ฟิลิปส์เผย 10 เทรนด์เทคโนโลยีด้านสาธารณสุขที่น่าจับตามองของปี 2024

ด้วยปัญหาการขาดแคลนบุคลากรบวกกับปริมาณงานที่เพิ่มมากขึ้น และความผันผวนทางเศรษฐกิจล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ท้าทายผู้ให้บริการทางสาธารณสุขทั่วโลกในการพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงานและคิดค้นรูปแบบการดูแลรักษาผู้ป่วยใหม่ๆ

ในขณะเดียวกัน ผู้บริหารแถวหน้าในวงการสาธารณสุขยังตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น ด้วยการหันมาให้ความสำคัญกับการยกระดับความเท่าเทียมด้านการเข้าถึงระบบสาธารณสุข ตลอดจนความจำเป็นในการลดก๊าซคาร์บอนในอุตสาหกรรมเพื่อการรักษาสุขภาพของโลกเช่นเดียวกัน เพื่อเป็นการตอบสนองต่อความท้าทายดังกล่าว ฟิลิปส์จึงได้รวบรวม 10 เทรนด์เทคโนโลยีสาธารณสุขที่คาดว่าจะมาแรงในปี ค.ศ. 2024 นี้

1.การเพิ่มประสิทธิภาพระบบการทำงานอัตโนมัติ (Workflow Automation) ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI)

ปัจจุบันองค์กรด้านสาธารณสุขต้องเผชิญกับภาวะการขาดแคลนบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้องค์กรเหล่านี้ต้องปรับกลยุทธ์การทำงาน เพื่อดึงดูดบุคลากรใหม่ๆ และดูแลบุคลากรเดิมในองค์กร ด้วยการเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ที่มองหาสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ภายในองค์กรยังหันมาใช้ระบบการทำงานอัตโนมัติและ AI เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและแบ่งเบาภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์

ยกตัวอย่างเช่น ในด้านรังสีวินิจฉัย (Diagnostic Imaging) การบูรณาการ AI ให้เข้ากับระบบเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) จะช่วยลดเวลาการทำงานในขั้นตอนที่ใช้เวลามากที่สุดของนักรังสีการแพทย์ เพื่อให้พวกเขาได้ใช้เวลากับผู้ป่วยมากขึ้น ด้วยการใช้ AI สร้างภาพถ่ายรังสีที่มีคุณภาพสูง เพื่อช่วยในการวินิจฉัยได้อย่างแม่นยำขึ้น

นอกจากนี้ AI ยังช่วยลดความซับซ้อนของ การอัลตราซาวด์หัวใจ  ด้วยการจำลองภาพหัวใจแบบ 3 มิติรวมถึงการประเมินแบบอัตโนมัติในอวัยวะอื่นๆ ซึ่งจะช่วยให้นักรังสีการแพทย์สามารถวิเคราะห์ภาพถ่ายได้อย่างแม่นยำ รวมถึงช่วยให้แพทย์มีแนวทางการดูแลรักษาหัวใจได้ดียิ่งขึ้น และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ระบบอัตโนมัติจะได้รับการส่งเสริมเพิ่มเติมจากการเพิ่มขึ้นของ Generative AI ในด้านสาธารณสุข 

2. การทำงานร่วมกันแบบเสมือนเพื่อจัดการกับปัญหาการขาดแคลนบุคลากรและทักษะความรู้ความเชี่ยวชาญ

เทรนด์ของเทคโนโลยีด้านสาธารณสุขที่ควบคู่ไปกับระบบอัตโนมัติคือการทำงานร่วมกันแบบเสมือนเพื่อลดผลกระทบของการขาดแคลนบุคลากรและทักษะความรู้ความเชี่ยวชาญ การเติบโตที่คาดหวังในด้านนี้มีประโยชน์เพิ่มเติมในการปรับปรุงการเข้าถึงการดูแลในพื้นที่ห่างไกลและในชนบท ที่ซึ่งบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมีแนวโน้มที่จะขาดแคลนเป็นพิเศษ

ระบบ Tele-ICU (เทเล-ไอซียู) จะยังคงถูกนำมาใช้งานอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขจะยิ่งมองหาระบบบูรณาการเพื่อดูแลผู้ป่วยข้างเตียงแบบเสมือนจริงที่ไร้รอยต่อ เจ้าหน้าที่และพยาบาลสามารถดูแลผู้ป่วยวิกฤติแบบทางไกลได้ โดยมีระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนอัตโนมัติที่ทำงานด้วย AI สามารถลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ได้

