Wang Xing กับการดรอปเรียนมาสร้างอาณาจักรส่งอาหารที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Meituan Dianping

หวางซิง ผู้ร่วมก่อตั้งของ Meituan Dianping ให้เครดิตกับความสำเร็จของ Facebook ในสหรัฐฯมากกว่าทศวรรษที่ผ่านมา เพราะถือเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญให้เขาเลิกเรียนระดับบัณฑิตศึกษาและหันมาสร้างธุรกิจในประเทศจีน

ซึ่งตอนนี้ได้ทำให้บริษัทของเขาอย่าง Meituan Dianping กลายมาเป็นผู้นำในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำหรับงานด้านบริการในจีนอยู่ในขณะนี้

Meituan ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในการเสนอขายหุ้นสาธารณะครั้งแรก (IPO) ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของหวางเพิ่มขึ้นเป็น 5.3 พันล้านดอลลาร์ จากสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 11 ใน บริษัท

พ่อของหวางเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานปูนซีเมนต์ในเมือง Longyan ในจังหวัดฝูเจี้ยนทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน แต่ต้นทุนที่พ่อเขาได้ให้มานั้นไม่ได้ทำให้หวางที่อายุยังน้อยนั้นประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดายแต่อย่างใด

“ทางเลือกของหวางในการเริ่มต้นสร้างบริษัทเป็นเพราะเขาต้องการทำด้วยตัวเขาเองไม่ใช่เพื่อเงิน” พ่อของเขากล่าว “ เขาจริงจังและทุ่มเท และหวังว่าเขาจะทำสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคม”

การเรียนปริญญาเอกด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยเดลาแวร์ต้องสิ้นสุดลงกลางคัน เมื่อเขาตัดสินใจกลับมาที่ปักกิ่งในปี 2004 โดยหวางได้เช่าแฟลตใกล้กับโรงเรียนเก่าที่มหาวิทยาลัยซิงหัว ซึ่งเป็นที่ที่เขาได้รับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2001

หวาง ผู้เลือกดรอปเรียนจากปริญญาเอกกลับมาสร้างธุรกิจใหม่ในจีน
หวาง ผู้เลือกดรอปเรียนจากปริญญาเอกกลับมาสร้างธุรกิจใหม่ในจีน

โครงการเครือข่ายโซเชียลเริ่มแรกของเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่เขาหวังไว้ ซึ่งรวมถึง Duoduoyou ซึ่งหมายถึง“ เพื่อนมากมาย” และ Youzitu ที่หวางกำหนดเป้าหมายไปที่นักเรียนชาวจีนโพ้นทะเลเป็นหลัก แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า

แต่ความพยายามครั้งที่สามดูเหมือนจะเริ่มเป็นผลสำหรับหวาง เมื่อเครือข่ายโซเชียล ที่มีชื่อว่า Xiaonei ซึ่งแปลว่า “ภายในมหาวิทยาลัย” เปิดตัวในปี 2005 มีผู้ใช้หลายหมื่นคนเข้ามาสมัครใช้อย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งคล้าย ๆ กับการเกิดขึ้นของ facebook ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกา

แต่ในฐานะทีเป็นผู้ประกอบการที่ไม่มีประสบการณ์หวางประสบปัญหาด้านเงินทุน นั่นทำให้เขาขาย Xiaonei ให้กับ Chen Yizhou ประธาน บริษัท อินเทอร์เน็ต China InterActive Corp ในราคา 2 ล้านเหรียญสหรัฐในปีต่อมา

Xiaonei ถูกเปลี่ยนชื่อโดยเจ้าของเป็น Renren ซึ่งแปลว่า “ทุกคน” ในภาษาจีน Renren ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็น Facebook ของจีนได้ระดมทุน 740 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อ บริษัท จดทะเบียนในตลาด Nasdaq ในปี 2011

Xiaonei ก่อนแปลงร่างกลายเป็น Renren ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Facebook
Xiaonei ก่อนแปลงร่างกลายเป็น Renren ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Facebook

หวางได้ผลักดันโครงการเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของ microblog อย่าง Twitter ในปี 2006 ซึ่งในปีต่อมา หวาง ได้เปิดตัวเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีลักษณะคล้าย Twitter ของเขาที่มีชื่อว่า Fanfou

ภายในสองปี Fanfou มีผู้ใช้หลายล้านคน อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้สั่งให้ปิด Fanfou ในปี 2009 เนื่องจากมีการโพสต์ข้อความบนไมโครบล็อกที่กล่าวถึงการจลาจลอย่างรุนแรงในหลายวันที่ Ürümqi เมืองหลวงของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน

หลายเดือนหลังจากการปิดตัวของ Fanfou บริษัท สื่อออนไลน์ของจีน Sina Corp ได้เปิดตัวบริการที่คล้ายกับ Twitter อีกชื่อหนึ่งคือ Sina Weibo โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างอาลีบาบากรุ๊ปโฮลดิ้งถือหุ้นกว่า 32% ของบริการดังกล่าว ซึ่งได้มีการจดทะเบียนในตลาด Nasdaq ในปี 2014

Fanfou เปิดขึ้นในภายหลังอีกครั้ง แต่ได้ถูกระงับในการลงทะเบียนสร้างผู้ใช้รายใหม่ ซึ่งหวางเองก็ยังคงเป็นบล็อคเกอร์บน Fanfou โดยเขียนบทความมากกว่า 13,000 โพสต์ มันเป็นแพลตฟอร์มที่สะท้อนถึงปรัชญาของหวางได้อย่างดี

หวางยังคงพัฒนาโครงการต่อไปแม้จะพ่ายแพ้มามากแค่ไหนก็ตาม เขาสร้างแพลตฟอร์มในการซื้อสินค้าแบบกลุ่ม Meituan ในปี 2010 ท่ามกลางความสำเร็จของ Groupon ในสหรัฐอเมริกา 

โดยได้รับการสนับสนุนจาก Tencent Holdings ยักษ์ใหญ่ทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งในที่สุดมันได้ขยายกลายเป็นแพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุดของจีน สำหรับบริการแบบออนดีมานด์รวมถึงการส่งอาหารหลังจากการควบรวมกิจการกับ Dianping ซึ่งเริ่มต้นจากการเป็นเว็บไซต์รีวิวร้านอาหารเลียนแบบ Yelp ของอเมริกา

การรวมกิจการกับ Dianping ทำให้กลายเป็นเบอร์หนึ่งด้าน On-Demand Delivery
การรวมกิจการกับ Dianping ทำให้กลายเป็นเบอร์หนึ่งด้าน On-Demand Delivery

บริษัทที่มีฐานที่ตั้งอยู่ในกรุงปักกิ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของสิ่งที่ในอุตสาหกรรมเรียกว่า Online to Offline หรือ O2O ซึ่งแน่นอนว่าตลาดในประเทศจีนที่มีขนาดใหญ่มหาศาล การมีการเชื่อมต่อผู้บริโภคกับร้านค้าผ่านแอพ ทำให้คนจีนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกขึ้น และที่สำคัญบริการของหวางได้ช่วย และช่วยส่งคำสั่งซื้อไปยังร้านค้าเพิ่มมากขึ้น รวมถึงสร้างอาชีพรวมถึงรายได้ทางใหม่ ๆ ให้กับเหล่าพนักงานส่งสินค้า 

Meituan ได้เปิดดำเนินงานใน 2,800 เมืองในประเทศจีนและแข่งขันกับ Ele.me ของอาลีบาบาเป็นหลักในบริการการจัดส่งตามความต้องการ (on-demand-delivery) รวมถึงยังมีบริการที่แข่งขันโดยตรงกับ Ctrip.com ในเรื่องของบริการในการจองโรงแรมที่เน้นตลาดในประเทศจีนโดยเฉพาะ

หวางเรียกเหล่าพนักงานของ Meituan ว่า“ พี่ใหญ่ซิง” ซึ่งผู้คนเหล่านี้ เป็นกลุ่มบุคคลที่สำคัญ ที่ได้ร่วมกันสร้าง บริษัทที่ให้บริการจัดส่งอาหารที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Meituan Dianping

โดยการนำของเขากับภรรยา Guo Wanhuai รวมถึงเพื่อนร่วมห้องที่มหาลัยซิงหัว อย่าง Wagn Huiwen ที่ทั้งสองเป็นขุนพลเคียงข้างเขาตั้งแต่การพัฒนาโปรเจคแรก ๆ อย่าง Xiaonei จนสามารถพลิกชีวิตให้พวกเขากลายเป็นมหาเศรษฐีได้จากบริการอย่าง Meituan Dianping อย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับ

References : https://www.scmp.com/tech/apps-social/article/2165085/story-tsinghua-graduate-behind-chinas-meal-delivery-empire https://www.dragonsocial.net/blog/meituan-dianping-2/ https://www.asiaone.com/business/inside-story-how-meituan-dianping-built-chinas-largest-ecommerce-platform-services

จากความน่าเบื่อในการจองตั๋วเครื่องบิน สู่ Booking Platform อย่าง Traveloka

ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักท่องเที่ยว นักธุรกิจหรือ ครอบครัว การเดินทางเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของทุกคน ดังนั้นจึงค่อนข้างยุ่งยากเมื่อเรามีปัญหาในการจองเที่ยวบินหรือเลือกห้องพักในโรงแรมที่ดี 

