Digital Music War ตอนที่ 11 : The End at Last?

ถึงสิ้นไตรมาสแรกของปี 2011 Apple สามารถที่จะขาย iPod ไปได้กว่า 208 ล้านเครื่อง และยังขายได้ต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่่งรวม ๆ แล้วนั้น Apple สามารถจำหน่าย iPod ตั้งแต่มีการผลิตออกมาไปกว่า 307 ล้านเครื่อง แต่ดูเหมือนวัฏจักร ของเครื่องเล่นเพลงจะค่อย ๆ เสื่อมความนิยมลงไปแล้ว เพราะการมาของ iPhone สินค้าเรือธงใหม่ของ Apple นั่นเอง

แต่อย่างไรก็ตาม iTunes ก็ยังกลายเป็น แพลตฟอร์มที่ขายเพลง ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ ซีรีส์ รวมถึงเสนอ podcast และสุดท้ายก็เป็นที่ขาย Application ของ iPhone มันเป็นที่มาของรายได้ให้กับ Apple รวมถึงบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ ecosystem นี้อีกมากมายมหาศาล

ผลกระทบที่สำคัญ คือ การปฏิวัติวงการเพลงในรูปแบบดิจิตอลของ iPod แน่นอน มันมีผลกระทบต่อค่ายเพลงต่าง ๆ ทั่วโลก โดยในช่วงทศวรรษ 1990 เหล่าบริษัทค่ายเพลงต่าง ๆ นั้นจะมีรายได้หลักมาจาก การขาย CD และแน่นอนว่า วิธีแบบเก่า  ๆ  เหล่านี้ ใช้ไม่ได้ผลอย่างแน่นอนกับออนไลน์

iTunes จึงเปรียบเสมือนร้านขายแผ่นเสียงสำหรับผู้คนจำนวนมาก และแน่นอนว่า มันได้ทำให้ธุรกิจจำหน่ายแผ่น CD เพลงเหล่านี้ต้องล้มหายตายจากไปจากวงการ ต้องเลิกกิจการไปมากมาย แต่อย่างน้อยมันยังทำให้วงการเพลงยังขับเคลื่อนต่อไปได้ แม้ยอดขายจะตกลงไปก็ตาม แต่ต้นทุนก็ลดลงตามไปด้วย ไม่มีค่าใช้จ่ายเรื่อง CD ไม่มีค่าใช้จ่าย fix cost อื่น ๆ ที่ต้องลงทุนอย่าง หน้าร้าน หรือ จ้างพนักงาน

เพราะ iTunes Store ทำงานตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีเวลาหยุดพัก ซึ่งอย่างน้อยบรรดาค่ายเพลงก็ยังสามารถมีตัวตนอยู่บนโลกออนไลน์ได้ ไม่ถูกการโจมตีจากเหล่าบริการเถื่อน ๆ ที่แทบจะไม่แบ่งส่วนรายได้ให้กับศิลปิน หรือ ค่ายเพลงเลยด้วยซ้ำ

ฝั่ง Microsoft เอง เมื่อถึงต้นปี 2011 Zune ก็ยังไม่ได้ออกไปวางขายนอกตลาดอเมริกาเหนือแต่อย่างใด ชื่อของ Zune เริ่มจางหายไปจากผลิตภัณฑ์หลักของ Microsoft ซึ่ง Microsoft เอง ก็ได้เริ่มลดบทบาทของ Zune ลง จนปิดฉากไปในที่สุด

สุดท้าย Zune ก็ต้องปิดฉากลงไปในปี 2011
สุดท้าย Zune ก็ต้องปิดฉากลงไปในปี 2011

Microsoft นั้นดูเหมือน GE (General Electric) ตรงที่มีแนวคิดว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขานั้นต้องเป็นที่ 1 หรือ ที่ 2 ในตลาดเพียงเท่านั้น หากไม่ใช่ ก็เตรียมตัดผลิตภัณฑ์ตัวนั้นออกไปจากตลาดได้เลย

