Movie Review : Underwater มฤตยูใต้สมุทร

ถือเป็นอีกหนึ่งหนังที่น่าสนใจเลยทีเดียว สำหรับ Underwater มฤตยูใต้สมุทร ที่มีการถ่ายทอดเรื่องราวฉีกแนวของสัตว์ประหลาดที่อยู่ใต้พื้นมหาสมุทร ที่ยังไม่มีใครเข้าถึงมาก่อน

หนังว่าด้วย เรื่องราวของ นอราห์ (Kristen Stewart) วิศวะเครื่องกลที่ปฏิบัติงานในแท่นขุดเจาะก้นมหาสมุทรมาเรียนาที่ลึกที่สุดในโลก แต่แล้วก็เกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิดทำให้แท่นขุดเจาะพังเสียหายอย่างหนัก

พวกเขาต้องพยายามจะหาสาเหตุและซ่อมมันให้กลับมาใช้ได้อีกครั้ง ก่อนจะพบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่พวกเขาไปปลุกมันขึ้นใต้สมุทรและจากงานที่ต้องปฏิบัติกลับกลายเป็นต้องเอาตัวรอดจากมฤตยูใต้สมุทรไม่คาดคิด

แน่นอนดูจากพล็อตเรื่องแล้ว ถือเป็นหนังที่น่าสนใจมาก ๆ ซึ่งการได้ Kristen Stewart มารับบทนำก็ทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะดำเนินเรื่องผ่านเธอเป็นตัวหลักของเรื่องทั้งหมด

แม้เนื้อเรื่องจะน่าสนใจมาก ๆ แต่ การตัดฉากมาเริ่มต้นแบบไม่มีการเกริ่นนำมาเรื่องราวมาก่อนเลย ทำให้รู้สึกตั้งตัวไม่ทันอยู่บ้าง เพราะหนังเปิดเรื่องก็เกิดการเหตุการณ์แท่นขุดเจาะถล่มเลยทันที

ซึ่งทำให้คนดูต้องมีการประติดประต่อเรื่อง และ ที่สำคัญก็คือ ไอแท่นที่ว่านี่มันมีรายละเอียดยังไง มีจุดตั้งฐานอยู่กี่จุด หรือ นางเอกอย่างนอราห์ กำลังหนีไปจุด ๆ ไหน ทำให้เรางงกับหนังเรื่องนี้ได้ เพราะเป็นการตัดภาพมาแบบฉับพลันเกินไป ไม่เกริ่นรายละเอียดให้คนดูได้รับรู้ก่อนซักนิด

ข้อเสียอีกอย่างนึงของหนังเรื่องนี้ คือ การที่มันดำเนินเรื่องใต้น้ำ มันทำให้เห็นรายละเอียดต่าง ๆ ไม่ชัดเป็นอย่างมาก คือ อาจจะเป็นเพราะผู้กำกับต้องการให้เราไปสัมผัสกับประสบการณ์จริง ๆ เหมือนพยายามให้เราได้ความรู้สึกร่วมไปกับตัวละคร แต่มันทำให้รายละเอียดหลาย ๆ มันไม่ชัดเจนมาก ๆ มันดูเบลอ ๆ ไปหมดทั้งเรื่อง ด้วยฉากใต้น้ำ ทั้งฝุ่น ทั้งซากปรักหักพังของแท่นขุดเจาะดังกล่าว

และไม่มีการเล่าทีไปที่มาของตัวละคร แต่ละตัวแต่อย่างใด ที่เป็นตัวหลักทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่เสียดายมาก ๆ มันไม่มีเรื่องราวผ่านตัวละครนั้น ๆ ว่าพวกเขามาทำอะไรกันที่นี่ ทำหน้าที่อะไร คือ เจาะจงไปเฉพาะนางเอกเท่านั้น ทำให้เสียดายในส่วนนี้ไปมากพอสมควร