แม้ว่าบุคลากรทางการแพทย์จะมีอายุมากขึ้น แต่รูปแบบการทำงานเสมือนจริงนี้จะช่วยให้พวกเขาสามารถถ่ายทอดประสบการณ์และความเชี่ยวชาญต่างๆให้แก่บุคลากรทางการแพทย์รุ่นน้องได้เป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นการรักษาองค์ความรู้ความเชี่ยวชาญให้คงอยู่ต่อไป เนื่องด้วยสถานการณ์ที่แพทย์จำนวนมากเลือกที่จะเกษียณอายุก่อนกำหนดมากขึ้น รวมถึงกลุ่มพยาบาลเองก็มีแผนที่จะลาออกจากระบบสาธารณสุข อีกด้วย

3. การวินิจฉัยแบบบูรณาการที่สนับสนุนการทำงานร่วมกันแบบสหวิทยาการ

ความก้าวหน้าในการวินิจฉัยแบบบูรณาการจะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขในต่างสาขาสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ป่วยได้ง่ายขึ้น เพื่อช่วยให้พวกเขาทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลมากขึ้น

เปรียบเหมือนกับเป็นการสร้าง ‘ห้องนักบิน’ ที่ใช้ทำงานร่วมกัน เป็นที่ซึ่งรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันจากโดเมนต่างๆ
ในสภาพแวดล้อมดิจิทัลของ Vendor-agnostic เพื่อสนับสนุนการวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำสำหรับผู้ป่วย

ยกตัวอย่างเช่น ในเคสผู้ป่วยโรคมะเร็งการได้รับการวินิจฉัยที่ตรงจุดแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้การรักษาเห็นผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ยังได้รับข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมว่าการค้นพบของพวกเขามีความสอดคล้องกันมากเพียงใด ทำให้เกิดวงจรความคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการวินิจฉัยให้ดียิ่งขึ้นได้

4. ยกระดับการทำงานร่วมกัน เพื่อการติดตามและการประสานการดูแลที่ดียิ่งขึ้น

ความสามารถในการทำงานร่วมกันเป็นความท้าทายที่เกิดขึ้นในด้านสาธารณสุขมาอย่างยาวนาน โดยเกิดจากความซับซ้อนและกระจัดกระจายของเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพและโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลด้านการดูแลสุขภาพส่วนใหญ่

ผู้บริหารในวงการสาธารณสุข บนรายงาน Future Health Index (FHI) ของฟิลิปส์ปี 2023 ระบุว่ารายงานนี้เป็นหนึ่งในสี่ปัจจัยแห่งความสำเร็จอันดับต้นๆ ในการมอบแนวทางใหม่ๆในการดูแลที่ผสมผสานการดูแลแบบตัวต่อตัวและแบบเสมือนจริงในทุกสภาพแวดล้อม

ความสามารถในการทำงานร่วมกันแบบใหม่สามารถรวบรวมอุปกรณ์และระบบทางการแพทย์ที่แตกต่างกันมาไว้ในอินเทอร์เฟซเดียวกันเพื่อสร้างมุมมองภาพรวมที่ครอบคลุมเกี่ยวกับอาการของผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ดูแลสามารถให้คำแนะนำการรักษาได้อย่างมั่นใจได้จากทุกที่ในโรงพยาบาล ช่วยลดความผันผวนที่เกิดจากภาวะข้อมูลที่มีมากเกินไป

โดยนวัตกรรมล่าสุดอย่างภาพเสมือนของผู้ป่วยแบบอวตาร สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม โดยการแปลข้อมูลผู้ป่วยที่สำคัญแต่ซับซ้อนให้เป็นจอแสดงผลที่เข้าใจง่าย

5. การตรวจจับความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่นๆ และการแทรกแซงโดยอาศัยการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ 

การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ถือเป็นหนึ่งในเทรนด์ของเทคโนโลยีด้านสาธารณสุขในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยการได้รับข้อมูลเชิงลึกด้านการปฏิบัติงานและทางคลินิกจากข้อมูลแบบเรียลไทม์และข้อมูลในอดีต

การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์สามารถช่วยให้ผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขปรับปรุงประสิทธิภาพและดำเนินการเตรียมรับมือล่วงหน้าได้ รายงาน Future Health Index (FHI) ของฟิลิปส์ปี 2023 แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารในวงการสาธารณสุข  39% วางแผนอย่างไรที่จะลงทุนใน AI เพื่อคาดการณ์ผลลัพธ์ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 30% ในปี 2021

ในปัจจุบัน การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ช่วยให้ผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขคาดการณ์และบริหารจัดการกระบวนการไหลของผู้ป่วยในแต่ละจุดบริการภายในสถานบริการ ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถบริหารทรัพยากรบุคลากรในตำแหน่งที่ต้องการมากที่สุดได้

ความสามารถเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความสำคัญโดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤต (เช่น การแพร่ระบาดของโควิด-19) และตอนนี้กำลังกลายเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินงานของโรงพยาบาลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ด้วยการตรวจสอบอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง เช่น เครื่องสแกน MR

การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ยังช่วยระบุได้อีกด้วยว่า อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์บางอย่างถึงเวลาที่ต้องตรวจเช็คบำรุงหรือเปลี่ยนใหม่แล้ว ซึ่งทำให้ 30% ของเคสการให้บริการ สามารถแก้ไขได้และยังช่วยป้องกันเหตุไม่คาดฝันจากกรณีที่อุปกรณ์หยุดทำงานในระหว่างการตรวจได้

เช่นเดียวกันกับในทางด้านคลินิก การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์สามารถรองรับการตรวจหาความเสี่ยงด้านสุขภาพของผู้ป่วยได้ตั้งแต่เนิ่นๆ โดยพิจารณาจากสัญญาณชีพและข้อมูลผู้ป่วยรายอื่นประกอบกัน ความสามารถเหล่านี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการดูแลผู้ป่วยระยะเฉียบพลัน ซึ่งอาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ในระยะนี้

การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ยังสามารถช่วยดูแลผู้ป่วยที่บ้านผ่านการระบบทางไกล ตัวอย่างเช่น ในการศึกษาหนึ่งแสดงให้เห็นว่า ระบบนี้สามารถใช้เพื่อช่วยทำนายภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ ด้วยการตรวจจับความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่นๆ การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์สามารถเปลี่ยนจากการดูแลเชิงรับเป็นการดูแลเชิงป้องกัน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วส่งผลให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นได้

6. การใช้เทคโนโลยีจัดการปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ

ยังคงมีประชากรหลายพันล้านคนทั่วโลกที่ไม่สามารถเข้าถึงการให้บริการทางสาธารณะสุขที่พวกเขาต้องการได้ แม้กระทั่งในประเทศที่มีทุนสนับสนุนเครื่องมือแพทย์เป็นอย่างดี ความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ความต้องการในเรื่องของ ระบบสาธารณสุขที่เท่าเทียมและยั่งยืน ไม่เคยกลายมาเป็นเรื่องเร่งด่วนมากเท่านี้มาก่อน

ด้วยความร่วมมือกับองค์กร Heart of Australia ภายใต้โครงการโรงพยาบาลเคลื่อนที่ (Hospital on wheels) ได้นำ การถ่ายภาพรังสีวินิจฉัย เช่น X-ray และ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) ให้เข้าถึงในพื้นที่ห่างไกลได้มากขึ้น

7. เทคโนโลยีอัจฉริยะที่ช่วยสร้างกิจวัตรประจำวันที่ดีต่อสุขภาพ

เป็นเวลามากกว่า 15 ปีแล้วที่เทคโนโลยีอย่างสมาร์ทวอทช์ทำให้การออกกำลังกายเป็นกิจวัตรเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างแพร่หลาย และยังก่อให้เกิดอุปกรณ์อัจฉริยะเพื่อสุขภาพที่มีความหลากหลายมากขึ้นตามมา อีกทั้งอุปกรณ์เหล่านี้ยังสามารถตรวจจับสัญญาณชีพจรได้อีกด้วย[1,2]- ซึ่ง

แสดงให้เห็นว่าผู้คนมีความต้องการเทคโนโลยีด้านสาธารณสุขที่สามารถเข้ากับการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัวและสามารถปรับแต่งตามความชอบและความต้องการของผู้ใช้งานได้

ในปี 2024 นี้มีคาดการณ์ว่าแนวโน้มเทรนด์ของเทคโนโลยีด้านเฮทล์แคร์ยังคงขยายตัวขึ้นเรื่อยๆและผลักดันพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น เช่น ส่งเสริมให้ผู้คนดูแลสุขภาพช่องปากเป็นประจำ เป็นที่ทราบกันดีว่า [3] สุขภาพช่องปากมีความสำคัญต่อสุขภาพโดยรวม

ในขณะที่ผู้คนต้องการที่จะดูแลสุขภาพความเป็นอยู่ของตนเองให้ดีขึ้น แต่ยังคงขาดความเข้าใจและความมุ่งมั่นในการดูแลสุขอนามัยของช่องปากในแต่ละวัน จึงต้องมีการให้คำแนะนำในเรื่องนี้โดย แปรงสีฟันไฟฟ้าใช้งานผ่านAIที่เชื่อมต่อบนแอปพลิเคชั่น สามารถรวบรวมข้อมูลการแปรงฟันและเสนอคำแนะนำส่วนบุคคลเพื่อที่ผู้ใช้งานสามารถนำไปปรับใช้ได้

8. จัดการกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของไอทีด้านการดูแลสุขภาพ 

จากเทรนด์เทคโนโลยีด้านสาธารณสุขที่กล่าวมาทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบดิจิทัลได้สร้างพื้นที่มหาศาลสำหรับการส่งมอบการดูแลที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้นด้วยการใช้การตัดสินใจทางคลินิกแบบอัลกอริธึมและการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ เช่น เราสามารถใช้ข้อมูลเพื่อส่งมอบข้อมูลเชิงลึกเฉพาะบุคคล
ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ เช่น การแจ้งเตือนทีมดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น หรือ สอนการส่งเสริมพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพผ่านแอปพลิเคชั่น