Apple ได้ก้าวล้ำไปไกลในตลาดเครื่องเล่นเพลงแบบดิจิตอล และกำลังก้าวไปอีกขั้นกับ iPhone ในตลาดมือถือ Apple แทบจะไม่มอง Zune เป็นคู่แข่งเลยด้วยซ้ำ 

มันน่าแปลกใจไม่ใช่น้อยเพราะ DRM (Digital Right Management) เทคโนโลยีในการจัดการลิขสิทธิ์ดิจิตอลนั้น Microsoft เป็นคนสร้างมันมากับมือแท้ ๆ แต่ Apple เป็นเจ้าแรกที่ทำให้ผู้ใช้พอใจกับ DRM ด้วย iTunes Store ของพวกเขานั่นเอง

และในที่สุด Microsoft ก็ต้องเผชิญกับความเป็นจริง ๆ ที่ Apple ที่ตอนนั้น มีทีมงานที่เล็กกว่า แถมเงินทุนก็ยังน้อยกว่า Microsoft อย่างมาก แต่ Apple ทำในสิ่งที่เปลี่ยนโลกของการฟังเพลงไปตลอดกาลด้วย iPod และ iTunes และมันได้ทำให้ สตีฟ จ๊อบส์ สามารถที่จะเอาชนะเหนือศัตร์เก่าอย่าง บิลล์ เกตส์ ได้สำเร็จ มันเป็นการล้างแค้นหลังจากที่จ๊อบส์ได้พ่ายแพ้อย่างหมดรูปในธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ทำให้เขาต้องโดนไล่ออกจาก Apple ไป และ iPod ยังนำไปสู่ก้าวใหม่ของบริษัท Apple ในที่สุด ดั่งที่เราได้เห็นในทุกวันนี้นั่นเองครับ

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ สงคราม Digital Music War จาก Blog Series ชุดนี้

การกลับมาในคำรบที่สองของ จ๊อบส์ ครั้งนี้ มาพร้อมกับพลังที่ล้นเหลือ ด้วยความพร้อมที่จะมาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งในฐานะ CEO ตัวจริงของ Apple ที่ไม่มีใครในโลกนี้เลียนแบบเขาได้ ผู้นำที่สามารถสร้างสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ให้เป็นไปได้ มานับต่อนับ

เรียกได้ว่า iPod เครื่องเล่นเพลงแบบดิจิตอล ของ Apple นั้นถือเป็นต้นแบบสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมของ Apple เรื่อยมาในยุคหลังไม่ว่าจะเป็น iPhone , iPad หรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ Apple ซึ่งล้วนแล้วมาจากทีมงาน Dream Team ชุดที่สร้าง iPod มาแล้วแทบจะทั้งสิ้น

และสิ่งสำคัญที่จ๊อบส์ทำมาตลอดในช่วงการสร้าง iPod  คือ การโฟกัส ซึ่ง เขาโฟกัส ในสิ่งที่ทำ การสร้าง iPod นั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งทางด้านวิศวกรรม และ การออกแบบมากมาย แต่จ๊อบส์ เชื่อมั่นว่า ทีมของเขาจะทำได้ เขาทำให้ทีมของเขาทำสิ่งที่ใครในโลก ไม่คิดว่าจะทำได้  iPod มันจึงกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่วิเศษที่สุด มันเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมดนตรีได้เลยด้วยซ้ำ และมันเป็นการพลิกโฉมของ Apple เข้าสู่ยุคใหม่อย่างที่เห็นในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน

ส่วน Microsoft นั้นเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เป็นองค์กรที่ใหญ่ และมีอุปสรรคมากมายต่อการเติบโต ซึ่งแน่นอนว่า องค์กรใหญ่ ๆ หลาย ๆ องค์กรต้องเคยเจอ เมื่อตัวเองเติบโตไม่ใช่บริษัทเล็ก ๆ อีกต่อไป การขับเคลื่อนเพื่อที่จะสู้กับบริษัทเล็ก  ๆ นั้นก็เป็นเรื่องยาก ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใดกับสิ่งที่ Microsoft เจอ เพราะเราเห็นบทเรียนเหล่านี้มามากมายกับบริษัทยักษ์ใหญ่จำนวนมาก

ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าแม้หลาย ๆ ครั้ง Microsoft จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ได้ลองแข่งขัน และได้เรียนรู้วิธีที่จะสู้กับบริษัทเล็ก ๆ เหล่านี้  ซึ่งสุดท้ายในปัจจุบัน เราจะเห็น Microsoft สามารถปรับตัวให้เข้ากับการแข่งขันในธุรกิจยุคใหม่ได้ในที่สุด ไม่ได้ล้มหายตายจากเหมือนยักษ์ใหญ่บริษัทอื่น ๆ  และสามารถก้าวอย่างมั่นคงมาจวบจนถึงปัจจุบันนั่นเองครับ

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : Digital Hub *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

Blog Series : Digital Music War Apple vs Microsoft

ในยุคปี 80 บริษัท Apple ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของโลก ขายคอมพิวเตอร์ Macintosh ของตนได้ดีอย่างเทน้ำเทท่า Apple ทำกำไรได้มหาศาล เป็นบริษัทคอมพิวเตอร์แถวหน้าของโลกในขณะนั้น แต่หลังจากมีการถือกำเนิดขึ้นของบริษัท Microsoft ได้เริ่มแย่งส่วนแบ่งไปจาก Apple ที่ละน้อย จนในที่สุดก็ตามทัน แซง และทิ้งห่างไปอย่างไม่เห็นฝุ่นในช่วงยุคปี 90

ทำให้ในปลายยุค 90 บริษัท Apple ได้ทำการไล่ CEO  สตีฟ จ๊อบส์ ออก เพราะว่าเป็นส่วนนึงที่ต้องรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ให้กับ Microsoft ในครั้งนี้ 

แต่เหมือนหนีเสือปะจรเข้ เมื่อ CEO ที่มาแทนจ๊อบส์อีกหลายคนก็ไม่สามารถกู้วิกฤติของ Apple ได้ โดยช่วงก่อนปี 2000 ยอดขายตกต่ำอย่างถึงที่สุดจนถึงขนาดที่ว่าใกล้จะต้องปิดบริษัทอยู่เต็มทนแล้ว เดือดร้อนถึงผู้บริหารไม่รู้ว่าจะแก้วิกฤตนี้อย่างไร จึงไปเชิญ สตีฟ จ๊อบส์ กลับเข้ามาทำงานเป็น CEO อีกครั้ง เพราะคนที่บริษัท Apple ต่างก็รู้ดีว่าเขาคือมันสมองของบริษัท

หลาย ๆ ท่านอาจจะคิดว่า iPhone เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของบริษัท apple ให้กลายมาเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ของโลกได้จวบจนถึงทุกวันนี้ แต่นั่นเป็นเพียงส่วนนึงเท่านั้น แนวคิดของ apple รูปแบบใหม่ ที่หันมาสร้างนวัตกรรม และ เปลี่ยนจากบริษัทคอมพิวเตอร์ ให้กลายมาเป็นบริษัทที่จำหน่าย สินค้า consumer product มันเริ่มมาจาก iPod สินค้าที่ต้องโจทย์ในเรื่อง Digital Music ที่ตอนนั้นยังไม่มีผู้นำอย่างชัดเจน

Blog Series ชุดนี้จะมาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น กับการแก้แค้นที่สาสมของ Apple ที่มีต่อ Microsoft ในศึกสงครามเพลงในรูปแบบดิจิตอล ที่มันได้กลายเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ที่พา Apple กลับสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้ง หลังจากตกอยู่ภายใต้เงาของ Microsoft มาอย่างยาวนานนั่นเองครับ

