ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 1 : Sand Hill Road

อีลอน มัสก์ ถูกเปรียบเทียบดั่ง สตีฟ จ๊อบส์ แห่ง apple แต่เขาเป็นคนที่สนใจปัญหาใหญ่ ๆ ของโลกเรา หากจะให้อธิบายสิ่งที่เขากำลังทำนั้นต้องใช้คำสั้้น ๆ ว่า เขาต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงโลกด้วยนวัตกรรมต่าง ๆ ที่เขากำลังสร้างขึ้นมา ซึ่งชายคนนี้ เป็นชายที่โลกเรากำลังต้องการอย่างยิ่ง

โลกเรานั้นได้ถูกขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเป็นหลัก ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับทั่วโลก เพราะน้ำมันนั้นเป็นสิ่งที่จะหมดไปภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เพราะฉะนั้นมนุษย์เรานั้นต้องการเทคโนโลยีที่ต้องไม่ขึ้นอยู่กับน้ำมันอีกต่อไป เพราะมันเป็นแหล่งพลังงานที่มีอยู่อย่างจำกัด

ซึ่งหนึ่งในคนที่แคร์ปัญหาใหญ่ ๆ ของโลกเรา คน ๆ นั้นไม่ใช่ใคร เขาก็คือ อีลอน มัสก์ นั่นเอง เขาเป็นคนที่คิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ Tesla Motor คือแนวคิดที่รถยนต์ในอนาคต จะต้องไม่พึ่งพาน้ำมันอีกต่อไป ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องน้ำมันเขายังคิดถึงเรื่อง การย้ายอพยพถิ่นฐานไปยังดาวอังคาร หากในอนาคตเกิดอะไรที่ไม่แน่นอนขึ้นกับโลกของเรา น้ำอาจจะท่วมโลก หรือ น้ำแข็งขั้วโลกละลาย

แนวคิดอพยพไปดาวอังคารของ Elon Musk
แนวคิดอพยพไปดาวอังคารของ Elon Musk

หรือเกิดภัยพิบัติ ครั้งรายแรงทำให้เราไม่สามารถอาศัยอยู่ในโลกได้อีกต่อไป อีลอน มัสก์ เป็นคนคิดการณ์ไกลขนาดนั้น มันไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ หากดูจาก สภาพภูมิอากาศของโลกเราในปัจจุบัน มันมีความเสี่ยง มันอาจจะถึงจุดจบของมนุษย์โลกก็ได้หากไม่มีการเตรียมการไว้ก่อน

ทุก ๆ บริษัทที่ อีลอน มัสก์ สร้างขึ้นมา ทั้ง Tesla Motor , SpaceX หรือ SolarCity มันเพื่อจุดประสงค์ต่าง ๆ เหล่านี้แทบจะทั้งสิ้น เขาสนใจแต่ปัญหาใหญ่  ๆ ของโลกเราแทบจะทั้งหมด

ในวัย 28 ปี มัสก์ ต้องการที่จะซื้อรถคันใหม่ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาในขณะนั้น ที่เพิ่งขายบริษัท Zip2 ธุรกิจแรกของเขา ได้เงินกว่า 22 ล้านเหรียญ ในโรงรถของมัสก์ มีรถ Jaguar Series 1 E-type ปี 1967 ซึ่งเป็นรถที่ขึ้นชื่อว่ามีดีไซต์สวยที่สุดคันหนึ่งของโลกอยู่แล้ว

แต่ตอนนี้เขาต้องการรถที่เร็วที่สุด เพื่อมาเติมเต็มโรงรถของเขา McLaren F1 เป็นรถที่ตอบโจทย์เรื่องความเร็วที่เขาต้องการได้ ตอนนั้น บริษัท McLaren F1 จากอังกฤษ ได้ผลิตรถรุ่นที่สามารถวิ่งบนท้องถนนได้ โดยสามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 231 mph (372 km/h) ซึ่งมันได้สร้างสถิติเป็นรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกได้ในปี 1998 ซึ่งสามารถทำความเร็ว 0-100 km/h ได้ในเวลาเพียง 3.2 วินาทีเพียงเท่านั้น