แต่ที่ทำได้ดีก็น่าจะเป็นฉากระทึกใจ ที่มาเป็นระยะ ๆ ทำให้คนดูได้มีส่วนร่วมกับความตื่นเต้นเหล่านี้ได้ดี มองดูก็เหมือนฉากตุ้งแช่ ของหนังผี นั่นเอง แต่มาในแนวสัตว์ประหลาดปริศนาที่อยู่ภายใต้ท้องทะเลลึก

ส่วนเรื่องของ Effect ต่าง ๆ ก็สามารถทำได้ดี อย่างสัตว์ประหลาดตัว boss ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก ๆ เลยทีเดียว เป็นการจินตนาการถึงสัตว์ประหลาดที่น่าจะอยู่ในทะเลลึกจริง ๆ ได้น่าสนใจเลยทีเดียว

แน่นอนว่าเรื่องนี้ Kristen Stewart แบกหนังแทบจะทั้งเรื่องด้วยตัวเธอคนเดียว เรียกได้ว่าเป็น ฮีโร่ ของเหล่าผู้รอดชีวิตตั้งแต่ต้นเรื่องไปจนจบเรื่อง ส่วนคนอื่น ๆ มาเพียงแค่ประกอบเรื่องราวให้สมบูรณ์เท่านั้น แต่เธอก็ทำได้ดีมาก ๆ เลยทีเดียว ด้วยความแข็งแกร่งของเธอที่สามารถเป็นตัวนำเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม

สรุปก็ไม่ได้ประทับใจอะไรมากกับหนังเรื่องนี้ ต้องบอกว่าคาดหวังไว้สูงกว่านี้ เพราะดูพล็อตตั้งแต่ตัวอย่างหนังแล้วน่าสนใจดี แต่ก็ถือว่าดูได้ แบบไม่ต้องลุ้นอะไรมากมายเท่าไหร่ หลาย ๆ คนก็น่าจะทายตอนจบของเรื่องได้อยู่แล้ว ก็ถือเป็นหนังที่น่าสนใจที่จะได้ไปเสพงานแสดงของ Kristen Stewart ที่น่าสนใจอีกเรื่องนึงเลยทีเดียวครับ

Movie Review : Jexi โปรแกรมอัจฉริยะ เปิดปุ๊บ วุ่นปั๊บ

เป็นหนังที่มีพลอตเรื่องเข้ากับวิถีชีวิตของมนุษย์เราในปัจจุบันได้ดีเลยทีเดียว สำหรับ Jexi โปรแกรมอัจฉริยะ เปิดปุ๊บ วุ่นปั๊บ แน่นอนว่า แค่ ดู trailer เราก็น่าจะรู้ได้ทันทีว่าหนังเรื่องนี้ต้องการสื่อถึงอะไร

โดยหนังเรื่องนี้เป็นการว่าด้วยเรื่องราวของ Jexi AI อัจฉริยะประจำสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับความจริงใจ และตรงไปตรงมา เธอพร้อมที่จะเป็นผู้ช่วยและที่ปรึกษาในทุกๆเรื่อง แต่เหมือนมันจะมีจิตใจ ผู้ใช้ต้องสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างเธอ ถ้าทิ้งเธอไป มีเรื่องแน่นอน

เป็นหนึ่งในหนังรักฮากระจายจากผู้สร้าง Ted และมือเขียนบท The Hangover นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับฟิล (อดัม เดวีน) ชายโสดผู้ติดมือถือเป็นชีวิตจิตใจ เมื่อเขาได้มือถือใหม่ทำให้เขาได้พบกับ Jexi (ให้เสียงโดย โรส เบิร์น) AI อัจฉริยะแต่ปากจัดที่กลายเป็นผู้ช่วย ที่ปรึกษา และเพื่อนรู้ใจจนกลายเป็นความผูกพัน แต่แล้ววันหนึ่ง เขาได้มีคนรักเป็นตัวเป็นตนขึ้นและไม่สนใจ AI อีกต่อไป เจ็กซี่จึงกลายเป็นนางมารร้ายคอยคุกคามชีวิตของฟิลและกลายเป็นความอลเวงที่เขาจะจำไปจนตาย