วิธีแก้ปัญหาแบบดิจิทัลสามารถปรับขยายได้อย่างชัดเจน ดังนั้นจึงช่วยสนับสนุนการป้องกันในวงกว้างขึ้น รวมถึงช่วยปรับค่าใช้จ่ายในการตรวจคัดกรองและการดูแลให้ลดลงได้ และยังช่วยปรับรูปแบบการดูแลเช่นเดียวกับสถานพยาบาลขนาดใหญ่ให้เข้ากับการดูแลภายในบ้านได้ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายบางส่วนลงได้

เพราะในปัจจุบันยังมีผู้คนจำนวนว่า 3.5 พันล้านคนทั่วโลกที่ยังไม่สามารถเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้ ดังนั้นเทคโนโลยีการดูแลสุขภาพแบบดิจิทัลจึงมีส่วนช่วยขยายการเข้าถึงโมเดลการดูแลสุขภาพที่ยั่งยืนซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากได้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นถึงแนวโน้มของการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ เครื่องมือแพทย์ ซัพพลายเออร์และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆทำงานร่วมกันเพื่อให้แน่ใจว่าได้ตัดสินใจถูกต้องเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของไอทีด้านการดูแลสุขภาพที่กำลังดำเนินอยู่ในปี 2024 และในปีต่อๆไป

9.  การปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ของระบบซัพพลายด์ด้านสาธารณสุขที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

เพื่อตอบสนองความเร่งด่วนในการลดการปล่อยคาร์บอนในด้านสาธารณสุข เรามองเห็นแนวโน้มที่เป็นไปได้มากขึ้นของบริษัทเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ ระบบสาธารณสุขและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆที่ร่วมกันขับเคลื่อนการทำงานที่ยั่งยืนในทุกภาคส่วนของระบบสาธารณสุข รวมไปถึงด้านการจัดการ นวัตกรรม การบริการและการส่งมอบ โดยการเปลี่ยนแปลงด้านความยั่งยืนที่มีผลกระทบมากที่สุดประการหนึ่งกำลังเกิดขึ้นในด้านการจัดซื้อจัดจ้าง

ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายข้อกำหนดการเปิดเผยข้อมูล ESG ทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ การจัดซื้อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนภูมิทัศน์ด้านการจัดหา การดูแลสุขภาพจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยคาดหวังว่าฝ่ายจัดซื้อจะใช้เกณฑ์การประเมินลำดับความสําคัญในการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และวิธีการแก้ปัญหาของเทคโนโลยีด้านสาธารณสุข เช่น  อุปกรณ์ที่พัฒนาโดยPhilips

  1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าซัพพลายเออร์มีการรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและวางแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  2. มุ่งเน้นการหมุนเวียนอุปกรณ์เทคโนโลยีด้านสาธารณสุขและด้านโซลูชั่น
  3. กำหนดให้ซัพพลายเออร์มีความโปร่งใสเกี่ยวกับประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์และEcoDesignสำหรับผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์
  4. กำหนดให้ซัพพลายเออร์สาธิตวิธีที่ข้อเสนอดิจิทัลสนับสนุนการลดคาร์บอนและการลดการใช้วัสดุวัตถุโดยการเพิ่มประสิทธิภาพทรัพยากรและประสิทธิภาพเวิร์กโฟลว์
  5. กําหนดให้ซัพพลายเออร์รายงานผลกระทบทางสังคมต่อสาธารณะ

นับจากนี้เป็นต้นไป การใช้มาตรฐานการจัดซื้อที่ยั่งยืนเช่นนี้จะเป็นกลยุทธ์ที่จำเป็นสำหรับบริษัทเครื่องมือแพทย์และรัฐบาลที่ต้องการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ควบคู่ไปกับการปกป้องสุขภาพของมนุษย์และส่งเสริมความเสมอภาคด้านการดูแลสุขภาพ

10. ร่วมมือกันเพื่อลดผลกระทบด้านสาธารณสุขบนโลก  

ระบบสาธารณสุขเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่คุณค่าที่กว้างขึ้น-เริ่มตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำไปจนถึงการดำเนินงาน, โลจิสติกส์ ระยะการใช้งานและสิ้นสุดระยะการใช้งานที่ปลายน้ำ ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อ ความหลากหลายทางชีวภาพ ผ่านการใช้ประโยชน์จากที่ดิน มลพิษ  การบริโภคและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