ในปัจจุบัน บริษัท ต่างๆได้มีแอพและเว็บไซต์ที่ช่วยในการจองสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เหล่านี้มากมาย ซึ่ง บริษัทหนึ่งที่เกิดขึ้นจากความคิดดังกล่าวนี้ ก็ คือ Traveloka ซึ่งได้เริ่มต้นในปี 2012 แต่มีน้อยคนนักที่รู้ว่า Traveloka กำลังจะปฏิวัติวงการท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Traveloka เป็นแพลตฟอร์มการจองทางเว็บและแอพที่ช่วยให้ผู้คนสามารถจองตั๋วเครื่องบินหรือโรงแรมได้อย่างง่ายดาย Traveloka มีสำนักงานใหญ่ในกรุงจาการ์ตา ซึ่งได้กลายเป็นบริการที่นิยมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

และมีการขยายไปยังในหลาย ๆ ประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย ฟิลิปปินส์และเวียดนาม จุดประสงค์หลักของแพลตฟอร์มนี้คือการมอบข้อเสนอเที่ยวบินที่ดีที่สุดและจองโรงแรมราคาประหยัด ให้กับลูกค้าของพวกเขาทั้งหมด 

โดยผู้ใช้สามารถใช้งานผ่านตัวกรองและเรียงลำดับตัวเลือก เพื่อจัดการทุกอย่างในการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด Traveloka ปรับปรุงแอพและเว็บไซต์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้บริการที่สะดวกยิ่งขึ้นสำหรับลูกค้าที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

Traveloka ก่อตั้งโดย Derianto Kusuma, Ferry Unardi (ดรอปเรียนจาก Harvard) และ Albert Zhang ซึ่งมีแรงบันดาลใจมาจากการที่ Derianto Kusuma ต้องเจอกับความยุ่งยากในการจองตั๋วกลับบ้านของเขาในอินโดนีเซีย 

3 ผู้ก่อตั้งกับ pain point คือ ความยากในการจองตั๋วกลับบ้าน
3 ผู้ก่อตั้งกับ pain point คือ ความยากในการจองตั๋วกลับบ้าน

ดังนั้นเมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีเหล่านี้กลับไปที่บ้านเกิดของพวกเขา จึงได้คิดที่จะสร้างเว็บไซต์ที่จะทำให้การเดินทางง่ายขึ้นสำหรับทุกคน พวกเขาต้องการมุ่งเน้นไปที่ตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลักซึ่งมีเว็บไซต์ท่องเที่ยวที่ไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการเฉพาะของนักเดินทางซึ่งกำลังมีตัวเลขที่เติบโตขึ้นอย่างมหาศาล

แรกเริ่มนั้นบริษัทเป็นเว็บไซต์ที่ให้การเปรียบเทียบราคาให้กับลูกค้าเพียงอย่างเดียว ซึ่งทำงานร่วมกับ OTA (Online Travel Agents) และผู้ให้บริการการท่องเที่ยวอื่น ๆ ทำให้มาร์จิ้นอยู่ในระดับต่ำมาก

เพราะในฐานะเว๊บไซต์เปรียบเทียบราคาจะได้รับค่าคอมมิชชั่นจากค่าคอมมิชชั่นที่ OTA ได้รับต่ออีกทอดหนึ่งซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำมาก  แต่ในปี 2013 พวกเขาเริ่มสร้างบริการจองตั๋วบนเว็บไซต์ของพวกเขาเอง และหลังจากนั้นในปี 2014 คือ การรวมการจองโรงแรมในเว็บไซต์ของพวกเขา 

จากนั้นเส้นทางของพวกเขาก็พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พวกเขาให้บริการในสิ่งที่ผู้โดยสาร นักเดินทาง นักท่องเที่ยว ต่างต้องการ ที่ยังไม่มีบริการใดสามารถตอบโจทย์พวกเขาได้เหมือน Traveloka ในขณะนั้น

บริษัท ที่เริ่มต้นด้วยพนักงานเพียง 8 คน ณ ตอนนี้พวกเขามีพนักงานมากกว่า 2,000 คนที่ทำงานกับพวกเขาในระดับภูมิภาค การระดมทุนครั้งแรก ได้รับเงินมาจาก East Venture ในปี 2012

หลังจากนั้นพวกเขาได้เปิดตัวแอพบนมือถือสำหรับแพลตฟอร์ม iOS และ Android ในปี 2014 เช่นกัน ในปี 2015 พวกเขาได้เพิ่มข้อมูลโรงแรม ที่พัก รวมถึงสายการบินจากต่างประเทศจำนวนมากเข้าไปไว้ในเว็บไซต์ และพวกเขาไม่ได้เป็นไซต์ที่ให้บริการเฉพาะในอินโดนีเซียอีกต่อไป 