–> อ่านตอนที่ 1 : Digital Hub

Apple and the end of the genius

ในฐานะที่เป็นข่าวเกี่ยวกับ Jony Ive ที่กำลังจะจากลาจากแอปเปิ้ล เราจะเห็นผู้คนจำนวนมากเริ่มแสดงความกังวลในยุคต่อไปที่จะไม่มี Ive  และสิ่งต่อไปที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เพราะ Ive เป็นคนที่มีอิทธิพลอย่างน่าทึ่ง เขาเป็นผู้ผลักดันการออกแบบ ไม่เพียงแต่สำหรับผลิตภัณฑ์ของ Apple เพียงเท่านั้นแต่สำหรับทั้งอุตสาหกรรมโดยรวม บุคคลเดียวที่สามารถอ้างถึงชื่อเสียงและอิทธิพลในระดับเดียวกันได้นี้คือสตีฟ จ็อบส์เพียงเท่านั้น

แม้มันจะน่ารำคาญที่จะใช้คำว่า “ยุค” แต่นั่นคือคำที่ฟังดูไม่เพียงแค่จำเป็นสำหรับการพูดคุยเกี่ยวกับการออกแบบคอมพิวเตอร์ แต่มันก็เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งนี้ ดังนั้นด้วยการออกจาก Apple ของ Ive นั้นคงจะไม่เป็นคำพูดเกินเลยที่ว่า : ยุคของ 2 อัจฉริยะแห่ง Apple ได้สิ้นสุดลงแล้ว

แม้ว่า Apple อาจมีเรื่องราวที่ดีเกี่ยวกับการก่อตั้งขึ้นในโรงรถ แต่ตำนานการก่อตั้งที่แท้จริงของ Apple ก็คือตำนานแห่งอัจฉริยะทั้งสองไม่วาจะเป็น Jony Ive และ Steve Jobs   เมื่อตอนที่สตีฟ จ็อบส์ดูแลแอปเปิลเขาได้ทำสิ่งมหัศจรรย์มานับต่อนับทั้ง คอมพิวเตอร์ Apple, Mac , iPod, iPhone หรือแม้กระทั่ง iPad เองก็ตาม

หลังจากยุคสตีฟ จ็อบส์ ผู้ที่ขับเคลื่อน Apple จริง ๆ แทนที่นั้นก็ได้ถูกส่งไปที่ Jony Ive แม้เขาจะเงียบ ๆ แต่มันบ่งบอกได้ถึงสิ่งสำคัญสำหรับแนวคิดเกี่ยวกับ Apple ที่ผู้มีอำนาจเต็มอย่าง Ive ได้ทำการตัดสินใจคนเดียวในหลายเรื่อง ๆ  โดยไม่ยอมแพ้ในเรื่องที่เกี่ยวกับคุณภาพ รวมถึงรสนิยมของ Apple ที่ยังมีกลิ่นอายของความเป็น จ๊อบส์ อยู่ 

และแล้วได้มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่สองอย่าง อย่างแรกคือมีคนสองคนเข้ามาแทนที่ Ive ไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้น และเรื่องที่สอง: Ive นั้นได้ถูกปรับให้รายงานไปยัง COO ไม่ใช่โดยตรงต่อ Tim Cook อีกต่อไป นี่คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่ Steve Jobs ตั้ง Jony Ive ขึ้นมาเป็นคู่หูคนสำคัญของ Apple ยุคใหม่ โดย Jobs อธิบายบทบาทของ Ive ไว้ว่า :

“เขาไม่ใช่แค่นักออกแบบ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาทำงานโดยตรงสำหรับผม เขามีพลังในการปฏิบัติงานมากกว่าใคร ๆ ใน Apple ยกเว้นผม ไม่มีใครบอกเขาได้ว่าจะต้องทำอะไร นั่นคือวิธีที่ผมมอบหมายให้ Ive ทำ”