มันเป็นรถในฝันของ มัสก์ เลยก็ว่าได้ มี celebrity ระดับโลกต้องการรถคนนี้หลายคน และรถรุ่นนี้ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 106 คันเท่านั้น โดย มัสก์ สามารถซื้อได้ทันก่อนที่ แฟชั่น ดีไซต์เนอร์ชื่อดังอย่าง Ralph Lauren จะซื้อทันเพียง 1 ชม.เท่านั้น

มันเป็นรถราคากว่า 1 ล้านเหรียญ ซึ่งราคาในตอนนี้นั้นพุ่งไปสูงถึงกว่า 4 ล้านเหรียญไปแล้ว ทุกคนจะมีหมายเลขกำกับ โดยคันที่ มัสก์ ได้มาคือหมายเลข 67

ตอนนั้น มัสก์ ก็เริ่มมีชื่อเสียงระดับหนึ่งใน silicon valley แล้ว มัสก์ ดีใจเป็นอย่างมาก ถึงกับกระโดดโลดเต้นหลังจาก รถบรรทุกมาส่งที่บ้านของเขา มันเป็นความฝันหนึ่งของมัสก์ ซึ่งเมื่อย้อนกลับไป 3 ปีก่อนหน้า เขายังต้องนอนอยู่ชั้นล่างของออฟฟิส ตัวเองเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขาสามารถซื้อรถยนต์ มูลค่ากว่าล้านเหรียญได้สำเร็จ

McLaren รถในฝันของ อีลอน มัสก์
McLaren รถในฝันของ อีลอน มัสก์

มัสก์ ซึ่งตอนนั้นกำลังพัฒนา X.com ที่กำลังจะรวมกับ Paypal ของ ปีเตอร์ ธีล โดย Sand Hill Road เป็นถนนที่ มัสก์นั้น ชอบมาขับรถ McLaren คันโปรดของเขา  มัสก์ มีความสุขอย่างมากกับรถคันนี้

ถนน Sand Hill Road นั้นเปรียบเสมือน WallStreet ในนิวยอร์ก ที่นี่เต็มไปด้วยบริษัทด้านการลงทุนมากมาย และยังสามารถเชื่อมต่อไปยังมหาลัยชื่อดังอย่าง Stanford University รวมถึง Silicon Valley ได้อีกด้วย

มูลค่าอสังหาริมทรัพย์บริเวณ Sand Hill Road นั้นสูงลิบลิ่ว ซึ่งในยุคนั้นอาจจะพูดได้ว่าเป็นถนนที่แพงที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ แต่ก็อย่างที่รู้ ๆ กันว่าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาของมัสก์ ในตอนนั้น Silicon Valley กำลังบูม ทุกคนเข้ามาเพื่อแสวงหาเงินจากเหล่านักลงทุน เพื่อสร้าง startup ของตัวเอง

วันหนึ่ง เขาได้ชวน ปีเตอร์ ธีล ให้มาลองนั่ง McLaren ของเขา แต่วันนั้นได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น มัสก์ ไม่สามารถบังคับเจ้า McLaren ได้เหมือนเคย ด้วยความเร็ว มัสก์ไม่สามรถที่จะ control รถได้ จนไปชนเข้ากับขอบทาง และ แรงกระแทกทำให้รถหลุดออกไปนอกถนน พลิกคว่ำสภาพแน่นิ่งอยู่ข้างทาง

หลังจากฝุ่นได้จางหายไป ปีเตอร์ ธีล ได้ยินเสียง มัสก์ หัวเราะกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งคู่ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่หนักแต่อย่างใด เนื่องจากรถเป็นรถที่มีคุณภาพสูง แม้รถจะสภาพเละน่าดู หลังจากมีหน่วยฉุกเฉินมาช่วย ทั้งคู่ ก็ต้องโบกรถเพื่อกลับไปประชุมนัดสำคัญให้ทัน