ในปี 2017 พวกเขาเริ่มเปิดบริการจองรถไฟภายในอินโดนีเซียและเที่ยวบินรวมถึงแพ็คเกจโรงแรมในภูมิภาคเดียวกันด้วย ซึ่งในปีเดียวกันนี้เอง ที่มีการดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นมือถือสูงถึง 20 ล้านครั้ง ความนิยมและความสำเร็จของพวกเขาทำให้พวกเขาเป็นผู้สนับสนุนรายการ Got Talent 2 ของเอเชียในปี 2017 พวกเขายังเป็นผู้สนับสนุนระดับ Gold สำหรับ มหกรรมกีฬาของชาวอาเซียนอย่าง SEA Games ครั้งที่ 29 ที่จัดขึ้นที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ 

สิ่งสำคัญเกี่ยวกับเว็บไซต์การจองออนไลน์ใด ๆ คือคุณสมบัติที่มีให้กับลูกค้าของพวกเขา คุณสมบัติของ Traveloka ได้รับการพัฒนามาหลายปีเพื่อให้เหมาะกับความต้องการของนักเดินทางที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงทำให้เหล่านักเดินทางหลงรักบริการของ Traveloka 

ด้วยบริการที่ใช้ง่าย และตอบโจทย์ความต้องการของนักเดินทางจริง ๆ ทำให้ Traveloka เติบโตอย่างรวดเร็ว
ด้วยบริการที่ใช้ง่าย และตอบโจทย์ความต้องการของนักเดินทางจริง ๆ ทำให้ Traveloka เติบโตอย่างรวดเร็ว

บริการบางส่วนที่นำเสนอโดย Traveloka คือ การจองเที่ยวบิน การจองโรงแรม แพ็คเกจการบินและโรงแรม การจองรถไฟ การเติมเงิน และแพคเกจการจองตั๋วสถานที่ท่องเที่ยว และกิจกรรมต่างๆ นอกจากนี้บริการล่าสุดของพวกเขาคือการจ่ายบิล ช่วยให้ผู้คนชำระค่าไฟฟ้าของ PLN, PDAM, BPJS Kesehatan และ Telkom ในประเทศอินโดนีเซียได้

ผู้ใช้สามารถจองเที่ยวบินไปยังจุดหมายปลายทางที่แตกต่างกันและพวกเขามีตัวเลือกการจองที่รวดเร็วเช่นกัน ผู้คนสามารถดูหลายตัวเลือกก่อนที่จะได้รับตั๋วเครื่องบินราคาถูกที่สุด

เว็บไซต์ยังรับรองว่าพวกเขามีแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดและน่าเชื่อถือที่สุดในการมอบตั๋วให้กับลูกค้าทุก ๆ คน  Traveloka ได้ทำการตกลงกับสายการบินที่มีชื่อเสียงมากมายเพื่อมอบอัตราค่าโดยสารที่สามารถแข่งขันได้มากที่สุด 

พวกเขายังมีตัวเลือกการชำระเงินมากมายซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมได้อย่างปลอดภัยบนเว็บไซต์ การจองโรงแรมเป็นอีกหนึ่งบริการยอดนิยมที่จัดทำโดยพวกเขา ด้วยจำนวนโรงแรมที่เยอะมากของพวกเขา

ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถจองที่พักได้ทุกประเภททั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงในประเทศปลายทางการท่องเที่ยวชื่อดังต่าง ๆ เช่น อิตาลี และออสเตรเลีย และแน่นอนว่าการจองโรงแรมราคาไม่แพงและตั๋วเครื่องบินที่แสนถูก นั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุด ในการเริ่มต้นการเดินทางของเหล่านักเดินทาง นักท่องเที่ยวทุกคนที่ทำให้พวกเขาหลงรัก Traveloka นั่นเองครับ

References : https://www.techinasia.com/indonesia-traveloka-unicorn-market-analysis https://www.phocuswire.com/The-story-behind-Travelokas-pivot-from-metasearch-to-OTA http://www.newindianexpress.com/business/2018/mar/01/traveloka—an-innovative-booking-site-1780674.html https://en.wikipedia.org/wiki/Traveloka https://www.digitalnewsasia.com/startups/indonesia%E2%80%99s-traveloka-begins-south-east-asian-voyage https://dailysocial.id/post/traveloka-mungkin-telah-akuisisi-rivalnya-pegipegi-awal-tahun-ini

Go-Jek กับเส้นทางจากรถมอเตอร์ไซค์ 20 คัน สู่ Unicorn Startup

ในประเทศไทยหลายคนอาจจะไม่มีใครรู้เรื่องราวเกี่ยวกับ ‘Go-Jek’ เพราะในประเทศไทยนั้นถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ‘Get’ อย่างไรก็ตามในวันนี้ชาวอาเซียนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงได้ยอมรับ ‘Go-Jek’ (Get) เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เรื่องราวมันเริ่มต้นที่เมืองหลวงของประเทศอินโดนีเซีย ที่เมืองจาร์กาตาร์ ซึ่ง รถมอเตอร์ไซด์รับจ้างหรือที่รู้จักในชื่อ ‘ojek’ เป็นส่วนหนึ่งของระบบการขนส่งของอินโดนีเซียมาเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม Nadiem Makarim ได้นำมันไปสู่อีกระดับ ด้วยการเริ่มธุรกิจของเขาที่ชื่อ Go-Jek ซึ่งกล่าวโดยย่อคือบริการบนแอพมือถือสำหรับการจอง ojek นั่นเอง

มีรายงานว่ามีความคิดเกิดขึ้นเพราะ Nadiem มักใช้ ojek เป็นประจำอยู่เสมอ โดยในขณะที่คุยกับผู้ขับขี่ เขาพบว่าผู้ขี่ ojek ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการรอลูกค้า ดังนั้นเพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการช่วยให้ลูกค้าที่มีศักยภาพสามารถเชื่อมต่อกับผู้ขี่ ojek เหล่านี้ (โดยไม่ต้องเดินไปที่ ‘สถานี ojek ที่ใกล้ที่สุด) ทีมของเขาจึงได้สร้างแอปพลิเคชั่นบนมือถือขึ้นมาในชื่อว่า Go-Jek หรือ Get ในประเทศไทยนั่นเอง

โดยการดาวน์โหลดแอปลูกค้าสามารถใช้บริการ ojek ซึ่งจะเช็คจาก location ของลูกค้า และพาลูกค้าไปยังปลายทางของเขา  ซึ่งนั่นเป็นแนวคิดพื้นฐานโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบริการขนส่งของ Go-Jek แต่ บริษัท ได้ขยายไปสู่บริการประเภทอื่น ๆ เช่น การส่งอาหารและ การสั่งซื้อตั๋วในบริการต่าง ๆ

Nadiem เริ่มต้น Go-Jek ด้วยพนักงาน 10 คนและพนักงานขับรถอีก 20 คน หนึ่งในความท้าทายแรกของเขาคือการรับสมัครพนักงานขับรถ เพราะในเวลานั้น Go-Jek เป็นชื่อที่ไม่มีใครรู้จัก 

มาปรับบริการขนส่งผ่านมอเตอร์ไซต์อย่าง ojek ให้ขึ้นมาบนออนไลน์
มาปรับบริการขนส่งผ่านมอเตอร์ไซต์อย่าง ojek ให้ขึ้นมาบนออนไลน์

ดังนั้น Nadiem จึงไปที่ ‘สถานี ojek’ ซึ่งคนขับ ojek มักจะรวมกันอยู่ และนั่งรอลูกค้าของพวกเขา ซึ่งที่นั่นเองเขาได้พูดคุยกับเหล่าพนักงานขับ ojek โดยเขามักซื้อกาแฟและบุหรี่เพื่อให้คนขับรถเปิดใจมากขึ้นกับเทคโนโลยีใหม่ที่เขากำลังนำเสนอ และในที่สุดเขาก็สามารถโน้มน้าวให้เหล่าพนักงานขับรถเหล่านี้เข้ามาร่วม Go-Jek ได้สำเร็จ

ความท้าทายอีกประการหนึ่งมาจากพนักงานขับ ojek ‘ดั้งเดิม’ ซึ่งแตกต่างจากพนักงานขับ Go-Jek ที่อยู่บนออนไลน์ เนื่องจากราคาที่ถูกกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากมีการส่งเสริมการขายและทำโปรโมชั่นที่มากขึ้นเพื่อดึงดูดให้คนหันมาใช้บริการ Go-Jek

ทำให้ Go-Jek ได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเหล่าคนขับเก่า ๆ นั้นจะสูญเสียลูกค้าไป บางครั้งพวกเขากำลังก้าวร้าวต่อเหล่าพนักงานขับรถของ Go-Jek โดย มีรายงานว่ามีเหตุการณ์หลากหลายรูปแบบเกิดขึ้น ตั้งแต่การคุกคามจนถึงการโจมตีพนักงานขับรถของ Go-Jek เหล่านี้

ในขณะเดียวกันเมื่อ Go-Jek เป็นที่นิยมมากขึ้น ก็เริ่มมีคู่แข่งที่ต้องการเข้าร่วมในตลาดนี้ ซึ่งมี แอปพลิเคชั่น ojek ออนไลน์อื่น ๆ ได้เริ่มปรากฏขึ้น และหนึ่งในการแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดก็ คือ GrabBike จากมาเลเซีย ซึ่งเป็นบริการแอพพลิเคชั่นที่นำเสนอโดยกลุ่ม GrabTaxi ที่มีรูปแบบธุรกิจที่คล้ายกัน ประสบการณ์ผู้ใช้ในแอปและการแข่งขันด้านราคาทำให้ทั้งสองบริการนั้นมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในหมู่ชาวอินโดนีเซีย