เนื่องจากมีการตระหนักอย่างเป็นวงกว้างถึงผลกระทบต่อสุขภาพของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อสุขภาพของผู้คน จึงจะเห็นแนวโน้มอย่างต่อเนื่องของระบบสาธารณสุขที่นำกลยุทธ์มาใช้อย่างแข็งขันในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น  การเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีด้านสาธารณสุขที่ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและวิธีแก้ปัญหาดิจิทัลอัจฉริยะหรือการปรับใช้เป้าหมายตามหลักวิทยาศาสตร์ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก-เป้าหมายบังคับสําหรับบริษัททั้งหมดในแคลิฟอร์เนียที่มีมูลค่ามากกว่า1พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2025

อย่างไรก็ตามความเสี่ยงทางธรรมชาติที่ขยายเพิ่มมากขึ้นอาจถูกมองข้ามเนื่องจากองค์กรเชื่อว่าผลกระทบทางการเงินของความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศมีมากกว่าความเสี่ยงเช่น การตัดไม้ทําลายป่าหรือการสูบน้ำ ซึ่งอย่างหลังมีผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของประชากร

ดังนั้นจึงมีการคาดหวังที่จะเห็นแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นในการนำ ‘การประเมินต้นทุนทางธรรมชาติ’ มาใช้เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจให้ดีขึ้นเกี่ยวกับการจัดการการใช้ทรัพยากรและบริษัทต่างๆที่ทุ่มเทเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามหลักวิทยาศาสตร์เพื่อธรรมชาติที่ฟิลิปส์ได้มีการพัฒนาโปรแกรมเพื่อเพิ่มมูลค่าทางนิเวศวิทยาของร่องรอยผลกระทบจากการผลิต

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 Morgan Stanley รายงานไว้ว่า ‘ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวิกฤตปัญหาน้ำที่เพิ่มขึ้นจำเป็นต่อทุกอุตสาหกรรมที่ควรต้องทบทวนเกี่ยวกับการใช้น้ำ’ ฟิลิปส์ไม่ใช่บริษัทที่มีการใช้น้ำมาก อย่างไรก็ตามเนื่องจากโรงงานผลิตหลายแห่งของเราตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีปัญหาเรื่องน้ำจึงได้ริเริ่มโครงการลดปริมาณการใช้น้ำทั้งหมดลง 5% จากระดับปริมาณน้ำในปี 2019

มุมมองจากทั่วโลก รอยเท้าความหลากหลายทางชีวภาพขององค์กรเดียวอาจไม่ใหญ่มากนัก แต่แตกต่างจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เมื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียงอย่างเดียวจะมีผลโดยตรงและการฟื้นฟูระบบนิเวศจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากเริ่มการกระจายตัวของพื้นที่รวมเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านนี้ การทํางานร่วมกันตลอดห่วงโซ่คุณค่าเป็นสิ่งสําคัญ

ลูกค้ามาสด้าสุดปลื้มร่วมงานแบบเอ็กคลูซีฟ สัมผัส e-SKYACTIV R-EV เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในอนาคต

มาสด้าจัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับลูกค้าได้สัมผัสบูธแสดงรถยนต์ที่ได้รับการออกแบบใหม่หมด ภายใต้ธีม Love of Cars เพื่อถ่ายทอดความมุ่งมั่นของมาสด้าในการพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ในอนาคตที่กำลังดำเนินไปตามกรอบเวลา ตอบสนองความต้องการของลูกค้าผู้หลงไหลในการขับขี่และรักในรถยนต์

โดยแบ่งโซนจัดแสดงบอกเล่าเรื่องราวที่มีลูกค้าอยู่ในทุกช่วงเวลา และมีรถยนต์มาสด้าเป็นพาร์ทเนอร์ในทุกประสบการณ์ ตอกย้ำการให้ความสำคัญที่มีลูกค้าเป็นหนึ่งในทุกการเติบโต สื่อสารอารมณ์ความรู้สึก ความสนุกสนานในการขับขี่ ความสุขในการใช้ชีวิต และอนาคตที่รถยนต์มีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ได้แบ่งปันความทรงจำที่มีต่อรถยนต์ร่วมกัน 

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปีนี้มาสด้าออกแบบบูธใหม่ทั้งหมด ภายใต้ธีม Love of Cars ได้แรงบันดาลใจจากการมีลูกค้าเป็นส่วนหนึ่งในทุกประสบการณ์การเดินทาง เป็นศูนย์รวมความสุขของผู้ที่รักในรถยนต์

โดยแบ่งโซนการจัดแสดงออกเป็น โซนแกลเลอรี่วอลล์ ที่ลูกค้าส่งภาพความประทับใจกับรถยนต์คันโปรด You and Mazda Moments ถ่ายทอดประสบการณ์ความสุขในทุกช่วงเวลา และยังได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่รักในรถยนต์ “The Memorable Love of Cars” ส่งรถโมเดลผ่านทางมาสด้า