สภาพรถที่ยับเยินหลังอุบัติเหตุ
สภาพรถที่ยับเยินหลังอุบัติเหตุ

และเจ้า McLaren นี่เอง มันทำให้มัสก์ ได้มองเห็นบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม McLaren นั้นสูบน้ำมันเป็นว่าเล่น เป็นรถที่ใช้น้ำมันเปลืองอย่างมาก ในปี 2007 นั้น เขาจำใจต้องขายเจ้า McLaren สุดรักคันนี้ของเขา

มันถึงเวลาที่เขาต้องการที่จะปรับภาพลักษณ์ ด้านสิ่งแวดล้อมของเขาเสียที แม้ McLaren นั้นจะเป็นรถที่ดีมาก แต่มันไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อม ที่เป็นปัญหาใหญ่ของโลกที่เขากำลังสนใจอยู่ และมันเป็นที่มาของการลงทุนครั้งใหญ่กับธุรกิจใหม่ในอนาคตของเขา

หลังจากขาย paypal ให้กับ ebay ได้สำเร็จในปี 2002 ซึ่งสามารถทำเงินได้มากกว่า 1,500 ล้านเหรียญ เขาได้ทุ่มเงิน 100 ล้านเหรียญให้กับ SpaceX   70 ล้านเหรียญให้กับ Tesla Motor และ 10 ล้านเหรียญให้กับ SolarCity ทุก ๆ บริษัทที่เขาลงทุนใหม่นั้น จะสร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่โดยเริ่มต้นจากศูนย์ เขาจะเป็นอัจฉริยะผู้หมกมุ่นกับการเสาะแสวงหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ไม่มีใครเคยคิดมาก่อน แล้วแนวคิดต่าง ๆ ของ มัสก์ นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร Blog Series ชุดนี้ จะพาไปทำความรู้จัก กับตัวตนของ อีลอน มัสก์ ให้มากขึ้นครับ โปรดอย่าพลาดติดตามในตอนต่อ ๆ ไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 2 : Lost Cities

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

Blog Series : Elon Musk The Real Life Iron Man

Blog Series : Elon Musk The Real Life Iron Man

อีลอน มัสก์ (Elon Musk) นักธุรกิจและนักลงทุนผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง และยังเป็นวิศวกรและนักประดิษฐ์หลายสิ่งที่เป็นนวัตกรรมอีกด้วย เขาเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของบริษัท SpaceX และยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ผู้บริหารและสถาปนิกผลิตภัณฑ์ของบริษัท Tesla Motor และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริษัทของ Paypal ตลอดจนบริษัทอื่นๆอีกมากมาย

นอกจากนี้เขายังเป็นผู้จุดประกายความคิดระบบขนส่งความเร็วสูงที่เรียกว่า Hyperloop และเขาได้รับการจัดอันดับจากนิตสารฟอบส์ให้เป็นบุคคลที่รวยที่สุดเป็นอันดับ 56 ของโลกเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2018

ชายผู้นี้มีประวัติที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่ง คิดว่าหลาย ๆ ท่านคงได้ยิน ได้อ่านมาบ้างแล้ว ทั้งจากหนังสือชื่อดังอย่าง Elon Musk Tesla ,SpaceX , and the Quest for a Fantastic Future ที่เขียนโดย Ashlee Vance ที่ตอนนี้ได้มีฉบับแปลเป็นไทยออกมาให้ได้อ่านกันแล้ว

หนังสือ Elon Musk Tesla , SpaceX , and the quest for a Fantastic Future by Ashlee Vance
หนังสือ Elon Musk Tesla , SpaceX , and the quest for a Fantastic Future by Ashlee Vance

 มัสก์ นั้นมีคนตั้งฉายา ให้กับเขาว่า เปรียบเสมือนเป็น IRON Man ในโลกแห่งความเป็นจริงเลยก็ว่าได้ มี Documentary ที่เป็นหนังเกี่ยวกับชีวิตของเขาอย่าง Elon Musk: The Real Life Iron Man