ดูเหมือนว่า Apple ได้สูญเสียความเป็นผู้นำด้านการออกแบบ มีหลาย ๆ อย่างที่หลุดไปอย่างง่าย ๆ มันไม่ใช่ DNA แบบเดิมของการออกแบบเมื่อตอนที่ Jobs กับ Ive ทำงานด้วยกัน ตัวอย่างเช่น Apple Pencil  , iPhone และ iPad Smart Keyboard  และยังรวมถึงรีโมท Apple TV ที่ไม่ได้รัประหยัดพลังงานอย่างน่าประหลาด ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ในยุค Jobs คงไม่มีทางปล่อยผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกมาขายอย่างแน่นอน

หลากหลายผลิตภัณฑ์ที่หากอยู่ในยุค Steve Jobs คงไม่มีทางได้ออกมาขายอย่างแน่นอน
หลากหลายผลิตภัณฑ์ที่หากอยู่ในยุค Steve Jobs คงไม่มีทางได้ออกมาขายอย่างแน่นอน

ซึ่งสิ่งที่ผิดพลาดเหล่านี้ Apple ยังไม่รู้สาเหตุของมัน แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือเกิดจากการขาดการมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์เป็นหลักเหมือนในอดีต – ไม่มีเหล่าอัจฉริยะ ที่จะส่งสิ่งเหล่านี้กลับไปที่กระดานวาดภาพเมื่อพวกเขามองว่ามันยังไม่ดีพอ ตอนนี้ Apple มุ่งเน้นที่รูปแบบการใช้งานมากกว่าการทำสิ่งที่บางและสวยงามเหมือนในยุคก่อน ๆ  

กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ของ Apple ไม่ได้ถูกกำหนดโดยบุคคลเดียวอีกต่อไป  รวมถึงตัว Ive เอก็ไม่ได้มีส่วนร่วมเหมือนที่เขาเคยเป็นในยุคของ Jobs

แม้ว่า Ive จะจากไป แต่เขาก็ยังคงร่วมงานกับ Apple อยู่ ที่สำคัญกว่านั้นทีมที่เขาเป็นผู้นำไม่ได้ย้ายไปไหน และจะไม่เปลี่ยนปรัชญาการออกแบบทั้งหมดในชั่วข้ามคืนอย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุด Apple มีการออกแบบผลิตภัณฑ์ล่วงหน้าหลายปี ดังนั้นการออกแบบของ Ive จะอยู่กับเราไปอีกนาน

อย่างไรก็ตามการจากไปของเขาจะมีผลกระทบอย่างแท้จริง อย่างแรกไม่ใช่ปัญหาของ Apple แต่เป็นของเหล่าลูกค้าที่จงรักภักดีกับ Apple : เราควรหยุดคิดว่า Apple เป็นบริษัทที่แสดงออกถึงความเป็นอัจฉริยะของคน ๆ หนึ่ง เหมือนในอดีตอีกต่อไป

เมื่อพิจารณาการออกแบบบางอย่างของ Apple ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์คำเดียวที่นึกได้คือ “การไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค” การสร้างผลิตภัณฑ์ในยุคของ Jobs นั้นทำสิ่งที่เป็นไม่ได้ ให้เป็นไปได้มากมาย แม้อุปสรรคจะมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเทคนิค หรือ ด้านดีไซต์ก็ตาม ทั้งคู่ Ive และ Jobs จะไม่ยอมปล่อยผ่าน พวกเขาสามารถผลักดันทีมงานให้รีดเอาศักยภาพที่มากที่สุดของทีมงานมาสร้างสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้นั่นเอง 

ดูเหมือนตอนนี้ จะถึงยุคสิ้นสุดของสองอัจฉริยะแห่ง Apple ผู้ฝากผลงานที่น่าทรงจำไว้มากมาย และเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้นผ่านนวัตกรรมต่าง ๆ ของพวกเขาทั้งสอง เราก็ต้องมาดูกันต่อไปว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกับ Apple ในยุคต่อไปที่ไร้สองอัจฉริยะอย่าง Jobs และ Ive?

References : 
https://www.theverge.com/2019/6/28/18870887/apple-jony-ive-design-genius-committee

เข้าสู่ Apple ยุคผลัดใบ เมื่อ Jony Ive เตรียมจากลา

Jony Ive ผู้นำด้านการออกแบบของ Apple กำลังจะออกจาก บริษัท ในปลายปีนี้หลังจากใช้เวลานานกว่าสองทศวรรษใน บริษัทจนทำให้ apple ยิ่งใหญ่ได้ถึงทุกวันนี้

Ive จะเริ่มธุรกิจออกแบบของตัวเองในนาม LoveFrom และเขาวางแผนที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Apple ในฐานะลูกค้าแทน ตามการรายงานของ Financial Times ซึ่งเป็นสื่อแรกที่รายงานข่าวการจากไปของเขา โดยทางApple ยังไม่ออกมาให้ความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้

ข่าวดังกล่าวสร้างความประหลาดใจเนื่องจาก Ive เป็นเสาหลักที่ยาวนานของ Apple ที่ช่วยบุกเบิกการออกแบบที่ทำให้ Apple เป็นหนึ่งใน บริษัท ที่ทำกำไรได้มากที่สุดในโลก – จาก iPhone ถึง iMac ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ Ive ได้ดูแลงานออกแบบที่ Apple และการเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่ชื่อว่า “spaceship”ในเมือง Cupertino รัฐแคลิฟอร์เนีย

“ หลังจากผ่านไปเกือบ 30 ปีและโครงการที่นับไม่ถ้วนผมภูมิใจในงานที่เราได้ทำเพื่อสร้างทีมงานออกแบบกระบวนการและวัฒนธรรมของ Apple  วันนี้ Apple มีความแข็งแกร่งแข็งแกร่งและมีความสามารถมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Apple เลยก็ว่าได้” Ive กล่าวในการแถลงบนเว็บไซต์ของ Apple

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ สำหรับรูปแบบธุรกิจที่เน้นฮาร์ดแวร์ในอดีตของ Apple  โดยเมื่อปีที่แล้วเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปีที่แอปเปิ้ลปรับลดการคาดการณ์รายได้ลง ; บริษัท บางส่วนของยอดขายฮาร์ดแวร์ที่ลดลงมาจากสงครามการค้าสหรัฐจีน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ Apple มีความพยายามที่จะขยายช่องทางการหารายได้ของตนด้วยการเปิดตัวบริการใหม่ ๆ นอกเหนือไปจากผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์หลักเช่น  วิดีโอสตรีมมิ่ง

โดยจะยังไม่มีตัวแทนที่ทันทีสำหรับ Jony Ive แต่ VP of industrial design อย่าง Evans Hankey และ VP of human interface design อย่าง Alan Dye จะมีการรายงานตรงไปที่ Apple COO Jeff Williams แทน

“ Jony เป็นบุคคลสำคัญในโลกการออกแบบและบทบาทของเขาในการฟื้นฟู Apple ตั้งแต่ iMac ที่ก้าวล้ำในปี 1998 สู่ iPhone และความทะเยอทะยานที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนของ Apple Park   

Ive รายงานว่าจะให้ Apple เป็นลูกค้ารายแรกสำหรับกิจการใหม่ของเขาซึ่งเขามีเป้าหมายที่จะเริ่มมันในปี 2020

References : 
https://www.vox.com/recode/2019/6/27/18761773/jony-ive-design-legend-helped-create-iphone-leaving-apple?fbclid=IwAR3V3-J4MO2PtZuF6FYOvQ__pmWo020-tEOkkXtJZ59ekXJnT9zsPody0Hk