เพื่อส่งต่อให้กับเด็กและเยาวชนที่ขาดแคลน มีผู้สละเข้ามากว่า 500 คัน และมาสด้าเพิ่มเติมอีก 1,000 คัน โดยจะเร่งส่งต่อรถโมเดลเหล่านี้ให้ถึงมือเด็กๆ โดยเร็วที่สุด รวมถึงลูกค้าที่จองสิทธิ์รถยนต์รุ่นพิเศษ Mazda6 20th Anniversary Edition เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้อย่างอบอุ่น

ไฮไลท์สำคัญ คือการจัดแสดงเทคโนโลยี Multi-Solution มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ส่งมอบเทคโนโลยีที่มีความหลากหลายและมีความเหมาะสม เพิ่มทางเลือกให้กับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้า ในยุคที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากพลังงานเชื้อเพลิงไปสู่พลังงานไฟฟ้า Multi-Solution คือหนึ่งในเทคโนโลยีแห่งอนาคตจากมาสด้า

การนำเทคโนโลยี e-SKYACTIV R-EV มาใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด เป็นการปลุกฟื้นคืนชีพตำนานเครื่องยนต์โรตารี่ ต้นกำเนิดรถสปอร์ตมาสด้าหลากหลายรุ่นในอดีต ที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบันกลายเป็นดีเอ็นเอสายพันธุ์สปอร์ตที่ทั่วโลกให้การยอมรับ

นายธีร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับบูธมาสด้าทั้งนี้ มาสด้าจะยังคงเดินหน้าในการส่งมอบ “ความสุขในการขับขี่” Joy of Driving ต่อไป

ภายใต้คุณค่าหลักที่ให้ความสำคัญกับการมุ่งเน้น “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” และมุ่งมั่นที่จะส่งมอบ “ความสุขในการดำเนินชีวิต” ด้วยการสร้างสรรค์ประสบการณ์ความสุขให้กับชีวิตประจำวันของลูกค้าทุกคน และเราจะยังคงแสวงหาทุกวิถีทางเพื่อสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับลูกค้าตลอดไป

“ลีโอ” ชู Music Marketing สานต่อความแกร่งด้วยแคมเปญสุดมันส์ “ไปด้วยกันนะ” ดึง 3 ศิลปินสุดฮอต อิ้งค์ วรันธร – Three Man Down – ไททศมิตร ร่วมขบวนออนทัวร์ทั้งปี

“ลีโอ” (LEO) ต่อยอดความแข็งแกร่ง Music Marketing แบบครบเครื่อง เชื่อมต่อดนตรีทั้งออนไลน์ และ ออนกราวด์ ตลอดปี 67 จัดแคมเปญ “ไปด้วยกันนะ” ดึง 3 ศิลปินสุดฮอต “อิ้งค์ วรันธร – Three Man Down (ทรีแมนดาว) – ไททศมิตร”  ร่วมมอบความมันส์ทั่วไทย     

คุณธิติพร ธรรมาภิมุขกุล Chief Marketing Officer บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้เรามีความตั้งใจมอบความสนุกความมันส์ให้กับผู้บริโภคผ่านแพลตฟอร์ม Music Marketing ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ในปีนี้ลีโอจะพาทุกท่านท่องความสนุกไปด้วยกัน ในแคมเปญ “ไปด้วยกันนะ” โดยมีไฮไลต์คือการผนึก 3 ศิลปินสุดฮอตขวัญใจวัยรุ่นของเมืองไทย ได้แก่ อิ้งค์ วรันธร, Three Man Down และ ไททศมิตร เข้ามาสร้างความมันส์ให้แฟนๆตลอดทั้งปี ผ่านทั้งกิจกรรมออนกราวน์และออนไลน์แบบทั่วประเทศ รวมทั้งการนำเพลง “ไปด้วยกันนะ” มารีอเรนจ์เป็นเพลงธีมของปีนี้ พร้อมปล่อย MV ให้ชมเป็นครั้งแรก เพื่อชวนให้ทุกคนมาจอยกับความมันส์ในแบบของลีโอไปด้วยกัน

Music Marketing ของ “ลีโอ” ยังอัดแน่นไปด้วยเทศกาลดนตรีที่จะเกิดตลอดทั้งปี เช่น Leo Hurt Fest ปิดโหมดเฮิร์ท เปิดโหมดฮีล กับ 6 ศิลปินดัง ที่กำลังจะมีคอนเสิร์ตในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ ส่วนในช่วงที่เป็นไฮซีซั่น ก็จะมีงานดนตรีริมทะเลต้อนรับซัมเมอร์ ที่จะมาสาดความมันส์ท้าทายอากาศร้อน ฯลฯ

รวมไปถึงคอนเสิร์ตโรดโชว์จาก Music Presenter ทั้ง 3 วง – อิ้งค์ วรันธร, Three Man Down และ ไททศมิตร ที่จะลงพื้นที่ไปเจอกับแฟนเพลงตามจังหวัดต่างๆ พร้อมแท็กทีมศิลปินที่เป็นเซอร์ไพรส์จาก ลีโอ