สำหรับใน Blog Series ชุดนี้ ผมได้ไปเจอหนังสือที่น่าสนใจอีกเล่มหนึ่ง ที่น้อยคนที่จะได้อ่าน ซึ่งก็คือ The Engineer : Follow Elon Musk on a journey from South Africa to Mars โดย Erik Nordeus ซึ่งพบว่าเป็นงานเขียนที่มีหลายแง่มุมที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดย Erik Nordeus นั้น ได้ทำการค้นคว้าข้อมูลของ Elon Musk ขึ้นมาเอง แล้วแต่งเป็นหนังสือเล่มดังกล่าว ถือว่าเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย

หนังสือ The Engineer Follow Elon Musk on a Journey from South Africa to Mars
หนังสือ The Engineer Follow Elon Musk on a Journey from South Africa to Mars by Erik Nordeus

มันต่างจากหนังสือของ Ashlee Vance ที่เป็นการเล่าผ่านตัวตนของ Elon Musk โดยตรงเหมือนอัตถชีวประวัติผู้ยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ แต่ดูเหมือนเล่มนี้ จะมีมุมมองที่ต่างออกไปที่น่าสนใจ อยากให้เปิดโอกาสให้ได้อ่านกันครับ โดย Blog Series ชุดนี้ จะดำเนินเรื่องตามหนังสือของ Erik Nordeus เป็นหลัก พร้อมกับข้อมูลอื่น ๆ ทั้งทาง Wikipedia และข้อมูลออนไลน์ โดยจะมาเรียบเรียงใหม่ในแบบฉบับผมเองตามเคยครับ หากใครสนใจ ก็อย่าลืมฝากติดตามกันด้วยนะครับผม

–> อ่านตอนที่ 1 : Sand Hill Road

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

หนังสือ Elon Musk Tesla ,SpaceX , and the Quest for a Fantastic Future เขียนโดย Ashlee Vance

หนังสือ The Engineer : Follow Elon Musk on a journey from South Africa to Mars โดย Erik Nordeus

หนังสือ จากรถยนต์ไฟฟ้า Tesla สู่อาณาจักรนิคมบนดาวอังคาร เรื่องราวชีวิตของผู้ประกอบการที่อาจหาญที่สุดในยุคของเรา!
ผู้เขียน Ashley Vance (แอชลี แวนซ์)
ผู้แปล จินดารัตน์

biography.com/business-figure/elon-musk

en.wikipedia.org/wiki/Elon_Musk

businessinsider.com/the-rise-of-elon-musk-2016-7

electrek.co/2020/04/30/elon-musk-tesla-battery-day-terafactory

youtube.com/watch?v=wQuBZp5d7zA

youtube.com/watch?v=PdZAVTxtEcQ

South Korea ตอนที่ 7 : The Glory of Korea

ประเทศเกาหลีใต้ ได้ถือกำเนิดมาในสภาพรัฐที่สิ้นหวัง ทั้งยากจน บอบช้ำจาก การถูกล่าอาณานิคม แถมยังถูกสงครามทำลายอย่างย่อยยับ ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีเพียงน้อยนิด ประเทศที่ถูกแบ่งเหลือเพียงครึ่งเดียว แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเป็นแรงผลักดันให้ประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ สามารถที่จะประสบความสำเร็จ ได้อย่างเหลือเชื่อ ในเวลาเพียงแค่ชั่วอายุคนเพียงเท่านั้น ความสามัคคี และรักชาติ นำพาเกาหลีใต้พลิกฟื้นประเทศ จนกลายเป็นประเทศที่ล้ำหน้าที่สุดในโลกประเทศนึงในปัจจุบัน

มันไม่เหมือนประเทศอย่างจีน หรือ สิงคโปร์ ความสำเร็จของเกาหลีใต้นั้น มันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องตัวเลขทางเศรษฐกิจเพียงเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึง ทั้งเรื่องการเมือง และ สังคม รวมถึงความเป็นประชาธิปไตยที่แข็งแกร่งของเกาหลีด้วย