อย่างแรกเลยหนังเรื่องนี้ ให้มุมมองทางด้านเทคโนโลยีที่น่าสนใจ ซึ่งคิดว่าเป็นเรื่องปรกติของมนุษย์ในยุคนี้แล้ว ที่ติดมือถือกันงอมแงม ไม่ค่อยจะมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง หนังเอาเรื่องราวดังกล่าวมาจิกกัด ได้อย่างแนบเนียน เรียกเสียงฮาได้ตลอดเรื่อง

และมันเป็นเรื่องน่าสนใจมาก ๆ ซึ่งในอนาคต เทคโนโลยี Voice Assistant เหล่านี้ ก็จะมีบทบาทกับชีวิตเรามาก ๆ อย่างที่หนังเรื่องนี้ได้นำเสนอ แม้มันจะดูเว่อร์ไปบ้างเพราะเป็นหนัง แต่ถือว่าเป็นการหยิบประเด็นที่น่าสนใจมาเล่าในหนังเลยทีเดียว

ซึ่งเรื่องของความเป็นส่วนตัวของข้อมูลต่าง ๆที่อยู่ในระบบ online หากในอนาคต เป็นอย่างที่หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดออกมาจริง ๆ ก็น่าสนใจว่า ข้อมูลต่าง ๆ ของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อมูลส่วนตัว การเดินทาง ยานพาหนะ ข้อมูลทางการเงิน ต่าง ๆ ก็จะตกอยู่ในมือของอุปกรณ์อัจฉริยะเหล่านี้แทบจะทั้งสิ้น แล้วเราจะไว้ใจพวกมันได้อย่างไรในอนาคต หากพวกมันสามารถคิดเองได้ และมีอารมณ์ร่วมกับมนุษย์เหมือนอย่างที่หนังเรื่องนีพยายามสื่ออกมาก

หนังเรื่องนี้มาแนว comedy เต็มตัวเลยก็ว่าได้ มี drama เล็กน้อยเท่านั้น แต่  ใครที่กำลังเครียด ๆ กับชีวิต หรืออยากปลดปล่อยความหงุดหงิดด้วยเสียงหัวเราะ หนังเรื่องนี้ตอบโจทย์อย่างแน่นอน คือ คุณจะได้ผ่อนคลาย เพราะมันฮามากจริง ๆ โดยเฉพาะ เจ้า Jexi ที่ขยันปล่อยมุกอยู่ตลอดเรื่อง

แม้จะดูไม่สมบูรณ์แบบอย่าง HER ที่พลอตเรื่องคล้าย ๆ กันที่ออกฉายมาก่อนหน้านี้ แต่เรื่องนี้ก็ต้องบอกว่าถือเป็นหนังที่ดูเพลิน ๆ ได้เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว มีมุกตลกสอดแทรกอยู่แทบจะทั้งเรื่อง คือผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับหนังเรื่องนี้มากมาย แต่ถือว่าทำออกมาได้ ok เลยทีเดียว โดยส่วนตัวก็ถือว่าไม่ผิดหวังนะครับ แนะนำลองไปดูกันได้ครับผม

Movie Review : Ashfall นรกล้างเมือง

เป็นหนังที่แทบไม่ได้ดูข้อมูลอะไรมาก่อนเลยทีเดียวสำหรับ Ashfall นรกล้างเมือง ผมมีเป้าหมายเดียวคือไปชมผลงานของ เบ ซูจี ที่ประทับใจผลงานของเธอมาจาก Series ดังอย่าง Vegabond ใน Netflix เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว

และที่สำคัญถือเป็นหนังเรื่องแรกของปีที่มีโอกาสได้ดูด้วย เรียกได้ว่าเปิดปีใหม่มาพร้อมหนังเกาหลี ที่มีเรื่องราวของหนังที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