ปิดท้ายด้วยความพิเศษสุดกับคอนเสิร์ตใหญ่แห่งปีที่ทุกคนรอคอย “ลีโอ เฟส” (LEO FEST) ที่เป็นการรวมตัวกันครั้งสำคัญของศิลปินชั้นนำ เพื่อมาปล่อยพลังกันไปรวมกันให้มันส์กว่ากับคอนเสิร์ตใหญ่ประจำปีในครั้งนี้ 

ที่ผ่านมา ความสำเร็จของแพลตฟอร์ม Leo Music Marketing เห็นเด่นชัดมากขึ้นมาโดยตลอด แบรนด์สามารถสร้างเอนเกจเมนต์กับกลุ่มเป้าหมาย ด้วยการดึงแฟนเพลงเข้ามามีส่วนร่วมกับกิจกรรม และคอนเสิร์ตต่างๆอย่างล้นหลาม เช่น  Leo Red Night ที่ลีโอจัดกองทัพศิลปินเพื่อโรดโชว์ ทำการแสดงที่ร้านอาหาร ผับ บาร์ สถานบันเทิงทั่วประเทศไทยตลอดทั้งปี

ส่วนออนไลน์ จะมี Live Music และรายการต่างๆ เช่น Leo Cover Club การคัฟเวอร์เพลงดังผ่านช่อง Leo Thailand บนแพลตฟอร์ม Youtube  และ ลีโอ เฟส คอนเสิร์ตที่แฟนๆให้การตอบรับอย่างดีเยี่ยม 

“อาซาฮี” ดึง 2 เชฟดัง – ศิลปิน เปิดตัวแคมเปญ 2024 ภายใต้คอนเซ็ป ‘Beyond Expected’ ยึด 3 แกน อาหาร ดนตรี กีฬา ตอบไลฟ์สไตล์กลุ่มเป้าหมาย

“อาซาฮี” (Asahi) แบรนด์เบียร์อันดับ 1 จากประเทศญี่ปุ่น เดินหน้าทำกิจกรรมทางการตลาด ตอบสนองผู้บริโภคผ่านการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของกลุ่มเป้าหมาย ทั้งสายกิน คอกีฬา และชื่นชอบดนตรี อย่างลงตัว สำหรับปี 2567 ชูแคมเปญแห่งปี “Beyond Expected” ผนึกพันธมิตรทุกช่องทาง อาทิ ร้านอาหาร ร้านค้า เอาท์เล็ท ตัวแทนจำหน่าย ร้านอาหาร โรงแรม บาร์ต่างๆ ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ ผลักดันแบรนด์ให้เข้าไปครองใจผู้บริโภค 

นายเมธี อัครมหาพาณิชย์ ผู้จัดการฝ่ายอาวุโส Brand Management บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า “ปี 2567 อาซาฮี วางกลยุทธ์การทำตลาดภายใต้แนวคิด Beyond Expected เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายให้กับผู้บริโภค และเราต้องการตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์

โดยเฉพาะ 3 แกนสำคัญ อย่างสายกินจะได้เห็นการจับคู่กับเมนูอร่อยของร้านอาหารต่างๆ สายชิลล์จะได้สัมผัสคอนเสิร์ตจากศิลปินดังมอบความสนุก และสายกีฬา จะมอบความมันส์แก่คอมมูนิตี้ต่างๆ โดยเฉพาะฟุตบอล ที่อาซาฮีเป็นผู้สนับสนุนสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้” 

ทั้งนี้ รายละเอียดของแต่ละกิจกรรม ประกอบด้วยอาหารจะมีการจับคู่หรือ Food Pairing ร่วมมือกับร้านอาหารประเภทต่างๆ เช่น ร้านอาหารญี่ปุ่น นำเมนูซิกเนเจอร์มาจับคู่กับเครื่องดื่มอาซาฮี  ด้านดนตรี ดึงศิลปินนักร้องไปจัดคอนเสิร์ตตามร้านอาหาร ผับ บาร์ ฯลฯ

ส่วนด้านกีฬา อาซาฮี มีจุดเด่นในการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับสโมสรฟุตบอลระดับโลกจากพรีเมียร์ ลีก อังกฤษอย่างเรือใบสีฟ้า “แมนเชสเตอร์ ซิตี้”(Manchester City) จึงต่อยอดกิจกรรมในประเทศไทย ด้วยการร่วมกับ Manchester City Official Supporter Club (OSC) จัดกิจกรรมภายใต้ชื่อ Cityzens Beyond Expected Party ที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งปี การชวนแฟนคลับคอบอลมาร่วมดูฟุตบอลนัดสำคัญหรือ Big Match เป็นต้น 