ความท้าทายอีกอย่างนึง นั้นมาจากกระทรวงคมนาคมที่ห้ามการใช้งาน ojek แบบออนไลน์ อย่างไรก็ตามลูกค้ารู้สึกว่าการเกิดขึ้นของ Go-Jek ทำให้พวกเขาได้รับประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้บริการขนส่งที่รวดเร็วต่อการจราจรติดขัดของเมือง

หัวหน้าหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค Tulus Abadi กล่าว่า “การเพิ่มขึ้นของมอเตอร์ไซค์ และ ojek เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถให้บริการขนส่งสาธารณะได้อย่างเหมาะสม แม้ว่าเมื่อมี (บริการ ojek ออนไลน์) มันทำให้กลายเป็นปรากฏการณ์ ที่มากำจัดระบบขนส่งสาธารณะอย่างเป็นทางการนั่นเอง”

ซึ่งหลังจากได้รับความนิยมอย่างสูง จนกลายเป็นบริการยอดฮิตในประเทศอินโดนีเซีย Nadiem ก็ไม่รอช้าที่จะขยายบริการไปสู่ส่วนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น การขนส่งอาหาร และ บริการช้อปปิ้ง ตอนนี้พวกเขาได้เพิ่ม Go-Food, Go-Mart, Go-Glam, Go-Clean, Go-Massage, Go-Box, Go-Busway และ Go-Tix และอีกมากมายให้กับประชาชนชาวอินโดนีเซีย

ขยายบริการไปยังส่วนต่าง ๆ ครอบคลุมทุกบริการผ่าน app Go-Jek
ขยายบริการไปยังส่วนต่าง ๆ ครอบคลุมทุกบริการผ่าน app Go-Jek

ในวันนี้ชาวอินโดนีเซียโดยเฉพาะที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงจาการ์ตาและเมืองปริมณฑลได้ยอมรับ Go-Jek เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ซึ่งเพียงแค่ภายในหนึ่งปีแรก แอปพลิเคชั่น Go-Jek มียอดดาวน์โหลดเกือบ 10 ล้านครั้ง มีพนักงานขับรถของ ojek มากกว่า 200,000 คน และขยายกิจการไปทั่วภูมิภาคอาเซียนอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบัน Go-Jek ได้กลายเป็น Super App ที่ให้บริการต่าง ๆ มากมาย ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการสินเชื่อและการชำระเงินระดับโลกอย่าง VISA ซึ่งได้เข้าร่วมในการระดมทุนรอบ Series F ที่ต่อเนื่องของ Go-Jek ด้วยจำนวนเงินที่ไม่เปิดเผย 

สำหรับนักลงทุนอื่น ๆ ที่ร่วมลงทุนกับ Go-Jek ได้แก่ Mitsubishi Motors Corporation, Mitsubishi Corporation และการลงทุนจาก Mitsubishi UFJ Lease & Finance รวมถึงธนาคารไทยพาณิชย์ในประเทศไทย

เมื่อต้นปี 2019 มีรายงานว่า Go-Jek ได้รับการประเมินมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านเหรียญ ส่วนผู้ก่อตั้งอย่าง Nadiem ได้ลาออกจากบริษัท เพื่อเข้ารับตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีของอินโดนีเซียของประธานาธิบดี Joko Widodo โดยเขาจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาและวัฒนธรรม (Education and Cultural Affairs Minister)

References : https://www.todayonline.com/commentary/lessons-go-jek https://greenhouse.co/blog/go-jek-story-indonesias-unicorn-journey/ https://www.globalindonesianvoices.com/24550/the-go-jeks-story/ https://www.crowdfundinsider.com/2019/07/149566-unicorn-gojek-receives-investment-from-visa/

McDonald กับการวางแผนใช้ AI Voice ในช่อง Drive-thru

เมื่อเทคโนโลยี AI จะช่วยให้เราได้อาหารจานด่วนที่รวดเร็วขึ้น เมื่อแมคโดนัลด์ ยักษ์ใหญ่ Fastfood จากอเมริกา ประกาศว่าได้ทำการเข้าซื้อกิจการของ Apprente ซึ่งเป็น Startup ด้านเทคโนโลยี AI Voice เพื่อให้สามารถตอบโต้กับมนุษย์ได้แบบอัตโนมัติ 

Apprente ซึ่งมีที่ตั้งบน Mountain View ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ของประเทศอเมริกา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการสร้างตัวแทนที่ใช้เสียง ซึ่งสามารถรับคำสั่งได้ในหลายภาษา  ซึ่งยักษ์ใหญ่อาหารจานด่วนอย่าง McDonald ได้ทำการทดสอบเทคโนโลยีของ Apprente ในหลาย ๆ ที่ และคาดว่าจะทำให้ “สั่งซื้อได้เร็วขึ้นง่ายขึ้นและถูกต้องมากขึ้น” ผ่านช่องทาง Drive-Thrus

Apprente จะถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของ McD Tech Labs ซึ่งเป็นกลุ่มเทคโนโลยีร้านอาหารแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ใน Silicon Valley ทีม Apprente จะกลายเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของกลุ่มและ Itamar Arel ผู้ร่วมก่อตั้งจะทำหน้าที่ในฐานะรองประธาน “ความมุ่งมั่นของ McDonald ในการสร้างนวัตกรรมเป็นแรงบันดาลใจให้กับทีมของเรามานานแล้วมันค่อนข้างชัดเจนจากภารกิจที่หลากหลายของเราที่ McDonald เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมด้วยการขับเคลื่อนของเทคโนโลยี”

Itamar Arel, Ph.D. , ผู้ร่วมก่อตั้ง Apprente และรองประธานของ McD Tech Labs กล่าวว่า “Apprente เกิดขึ้นจากโอกาสที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาที่ท้าทายในโลกแห่งความจริงและเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะนำสิ่งนี้ไปใช้ในการสร้างประสบการณ์ส่วนตัวให้กับลูกค้าและทีมงานของ McDonald” โดยบริษัทกำลังวางแผนที่จะว่าจ้างวิศวกรเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ทางฝั่งของ McDonald ได้ออกมากล่าวว่า พวกเขามีศักยภาพในการขยายเทคโนโลยีของ Apprente ไปยังพื้นที่อื่น ๆ เช่นการสั่งซื้อผ่านมือถือและตู้คีออสก์ แต่ในขณะที่เทคโนโลยีใหม่อาจจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นสำหรับลูกค้า ซึ่งจะมาทดแทนแรงงานของมนุษย์

ซึ่งซุ้มบริการตนเองของร้านแมคโดนัลด์จะถูกนำไปใช้กับร้านอาหารทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาภายในปี 2020 ซึ่งจะช่วยลดความจำเป็นในการจ้างพนักงานเก็บเงินที่เป็นแรงงานมนุษย์ได้เป็นจำนวนมาก

การเข้าซื้อกิจการของ Apprente เป็นข้อตกลงด้านเทคโนโลยีที่สามในปีนี้ ในเดือนเมษายน McDonal ได้ลงทุนใน Dynamic Yield ซึ่งเป็น Startup ที่ทำเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อปรับแต่งเมนูไปตามสภาพอากาศ ช่วงเวลาของวัน และรายการเมนูที่ได้รับความนิยม นอกจากนี้ยังซื้อหุ้นจำนวนหนึ่งใน Plexure ซึ่งเป็น บริษัท เทคโนโลยีแอพมือถือในนิวซีแลนด์อีกด้วย

References : https://www.engadget.com
https://media.wired.com/photos/5d77d193361279000868a8ae/master/w_2560%2Cc_limit/Business_McDonalds-drivethrough-1128021489-2.jpg

มารู้จักการออกแบบหุ่นยนต์ที่สร้างมาเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อมกันเถอะ

อาคารและแนวชายฝั่งสามารถตรวจสอบได้โดยกลุ่มหุ่นยนต์ที่สามารถซ่อมแซมได้แบบอิสระ ตามความคิดริเริ่มของบริษัท Startup จากเดนมาร์กที่ให้การสนับสนุนเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่จะมาแก้ไขปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมทั่วโลก

ซึ่งความคิดริเริ่มดังกล่าวนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง บริษัทจากเดนมาร์กที่มุ่งเน้นในเทคโนโลยีในอนาคต 3 บริษัท คือ GXN Innovationซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยของสถาปนิกที่ชื่อว่า 3XN ; แพลตฟอร์มที่ช่วยเหลือในการผลิตอย่างThe AM AM Hub ; และบริษัทMap Architects

การแก้ปัญหาเรื่องความเสื่อมของสภาพแวดล้อม

บริษัท ต่าง ๆ เชื่อว่าความท้าทายระดับโลก เช่น ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และการเสื่อมสภาพของโครงสร้างพื้นฐานทางชีวภาพในท้องทะเล สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติ

พวกเขามองเห็นกลุ่มยานยนต์แบบ 3D ที่สัญจรไปมาทั้งทางบก ทางอากาศและทางทะเล

หุ่นยนต์หกขาเป็นหนึ่งในแนวคิดที่จินตนาการโดย Break the Grid
หุ่นยนต์หกขาเป็นหนึ่งในแนวคิดที่จินตนาการโดย Break the Grid

“ การเพิ่มจำนวนเครื่องพิมพ์ 3 มิติเพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้อาจเป็นการปฏิวัติรูปแบบการผลิตของโลกเรา” ผู้ก่อตั้ง GXN อธิบาย

“ด้วยการเปิดใช้งานหุ่นยนต์ผ่านเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถที่จะคลาน ว่ายน้ำ และบินได้ จะทำให้เราสามารถรับมือกับภัยคุกคามด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัญหาเร่งด่วนที่มีอยู่ทั่วโลกด้วยต้นทุนที่ต่ำลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

หุ่นยนต์สามตัวสำหรับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน

บริษัทได้ออกแบบแนวคิดที่แตกต่างกันสามแบบเพื่อจัดการกับกรณีการใช้งานแยกกันทั้งสามกรณี ซึ่งหุ่นยนต์เหล่านี้จะทำการสแกนสภาพแวดล้อมโดยอัตโนมัติเพื่อระบุพื้นที่ปัญหาและดำเนินการแก้ไขทันที

ซึ่งตัวอย่างแรกในการออกแบบหุ่นยนต์นั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายวัตถุใต้น้ำได้ เช่น การสร้างแนวปะการังเทียม หรือ โครงสร้างที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องแนวชายฝั่งจากการกัดเซาะและการให้ที่อยู่อาศัยสำหรับสิ่งมีชีวิตทางทะเล

หุ่นยนต์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแนวปะการังเทียมเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง
หุ่นยนต์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแนวปะการังเทียมเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง

มันจะทำงานโดยการพ่นทรายผสมจากพื้นมหาสมุทร และทำงานร่วมกับกาวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกาวธรรมชาติซึ่งผลิตจากหอยนางรมและสารที่ยึดเกาะได้แบบเปียก

ในขณะเดียวกันหุ่นยนต์หกขาจะวิ่งไปตามเมืองต่าง ๆ ทำการ Scan หา และซ่อมแซมรอยแตกขนาดเล็กในคอนกรีต ซึ่งช่วยลดความเสียหาย โดยจะสามารถแก้ไขได้ก่อนที่น้ำและออกซิเจนจะซึมเข้าไปข้างในซึ่งนำไปสู่การกัดกร่อนต่อไปนั่นเอง

ศักยภาพของวัสดุในการ “รักษาด้วยตัวเอง”

ทีมงาน Break the Grid จินตนาการว่าหุ่นยนต์ที่เคลื่อนที่บนบกเหล่านี้สามารถที่จะพิมพ์ฟิลเลอร์รูพรุนแบบ 3 มิติ ซึ่งจะผสมกับเชื้อรา trichoderma reesei ซึ่งมันจะช่วยในการก่อตัวของแคลเซียมคาร์บอเนต และทำให้การรักษาวัสดุได้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ

หุ่นยนต์ตัวนี้สามารถลาดตระเวนบริเวณที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นคอนกรีตได้จากระยะไกลจากสภาพแวดล้อมแบบเมืองได้

หุ่นยนต์ที่ทำงานบนยอดตึกสูงเพื่อซ่อมแซมความเสียหาย
หุ่นยนต์ที่ทำงานบนยอดตึกสูงเพื่อซ่อมแซมความเสียหาย

แนวคิดที่สามคือ หุ่นยนต์โดรน ที่จะทำงานในรอบ ๆ ตัวอาคารขนาดใหญ่ ซึ่งเมื่ออาคารเหล่านี้เก่าและเสื่อมสภาพลง ทำให้ประสิทธิภาพการใช้พลังงานลดลง พวกโดรนเหล่านี้จะเข้ามาช่วยซ่อมแซมความเสียหาย

แนวคิดนี้นำมาจากการวิจัยวัสดุใหม่ที่ใช้แก้วและโพลีเมอร์ที่สามารถปรับแต่งได้ เพื่อสร้างฉนวนกันความร้อนบนโครงสร้างอาคารที่มีอยู่นั่นเอง

แนวคิดบนพื้นฐานของเทคโนโลยีที่ใหม่ ๆ

ในขณะที่การออกแบบของ Break the Grid นั้นเป็นเพียงแค่ทฤษฎี แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นจริง ทีมยังได้ทำการแฮ็กเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่มีอยู่ เพื่อสร้างต้นแบบหุ่นยนต์ตามแนวคิดของพวกเขา

“ เราหวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้อุตสาหกรรมการผลิตต่าง ๆ ในปัจจุบันนั้นมองเห็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ซึ่งจะต้องมีการผสมผสานการออกแบบและเทคโนโลยีเพื่อเปลี่ยนค่านิยมของพวกเราและปรับเปลี่ยนวิธีคิดในปัจจุบันของเรา” เขากล่าวเสริม

Break The Grid เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Moonshots ของ AM-Hub ของเดนมาร์กซึ่งมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีการผลิตแบบใหม่ ที่มีแนวคิดหลักว่าจะสามารถสร้างโลกที่ดีขึ้นได้อย่างไร

References : 
https://www.dezeen.com