หนังว่าด้วยเรื่องของ ภัยพิบัติสั่นสะเทือนแผ่นดินเกาหลีที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีใครคาดคิด เมื่อภูเขาไฟเพ็กตูที่สูงที่สุดในเกาหลีเกิดปะทุขึ้นส่งขี้เถ้าขึ้นไปสูงถึงชั้นบรรยากาศ เกิดวิบัติไปทั้งกรุงโซลและกรุงเปียงยาง

และเพื่อเป็นการรับมือกับหายนะครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดชาวเกาหลีใต้ (ฮา จองอู Along with the gods, The Handmaiden) ต้องร่วมมือกับเจ้าหน้าที่พิเศษชาวเกาหลีเหนือ (อี บยองฮอน G.I.Joe , I saw the devil) และนักธรณีวิทยาอันดับหนึ่งของประเทศ (มา ดงซอก Train to Busan, Along with the gods) เพื่อหยุดยั้งเหตุวินาศที่อาจจะทำให้เกาหลีหายไปจากแผนที่โลก

แม้ตัวหนังจะพยายามฉายเรื่องราวของภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น แต่หลังจากที่ได้ดูจบจริง ๆ มันไม่ใช่หนังแนวภัยพิบัติล้างโลกเหมือนที่ Hollywood สร้างแต่อย่างใด ต้องเรียกว่าเป็นหนังที่ถ่ายทอดในแง่มุมหลากหลายมาก ๆ เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่าง ๆ ในคาบสมุทรเกาหลี ได้ฉายภาพของประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น เกาหลีใต้ เกาหลีเหนือ จีน หรือ อเมริกาก็ตาม มันเป็นการล้อเลียนบทบาทของชาติต่าง ๆ เหล่านี้ออกมาผ่านเรื่องราวของหนังได้อย่างลงตัว

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งในหนังเกาหลีที่ยกระดับคุณภาพในเรื่องการเล่าเรื่องผ่านตัวละครต่าง ๆ ของหนังขึ้นไปอีกขั้น คือ คุณภาพของบทในหนังเรื่องนี้นั้น สามารถเทียบเคียงกับหนังระดับ Hollywood ได้อย่างสบาย

แม้เรื่องของ CG หรือ Effect ต่าง ๆ นั้นอาจจะดูไม่สมจริงบ้างในบางส่วน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่หนังเรื่องนี้ต้องการสื่อ มันเป็นแค่ส่วนน้อยของหนังเรื่องนี้เท่านั้นกับฉาก ตึกถล่ม แผ่นดิน ทลาย ที่ใครดูเพียงแค่ตัวอย่างอาจจะคิดแบบนั้น

ซึ่งหนังนั้นการเล่าเรื่องราวผ่านตัวละครต่าง ๆ ที่มีที่มาที่ไปที่หลากหลาย และมีความน่าสนใจ การจับประเด็นเรื่องของความรัก ที่มีต่อครอบครัว ผ่านการเดินทางของตัวเอกของเรื่องอย่าง โจ อินชาง รวมถึงเรื่องดราม่าของ ลี จุนพยอง (อี บยองฮอน) ที่ถือได้ว่าทั้งสองเล่นคู่กันได้อย่างลงตัวมาก ๆ พร้อมสอดแทรกมุกตลกอยู่ตลอดแทบจะทั้งเรื่อง ทำให้หนังดูไม่น่าเบื่อเลย

สุดท้ายสำหรับเรื่องนี้ โดยส่วนตัวก็ถือว่าชอบมาก ได้ลุ้นกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปตลอดทั้งเรื่อง แม้จะเดาเนื้อเรื่องได้ไม่ยากเท่าไหร่ แต่ก็อยากให้ลองเปิดใจชมกันครับ ถือเป็นการต้อนรับปี 2020 ด้วยหนังดี ๆ อย่าง Ashfall นรกล้างเมือง กันนะครับ

