถึงความเสียสละ ความทุกข์ทรมาน และความอดทนอันยิ่งใหญ่ของชาวรัสเซีย

รวมถึงความเชื่อลึกลับว่ารัสเซียจะเป็นอาณาจักรที่สาม ต่อจาก โรม ที่จะปกครองโลกในยุคถัดไป มันเป็นอุดมคติที่จะสร้างชาติขึ้นมาใหม่จากความยากลำบากและความสูญเสีย ซึ่งมันกำลังได้รับการออกแบบเพื่อรัสเซียอีกครั้ง เพื่อให้ Putin สามารถปกครองด้วยอำนาจแบบเด็ดขาด

ในการค้นหาแนวคิดใหม่ในการสร้างประเทศหลังการล่มสลายเป็นเวลานานกว่าทศวรรษ Putin และผู้สนับสนุนของเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าลัทธิคอมมิวนิสต์ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

“คอมมิวนิสต์แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีความสามารถในการพัฒนาตนเองที่ดีพอ ทำให้ประเทศของเราล้าหลังประเทศที่ก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง มันเป็นถนนสู่ตรอกคนตาบอด ซึ่งห่างไกลจากกระแสหลักของอารยธรรมโลก” Putin กล่าวก่อนขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี

ดังนั้นในช่วงปีแรก ๆ ของการขึ้นสู่อำนาจของเขา เหล่าคณาจารย์และผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก ถูกนำเข้ามาเพื่อปลูกฝังให้ประธานาธิบดีคนใหม่อยู่ในประวัติศาสตร์ของรัฐรัสเซียใหม่ของเขา

พวกเขาได้ดึงเอาเรื่องราวของอดีตจักรวรรดิ์ออร์โธดอกซ์ของรัสเซีย Putin ได้รับการสอนเกี่ยวกับผู้อพยพผิวขาวที่หนีออกจากรัสเซียช่วงการปฏิวัติบอลเชวิค และได้ใช้ช่วงเวลาที่พลัดถิ่นพยายามสร้างอุดมการณ์ใหม่สำหรับการฟื้นฟูประเทศเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย

จุดมุ่งหมายคือการสร้างเอกลักษณ์สำหรับระบอบการปกครองของ Putin ที่จะเสริมความแข็งแกร่งไม่ให้ล่มสลายจากภายในและถูกการโจมตีจากภายนอก ทายาทสายตรงของผู้อพยพชาวรัสเซียผิวขาว ซึ่งหลายคนมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับ KGB ถูกนำเข้าสู่กลุ่มคนวงในของ Putin เพื่อเป็นผู้นำในการเชื่อมต่อกับอดีตจักรพรรดิรัสเซีย

หนึ่งในกลุ่มคนดังกล่าวอธิบายปรัชญาของการปกครองของ Putin ว่า “เป็นระบอบที่มีสามองค์ประกอบ อย่างแรกคือเผด็จการ – รัฐบาลที่เข้มแข็ง , ผู้ชายที่เข้มแข็ง องค์ประกอบที่สองคืออาณาเขต ความรักชาติ และอื่น ๆ องค์ประกอบที่สามคือคริสตจักร เป็นองค์ประกอบในการรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน”

Putin ระมัดระวังเป็นอย่างมากในการนำองค์ประกอบทั้งสามมารวมกัน มันเป็นวิธีเดียวที่จะรักษาประเทศได้ หากมีใครนำองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งออกไป ระบอบดังกล่าวจะพังทลายลงทันที

ดูเหมือนว่าภัยคุกคามที่เพิ่มสูงขึ้นต่ออิทธิพลของรัสเซียที่มีต่อเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงที่สุดในยูเครน ซึ่งในฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น การเลือกตั้งประธานาธิบดีของยูเครนกำลังใกล้เข้ามา

วาระตามรัฐธรรมนูญของ Leonid Kuchma อดีตหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ที่สร้างสมดุลระหว่างตะวันออกและตะวันตกตั้งแต่ปี 1994 กำลังจะสิ้นสุดลง

Viktor Yanukovych ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่สนับสนุนเครมลิน ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้รับการยกย่องจากที่มั่นของโดเนตสค์โปรรัสเซียในยูเครนตะวันออก กำลังเผชิญความท้าทายที่เพิ่มขึ้นจาก Viktor Yushchenko ผู้สมัครที่ชื่นชอบการบูรณาการที่ใกล้ชิดกับตะวันตก และสาปแช่งแผนการของ Putin สำหรับยูเครน

Viktor Yanukovych (ซ้าย) ฝ่ายโปรรัสเซีย vs Viktor Yushchenko (ขวา) ฝ่ายโปรตะวันตก (CR:Spiegel)
Viktor Yanukovych (ซ้าย) ฝ่ายโปรรัสเซีย vs Viktor Yushchenko (ขวา) ฝ่ายโปรตะวันตก (CR:Spiegel)

ในบรรดาอดีตสาธารณรัฐโซเวียตทั้งหมด มอสโกมักจะรู้สึกถึงการสูญเสียยูเครนหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตอย่างดีที่สุด ราวกับว่ามันเป็นแขนขาของจักรวรรดิที่รัสเซียยังคงเชื่อว่าติดอยู่กับพวกเขา

ยูเครนเคยเป็นสาธารณรัฐโซเวียตที่ใหญ่เป็นอันดับสามรองจากรัสเซียและคาซัคสถาน ประชากรเกือบ 30% พูดภาษารัสเซียเป็นภาษาหลัก และเศรษฐกิจของประเทศนั้นมีความเชื่อมโยมอย่างใกล้ชิดกับรัสเซียตั้งแต่สมัยโซเวียต

ในขณะที่ Putin พยายามยืนยันการคืนชีพของจักรวรรดิ์รัสเซีย สิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการคือให้ยูเครนหันไปทางตะวันตก แต่ประเทศถูกแบ่งแยกมานานแล้ว ซึ่งเป็นทางแยกระหว่างตะวันออกกับตะวันตกตั้งแต่สมัยก่อนการปฏิวัติ

โปแลนด์และลิทัวเนียได้ควบคุมพื้นที่กว้างใหญ่ของยูเครนตะวันตกมาตั้งแต่ปี 1686 เมื่อรัสเซียและโปแลนด์แบ่งประเทศระหว่างสองประเทศหลังสงครามสามสิบปี แม้ว่าการปกครองของสหภาพโซเวียตในภายหลังจะยุติเศษเสี้ยวของสิ่งนั้น

อิทธิพลของตะวันตกยังคงตราตรึงอย่างไม่อาจลบเลือนทางตะวันตกของยูเครน และขบวนการเรียกร้องอิสระภาพที่สนับสนุนยุโรปก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในระหว่างการปกครองของ Kuchma ได้ดำเนินการสร้างสมดุลระหว่างกองกำลังฝ่ายตะวันตกและฝ่ายสนับสนุนรัสเซียของประเทศอย่างราบรื่น

แต่ตอนนี้ Yushchenko ได้ออกมาท้าทายแผนการของ Putin ในการกระชับสหภาพแรงงานผ่านการสร้างเขตเศรษฐกิจร่วมยูเรเซียน ซึ่งรัฐสภาของทั้งสองประเทศได้ให้สัตยาบันการสร้างเขตเศรษฐกิจร่วมกันในเดือนเมษายน

ในใจของ Putin มองว่า Yushchenko ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลตะวันตกซึ่งมุ่งมั่นที่จะขัดขวางการฟื้นคืนชีพของรัสเซีย

Yushchenko สนับสนุนการรวมยูเครนเข้ากับสหภาพยุโรปและ NATO อย่างแข็งขัน แต่ทาง Kuchma ไล่เขาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเรื่องที่ Westerninising ภรรยาชาวยูเครน-อเมริกันของเขาได้รับการเลี้ยงดูในชิคาโก และไปรับราชการในกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่ง Putin มองว่า Yushchenko ได้รับการคัดเลือกจาก CIA

Putin ได้ประกาศคำเตือนครั้งแรกของเขาเกี่ยวกับยูเครนทางตะวันตกในฤดูร้อนนั้นแล้ว แต่ดูเหมือนว่าคำเตือนของเขาจะไม่เป็นผล ความนิมยมของ Yushchenko ยังคงเพิ่มขึ้นทุกวัน แม้ว่า Putin จะมีการส่งทีมงานไปยังเคียฟเพื่อระดมคะแนนเสียงของ Yanukovych

ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานฝ่ายตรงข้ามของ Yushchenko ก็เริ่มบุกโจมตี เมื่อ Yushchenko ไปทานอาหารเย็นที่กระท่อมของนายพล Ihor Smeshko หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของยูเครน

วันรุ่งขึ้นเขารู้สึกไม่สบายและซีสต์ที่น่ากลัวก็ขึ้นเต็มบนใบหน้าของเขาในวันต่อมา แพทย์ในออสเตรียซึ่งเขาบินไปรับรักษา สรุปว่าเขาได้รับพิษจากไดออกซินที่เป็นพิษสูง

และเมื่อถึงการเลือกตั้งจริง ๆ ในปลายเดือนพฤศจิกายน การแทรกแซงของ Putin ดูเหมือนจะได้ผลอีกครั้ง เมื่อ Yanukovych ได้รับชัยชนะอย่างน่าอัศจรรย์ แม้ว่าผลสำรวจความนิยมจะชี้ชัดไปที่ Yushchenko ก็ตาม

นั่นทำให้ผู้สนับสนุน Yushchenko หลายหมื่นคนพากันออกไปตามถนน รวมถึงกลุ่มคนหนุ่มสาวจำนวนมาก หลายคนรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นที่นำโดยกลุ่มเยาวชน Pora! ที่ Maidan จัตุรัสกลางเมืองเคียฟ

แม้อากาศจะหนาวเย็นยะเยือก การประท้วงก็เพิ่มขึ้น โดยมีผู้คนนับล้านมารวมตัวกันที่จัตุรัส Maidan และในท้ายที่สุด Kuchma ถูกบังคับให้มีการลงคะแนนใหม่ ภายใต้ผู้สังเกตการณ์ของทั้งในและต่างประเทศ และจบลงด้วยชัยชนะของ Yushchenko ผู้สมัครที่เกลียด Putin เข้าเส้นเลือด

สำหรับ Putin และผู้สนับสนุนของเขา มันเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่มาก ๆ ผลพวงจากเรื่องดังกล่าวที่เรียกกันว่า “การปฏิวัติสีส้ม” นั้นยิ่งใหญ่มาก

สำหรับ Putin และพันธมิตร กองกำลังของตะวันตกดูเหมือนจะเข้ามาย่างกรายใกล้ตัวเขามากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ มันเป็นฝันร้ายที่สุดของ Putin

มันเป็นการทำให้ประเทศรัสเซียอยู่ในการปิดล้อม สิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครนและจอร์เจียจะมีอิทธิพลต่อการกระทำของเครมลินของ Putin ในอีกหลายปีต่อมา

Putin มองว่าพวกเขาต้องต่อสู้เพื่ออาณาจักรและต่อสู้เพื่อตัวเอง จึงไม่สามารถปล่อยให้อิทธิพลภายนอกเกิดขึ้นได้