สุดยอดนวัตกรรม Apple ปีนี้อยู่ที่ Cardiogram

Electrocardiogram หรือในศัพท์ทางการแพทย์จริง ๆ ก็คือ การวัด ECG ที่เราใช้ตรวจคลื่นหัวใจเพื่อวัดความผิดปรกติของหัวใจ ซึ่งต้องบอกว่า มีผู้คนมากมาย ในโลกนี้ ต้องจบชีวิต ไปอย่างฉับพลัน ด้วยโรคหัวใจ

บางคนต้องเสียหัวหน้าครอบครัว สูญเสียคนที่ตัวเองรัก ไปแบบฉับพลัน จากโรคหัวใจ ซึ่งต้องบอกว่าจากความเปลี่ยนแปลงของโลกเราในยุคปัจจุบัน ทั้งเรื่องรูปแบบการกิน รวมถึง รูปแบบการใช้ชีวิต ทำให้คนในรุ่นใหม่ ๆ มีความเสี่ยงกับเรื่องโรคหัวใจมากยิ่งขึ้น

การที่ apple เข้ามาเจาะในตลาด Healthcare อย่างเต็มตัว รวมถึงการเพิ่มความสามารถในส่วนการวัดค่า ECG ได้  ต้องบอกว่า เป็น Features ที่ปฏิวัติ วงการเลยก็ว่าได้ ให้คนทั่วไปสามารถ คอยมอนิเตอร์ การเปลี่ยนแปลงของคลื่นหัวใจได้ และการทำงานร่วมกับ Apple Watch ก็สามารถทำให้ส่งสัญญาณเตือนให้กับผู้ใช้ได้ โดยหากยิ่งเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจอยู่แล้ว ถือว่าเป็นนวัตกรรมที่ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหัวใจได้อย่างมาก

Cardiogram จะอนุญาตให้ผู้ใช้เริ่มบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจของพวกเขาใน Apple Watch เป็นการโหมโรงอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่ WWDC จะเริ่มขึ้นในวันที่ 3 มิถุนายน ปีนี้ ซึ่งเซ็นเซอร์อัตราการเต้นหัวใจของ Apple Watch ข้อมูลที่ได้จะถูกแชร์นาทีต่อนาทีกับ บริษัท ซึ่งหมายความว่าจะรวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้รายอื่นด้วย

งาน WWDC ปีนี้ จะมี Features ใหม่ ๆ จาก Apple Watch ในเรื่องข้อมูลสุขภาพ
งาน WWDC ปีนี้ จะมี Features ใหม่ ๆ จาก Apple Watch ในเรื่องข้อมูลสุขภาพ

คุณสมบัติใหม่ที่ Cardiogram จะเพิ่มขึ้นคือการตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจในเชิงลึก ซึ่งก่อนหน้านี้ในเดือนมกราคมได้เปิดตัว บริการระดับพรีเมี่ยม ที่เปิดตัว Family Mode เพื่อแบ่งปันตัวชี้วัดสุขภาพระหว่างบุคคล และเพิ่มความสามารถในการแบ่งปันข้อมูลให้กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ  

ซึ่งในงาน WWDC ปีนี้นั้น คิดว่า apple คงได้ทำการทดสอบมาอย่างดีแล้วหลังจากการเปิดตัวไปในปีที่ผ่านมา และทีสำคัญ ได้รับการรับรองจาก FDA ของสหรัฐอเมริกา เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย ซึ่งคิดว่า และแน่นอนว่านี่ถือเป็นนวัตกรรมที่สำคัญที่จะทำให้ apple เติบโตไปอีกก้าวอย่างแน่นอน ไม่ได้พึ่งเพียงแค่ผลิตภัณฑ์หลักอย่าง Iphone เหมือนเดิมอีกต่อไป

References : 
https://appleinsider.com/articles/19/05/30/cardiogram-judging-most-exciting-wwdc-keynote-moments-by-monitoring-apple-watch-heart-rates