ผลงานด้านศิลปะและวัฒนธรรม ก็ไม่น้อยหน้าประเทศไหนในโลก  สังคมของเกาหลีใต้ กำลังได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ที่เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น และยังคอยพัฒนาอย่างต่อเนื่องแบบไม่หยุดยั้ง เรายังไม่ได้เห็นจุดสูงสุดของประเทศเกาหลีใต้ในเวลาอันใกล้นี้อย่างแน่นอน เพราะพวกเขากำลังพัฒนาด้วยอัตราเร่ง แบบไม่ได้ชะลอความรวดเร็วลงไปเลย

ด้วยบุคลิก และ ลักษณะทางสังคมที่มีความยืดหยุ่นนั้น ทำให้คนในสังคมเกาหลีใต้อยู่ร่วมกันได้ท่ามกลางความขัดแย้งและแตกต่าง มันก็เหมือนกับทุกประเทศที่ผู้คนต่างมีอุดมการณ์ไม่ว่างทางการเมือง ศาสนา หรือ จารีต ประเพณีต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน

แต่เกาหลีใช้จุดนี้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากกว่าจะถ่วงความเจริญก้าวหน้า นิสัยหลาย ๆ อย่างของชาวเกาหลี ไม่ว่าจะเป็นความแน่วแน่ และทุ่มเทอย่างไม่ลดละเพื่อเป้าหมาย ก็สามารถช่วยให้คนเกาหลีสร้างความเจริญก้าวหน้าในหลาย ๆ ด้านได้อย่างรวดเร็ว จนเป็นที่อิจฉาของทุก ๆ ชาติ

แต่มันก็ต้องแลกด้วยอะไรหลายอย่าง คนเกาหลีใต้ ต้องทำงานหนักกว่าใครเพื่อน เรียนหนักกว่าใครเพื่อน จิตวิญญาณที่รักการแข่งขัน ที่อยู่กับพวกเขาตลอดชีวิต ตั้งแต่เด็กจนถึงวัยเกษียณ มันแลกด้วย ความสุขที่ลดลงไปของชาวเกาหลี

แม้ตอนนี้พวกเขาจะประสบความสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว กลายเป็นหนึ่งในประเทศพัฒนาแล้วเทียบเท่า อเมริกา ญี่ปุ่น หรือ ประเทศอื่น ๆ ในยุโรปได้สำเร็จแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนพวกเขายังไม่หยุดที่จะก้าวต่อไป

คนเกาหลียังคงมีชั่วโมงการทำงานที่มากที่สุดเหมือนเคย การลงทุนกับเรื่องการศึกษาที่บ้าคลั่ง ดูเหมือนจะเกิดพอดีไปเสียด้วยซ้ำ การแย่งชิงตำแหน่งงานในบริษัทที่มีชื่อเสียงที่สุด นิสัยชอบการแข่งขัน เหล่านี้นั้น กระตุ้นเร้าให้เกิดการพัฒนาแบบต่อเนื่องอย่างไม่ทีท่าว่าจะลดน้อยลงไปเลย

เกาหลีใต้กับความเจริญที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย
เกาหลีใต้กับความเจริญที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย

ซึ่งการแข่งขันกันอย่าบ้าคลั่ง มันส่งผลต่อเกาหลีใต้อย่างใหญ่หลวง ตั้งแต่แต่ทศวรรษ 1960-1980 แม้จะทำให้เกิดความเครียดที่สูงกับชาวเกาหลีบ้างก็ตาม แต่มันไม่ได้มีการต่อต้านจากสังคมแต่อย่างใด มันเหมือนทุกคนในประเทศพร้อมยอมรับในจุดนี้

การแข่งขัน มาตั้งแต่เด็ก ค่าเรียนต่าง ๆ ที่สูงขึ้นทุกปี เงินที่จ่ายไปกับเครื่องสำอางค์ แบรนด์หรู ๆ รวมถึงเรื่องการศัลยกรรมพลาสติก สิ่งเหล่านี้ล้วนช่วยยกระดับสถานะทางสัมคมของคนเกาหลีแทบจะทั้งสิ้น ทุกคนต่างทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อนำเสนอตัวตนที่เยี่ยมที่สุดสู่สังคมภายนอก 