ในเดือนธันวาคม ไม่กี่วันก่อนการลงคะแนนเสียงครั้งที่สองในยูเครน Putin ใช้การแถลงข่าวประจำปีของเขาเพื่อต่อต้านตะวันตก ซึ่งเขาอ้างว่ากำลังพยายามแยกรัสเซียออกจากกันโดยปลุกปั่นให้เกิดการปฏิวัติในต่างประเทศที่อยู่ใกล้ ๆ กับรัสเซีย

เมื่อถึงเวลาที่ Putin กล่าวสุนทรพจน์ประจำปีเกี่ยวกับชาติในเดือนเมษายนถัดมา ประเด็นสำคัญที่เขาได้เรียนรู้จากผู้อพยพชาวรัสเซียผิวขาวในอดีตของจักรวรรดิก็ปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจน

Putin ได้กล่าวว่า รัสเซียกำลังเดินตามเส้นทางที่ไม่เหมือนใคร รูปแบบของประชาธิปไตยจะไม่เป็นไปตามแบบอย่างของตะวันตก การล่มสลายของสหภาพโซเวียต เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ยี่สิบ

ก่อนหน้านั้นหนึ่งปี คำปราศรัยของ Putin ได้เน้นเกือบทั้งหมดในด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเพิ่ม GDP เป็นสองเท่า เพื่อสร้างชีวิตที่สุขสบายสำหรับพลเมืองชาวรัสเซีย และบูรณาการอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เข้ากับเศรษฐกิจโลกและยุโรป

“การขยายตัวของสหภาพยุโรปไม่ควรเพียงแค่ทำให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้นในเชิงภูมิศาสตร์ แต่ยังรวมถึงเศรษฐกิจและจิตวิญญาณด้วย” เขากล่าวในการปราศรัยของเขาเมื่อหนึ่งปีก่อน

แต่สุนทรพจน์ในปีนี้กลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

“รัสเซียควรดำเนินภารกิจด้านอารยธรรมต่อไปในทวีปยูเรเซียน เราถือว่าการสนับสนุนระหว่างประเทศในการเคารพสิทธิของรัสเซียในต่างประเทศมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งไม่สามารถเป็นเรื่องของการเจรจาทางการเมืองและการทูตได้”

มาถึงจุดนี้ต้องบอกว่า รัสเซียกำลังประกาศให้โลกรู้ถึงขอบเขตอิทธิพลของตนใหม่ แม้จะล่าช้า แต่ตอนนี้มันกำลังอยู่บนวิถีใหม่ เพื่อเป็นการสร้างสะพานไปสู่อดีตของจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ของรัสเซียอีกครั้งแล้วนั่นเองครับผม

–> อ่านตอนที่ 9 : Kremlin Inc

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 7 : Operation Energy

ทางตะวันออกของมอสโก เหนือเทือกเขาอูราล เป็นที่ตั้งบนที่ราบกว้างใหญ่ของแอ่งน้ำมันไซบีเรียตะวันตก นับตั้งแต่นักธรณีวิทยาของสหภาพโซเวียตค้นพบแหล่งน้ำมันและก๊าซขนาดใหญ่ที่นั่น ภูมิภาคนี้จึงกลายเป็นพลังงานเบื้องหลังความทะเยอทะยานระดับโลกของจักรวรรดิโซเวียต

เหล่าวิศวกร นักขุดเจาะ และนักธรณีวิทยาที่พัฒนาพื้นที่รกร้างว่างเปล่าเหล่านี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษของสหภาพโซเวียต พวกเขาต่อสู้กับน้ำแข็งและอุณหภูมิที่ลดลงของฤดูหนาวเพื่อสร้างแท่นขุดเจาะและท่อส่งน้ำมันข้ามภูมิประเทศที่กลายเป็นทะเลสาบที่ผ่านไม่ได้และแอ่งน้ำที่มียุงระบาดในฤดูร้อน

แรงงานและหยาดเหงื่อแรงกายของพวกเขาช่วยเปลี่ยนสหภาพโซเวียตให้กลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเมื่อปลายทศวรรษที่ 80 กลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ที่สุดของโลก

นั่นทำให้น้ำมันและก๊าซที่สกัดได้ส่วนใหญ่จำหน่ายในประเทศในราคาที่คงที่ โดยให้เงินอุดหนุนการผลิตรถถังและอาวุธอื่น ๆ จำนวนมากเพื่อเป็นอาวุธแก่จักรวรรดิโซเวียตในการต่อต้านตะวันตก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกน้้ำมันที่ถูกจับตามองโดย KGB ผลกำไรที่ Soyuzneftexport ผู้ส่งออกน้ำมันผูกขาดของสหภาพโซเวียตสร้างขึ้นมาจากความแตกต่างระหว่างราคาน้ำมันในโซเวียตกับราคาโลก ซึ่งต่างกันถึงหกเท่า

มันเป็นเงินทุนที่สำคัญมาก ๆ ของจักรวรรดิโซเวียต ที่ใช้เป็นทุนในการโจมตีตะวันออกกลางและแอฟริกา รวมถึงมาตรการเชิงรุกเพื่อขัดขวางตะวันตก

เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายและสายการบังคับบัญชาของกระทรวงน้ำมันพังทลาย อุตสาหกรรมน้ำมันได้แตกออกเป็นสี่บริษัทที่แยกจากกัน Lukoil , Yukos , Surgutneftegaz และ Rosneft

แม้ว่าบริษัทเหล่านี้จะยังถูกควบคุมโดยรัฐในนาม แต่ส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยกรรมการ เหล่านายพลที่เคยบริหารสมัยโซเวียต ขณะที่กลุ่มอาชญากรที่อาละวาดในเมืองภูมิภาคของรัสเซีย พยายามลุกล้ำเข้ามา

เมื่อภาคส่วนที่มีกำไรมากที่สุดของอุตสาหกรรมดังกล่าวถูกขายออกไปในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 ภายใต้การประมูลเงินกู้เพื่อหุ้น ขุมทรัพย์ทองคำจำนวนมากสำหรับเครือข่าย KGB เหล่านี้ตกไปอยู่ในมือของเอกชน

Yukos และ Sibneft ผู้ผลิตน้ำมันไซบีเรียตะวันตกที่อยู่ใกล้เคียงถูกขายไปอยู่ในมือของนายธนาคารรุ่นเยาว์ที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาล Yeltsin นั่นก็คือ Khodorkovsky และหุ้นส่วนของ Berezovsky รวมถึง Roman Abramovich ด้วยราคาเพียง 300 ล้านดอลลาร์และ 100 ล้านดอลลาร์เพียงเท่านั้น

Khodorkovsky และ Abramovich เศรษฐีน้ำมันรุ่นใหม่ของรัสเซียในยุคนั้น (CR:GettyImage)
Khodorkovsky และ Abramovich เศรษฐีน้ำมันรุ่นใหม่ของรัสเซียในยุคนั้น (CR:GettyImage)

สำหรับ Putin และพรรคพวก KGB ของเขา แน่นอนว่าบริษัทน้ำมันเหล่านี้เป็นสิ่งเย้ายวนใจพวกเขาทันทีหลังขึ้นสู่อำนาจ ราคาน้ำมันโลกพุ่งขึ้นเกือบจะทันทีที่ Putin ได้รับการสืบทอดตำแหน่งของ Yeltsin ในฤดูร้อน 1999

Mikhail Khodorkovsky ซึ่งเริ่มต้นจากการเป็นนักศึกษาวิชาเคมีที่พูดน้อย กลายเป็นมหาเศรษฐีทีมีทรัพย์สิน 7 พันล้านดอลลาร์ การเปิดเผยอย่างเป็นทางการทำให้ Khodorkovsky กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในรัสเซีย

ในขณะที่งบประมาณของรัฐรัสเซียทั้งหมดอยู่ที่ 67 พันล้านดอลลาร์ และมูลค่าตลาดของบริษัท Gazprom รัฐวิสาหกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของรัสเซียอยู่ที่ 25 พันล้านดอลลาร์

กลุ่ม KGB มักมองว่าอุตสาหกรรมน้ำมันของประเทศเป็นหนึ่งในเกมอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ และในมุมมองของพวกเขา การควบคุมทรัพยากรน้ำมันของรัสเซียจะมีความสำคัญทั้งในการรักษาตำแหน่งของตนเองในอำนาจและในการฟื้นฟูจุดยืนของรัสเซียต่อตะวันตก 

แต่คำถามก็คือพวกเขาจะไปจัดการเรื่องนี้ได้อย่างไร เพราะตอนนี้มันไม่ใช่รัฐคอมมิวนิสต์เหมือนในอดีตที่จะยึดอะไรมาเป็นของรัฐได้ง่าย ๆ เหมือนเดิม

Putin เริ่มกระชับอำนาจด้วย Gazprom ที่เป็นของรัฐก่อน เขานำทีมงานจากเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กเข้ามายึดครอง Gazprom นำโดยกลุ่ม Siloviki (กลุ่มคนวงในของ Putin) รวมถึงกลุ่มอาชญากร Tambov มันเป็นสัญญาณครั้งแรกที่ว่ากลุ่มพันธมิตรของ Putin กำลังจะเข้ามายึดครองทรัพย์สินในระดับรัฐบาลกลาง

หัวหน้าผู้บริหารคนใหม่ของ Gazprom คือ Alexi Miller อายุ 39 ปี ชายร่างเตี้ยที่มีหนวดเครา ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศของสำนักงานนายกเทศมนตรีเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กของ Putin

กลุ่ม Siloviki เริ่มต้นสิ่งที่เรียกว่า ‘Operation Energy’ อย่างเงียบ ๆ ครอบครัว Yeltsin ยังคงรู้สึกปลอดภัยในความเชื่อที่ว่า Putin คงไม่ได้มีควาทะเยอทะยานเกินกว่าจะเป็นประธานาธิบดีมากกว่า 1 สมัย และยังคงเชื่อมั่นในความจงรักภักดีของ Putin ที่คิดว่าเชื่อฟังพวกเขาอยู่

แต่พวกเขาไม่รู้ถึงความทะเยอทะยานของ Putin ในอุตสาหกรรมน้ำมัน ที่พวกเขาเริ่มเตรียมแผนการที่จะแปรรูป Rosneft ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันรายใหญ่แห่งสุดท้ายที่เหลืออยู่

Roman Abramovich จับตาดูบริษัทนี้มานานแล้ว เขาและ Berezovsky หวังจะควบรวบกิจการเข้ากับ Sibneft เมื่อมันถูกกำหนดให้มีการแปรรูปในปี 1997

Abramovich วิ่งเต้นอย่างเงียบ ๆ เพื่อให้เส้นทางในการเข้าซื้อกิจการราบรื่น ทันใดนั้น ชุดสูทและรองเท้าอิตาลีชั้นดีก็ปรากฎขึ้นแขวนอยู่ที่โถงทางเดินของบ้านพักโนโว-โอกาเรโวของ Putin ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จาก Abramovich

ในบรรดาผู้มีอำนาจในมอสโก Khodorkovsky เป็นคนที่พยายามรวมบริษัทน้ำมันของเขาเข้ากับตะวันตกอย่างแข็งขันที่สุด ซึ่งมันได้ดึงดูดนักลงทุนและกลุ่มผู้นำชาวตะวันตกอย่างเปิดเผย