Movie Review : ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบหนังของคุณ เต๋อ นวพล จาก “ฟรีแลนซ์…ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ” ซึ่งต้องบอกว่าเป็นหนังใหญ่ที่ทำอะไรหลาย ๆ อย่าง ให้คล้ายหนัง indy ซึ่งน่าจะพอเข้าใจได้เพราะคุณ เต๋อ เป็นผู้กำกับหนังรางวัล มือดีคนหนึ่งของวงการ ที่ได้มาทำหนังให้ค่าย GDH

กับผลงานใหม่อย่าง ฮาวทูทิ้ง ที่ได้พระเอกหน้าเดิมอย่าง ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ มารับบทนำอีกครั้ง ซึ่งต้องบอกว่าเป็นหนึ่งในพระเอกมากฝีมือที่ผมชอบที่สุดคนหนึ่งในวงการหนังไทย เพราะพี่แกเล่นได้ทุกแนวจริง ๆ

สำหรับเรื่องนี้ ว่าด้วยเรื่องราวของตัวละครหลักอย่าง จีน (ออกแบบ-ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง) ต้องการจะเคลียร์บ้านเพื่อรีโนเวท มหกรรมการโละของออกจากบ้านจึงเกิดขึ้น อะไรที่ไม่ใช้แล้ว อะไรที่ทิ้งไว้ก็รก เธอตัดสินใจจะทิ้งให้หมดเลย

แต่เมื่อเธอได้เจอกับของบางอย่างที่เป็นของเอ็ม แฟนเก่าของเธอ (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) จีนเริ่มพบว่าการทิ้งครั้งนี้ไม่ง่าย เพราะของบางอย่างแม้จะไม่มีประโยชน์แล้ว แต่มันยังมีเรื่องราวให้นึกถึง มีอดีตที่ยังค้างคา มีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถแค่ทิ้งลงถุงดำแล้วหายไป จีนจึงต้องตัดสินใจว่าจะทําอย่างไรกับสิ่งของของเอ็ม ซึ่งมันมีทางเลือกไม่มากนัก ว่าจะทิ้งไป เก็บไว้ หรือเดินไปคืน ถึงจะเป็นการทิ้งที่สมบูรณ์ที่สุด

ต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้มันไม่ได้แค่เป็นเรื่องราวของ จีน และ เอ็ม (แฟนเก่า) เหมือนในตัวอย่างเท่านั้น แต่มันเป็นการรวมความสัมพันธ์หลาย ๆ อย่างมาถ่ายทอดผ่านหนังเรื่องนี้ได้อย่างลงตัว ทั้งความสัมพันธ์ ระหว่างเพื่อน ความสัมพันธ์ของครอบครัว ซึ่งมีจุดศูนย์กลางของเรื่องคือคำว่า ฮาวทูทิ้ง นั่นเอง

และถ้าเทียบกับ ฟรีแลนซ์นั้น ต้องบอกว่า เรื่องนี้น่าจะเข้าสู่ความต้องการของ คุณ เต๋อ ได้มากกว่า เพราะเป็นหนังที่ดูไปในทาง indy มากกว่า ซึ่ง ฟรีแลนซ์ ยังมีการใส่มุกตลกเข้ามาบ้าง ตามประสา GDH แต่เรื่องนี้กลับดำเนินเรื่องแบบค่อนข้างเครียดเลยทีเดียว

ถ้าใครเป็นแฟน GDH มาดูหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ชอบก็ได้ เพราะเป็นการฉีกแนวออกมาชัดเจนมาก ๆ คือ ทำมาเพื่อเป็นหนังรางวัลมากกว่าหนังทำเงิน เหมือนสไตล์หนัง GDH ทั่วๆ ไปที่เราเห็นก่อนหน้านี้

แต่ต้องบอกว่า โดยส่วนตัวหนังทำออกมาได้ดีในระดับนึง โดยเฉพาะการแสดงของตัวหลักทั้ง ออกแบบ และ ซันนี่ นั้น ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สีหน้า ท่าทาง การเข้าคู่กัน ต้องบอกว่าเป็นบทที่เครียดแต่ทั้งสองก็ถือว่าทำได้ดีมาก ๆ และหลาย ๆ อย่างมันทำให้ดู เรียลมาก ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เสื้อผ้า หน้า ผม ที่ดูดิบ ๆ มาก ตลอดทั้งเรื่อง

แต่ก็นั่นแหละ เพราะความดูเรียล เกินไปหรือเปล่า มองอีกมุม มันก็ทำให้ดูล้นเกินไป คือ บางครั้งมันก็นิ่งจนเกินเหตุ มันไม่สมจริง และมันดูหดหู่เกินไป โดยเฉพาะท่าทางการแสดงของเหล่านักแสดง ผมก็ว่ามันล้นไปหน่อยในความนิ่งเกินเหตุของเหล่านักแสดงทั้งหลาย ดูเหมือนคนเบื่อโลกมารวมกันเสียมากกว่า

และที่สำคัญ ก็คือ หนังเรื่องนี้ ก็ไม่ได้มีบทสรุปอะไรที่ชัดเจนออกมา มันเป็นการตัดอารมณ์เกินไป ว่าจบแล้วหรือเนี่ย ซึ่ง แน่นอนว่าปรกติงานของ GDH บทเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ แต่เรื่องนี้ต้องบอกว่า บทอ่อนมาก ๆ เนื้อเรื่องแทบจะไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ และตัดจบได้แบบ …(ไปดูกันเองนะครับ) โดยรวมยังดูขัดใจว่าสรุปจะทำให้ indy หรือ ให้ mass กันแน่ มันเลยดูครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทุกอย่างจนถึงตอนจบนั่นเองครับ อยากรู้ว่าเป็นยังไงก็ต้องลองพิสูจน์กันดูนะครับผม อาจจะชอบกันก็ได้ครับ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

Movie Review : Silence ศรัทธาไม่เงียบ

ต้องบอกว่า เป็นอีกหนึ่งผลงานของผู้กำกับมือดีอย่าง มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) สำหรับ Silence ศรัทธาไม่เงียบ หนังดราม่าที่มีเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ ด้วยเรื่องราวที่เกี่ยวกับศาสนา และความเชื่อ รวมถึงศรัทธา ที่เรียกได้ว่า เป็นประเด็นที่น่าสนใจเลยทีเดียว และมีเนื้อหาที่มาจากเรื่องจริงอีกด้วย

และที่สำคัญหนังเรื่องนี้ได้เหล่านักแสดงที่ผมชอบมาก ทั้ง เลียม นีสัน แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ และขวัญใจคนใหม่ล่าสุดจาก Marriage Story อย่าง อดัม ไดรเวอร์ เรื่องนี้เป็นหนังเมื่อปี 2016 ซึ่งมีโอกาสได้นับกลับมาฉายอีกครั้งที่โรงหนัง Lido Connect ผมจึงไม่พลาดที่จะเข้าไปชม เนื่องจากตอนออกใหม่ ๆ นั้นผมเองก็ไม่ได้มีโอกาสดูเรื่องนี้มาก่อน

Silence ศรัทธาไม่เงียบ เป็นหนังที่ ว่าด้วยเรื่องราวของ บาทหลวงเฟอร์เรรา (เลียม นีสัน) เดินทางไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์ที่ญี่ปุ่น เขาหายตัวไปอย่างลึกลับ มีเพียงแต่สาส์นที่เขาได้ส่งมาจากคริสตจักรบอกว่าเขาได้ละทิ้งพระเจ้าและปลดปล่อยตัวเองจากศาสนาคริสต์แล้ว ทำให้ บาทหลวงโรดิเกซ (แอนดรูว์ การ์ฟิลด์) และ บาทหลวงการูเป (อดัม ไดรเวอร์) ลูกศิษย์ทั้งสองคนต้องอาสาเข้าไปยังดินแดนที่มีการกวาดล้างผู้นับถือศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่นเพื่อตามหาบาทหลวงเฟอร์เรรา

ต้องบอกว่า หนังเรื่องนี้อาจจะเป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดที่สร้างจากเนื้อหาเกี่ยวกับความศรัทธา แต่มันได้แฝงเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความขัดแย้งซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการสั่งสอน เพราะคนเพียงไม่กี่คนที่ดูถูกสติปัญญาของคนอื่น ในเรื่องของความเชื่อ โดยเฉพาะความเชื่อทางด้านศาสนานั่นเอง

แน่นอนว่าด้วยเนื้อหามันก็หนักกว่าหนังเรื่องอื่น ๆ ที่กำกับโดย สกอร์เซซี ต้องบอกว่ามันเป็นงานฝีมือที่เข้มข้นมาก ๆ บนแผ่นฟิล์ม หรือ การแสดงจากนักแสดงหลัก ตัว การ์ฟิลด์ ต้องอบอกว่าแสดงได้อย่างสุดยอดกับผลงานเรื่องนี้ ส่วน นีสันดูเหมือนบทของเขานั้นจะน้อยไปหน่อย เพราะเดินเรื่องโดย การ์ฟิลด์แทบจะทั้งเรื่อง รวมถึง อดัม ไดรเวอร์ ที่บทบาทประกอบเป็นผู้ร่วมเดินทางของ การ์ฟิลด์เพียงเท่านั้น

แต่ที่ต้องชมมาก ๆ คือตัวละครหลักอย่าง  Issey Ogata ที่รับบทโดยนักแสดงชาวญี่ปุ่นชื่อ Issey Ogata ผู้ที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการแสดงที่น่าจดจำมากที่สุดครั้งหนึ่งเลยทีเดียว ตลอดทั้งทั้งเรื่องที่ชาวคริสเตียนที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นได้รับการตรวจสอบเป็นประจำโดยเจ้าหน้าที่ซามูไรที่ตั้งใจจะตามล่าและจัดการกับประชาชนที่พบว่ามีการละเมิดกฎหมายในเรื่องการนับถือศาสนาคริสต์ 

หนังเรื่องนี้เป็นการเล่นกับความเชื่อ ความศรัทธา และ การทำให้เลิกศรัทธา ที่ต้องบอกว่าทำออกมาได้ดีมาก ๆ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเชื่อ ความศรัทธา ระหว่างโลกตะวันตก กับ โลกตะวันออกในยุคนั้น เป็นการหักเหลี่ยม เฉือนคม ผ่านความเชื่อของแต่ละฝ่าย

แต่สุดท้าย เรื่องราวของความเชื่อเหล่านี้ โดยเฉพาะ เรื่องศาสนา เราจะเห็นได้ว่าเป็นจุดกำเนิดของความขัดแย้งของโลกเรามานับต่อนับ จวบจนถึงปัจจุบัน มันเพราะแค่ความเชื่อที่แตกต่าง มันทำให้โลกเรานั้นต้องสูญเสียเลือดเนื้อไปจากสงครามที่ไร้สาระ พวกนี้ไปเท่าไหร่แล้ว

และ หนังเรื่องนี้ก็ชี้ให้เห็นเช่นเดียวกันว่า เราไม่สามารถที่จะไปบังคับใครให้เชื่อในสิ่งที่เราเชื่อได้ แม้จะพยายามหาเหตุผลมาหักล้างกันแค่ไหนก็ตาม มันอยู่ที่ วัฒนธรรม เชื้อชาติ ประเพณี และ วิถีชีวิต ที่แตกต่างกัน เพราะสุดท้ายความเชื่อ หรือ ความศรัทธาเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุก ๆ ศาสนาสร้างขึ้นมา ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่ด้วยความหวังดี ให้มีสันติสุข ให้เกิดสันติภาพ ในทุก ๆ ศาสนา แต่มนุษย์เรากลับนำความเชื่อเหล่านี้มาสร้างให้กลายเป็นความขัดแย้ง สงคราม ไม่ว่าจะเป็นเพราะเรื่องของผลประโยชน์ หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ดูเหมือนจะไม่จบสิ้นซะทีอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบันนั่นเองครับ