โดยอาซาฮี ได้คิกออฟกิจกรรม “Asahi Beyond Expected” เมื่อเร็วๆนี้ เพื่อมอบประสบการณ์สุดพิเศษกับดินเนอร์สุดหรูหรือ  Fine Dining และงานคอนเสิร์ตสุดปัง ที่ลิโด คอนเน็ค (LIDO CONNECT) ไฮไลต์ของงาน อาซาฮีร่วมกับ 2 เชฟชื่อดัง คือ “เชฟแพม–พิชญา สุนทรญาณกิจ” แห่งร้านโพทง และ “เชฟมาซาโตะ” แห่งร้าน Sushi Masato สุดยอดเชฟฝั่งอาหารไทยและอาหารญี่ปุ่นแนวฟิวชั่น

มานำเสนอมื้ออาหารสุดพิเศษรูปแบบ Virtual Dining Experience  ที่เพิ่มอรรถรสการทานอาหาร ที่มาพร้อม Digital Art แสง สี เสียง พร้อมกันนี้ ยังมีกิจกรรมคอนเสิร์ตจากศิลปิน “อะตอม ชนกันต์” และ “อิ้งค์ วรันธร” มามอบความสนุกและสร้างประสบการณ์ความบันเทิงแบบใกล้ชิดและเอ็กซ์คลูซีฟสุดๆ

J&T Express พร้อมเสิร์ฟ “J&T Bulky” และ “J&T COD Next Day” เสริมทัพบริการขนส่งพัสดุอย่างครบครัน

เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส (J&T Express) บริษัทขนส่งระดับโลกผู้มอบบริการหลักด้านการขนส่งพัสดุด่วน เปิดตัว “J&T Bulky” บริการส่งพัสดุขนาดใหญ่ รวมถึงให้บริการเก็บเงินปลายทาง หรือ “J&T COD Next Day” สำหรับลูกค้าทั่วไปหรือลูกค้า Walk-in รวมถึงลูกค้า VIP โดยสามารถใช้บริการได้ที่ J&T Express ทุกสาขาทั่วประเทศ

นางลิลลี่ เฉิน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด J&T Express ประเทศไทย กล่าวว่า “พฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน ไม่ได้จำกัดเพียงสินค้าขนาดเล็กเท่านั้น เช่นเดียวกับที่อัตราการเติบโตของสินค้าขนาดใหญ่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริการ J&T Bulky จึงช่วยอำนวยความสะดวกในเรื่องการขนส่งพัสดุที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ ไม่เพียงเท่านั้น

การเปิดให้บริการ J&T COD Next Day สำหรับลูกค้าทั่วไป ยังสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการส่งพัสดุประเภทมีบริการเก็บเงินปลายทาง หรือ COD ในด้านการรับ-ส่งพัสดุที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสทางการขายให้กับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ได้มากขึ้นอีกด้วย”

สำหรับ J&T Bulky ให้บริการขนส่งพัสดุที่มีน้ำหนักสูงสุดถึง 100 กิโลกรัม และมีความยาวพัสดุด้านใดด้านหนึ่งสูงสุด 200 เซนติเมตร เพื่อรองรับความต้องการซื้อ-ขายสินค้าขนาดใหญ่ ด้วยมาตรฐานการให้บริการที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย ตลอด 365 วัน โดยสามารถดูเงื่อนไขการให้บริการและรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านทางเว็บไซต์ หัวข้อ บริการของเรา และ J&T Bulky (https://jtexpress.co.th/bulky)

นอกจากนี้ ยังถือเป็นข่าวดีสำหรับลูกค้าทั่วไปที่สามารถใช้บริการ J&T COD Next Day ได้อย่างง่ายดายและสะดวกสบาย โดย J&T Express มอบค่าบริการราคาพิเศษ 2.4% ของมูลค่าสินค้า จากปกติ 3% โดยไม่มีขั้นต่ำในการส่งพัสดุ สามารถชำระเงินผ่าน เงินสด และ QR Code เพียงสมัครและใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน J&T Thailand ทั้งนี้จะได้รับเงินในวันถัดไป หลังจากวันที่ผู้รับปลายทางมีการเซ็นรับพัสดุ

โดยสามารถดูเงื่อนไขการให้บริการและรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านทางเว็บไซต์ หัวข้อ บริการของเรา และ เก็บเงินปลายทาง (https://jtexpress.co.th/CODNextDay)

J&T Express มุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพการบริการและระบบการจัดส่งที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ ยังให้บริการแบบครบวงจร (One-stop service) ไม่ว่าจะเป็น บริการรถขนส่งครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศไทย (Jet Transport) การจัดการคลังสินค้า แพ็กสินค้า และการส่งออก (J&T Fulfillment) รวมถึง การขนส่งพัสดุระหว่างประเทศครบวงจร (J&T International) เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า ให้ได้รับประสบการณ์การส่งพัสดุที่ดีที่สุด