นั่นทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นกับกลุ่ม Siloviki ของ Putin เพื่อแย่งชิง Khodorkovsky ในการควบคุมบ่อน้ำไซบีเรียตะวันตกของ Yukos เป็นการประทะกันของวิสัยทัศน์สำหรับอนาคตรัสเซียและการต่อสู้เพื่อจักรวรรดิ มันคือการกำหนดการฟื้นคืนชีพของจักรพรรดิรัสเซียและความพยายามของ Putin ในการฟื้นฟูประเทศของเขาในฐานะกองกำลังอิสระต่อตะวันตก

การเข้าซื้อกิจการ VNK หรือ Eastern Oil Company ของ Khodorkovsky เป็นหนึ่งในการแปรรูปอุตสาหกรรมน้ำมันขนาดใหญ่ครั้งสุดท้ายในยุค 90 และมันก็เป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับผู้ชายที่ชื่อ Vladimir Putin เช่นเดียวกัน

นั่นทำให้ Khodorkovsky เริ่มเดิมพันทั้งหมด เขาได้เร่งขยายอาณาจักรของเขา โดยขับเคลื่อนผ่านข้อตกลงมูลค่า 36 พันล้านดอลลาร์ที่จะรวม Yukos เข้ากับ Sibneft ของ Abramovich ทำให้เกิดผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก และใหญ่เป็นอันสองในแง่ของเงินสำรอง

Khodorkovsky เชื่อว่าการควบรวมกิจการจะช่วยให้เขาได้รับความคุ้มครองอีกชั้นหนึ่ง เขาเพิ่มแรงผลักดันในการบูรณาการกับชาติตะวันตก โดยเปิดการเจรจาเบื้องหลังประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการขายหุ้นใน YukosSibneft ที่ควบรวมกิจการให้กับบริษัทน้ำมันของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น ExxonMobil หรือ Chevron ซึ่งจะเป็นเกราะป้องกันอีกชั้นหนึ่งสำหรับ Yukos เพราะทำให้มันอยู่ไกลเกินเอื้อมจากเงื้อมมือของ Putin ที่รัสเซีย

ไม่นานก่อนที่จะมีการประกาศควบรวมกิจการระหว่าง Yukos และ Sibneft เขาได้ทำให้ความทะเยอทะยานทางการเมืองของเขาชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยบอกกับโลกว่าเขาต้องการลงจากตำแหน่งผู้นำของ Yukos เมื่ออายุครบสี่สิบห้าปี นั่นคือในปี 2007 ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำหนดไว้ในปี 2008 ดูเหมือนว่าเขาจะส่งสัญญาณถึงความตั้งใจที่จะลงสมัครและขึ้นมาท้าทาย Putin อย่างชัดเจน

อำนาจของ Khodorkovsky ที่มีอิทธิพลในรัฐสภาเริ่มที่จะท้าทายอำนาจของเครมลิน สถานการณ์ทั้งหมดเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในเดือนพฤษภาคม 2003 เมื่อ Khodorkovsky พยายามหาเสียงของรัฐสภาให้มากพอที่จะสกัดกั้นความพยายามของเครมลินในการปฏิรูปภาษีภาคน้ำมันซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีเป้าหมายในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจรัสเซียให้พ้นจากการพึ่งพาน้ำมันมากเกินไป

ในไม่ช้า Putin ก็เริ่มแสดงความรู้สึกของเขาอย่างชัดเจน เขาได้เรียก Khodorkovsky, Abramovich และร้อยโทคนสำคัญของพวกเขามารับประทานอาหารค่ำแบบส่วนตัวในห้องรับแขกที่ปูด้วยไม้โอ๊คของบ้านพักโนโว-โอกาเรโว ของเขา

ระหว่างมื้ออาหาร พวกเขาจะหารือเกี่ยวกับข้อตกลงของ Exxon/Chevron แต่เมื่อพวกเขาเริ่มดื่มคอนยัคชั้นดี Putin สั่งให้ Khodorkovsky หยุดให้ทุนสนับสนุนคอมมิวนิสต์ เขาค้านโดยบอกว่าเขาตกลงที่จะให้เงินทุนกับ Voloshin และ Surkov หัวหน้าและรองเสนาธิการ แต่ Putin บอกเขาว่า ‘ปล่อยให้มันเป็นไป คุณมีบริษัทใหญ่ คุณมีธุรกิจมากมายที่ต้องทำ คุณไม่มีเวลาสำหรับสิ่งนี้’ 

และฟางเส้นสุดท้ายจริง ๆ ของ Putin ก็มาถึง ระหว่างการเยือนอเมริกา เขาได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมที่ตลาดหลักทัพย์ของนิวยอร์ก ซึ่งเขาได้พูดคุยกับผู้บริหารระดับสูงของสหรัฐฯ หลายสิบคน และยืนยันกับพวกเขาถึงความมุ่งมั่นของรัสเซียที่มีต่อเศรษฐกิจแบบตลาด

Putin ได้พบปะเป็นการส่วนตัวกับผู้บริหารระดับสูงของ ExxonMobil อย่าง Lee Raymond ซึ่งเป็นผู้นำ Exxon ผ่านการควบรวมกิจการกับ Mobil เพื่อเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีมูลค่ากว่า 375 พันล้านดอลลาร์

Raymond เป็นที่รู้จักจากสไตล์ที่ดุดันและไม่เคยมีการประนีประนอม คำพูดของเขากับ Putin เป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า เขาต้องการซื้อกิจการ YukosSibneft ในท้ายที่สุด แม้ตอนแรกจะเข้ามาถือหุ้นแค่ส่วนน้อยก็ตาม

 Lee Raymond ผู้นำของ ExxonMobil หวังจะฮุบกิจการของ YukosSibneft (CR:Financial Times)
Lee Raymond ผู้นำของ ExxonMobil หวังจะฮุบกิจการของ YukosSibneft (CR:Financial Times)

Putin ตกตะลึงอย่างชัดเจน เขาไม่เคยคิดถึงเหตุการณ์นี้ ที่ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของสหรัฐฯ สามารถที่จะควบคุมทุนสำรองของรัสเซีย ผ่าน Khodorkovsky หรือกับ Abramovich เขาคิดว่า Exxon หรือ Chevron จะถือหุ้นในส่วนน้อยเพียงเท่านั้น

สำหรับ Putin การขายหุ้นที่มีอำนาจควบคุมใน YukosSibneft ให้กับ ExxonMobile นั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เขาไม่อาจอนุมัติการขายการควบคุมทุนสำรองทางยุทธศาสตร์ของรัสเซียให้กับสหรัฐฯ อย่างเด็ดขาด มันขัดกับทุกสิ่งที่ Putin สายเลือด KGB ต้องยืนหยัดเพื่อพยายามฟื้นฟูอำนาจของจักรวรรดิรัสเซีย

Ree Raymond เดินทางมาถึงมอสโกในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เห็นได้ชัดว่าหวังจะทำข้อตกลงให้เสร็จสิ้น มีรายงานข่าวจาก Financial Times ว่า Exxon กำลังเจรจาเพื่อซื้อหุ้น 40% ใน YukosSibneft เป็นเงิน 25 พันล้านดอลลาร์

แต่แทนที่จะได้รับการต้อนรับอย่างดีจากฝั่ง YukosSibneft Raymond กลับได้รับการต้อนรับจากหน่วยตำรวจลับมากกว่า 50 คนถือปืนกลและเสื้อเกราะกันกระสุนที่กำลังบุกเข้าไปในถานที่ที่เกี่ยวข้องกับ Yukos ทั่วมอสโก รวมถึงบ้านของหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดของ Khodorkovsky ด้วย

เมื่อ Khodorkovsky ได้รับโทรศัพท์จากภรรยาของเขาว่าตำรวจกำลังจับกลุ่มอยู่นอกประตูรั้วบ้าน เขารีบส่งสัญญาณให้ Raymond เดินทางกลับไปก่อน

อย่างไรก็ตาม Khodorkovsky ปฏิเสธที่จะยอมจำนน โดยประกาศให้โลกรู้ว่าเขาพร้อมที่จะเข้าคุก หากนั่นคือสิ่งที่ต้องใช้เพื่อปกป้องบริษัทของเขา เขาจะไม่ออกจากประเทศและไม่มีทางยอมแพ้อย่างเด็ดขาด

ไม่นานก่อนรุ่งสางในเช้าวันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม 2003 เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของ Khodorkovsky ลงจอดที่สนามบินในโนโวซีบีสค์เพื่อเติมเชื้อเพลิง ได้มีหน่วยคอมมานโดติดอาวุธของ FSB บุกเข้าไปที่เครื่องบินและตะโกนว่า ‘FSB! วางอาวุธลงบนพื้น! อย่าขยับ ไม่งั้นเราจะยิง!”

Khodorkovsky ถูกจับด้วยข้อหาฉ้อโกงและการหลีกเลี่ยงภาษี และในตอนเย็นเขาอยู่ในคุก Matrosskaya Tishina ที่โด่งดังของมอสโก แทบจะทันที

การจับกุม Khodorkovsky ทำให้ชุมชนธุรกิจทั้งหมดต่างตกตะลึง เขาเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศ เป็นผู้สนับสนุนตลาดเสรีที่โดดเด่นที่สุด ชายที่ถูกเล่นงานจากการทำข้อตกลงแห่งศตวรรษ การขายบริษัทของเขาในราคา 25,000 ล้านดอลลาร์ เพียงเจ็ดปีหลังจากได้มาในราคาเพียงแค่ 300 ล้านดอลลาร์

แน่นอนว่า Putin ไม่มีทางถอยหลังอีกแล้ว แม้ว่าเขาจะปฏิเสธอย่างต่อเนื่องว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจับกุม Khodorkovsky การจับกุม Khodorkovsky แสดงให้เห็นว่าเขาไม่เข้าใจหลักการพื้นฐานของกฎของ Putin ซึ่งต่อมาผู้มีอำนาจคนอื่น ๆ ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด

“เมื่อคุณซื้อบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ในรัสเซียด้วยเงิน 150 ล้านดอลลาร์จากเงินฝากของกระทรวงการคลัง คุณต้องเล่นตามกฎของรัสเซีย” Dmitry Gololobov ทนายความคนหนึ่งซึ่งเคยทำงานกับ Khodorkovsky กล่าว

“คุณไม่สามารถพูดได้ว่าคุณเป็นเจ้าของที่ถูกต้องตามกฎหมาย การแปรรูปไม่ได้สร้างทรัพย์สินที่ถูกต้องตามกฎหมาย ผู้มีอำนาจคนอื่นเข้าใจเรื่องนี้ดี ไม่มีใครอ้างว่าเขาเป็นเจ้าของธุรกิจจริง ๆ”

วิธีคิดนี้เรียกได้ว่าขัดกับทุกสิ่งที่ Putin เคยประกาศไว้เมื่อเขาลงสมัครตำแหน่งประธานาธิบดี มันเป็นการหลอกลวงที่มีรากฐานมาจากความเชื่อของ KGB ที่พวกเขาใช้นักธุรกิจเป็นเครื่องมือเมื่อรัสเซียเปลี่ยนไปใช้ระบบแบบตลาดเสรี ทุกสิ่งทุกอย่างที่มหาเศรษฐีใหม่เหล่านี้ได้รับนั้นถือว่าเป็นหนี้พวกเขา

สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Khodorkovsky คือการแก้แค้นให้กับยุคอดีต เมื่อ KGB พ่ายแพ้ในการช่วงชิงทรัพยากรของประเทศจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจครั้งใหญ่ พวกเขาถูกผลักไสจากมหาเศรษฐีที่เอนเอียงไปทางตะวันตก

“สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Putin ในตอนนี้คือการที่ KGB ถูกปรับปรุงโฉมใหม่” อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองทหารระดับสูงคนหนึ่งกล่าว

‘KGB สร้างคณาธิปไตย และจากนั้นพวกเขาก็ต้องรับใช้มัน ตอนนี้พวกเขากำลังแก้แค้น”

ดังนั้นหลังจากการจับกุม Khodorkovsky มหาเศรษฐีที่เหลือของประเทศต่างจับตามองด้วยความสยดสยอง ในขณะที่อัยการเข้ายึดหุ้นมูลค่า 15 พันล้านดอลลาร์ของ Khodorkovsky ใน YukosSibneft

ในวันจันทร์หลังจากการจับกุม Putin ได้ตอบโต้อย่างรุนแรงและชัดเจนต่อการเรียกร้องของผู้มีอำนาจเพื่อความชัดเจน

“จะไม่มีการประชุมหรือเจรจาเกี่ยวกับกิจกรรมของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ตราบใดที่หน่วยงานเหล่านี้อยู่ภายใต้กฎหมายของรัสเซีย ทุกคนควรเท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงว่าใครจะรวยหรือจน ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน”

มันได้ก้าวสู่ยุคใหม่ของ Putin อย่างชัดเจนแล้ว Putin ได้ละทิ้งความลังเลใจในช่วงสองปีแรกของการเป็นประธานาธิบดี ต้องบอกว่าสถานการณ์มาถึงตอนนี้ Putin พร้อมที่จะท้าทายทุกอำนาจรวมถึงทรัพย์สินทางยุทธศาสตร์ของประเทศ เพื่อต่อสู้กับตะวันตก มันได้เดินทางมาถึงวันที่รัสเซียจะจะไม่มีวันเดินย้อนกลับไปจุดที่ตกต่ำเหมือนเดิมได้อีกต่อไปแล้ว

–> อ่านตอนที่ 8 : An Imperial Awakening

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 6 : The Inner Circle

มันคือวันที่ 7 พฤษภาคม 2000 อดีตเจ้าหน้าที่ KGB ซึ่งเมื่อแปดเดือนก่อนเป็นเพียงข้าราชการที่แทบจะไม่มีใครรู้จักคนหนึ่งกำลังจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีรัสเซีย ทองคำที่หยดลงมาจากผนังและโคมระย้าเป็นเครื่องยืนยันถึงแผนการของ KGB ในการฟื้นคืนชีพของจักรพรรดิ์รัสเซียได้สำเร็จอีกครั้ง

ประวัติศาสตร์ของอาณาจักรรัสเซีย ไม่เคยมีความสง่างามเช่นนี้มาก่อนในการสถาปนาเครมลิน เพราะส่วนใหญ่แล้วในอดีตที่ผ่านมาการเปลี่ยนผ่านผู้นำแต่ละครั้งเต็มไปด้วยการนองเลือด

ในแถวหน้าของบรรดาผู้ที่ปรบมือให้ Vladimir Putin ประธานาธิบดีคนใหม่ในวันนั้นคือเจ้าหน้าที่ของตระกูล Yeltsin ที่ช่วยให้เขาได้ขึ้นสู่อำนาจสูงสุด

คนแรกในหมู่พวกเขาคือ Alexander Voloshin อดีตนักเศรษฐศาสตร์ที่เคยดำรงตำแหน่งเสนาธิการของ Yeltsin ถัดจากเขาคือ Mikhail Kasyanov ที่ไต่ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในยุคของ Yeltsin

สิ่งที่ Putin เคยรับปากไว้กับตระกูล Yeltsin สิ่งแรกที่เขาทำในฐานะประธานาธิบดีคือการแต่งตั้ง Kasyanov เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อมาได้เรียก Voloshin กลับมาเป็นเสนาธิการเครมลิน

ในหมู่พวกเขามีนักธุรกิจที่เชื่อมโยงกับ KGB เช่น Yury Kovalchuk อดีตนักฟิสิกส์ที่กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Bank Rossiya ซึ่งเป็นธนาคารในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กที่สร้างขึ้นโดยพรรคคอมมิวนิสต์ในยุครุ่งเรืองของสหภาพโซเวียต

นอกจากนี้ยังมี Gennady Timchenko ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ KGB ที่เคยทำงานใกล้ชิดกับ Putin เพื่อควบคุมการส่งออกน้ำมันของเมือง คนเหล่านี้ต่อสู้เพื่อเงินและสูบเอาสินทรัพย์จากเมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กมาแทบหมดสิ้น ตอนนี้พวกเขากำลังหิวโหยกับความมั่งคั่งของมอสโกที่กำลังรอพวกเขาอยู่

ต้องบอกว่าในช่วงสองสามปีแรกในการเป็นประธานาธิบดีของ Putin กลุ่มเลนินกราด KGB เหล่านี้ คือทีมงานวงในที่สำคัญที่สืบทอดมาจากระบอบของ Yeltsin

Putin ได้ประกาศปฏิรูปแบบเสรีนิยมหลายครั้ง ซึ่งทำให้เขาได้รับเสียงชื่นชนจากนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เขาปฏิรูปภาษีเงินได้ที่ทำให้รัสเซียกลายเป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันแห่งหนึ่งของโลก

Putin ได้เริ่มดำเนินการในการปฏิรูปที่ดินที่อนุญาติให้มีการซื้อและขายทรัพย์สินส่วนตัว รวมถึงได้ว่าจ้าง Andrei Illarionov ซึ่งได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์เสรีที่มีหลักการมากที่สุดของประเทศ เข้ามาร่วมทีมเศรษฐกิจ

ด้วยการส่งออกน้ำมันที่เป็นฐานรายได้หลักของประเทศ เมื่อราคาน้ำมันถีบตัวสูงขึ้น รัฐบาลของ Putin จึงเริ่มจ่ายหนี้จำนวนมหาศาลจากกองทุนที่ฝ่ายบริหารของ Yeltsin ยืมมาจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ได้สำเร็จ ความไม่มั่นคงและความโกลาหลในยุคของ Yeltsin ดูเหมือนจะสิ้นสุดลงเสียที

โลกยังส่งเสียงเชียร์จากความพยายามของ Putin ในการสร้างความสัมพันธ์กับตะวันตก หนึ่งในนโยบายสานสัมพันธ์แรก ๆ ก็คือการปิดสถานีดักฟัง Lourdes ในคิวบา

เขาพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชของสหรัฐฯ และเป็นผู้นำระดับโลกคนแรก ๆ ที่โทรแจ้งและแสดงความเสียใจภายหลังการโจมตีเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001

เขายังฝ่าฝืนคำแนะนำของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของเขาเอง และอนุญาติให้สหรัฐฯ เข้าถึงฐานทัพทหารในเอเชียกลาง ซึ่งจะทำให้สามารถเริ่มโจมตีในประเทศเพื่อนบ้านของอัฟกานิสถานได้

ในช่วงแรกดูเหมือนว่า DNA ของอดีต KGB ของ Putin นั้นจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ขณะที่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช กล่าวว่าเมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา (Putin) บุช สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณลึก ๆ ของ Putin

แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นแค่ช่วงเวลาฮันนีมูนสั้นๆ เพียงเท่านั้น สมัยแรก ๆ ในการเป็นประธานาธิบดีของ Putin เป็นยุคแห่งการคิดใคร่ครวญและความไร้เดียงสาตามประสามือใหม่ ความพยายามในการสร้างสายสัมพันธ์กับตะวันตกไม่ได้เกิดจากความจริงใจใด ๆ แต่เนื่องจาก Putin คาดหวังอะไรบางอย่างเป็นการตอบแทน

ในเดือนมิถุนายน 2002 จอร์จ ดับเบิลยู บุช ประกาศว่าสหรัฐฯ จะถอนตัวจากสนธิสัญญาต่อต้านขีปนาวุธ ซึ่งเป็นข้อตกลงด้านอาวุธที่สำคัญที่สืบเนื่องมาจากสงครามเย็น

Putin รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกหักหลัง การถอนตัวจากสนธิสัญญาจะทำให้สหรัฐฯ เริ่มทดสอบระบบป้องกันขีปนาวุธที่เสนอให้ติดตั้งในอดีตรัฐของสหภาพโซเวียตที่อยู่ในสนธิสัญญาวอร์ซอ

มันเป็นเล่ห์เหลี่ยมของสหรัฐฯ ที่ทำให้ Putin รู้สึกเหมือนโดนดูถูก ซึ่งสหรัฐฯ อ้างว่ามีจุดประสงค์เพื่อป้องกันขีปนาวุธของอิหร่าน แต่ฝ่ายบริหารของ Putin มองว่ามันมีจุดมุ่งหมายโดยตรงมาที่รัสเซียเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

Voloshin ที่เป็นเสนาธิการของเครมลินถึงกับกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “เจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันยังคงหลงเหลือแมลงสาบที่ตกทอดมาจากสงครามเย็น”

Voloshin (ซ้าย) ที่เป็นเสนาธิการของเครมลินออกมาประนามสหรัฐฯ(CR:Wikipedia.org)

ในเวลาเดียวกัน NATO ก็ยังคงเดินทัพไปทางตะวันตกอย่างไม่หยุดยั้ง คำสัญญาจากผู้นำตะวันตกที่มีต่อ Gorbachev อดีตประธานาธิบดีของสหภาพโซเวียต ถูกเหยียบย่ำอย่างไม่ใยดี มันเป็นความโสมมของโลกตะวันตก

ปีสุดท้ายของการปกครองของ Boris Yeltsin ในช่วงสุขภาพที่ย่ำแย่ ตะวันตกทำการย่ำยีด้วยการทำให้ NATO เข้ามากลืนกินโปแลนด์ ฮังการี และสาธารณรัฐเช็ก

ในปี 2000 NATO ได้เชิญอีกเจ็ดประเทศในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกให้เข้าร่วม มันเป็นการขยายอำนาจอย่างบ้าคลั่งของตะวันตกในช่วงที่รัสเซียกำลังอ่อนแอ

ในช่วงแรกของการบริหาร Putin พยายามกระชับอำนาจต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น และได้พยายามสร้างความสมดุลระหว่างทีมงานของครอบครัว Yeltsin ที่มีแนวคิดเสรี และค่อนข้างชอบตะวันตก กับทีมงาน KGB ของเขา

แต่ในท้ายที่สุดอิทธิพลของ KGB เริ่มมากลบสิ่งอื่นแทบจะทั้งหมด โลกทัศน์ของเขาเต็มไปด้วยตรรกะของสงครามเย็น และค่อย ๆ เข้ามากำหนดและหล่อหลอม Putin อย่างช้า ๆ เพื่อพยายามฟื้นฟูอำนาจรัสเซีย เพื่อต่อสู้กับตะวันตกที่ขยายอำนาจเข้ามาใกล้ชิดมากขึ้นเรื่อย ๆ

ฝั่งของ Pugachev เขาพยายามอยู่ในเงามืด เฝ้าดูลูกน้องของเขาเหมือนเหยี่ยว พยายามสร้างสมดุลระหว่างอิทธิพลของกองกำลังที่เป็นปฏิปักษ์ ทั้งฝั่งตระกูล Yeltsin และ KGB

ในช่วงปีแรกที่ Putin ดำรงตำแหน่ง Pugachev ใช้เงิน 50 ล้านดอลลาร์ เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของครอบครัว Putin เขาได้ซื้ออพาร์ทเมนท์สำหรับอัยการของรัฐเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาเหล่านี้อยู่ภายใต้การควบคุมของ Putin และตัวเขาเอง

Boris Berezovsky ได้กลายเป็นตัวแทนผู้มีอำนาจตามแบบฉบับของยุค Yeltsin เขาเป็นบุคคลตัวอย่างที่ดีของการติดต่อกับคนวงในของ Yeltsin เมื่อกลุ่มนักธุรกิจเล็ก ๆ ต่อรองกันเบื้องหลังเพื่อแย่งชิงทรัพย์สินระดับเกรด A รวมถึงตำแหน่งข้าราชการสูง ๆ

แต่ความผูกพันที่เขาปลูกฝังกับผู้นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดนของเชชเนียทำให้เขากลายเป็นคนทรยศในสายตาของกลุ่ม KGB

คนที่รายรอบตัว Putin จะกลัวสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือสื่อ แม้ว่าช่อง ORT TV จะถูกควบคุมโดยรัฐซึ่งถือหุ้น 51% แต่ Berezovsky ซึ่งเป็นเจ้าของส่วนที่เหลือ และกรรมการและผู้บริหารในสื่อก็เป็นคนของ Berezovsky

ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม Berezovsky ได้ออกมาต่อต้าน Putin อย่างชัดเจนครั้งแรก วันรุ่งขึ้นหลังจากผู้ก่อการร้ายวางระเบิดผ่านอุโมงค์ใต้ดินใจกลางมอสโก มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ 90 ราย

เขาได้จัดงานแถลงข่าวเพื่อประกาศว่าเขากำลังสร้างกลุ่มต่อต้านเพื่อต่อสู้กับสิ่งที่เขาเรียกว่าลัทธิอำนาจนิยมของ Putin ที่กำลังเพิ่มขึ้น เขาได้เตือนว่าระเบิดดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้อีกหากเครมลินยังคงคิดจะทำลายกลุ่มกบฎในเชชเนีย มันแทบจะเป็นการจุดฉนวนระเบิดไปยัง Putin อย่างชัดเจน

Boris Berezovsky ที่ออกมาเดินหน้าท้าชน Putin (CR:Wikipedia.org)
Boris Berezovsky ที่ออกมาเดินหน้าท้าชน Putin (CR:Wikipedia.org)

Putin ต้องเผชิญวิกฤติครั้งสำคัญครั้งแรกของเขาในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อตอร์ปิโดบนเรือดำน้ำนิวเคลียร์ Kursk ลำหนึ่งของประเทศได้ถูกจุดฉนวนขึ้น ทำให้เกิดระเบิดอย่างรุนแรง และทำให้ลูกเรือจมหายไปใต้ท้องทะเล

Berezovsky ใช้ช่อง ORT TV อย่างเต็มกำลังเพื่อวิจารณ์ว่า Putin จะจัดการกับโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นอย่างไร

มันได้เกิดความสับสนเข้าครอบงำเป็นเวลาหกวัน ในขณะที่ประธานาธิบดีของประเทศกลับซ่อนตัวอยู่ในบ้านพักฤดูร้อนของเขาใกล้โซซีบนชายฝั่งทะเลดำ

Putin นิ่งเงียบโดยสิ้นเชิงในขณะที่กองทัพเรือต่างงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ครอบครัวของลูกเรือต่างตกอยู่ในความสิ้นหวัง ที่สำคัญรัสเซียยังปฏิเสธข้อเสนอความช่วยเหลือจากต่างประเทศ เนื่องจากกลัวว่าจะมีการเปิดเผยความลับเกี่ยวกับสถานะของกองเรือนิวเคลียร์ของตน

ในช่วงแรกนั้น Putin เป็นผู้นำที่ไม่มีประสบการณ์มากนัก แม้ว่าเขาทำงานมาหลายปีในการจัดการกับตะวันตกและปฏิบัติการทางทหารที่เด็ดขาดในเชชเนีย แต่เรื่องดังกล่าว ปูติน กลับตกอยู่ในความกลัว เขาแทบไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องดังกล่าวอย่างไร

ผ่านไปถึงวันที่เจ็ด Putin บินกลับมอสโกอย่างเงียบ ๆ แต่เพียงสามวันต่อมาเขาก็ปรากฎตัวต่อสาธารณะ เขาบินไป Vidyayevo เมืองที่อยู่เหนืออาร์กติกเซอร์เคิล ที่ตั้งของท่าเรือ Kursk

มีญาติของลูกเรือได้มารวมตัวกันด้วยความสิ้นหวัง พร้อมความโกรธในตัวผู้นำของพวกเขา ทางการรัสเซียอมรับในที่สุดว่าลูกเรือทั้งหมด 118 คนเสียชึวิต

สื่ออย่าง ORT TV ของ Berezovsky กล่าวหา Putin มีการสัมภาษณ์ญาติผู้โศกเศร้าและชี้ให้เห็นว่า Putin ขาดความเป็นผู้นำ Putin ต้องเผชิญกับความโกรธแค้นของภรรยาและญาติ ๆ ของผู้เสียชีวิตที่เข้ามาด่าทอเขา และถูกถ่ายทอดสดออกทีวี

นั่นทำให้ Putin เดือดดาลกับสื่อเป็นอย่างมาก และพุ่งเป้าไปที่ Berezovsky ที่ Putin มองว่าพยายามนำการเมืองเข้ามาหากินบนความโศกเศร้าของโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้น

ในช่วงกลางเดือนตุลาคม Putin เล่นงานกลับ โดยให้อัยการ เปิดคดีที่กล่าวหาว่า Berezovsky ใช้เงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ผ่านบริษัทสวิสจาก Aeroflot สายการบินของรัสเซียที่เขาเป็นเจ้าของ และพร้อมที่จะตั้งข้อกลาวหากับ Berezovsky ซึ่งทำให้เขาได้หนีออกจากรัสเซียและประกาศว่าจะไม่กลับมาเหยียบแผ่นดินรัสเซียอีก

Putin และคนของเขากกำลังใช้กลวิธีที่ได้รับการทดสอบและทดลองในสมัยที่อยู่ในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งในตอนนั้นสิ่งที่พวกเขาทำเพื่อเข้ายึดท่าเรือของเมืองและกองเรือบอลติกคือการส่งผู้อำนวยการคนเก่าเข้าคุก

แต่ในช่วงเริ่มการปกครอง พวกเขาทำอะไรได้เพียงเล็กน้อย เพราะต้องได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่ม Yeltsin ที่ยังหลงเหลืออยู่ในเครมลิน และกลุ่มของ Putin ก็ใช้แผนการเดียวกันกับการยึดท่าเรือที่เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในการยึดสื่อทั้งหมดให้มาตกอยู่ในมือของรัฐ

เขาให้ Gazprom เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในสื่ออย่าง NTV และตั้งทีมผู้บริหารใหม่ หน่วย KGB ได้เข้าไปในอาคารสำนักข่าวอย่างเงียบ ๆ และทำหน้าที่แทนยามรักษาการณ์ชุดเดิมของอาคาร

นักข่าวที่มาถึงที่ทำงานในเช้าวันนั้นจะได้รับอนุญาติให้เข้ามาได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อผู้บริหารคนใหม่ นักข่าวอาวุโสลาออกเพื่อประท้วงการยึดเอาอิสรภาพที่ได้มาอย่างยากเย็นของพวกเขา

“รัฐประหารกำลังเกิดขึ้นในประเทศ” Igor Malashenko ผู้ร่วมก่อตั้งสำนักข่าว NTV กล่าว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในการเข้ามาจัดการสื่อในประเทศแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของ Putin

เครมลินของ Putin ได้ควบคุมทุกสื่อไว้สำเร็จแล้ว ความอิสระของสื่อในยุคของ Yeltsin นั้นจบลงแล้ว

–> อ่านตอนที่ 7 : Operation Energy

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 5 : The Art of War

สำหรับมอสโก ในฤดูของปี 1999 มันได้เกิดความเงียบสงัดขึ้นที่เครมลิน สำนักงานที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยผู้คนที่มายื่นคำร้องในเรื่องราวต่าง ๆ นา ๆ บัดนี้กลับว่างเปล่า “มันเหมือนกับอยู่ในสุสาน” Sergi Pugachev นายธนาคารของเครมลินที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของเสนาธิการเครมลินกล่าว “มันเหมือนกับบริษัทที่ล้มละลาย ทันใดนั้นทุกคนก็หายสาปสูญ”

สำหรับ Pugachev และสมาชิกคนอื่น ๆ ของคนวงในของ Yeltsin ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในนาม ‘Family’ ซึ่งเป็นผู้พักอาศัยที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนในเครมลิน

มันเป็นความจริงใหม่ที่เริ่มตึงเครียดขึ้นอย่างชัดเจน Yeltsin เข้าและออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่เดือนตุลาคม และนอกกำแพงเครมลิน ดูเหมือนว่ากำลังมีการเตรียมการรัฐปรหาร

รากฐานของการปกครองของ Yeltsin กำลังจะถูกรื้อถอน ซึ่งเป็นผลมาจากการลดค่าเงินรูเบิลในหน้าร้อนที่ผ่านมา และการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลจำนวน 40,000 ล้านดอลลาร์

ธนาคารของผู้มีอำนาจหลายแห่งได้พังทลายลงในช่วงวิกฤตินี้ เงินออมของประชาชนทั่วไปก็แทบจะสูญสิ้น รัฐสภาซึ่งยังคงถูกคอมมิวนิสต์ครอบงำอยู่นั้น อยู่ในความโกลาหล

Yeltsin ถูกบังคับให้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่เป็นคนของ KGB Yevgeny Primakov อดีตสายลับที่อยู่ในหน่วยข่าวกรองต่างประเทศและเป็นเหมือนยามของเครือข่าย KGB มานานแล้ว

สมาชิกขององครักษ์เก่าของคอมมิวนิสต์ได้ควบคุมรัฐบาล เรื่องราวอื้อฉาวทางการเงินต่าง ๆ มุ่งเป้าไปที่ความตะกละของฝ่ายตรงข้ามในกลุ่มของ Yeltsin เริ่มถูกขุดคุ้ยอย่างหนัก

Yevgeny Primakov ที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหวังล้ม Yeltsin (CR:Wikipedia)
Yevgeny Primakov ที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหวังล้ม Yeltsin (CR:Wikipedia)

การสอบสวนที่คุกคามไปยังตัว Yeltsin โดยตรงเริ่มดำเนินการ หนึ่งคือกรณีของบริษัทที่ชื่อ Mabetex ซึ่งเป็นบริษัทที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักตั้งอยู่ในเมืองลูกาโนในแถบเทือกเขาแอลป์ของสวิตเซอร์แลนด์ ใกล้ชายแดนอิตาลี

ตลอดช่วงทศวรรษที่ 1990 บริษัทแห่งนี้ได้สัญญามูลค่าหลายพันล้านในการบูรณะเครมลิน ทำเนียบขาวของรัสเซีย และโครงการอันทรงเกียรติอื่น ๆ อีกมากมาย

กลุ่มนายธนาคารทั้ง 7 ที่เป็นพันธมิตรที่สำคัญของ Yeltsin เอง พวกเขาก็แทบไม่สนใจความสำเร็จในระบอบประชาธิปไตยของ Yeltsin

ในมุมมองของพวกเขา Yeltsin เป็นคนติดเหล้าที่ไม่สามารถที่จะเป็นผู้นำประเทศได้ รวมถึงกลุ่มพันธมิตรบางคนที่ได้รับอำนาจไปใช้อย่างไร้ค่าและทำบางสิ่งบางอย่างที่มันผิดกฎหมาย และกำลังจะนำประเทศไปสู่การล่มสลายอีกครั้ง

และศูนย์กลางของเรื่องราวทั้งหมดคือ Sergei Pugachev นายธนาคารเครมลินที่จะหนีไปลอนดอนและปารีสในเวลาต่อมา เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงและเป็นคนสำคัญในข้อตกลงลับ ๆ มากมายที่เกิดขึ้นในเครมลิน

ธนาคารที่เขาร่วมก่อตั้งคือ Mezhprombank ซึ่งเป็นเจ้าหนี้หลักของแผนกทรัพย์สินที่เครมลิน

ในสมัยนั้นแผนกทรัพย์สินเป็นอาณาจักรที่แผ่ขยายออกไป ควบคุมทรัพย์สินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่รัฐเก็บไว้หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต

ตลอดเวลา Pugachev ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Behdjet Pacolli เจ้าของ Mabetex เขาดูแลโครงการฟื้นฟูเครมลินทั้งหมดเป็นการส่วนตัว นับตั้งแต่การลงนามในสัญญาไปจนถึงการปรับปรุงสิ่งก่อสร้างต่างๆ ทั้งหมด

จากจุดเริ่มต้นมันเป็นการดำเนินการที่ฟุ่มเฟือยแบบสุด ๆ แม้ว่าเขาจะยืนยันว่าเขาพยายามทำให้แน่ใจว่าเครมลินได้ราคาที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม

จากต้นไม้ 23 ชนิดถูกนำมาใช้เพื่อสร้างลวดลายอันวิจิตรของพื้นพระราชวังเครมลิน มีการซื้อทองคำบริสุทธิ์มากกว่า 50 กิโลกรัมเพื่อประดับห้องโถง และผ้าไหมที่ดีที่สุด 662 ตารางเมตรสำหรับปูผนัง

เครมลินจะถูกเปลี่ยนเป็นความรุ่งโรจน์ในยุคซาร์หลังจากทศวรรษของการปกครองของคอมมิวนิสต์ซึ่งสมบัติทั้งหมดของยุคก่อนการปฏิวัติ ทั้งพื้นโมเสก เครื่องประดับล้ำค่า กระจกสีทองและโคมไฟระย้า ถูกนำออกไปและแทนที่ด้วยการตกแต่งที่เรียบง่ายที่สุด

มันเป็นงบประมาณการก่อสร้างที่สูงมาก ซึ่งกว่า 700 ล้านดอลลาร์ เป็นส่วนหนึ่งของเงินที่รัสเซียได้รับเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ รวมถึง Yeltsin ได้ลงนามสำหรับกู้เงินต่างประเทศอีกจำนวน 300 ล้านดอลลาร์ และมีการอนุมัติจากรัฐบาลเพิ่มอีก 492 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการฟื้นฟูเครมลิน

นั่นเองเมื่อเริ่มมีการสอบสวนเรื่องดังกล่าว ที่นำโดยอัยการ Yury Skuratov เป็นเวลาที่ Pugachev ต้องเริ่มเดินเกมใหม่ ตอนนั้นเองที่ Pugachev และตระกูล Yeltsin เริ่มเดินเกมเพื่อความอยู่รอดของพวกเขาที่จะช่วยผลักดันให้ Vladimir Putin สู่อำนาจ

มันเป็นทางเลือกสุดท้ายของพวกเขา หาก Primakov อดีต KGB ขึ้นสู่อำนาจจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อเสรีภาพของ Yeltsin เขาได้กลิ่นตุ ๆ ของเรื่องทุจริตทันทีที่ Primakov และทีมของเขาได้เข้ามามีอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

Yeltsin ที่ต้องเข้าและออกโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือน ทำให้เขาดูอ่อนแอลงไปเมื่อเทียบกับ Primakov ซึ่งถูกมองว่ากำลังเข้ามาโค่นล้มเขา

แต่ในเดือนเมษายน Yeltsin ได้รวบรวมกำลังพลเพื่อประลองครั้งสุดท้าย Yeltsin มีสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดเหมือนสัตว์ป่าและเก่งในเรื่องกลอุบายทางการเมืองเป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจว่าถึงเวลาต้องลงมือแล้ว

เขาเรียก Primakov ไปที่เครมลินและบอกว่าเขาถูกไล่ออก เขาจะถูกแทนที่ด้วย Sergei Stepashin รัฐมนตรีมหาดไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับ Yeltsin ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของขบวนการประชาธิปไตยและเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าคนแรกสุดของ FSB

แม้ว่าสื่อจะคาดการณ์มานานแล้วว่า Yeltsin จะทำการเคลื่อนไหวในรูปแบบดังกล่าว แต่ก็ยังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น Yeltsin รอจนถึงวินาทีสุดท้ายแล้วจัดการเผด็จศึก Primakov

ทางสภา Duma (สภาผู้แทนราษฎร) ไม่คิดว่า Yeltsin จะกล้าทำสิ่งนี้ สิ่งที่เหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย เพราะเป็นการทำให้สภา Duma ต่อต้านเขามากยิ่งขึ้นเนื่องจากส่วนใหญ่ควบคุมโดยอดีตกลุ่มคอมมิวนิสต์

แต่ต้องบอกว่าในความจริง มันตรงกันข้าม มันเป็นการแสดงความแข็งแกร่งทั้งหมดของ Yeltsin เขาทำลายกองกำลังอันทรงพลังของ Primakov อย่างสงบ และดูเหมือน สภา Duma รู้สึกกลัวกับท่าทีที่แข็งกร้าวของ Yeltsin ในครั้งนี้ นั่นทำให้แผน A ของ KGB ล้มเหลวทันที

Pugachev เองนั้นเดินหน้าหาคนที่เหมาะสมมานานแล้ว ผู้ชายที่เขาเชื่อว่าเป็นคู่หูที่ปลอดภัยที่สุด และมีความจงรักภักดีที่สุด เขาสนับสนุน Vladimir Putin ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่า Putin ควรจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง

Pugachev พบกับ Putin ครั้งแรกในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กช่วงสั้น ๆ ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 และได้รู้จักกันดีขึ้นเมื่อ Putin ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองผู้ว่าการในแผนกทรัพย์สินที่เครมลิน ซึ่งที่่นั่นเขาทำงานร่วมกันแทบจะทุกวัน

Mezhprombank ของ Pugachev มีส่วนร่วมในการระดมทุนสำหรับแผนกอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศที่ Putin เป็นหัวหน้า จากสำนักงานเล็ก ๆ ของเขาที่จตุรัสเก่า Putin ได้รับมอบหมายให้สืบสวนการถือครองสินทรัพย์ในต่างประเทศจำนวนมากที่รัสเซียได้รับสืบทอดมาจากการล่มสายของสหภาพโซเวียต

มีทั้งอาคารอันโอ่อ่าของสำนักงานตัวแทนการค้าพิเศษ มีสถานทูตและฐานทัพยุทธศาสตร์ คลังอาวุธ และเซฟเฮาส์ลับของ KGB

การถือครองเหล่านี้จำนวนมากถูกปล้นในช่วงความสับสนวุ่นวายของการล่มสลายโดย KGB และกลุ่มอาชญากร มันควรอยู่ในงบดุลของกระทรวงการต่างประเทศ แต่ไม่เคยมีการทำบัญชี งานของ Putin คือนำทรัพย์สินเหล่านี้กลับมาให้หมด

ทั้ง Pugachev และ Putin อยู่ใกล้ชิดกัน ครั้งแรกในฐานะหัวหน้าแผนกควบคุมทรัพย์สิน จากนั้นเมื่อ Putin ขึ้นเป็นหัวหน้าของ FSB Pugachev กล่าวตลอดเวลาว่า Putin เป็นลูกบุญธรรมของเขา เสน่ห์ของเขาคือ Putin อยู่ในฐานะคนที่เขาสามารถสั่งได้ ‘

“เขาชื่อฟังเหมือนสุนัข” Pugachev กล่าว

Sergi Pugachev ผู้ปลุกปั้น Putin ขึ้นสู่อำนาจสูงสุด (CR:Hello Magazine)
Sergi Pugachev ผู้ปลุกปั้น Putin ขึ้นสู่อำนาจสูงสุด (CR:Hello Magazine)

ด้วยความที่การสอบสวนเรื่อง Mabetex กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ มันได้กลายเป็นความเร่งรีบของครอบครัว Yeltsin เองในการปกป้องกลุ่มอำนาจของตัวเองให้ได้เร็วที่สุด

นั่นคือเหตุของการผงาดขึ้นมาของ Putin เหนือตัวเลือกอื่นใดที่ Yeltsin มีอยู่ พวกเขาต้องการผู้ชายที่แข็งแกร่งเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขา และพวกเขาต้องสามารถต่อรองได้

ตอนแรก Yeltsin ก็ยังลังเลใจ แต่ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม กลุ่มกบฎเชเชนเริ่มโจมตีด้วยอาวุธที่ชายแดนของดาเกสถาน พื้นที่ภูเขาที่อยู่ติดกับสาธารณะรัฐเชเชนที่กำลังแตกแยก ทำให้ Yeltsin ต้องรีบตัดสินใจ

เมื่อ Yeltsin ได้ประกาศในท้ายที่สุด ประเทศชาติก็ตกตะลึงกับตัวตนของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของพวกเขา Putin เป็นข้าราชการที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก เป็นคนสีเทาที่ไม่ค่อยปรากฎในข่าว

สำนักข่าวต่างประเทศพยายามรวบรวมชีวประวัติของเขา สิ่งที่ทำให้คนในชาติตกใจที่สุดคือการที่ Yeltsin เปิดเผยชื่อเขาอย่างเป็นทางการว่าเป็นคนที่เขาหวังว่าจะประสบความสำเร็จในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากเขา

Yeltsin ได้ประกาศในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ โดยประกาศว่า

“ผมตัดสินใจตั้งบุคคลในความคิดของผมที่จะสามารถรวมรัสเซียกลับมาเป็นหนึ่งเดียว เขา (Putin) มีกองกำลังทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าการปฏิรูปรัสเซียจะดำเนินต่อไป เขาจะสามารถรวมกลุ่มคนที่อยู่รอบตัวเขาซึ่งมีหน้าที่ในการรื้อฟื้นรัสเซียให้เป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 21 บุคคลนี้เคยเป็นเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคง ผู้อำนวยการ Federal Security Service (FSB)”

นันทำให้ Putin ประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดดในหน้าที่การงานของเขา รัฐสภารัสเซียต่างตกตะลึง Putin ที่ดูเหมือนเด็กอ่อนด้อยในตอนนั้นเมื่อเทียบกับ Primakov

ดูเหมือนสิ่งที่ Pugachev มองเห็นว่า Putin ดูมีความจงรักภักดีและเชื่อฟังง่าย เปรียบเสมือนสุนัขรับใช้ แต่สิ่งที่ Pugachev ไม่รู้ก็คือ Putin เคยทำงานอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มที่พยายามล้มล้างระบบ Yeltsin

Pugachev แทบจะไม่รูัตัวว่า อดีตเจ้าหน้าที่ KGB อยู่เบื้องหลังการรั่วไหลของบัญชี Mabetex ที่กำลังไล่ล่า Yeltsin อยู่ โดยเชื่อมโยงกับหน่วยงานระดับบนสุดของแผนก black-ops ในตำนานของ KGB ที่ได้ช่วย Putin ในการจัดตั้ง
โครงการแลกเปลี่ยนน้ำมันสำหรับอาหารในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก

Pugachev ไม่รู้ว่า Putin เล่นเกมการเมืองทุกด้านมาโดยตลอด Pugachev คงไม่รู้เสียแล้วว่า Putin คือ แผน B ของ KGB หลังจากแผนการผลักดัน Primakov ล้มเหลว

Pugachev มักอ้างว่าเขาคิดว่า Putin เป็นคนที่เขาสามารถควบคุมได้ เขาแทบจะไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่า Putin กำลังเล่นบทสองหน้าและหลอกลวงพวกเขา

“สงครามอยู่บนพื้นฐานของการหลอกลวง และนี่คือกลยุทธของซุนวู” จากหนังสือ Art of War

มันคือการเรียนรู้จากศาสตร์การรบแบบจีนโบราณ ซึ่งดูเหมือนว่า Putin จะเรียนรู้บทเรียนนี้ได้อย่างถ่องแท้ จากการผงาดขึ้นมากุมอำนาจได้สำเร็จในครั้งนี้นั่นเอง

–> อ่านตอนที่ 6 : The Inner Circle

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 4 : Submariner, Soldier, Trader and Spy

หมู่เกาะต่าง ๆ เป็นที่ตั้งของท่าเรือในเมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก และประวัติศาสตร์อันวุ่นวายของรัสเซียผ่านช่องทางต่างเหล่านี้เกิดขึ้นมาโดยตลอด ตั้งแต่ปีเตอร์มหาราชก่อตั้งเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 18

พระองค์ทรงทำเช่นนั้นด้วยความหวังว่าจะเป็นท่าเรือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของรัสเซีย ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญระหว่างแผ่นดินยูเรเชียนของประเทศอันกว้างใหญ่กับตลาดตะวันตก

เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กจึงถูกทำให้กลายเป็นหน้าต่างทางทิศตะวันตกของรัสเซียเสมอมา ซึ่งเป็นเมืองท่าที่ยกระดับประเทศจากยุคกลาง ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม

เมื่อระบอบคอมมิวนิสต์ของรัสเซียล่มสลาย ท่าเรือเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กก็กลับมามีบทบาทที่สำคัญอีกครั้ง มันกลายเป็นศูนย์กลางของพันธมิตรระหว่าง KGB และกลุ่มอาชญากรที่จะขยายอิทธิพลไปทั่วรัสเซีย

มันเป็นจุดเริ่มต้นของพันธมิตรทางธุรกิจของรองนายกเทศมนตรี Vladimir Putin ซึ่งทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้นำกลุ่มอาชญากรที่ควบคุมเมืองอยู่ รวมถึงผู้ค้าน้ำมันที่ถูกผูกขาดในการส่งออกผ่านคลังน้ำมัน ความสัมพันธ์ที่หลอมรวมเข้าด้วยกันของข้อตกลงการแลกเปลี่ยนและการส่งออก กลายเป็นต้นแบบที่สำคัญสำหรับการบริหารรัสเซียของ Putin

กลุ่ม KGB ได้เข้ามายึดครองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กในทศวรรษที่ 1990 โดยมี Putin เป็นศูนย์กลางของกลุ่ม แม้ในมอสโก KGB จะอยู่ในเงามืดเป็นส่วนใหญ่ แต่ในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กพวกเขาจะปรากฎกายชัดเจนมากยิ่งขึ้น

แม้เศรษฐกิจของเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กจะเล็กกว่ามอสโกมาก แต่สำนักงานของนายกเทศมนตรีก็ควบคุมธุรกิจส่วนใหญ่ของเมือง และที่สำคัญนายกเทศมนตรี Anatoly Sobchak ไม่ค่อยสนใจในการดำเนินงานประจำวันของเมือง เขาปล่อยให้ Putin เป็นผู้บริหารคณะกรรมการความสัมพันธ์ต่างประเทศ ซึ่งดูแลการค้าทั้งหมดและธุรกิจส่วนใหญ่ของเมือง

สิ่งที่เกิดขึ้นจากความโกลาหลหลังการล่มสลาย และความไร้ประสิทธิภาพของ Sobchak มันได้สร้างพันธมิตรใหม่ระหว่าง Putin และ KGB ของเขารวมถึงกลุ่มอาชญกรที่พยายามบริหารเศรษฐกิจของเมืองส่วนใหญ่เพื่อประโยชน์ของตนเอง

ซึ่งแทนที่จะพยายามกำหนดกฎระเบียบเพื่อประโยชน์ของประชาชนที่กำลังลำบากในเมือง ระเบียบที่เกิดขึ้นที่พวกเขากำหนดส่วนใหญ่ก็ทำเพื่อพวกพ้องของเขาเองแทบจะทั้งสิ้น

การล่มสลายหมายถึงโอกาสใหม่ ๆ ของเครือข่ายเหล่านี้ สำหรับการสร้างกองทุนเชิงกลยุทธ์ที่จะรักษาเครือข่ายของพวกเขาและรักษาตำแหน่งของพวกเขาในอนาคต

โดยกองทุนเหล่านี้มีรากฐานมาจากแผนการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของบริษัทที่เป็นมิตรกับ KGB ต่อมาก็ขยายไปถึงท่าเทียบเรือ รวมถึงคลังน้ำมัน ทุกอย่างดำเนินการผ่านเครือข่ายนี้ และที่สำคัญมันคือธุรกิจที่ทำรายได้มหาศาลอีกด้วย

ต้องบอกว่าเหล่า KGB ที่เข้ายึดครองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก และ Putin มีความเข้าใจในตลาดเชิงพาณิชย์มากกว่ารุ่นก่อน ๆ เป็นอย่างมาก

Putin ยอมรับหลักการของระบบทุนนิยมอย่างรวดเร็วและแทบจะลืมความเชื่อเดิม ๆ ของพรรคคอมมิวนิสต์ไปทันที

พันธมิตรของ Putin เริ่มย้ายมาควบคุมท่าเรือ ซึ่งทั้งคลังน้ำมันและกองเรือถือเป็นส่วนหนึ่งของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อกองเรือเลนินกราดบอลติก หรือ BMP ซึ่งสำหรับ KGB แล้วนั้น BMP เป็นทรัพย์สินทางยุทธศาสตร์มาช้านาน

ในสมัยโซเวียต KGB ได้ควบคุมเรือเดินสมุทรในฐานะผู้ช่วยทางการค้า พวกเขารู้ดีถึงเส้นทางการค้า สินค้า ของเถื่อน และการไหลเวียนของเงิน

ในยุครุ่งเรือง เรือหลายร้อยลำได้ออกเดินทางจากเมืองแห่งนี้ ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ทั้ง น้ำมัน โลหะ และเมล็ดพันธุ์พืช ในขณะที่ฝั่งขาเข้า เรือที่เดินทางไกลที่สุดจากอเมริกาใต้ มีการบรรทุกผลไม้ น้ำตาล และสินค้าลักลอบน้ำเข้า ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินงานใต้ดิน

ในสมัยนั้น BMP เป็นตัวแทนของกระแสเงินสดเชิงกลยุทธ์ที่ใหญ่ที่สุดของเมือง แม้กระทั่งในปี 1991 ซึ่งเป็นปีแห่งการล่มสลายของสหภาพโซเวียต กำไรสุทธิของ BMP ก็อยู่ที่หลายร้อยล้านดอลลาร์

BMP ไม่เพียงแต่เป็นเจ้าของเรือโดยสารและสินค้าเกือบสองร้อยลำเท่านั้น แต่ยังควบคุมท่าเรือน้ำในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กทั้งหมด รวมทั้งคลังน้ำมัน เช่นเดียวกับท่าเรือใกล้เคียงในวีบอร์กและคาลินินกราด ซึ่งได้กลายเป็นกุญแจสู่ความมั่งคั่งของเมือง

ต้องบอกว่าในเวลานั้น Tambov กำลังกลายเป็นกลุ่มอาชญกรที่มีอำนาจที่สุดของเมือง Vladimir Kumarin ผู้นำของกลุ่ม Tambov เคยรับโทษจำคุกในปี 1991 หลังจากการสู้รบที่รุนแรงกับกลุ่มมาเฟียอีกกลุ่มหนึ่งของเมือง

หลังจากที่เขาออกมาจากคุกด้วยความช่วยเหลือของ Putin กองกำลังของ Tambov ก็เริ่มเข้าควบคุมธุรกิจเชื้อเพลิงและพลังงานทั้งหมดของเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก

Vladimir Kumarin ผู้นำของกลุ่ม Tambov  (CR:eng.agromassidayu.com)
Vladimir Kumarin ผู้นำของกลุ่ม Tambov (CR:eng.agromassidayu.com)

การต่อสู้กับแก๊งคู่แข่งยังดำเนินต่อไป ในปี 1994 Kumarin สูญเสียแขนข้างหนึ่งจากการถูกโจมตีด้วยระเบิด เขาได้ก่อตั้งบริษัทด้านพลังงานเชื้อเพลิงแห่งเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก หรือ PTK ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นผู้ผูกขาดการค้าขายน้ำมันของเมือง

ดูเหมือนว่า Putin จะเป็นศูนย์กลางของแผนปฏิบัติการเหล่านี้ เป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านลอจิสติกส์จากสำนักงานของนายกเทศมนตรี และเป็นผู้ออกใบอนุญาตให้กลุ่ม Tambov เข้ามาควบคุมท่าเรือและคลังน้ำมัน รวมถึงให้สัญญาพิเศษแก่ PTK ของ Kumarin ในการจัดหาเชื้อเพลิงสำหรับ รถพยาบาล รถประจำทาง รถแท็กซี่ และรถตำรวจของเมือง

อีกคนที่มีบทบาทมาก ๆ ก็คือ Gennady Timchenko อดีตเจ้าหน้าที่ KGB ที่รู้จักกับ Putin ตั้งแต่สมัยเรียนสายลับด้วยกันที่ Red Banner Academy

การควบคุมการส่งออกผ่านท่าเทียบเรือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กมีความสำคัญมากจน Timchenko หันไปขอความช่วยเหลือจาก Putin ในเดือนมกราคม 1992 โดยพวกเขาได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับคณะกรรมการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของ Putin ในชื่อ ‘Golden Gates’

ต้องบอกว่าฝ่ายบริหารของเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กที่เป็นพันธมิตรกับกลุ่ม Tambov ได้ฝังตัวอยู่ลึกเข้าไปในโครงสร้างพื้นฐานของเมืองด้วยความช่วยเหลือจากคนของ Putin ในศาลากลาง

กลุ่มอาชญากรที่รวมตัวกันเป็นทีมงานที่ Putin ต้องการเพื่อช่วยเหลือในการควบคุมมวลชน ไม่ว่าคนที่อยู่บนท้องถนน หรือ คนที่อยู่ในเรือนจำก็ตามที มันเป็นวิธีปฏิบัติทั่วไปของ KGB ที่ Putin เคยทำมาตั้งแต่อยู่ในเยอรมันตะวันออก นั่นคือการทำงานกับผู้คน

ด้วยความยุ่งเหยิงของความสัมพันธ์เหล่านี้ นำไปสู่โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นสำหรับ เศรษฐกิจในเงามืดของพรรคคอมมิวนิสต์ในวันสุดท้ายของการปกครอง

Bank Rossiya ซึ่งเป็นธนาคารขนาดเล็กในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวกลางที่สำคัญในข้อตกลงการแลกเปลี่ยนน้ำมันสำหรับอาหาร เช่นเดียวกับสถาบันและบริษัทหลายแห่งที่พรรคตั้งขึ้นในยุคที่ระบอบการปกครองกำลังจะล่มสลาย

เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายลง การควบคุมของธนาคาร Rossiya ได้ส่งผ่านไปยังตัวแทนของ KGB อย่างเงียบ ๆ ผู้ถือหุ้นรายใหม่ของบริษัทประกอบด้วยเจ้าหน้าที่อาวุโสของ KGB และนักฟิสิกส์ที่มี connection กับ KGB ซึ่งคนเหล่านี้เชี่ยวชาญด้านโลหะหายาก วัสดุที่หายากมาก ซึ่งการค้าขายในสิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการจัดการโดยสมาชิกของ KGB เท่านั้น

Vladimir Yakunin เจ้าหน้าที่อาวุโสของ KGB กลับมาที่เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กในเดือนกุมภาพันธ์ 1991 เขาย้ายมาจากการเป็นสายลับที่องค์กรสหประชาชาติในนิวยอร์ก

Yakunin ได้เข้ามาร่วมงานที่สถาบันเทคโนโลยีและฟิสิกส์ Ioffe อันทรงเกียรติของเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งเขาเคยทำงานดูแลงานระหว่างประเทศของสถาบันก่อนที่จะถูกส่งไปนิวยอร์ก

ในกลุ่มของพวกเขาคือ Yury Kovalchuk ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ชั้นนำในสมัยนั้น ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Andrei Fursenko ซึ่งทั้งคู่เป็นรองผู้อำนวยการของสถาบัน Ioffe ในด้านเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งจะนำไปใช้ในระบบเลเซอร์และดาวเทียม

มันเป็นสาขาที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษจาก KGB ความเชี่ยวชาญของพวกเขาทำให้ได้รับข้อตกลงจากนายพลอาวุโสของ KGB ซึ่งหนึ่งในกิจการร่วมค้าที่พวกเขาสร้างขึ้นสามารถทำกำไรได้สูงถึง 24 ล้านรูเบิล ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มหาศาลในยุคนั้น และช่วยผลักดันให้พวกเขาเข้ามาดูแล Bank Rossiya

ตั้งแต่ต้น Bank Rossiya มีส่วนเกี่ยวข้องกับคณะกรรมการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดำเนินการโดย Putin สำนักงานอยู่ในสถาบัน Smolny ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสำนักงานใหญ่ของนายกเทศมนตรี

และที่แห่งนี้เริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการสร้างกระแสเงินสดให้กับ Putin การร่วมทุนทั้งหมดได้รับการจัดตั้งขึ้นตามการอนุมัติของคณะกรรมการของ Putin และส่วนใหญ่ถูกสั่งให้เปิดบัญชีกับ Bank Rossiya

มีเงินหลายล้านดอลลาร์ถูกดูดออกจากงบประมาณของเมืองผ่านบัญชีของ Bank Rossiya ไปยังเครือข่ายของบริษัทที่เชื่อมโยงกับ Putin เงินสดถูกส่งผ่านกองทุนที่เรียกว่า Twentieth Trust เรียกได้ว่าตอนนั้นทั้ง Putin และ KGB ได้ควบคุมเศรษฐกิจของทั้งเมืองไว้ในกำมือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Bank Rossiya หนึ่งในสถาบันทางการเงินที่สำคัญของเครือข่าย Putin (CR:TASS)
Bank Rossiya หนึ่งในสถาบันทางการเงินที่สำคัญของเครือข่าย Putin (CR:TASS)

Putin มักจะเลือกไปพักผ่อนในช่วงสุดสัปดาห์ บนชายฝั่งของทะเลสาป Komsomolskoye ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการตกปลาที่ยอดเยี่ยม ก่อนที่ Putin จะย้ายเข้าไป ถนนเส้นดังกล่าวเคยเป็นถนนลูกรังมาก่อน แต่ไม่นานหลังจากนั้นมันก็ถูกปูด้วยยางมะตอยและติดตั้งไฟฟ้าอย่างดี

ชาวบ้านแถวนั้นถูกบีบบังคับให้ย้ายออกไปทีละคน Putin ได้พาพันธมิตรของเขามาสร้างกระท่อมสไตล์ฟินแลนด์อันโอ่อ่าบนผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ริมทะเลสาบแห่งนี้

พวกเขาก่อตั้งกลุ่มที่กลายเป็นที่รู้จักกันในนามสหกรณ์ Ozero dacha และเปลี่ยนพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่มีรั้วลวดหนามสูงใหญ่กั้นไม่ให้คนภายนอกเข้ามา

ซึ่งทั้ง Yakunin , Fursenko และ Kovalchuk คนเหล่านี้ที่ใกล้ชิด Putin ก็ได้ย้ายเข้ามา ซึ่งกลุ่มพันธมิตรจาก Ozero dacha นี่เองที่ในตอนหลังที่ Putin ขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี ได้กลายเป็นกลุ่มก้อนที่สำคัญในการควบคุมเศรษฐกิจของประเทศ โดยมี Bank Rossiya เป็นแกนหลักของอาณาจักรการเงินที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มนี้

ในฤดูร้อนปี 1996 Anatoly Sobchak ได้พ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งใหม่ในฐานะนายกเทศมนตรีของเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก Putin ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานหาเสียงของ Sobchak ต้องมีส่วนรับผิดชอบ

มีเสียงกระซิบกระจายไปทั่วว่าความพ่ายแพ้ของ Sobchak นั้นมาจากประธานาธิบดี Boris Yeltsin ผู้ซึ่งต้องการให้เขาออกไป เพราะความมีสเน่ห์ของ Sobchak นั้นสามารถท้าทายอำนาจของ Yeltsin ในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีใหม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าได้

Putin ตกงานแทบจะไม่ถึงเดือน ก่อนที่เขาจะถูกเชิญไปที่มอสโก เพื่อรับตำแหน่งในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารเครมลิน

แม้ว่าการแต่งตั้งของ Putin จะถูกขัดขวางโดย Anatoly Chubais รองนายกรัฐมนตรีคู่ใจของ Yeltsin แต่กลายเป็นว่า Putin ได้ถูกขอให้เป็นหัวหน้าแผนกทรัพย์สินต่างประเทศในตำนานของเครมลินแทน

เรียกได้ว่ามันเป็นการเลื่อนตำแหน่งที่ทรงเกียรติอย่างแท้จริง เพราะได้ดูแลทรัพย์สินในต่างประเทศจำนวนมหาศาลของสหภาพโซเวียตหลังจากการล่มสลาย

ไม่ว่าจะเป็นกิจการร่วมค้า เครือข่ายฐานทัพอาวุธและสถานที่ปฏิบัติงานนอกชายฝั่งอื่น ๆ ที่เป็นความลับ แม้ว่ามันจะเป็นอาณาจักรที่หลายสิ่งหลายอย่างได้สูญหายไปแล้ว แต่มันก็เป็นแกนกลางเชิงกลยุทธ์ของความมั่งคั่งของประเทศ

และเพียงหนึ่งปีต่อมา เขาได้รับเลื่อนตำแหน่งให้เป็นรองเสนาธิการคนแรกของเครมลินที่ได้ดูแลภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นบทบาทที่ทรงพลังที่สุดเป็นอันดับสามในเครมลินรองจากประธานาธิบดี

หลังผ่านไปอีกสามเดือนเขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า FSB ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สืบทอดจาก KGB สำหรับทั่วทั้งรัสเซีย ตอนนั้นเขาเป็นเพียงแค่ผู้พันเท่านั้น และแทบจะไม่มีใครเคยได้รับตำแหน่งนี้ทั้งที่ยังไม่ขึ้นเป็นนายพล นั่นทำให้เหล่านายพลใน FSB ต่างตกตะลึง

ซึ่งหลังจากขึ้นครองตำแหน่งสูงสุดของ FSB Putin ก็ได้ใช้อำนาจของเขาในการจัดการศัตรูเก่าที่เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ทั้งนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน ที่ชอบออกมาต่อต้านเรื่องการทุจริจในเมือง หรือ อดีตคู่แค้นทางการเมืองของ Putin

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการผงาดของ Putin เป็นลางไม่ดีเลย ประเทศก็กำลังเผชิญกับวิกฤติทางการเงินครั้งใหม่ และไม่มีใครสังเกตเห็นสัญญาณเตือนที่ปรากฎขึ้น สุขภาพของ Yeltsin ก็กำลังย่ำแย่ ประเทศกำลังจะถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ

ไม่นานหลังจากความผิดพลาดทางการเงินที่ทำลายเศรษฐกิจรัสเซียในเดือนสิงหาคม 1998 เจ้าหน้าที่ KGB กลุ่มเล็ก ๆ และชาวอเมริกันคนหนึ่งมารวมตัวกันเพื่อรับประทานอาหารค่ำแบบส่วนตัว

ในหมู่พวกเขามีอดีตหัวหน้า KGB อย่าง Vladimir Kryuchkov , Robert Engineer อดีตหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของโมนาโกผู้ซึ่งขลุกอยู่ในฐานะผู้แจ้งข่าวของ FBI และ Igor Prelin ผู้ช่วยของ Kryuchkov

Prelin บอกกับแขกคนอื่นๆ ว่าในไม่ช้า KGB จะกลับสู่อำนาจ โดยเขาได้กล่าวว่า

“เรารู้จักใครบางคน คุณไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเขา เราจะไม่บอกคุณว่าเป็นใคร แต่เขาเป็นหนึ่งในพวกเรา และเมื่อเขาเป็นประธานาธิบดี พวกเรา (กลุ่ม KGB) จะกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง”

–> อ่านตอนที่ 5 : The Art of War

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