แม้คนเกาหลีนั้นจะก้าวผ่านสงครามกลางเมือง และความอดอยาก ยากจน มาแล้ว ก่อนที่จะเปลี่ยนจากดินแดน ผู้ถูกล่า และเป็นเบี้ยล่างมาตลอด ให้กลายมาเป็น ประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตย ที่มีการเมืองที่เสถียรภาพแห่งหนึ่งของโลก และความก้าวล้ำทางเทคโนโลยี ที่ไปไกลกว่าใครเพื่อน มันถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ประเทศแห่งนี้ ควรจะหยุดพักผ่อน แล้วหันมาจิบแชมเปญสักแก้ว แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายประเทศสุดแสนมหัศจรรย์อย่างเกาหลีใต้นั้น ก็ยังมีอีกสิ่งนึงที่ต้องพิชิตให้ได้ ซึ่งก็คือ การบาลานซ์ ความสมดุล ระหว่างความสุขและความพึงพอใจของประชาชนชาวเกาหลี กับการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วดังที่เราได้เห็นจาก Blog Series ชุดนี้ 

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวประเทศเกาหลีใต้ จาก Blog Series ชุดนี้

ห้าสิบปีที่แล้ว เกาหลีคือประเทศยากจนที่บอบช้ำจากสงคราม  แทบจะไม่คงเหลือประเทศในฐานะรัฐ ๆ หนึ่ง และเกาหลีใต้ได้ผ่านพ้นวิกฤติมาได้อย่างมั่นคงจนได้กลายเป็นแม่แบบให้กับประเทศกลังพัฒนาทั่วโลก รวมถึงไทยเองด้วยก็ตามที

แม้ตอนนี้พวกเขายังคงไม่พอใจกับการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว อย่างที่ได้ตั้งความหวังไว้ ยังมีแรงกดดันอยู่ต่อเนื่อง ในการก้าวขึ้นสู่ขั้นต่อไป เทียบกับมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของโลก พวกเขาได้สร้างมาตรฐาน ที่ดูเหมือนชาติอื่นจะอิจฉา ทั้ง ด้านการศึกษา ด้านเทคโนโลยี ไม้เว้นแม้แต่เชื่อเสียง และ รูปร่างหน้าตา พวกเขาในตอนนี้ ก้าวขึ้นไปอยู่แถวหน้าของโลกได้สำเร็จ

วัฒนธรรมอย่าง K-Pop ที่ฉีกกฏเกณฑ์ ทุกอย่าง ทำให้โลกตะวันตก สามารถยอมรับนับถือวัฒนธรรมของโลกตะวันออกได้ แบบที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน มันเป็นกำแพงที่สูงชัน แต่เกาหลีสามารถที่จะก้าวผ่านกำแพงนั้นไปได้สำเร็จ ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลย สำหรับคนเกาหลีใต้

ข้อคิดสำคัญสำหรับเรื่องของประเทศเกาหลีใต้ ก็คือ ไม่ว่าบ้านเมืองจะเละเทะ ถูกย่ำยีเพียงใด เหมือนประเทศไทย ที่อยู่กับทศวรรษ แห่งความหยุดนิ่ง ความแตกแยกที่รุนแรงภายในประเทศ แต่ประเทศเรายังเจออะไรเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสิ่งที่พวกเขาชาวเกาหลีใต้ได้เคยเจอมา

เพราะฉะนั้น ประเทศเราก็ยังมีโอกาสที่จะก้าวไปข้างหน้าได้ ไม่ต่างจากประเทศอย่างเกาหลี หากทุกคนในชาติ นั้นลืมเรื่องความขัดแย้ง และสร้างมันเป็นแรงขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า ด้วยความสามัคคีของคนในชาติ มันก็สามารถให้เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของชาติให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วแบบที่เกาหลีเคยทำมาแล้วได้อย่างแน่นอน 

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Foundation *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม