ไม่มีโอกาสดีเท่าปีนี้อีกแล้ว

นับจากปี 2004 ที่ได้แชมป์ premierleague ครั้งสุดท้าย ถ้านับจนถึงปีนี้ ก็นับได้ 11 ปีแล้วที่ ทีมอย่างอาเซน่อลไม่เคยได้สัมผัสแชมป์ premierleague อีกเลยนับจากชุด invisible ทีมชุดไร้พ่ายในฤดูกาล 2003-2004

แต่ก็เป็นสิ่งที่แฟนบอลพอยอมรับได้ที่ยังมีถ้วย FA Cup มาให้เชยชมบ้างในช่วง 2 ฤดูกาลหลัง ซึ่งก็ถือว่า wenger ก็ไม่ได้ทำทีมได้ขี้เหร่ไปซักเท่าไหร่ โดยผลงานโดยรวมก็ดีขึ้น โดยสามารถขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ได้ในรอบ ๆ หลายปี ซึ่งมักจะไปลุ้นที่ 4 แบบหืดจับตอนท้ายฤดูกาลตลอด

ซึ่งคงเป็นผลจากการที่ทีมเราไม่ได้เสียนักเตะตัวหลักไปในช่วงหลัง ๆ และมีผู้เล่นชั้นดีเสริมทัพเข้ามาอยู่เรี่อย ๆ ไล่มาตั้งแต่ได้ตัว Ozil เข้ามา ทีมก็ถือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ดีขึ้น และสถานภาพทางการเงินก็เริ่มมั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากชดใช้หนี้สนามใหม่หมดเป็นที่เรียบร้อย ต่อจากนี้จึงเป็นการเดินหน้าไล่ล่าหาความสำเร็จต่อไปเหมือนในยุคปลายปี 90 สู่ต้นยุค ปี 2000  ที่ถือว่าทีมนั้นมีโอกาสลุ้นแชมป์ตลอด

แต่มาในปีนี้โอกาสถือว่าเหมาะเจาะเป็นอย่างยิ่งที่จะคว้าแชมป์ไว้ให้ได้เนื่องจากมีหลายปัจจัยมาสนับสนุน ทั้งเรื่องฟอร์มทีมคู่แข่งอย่าง แมนยู  ลิเวอร์พูล หรือ เชลซี ที่ค่อนข้าไม่แน่นอน โดยเฉพาะเชลซีคงหมดโอกาสลุ้นแชมป์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือก็เพียงทีม แมนซิตี้ เท่านั้นที่จะเป็นคู่แข่งโดยตรงน่าจะเป็นทีมเดียวในฤดูกาลนี้ ทำให้โอกาสความน่าจะเป็นในการคว้าแชมป์ในปีนี้ค่อนข้างสูง ซึ่งแฟนบอลอาเซน่อล ก็รอคอยความสำเร็จมากว่าทศวรรษแล้ว และคิดว่าถึงเวลาที่ทีมเราต้องได้แชมป์ premierleague ในปีนี้ให้ได้ซักที ซึ่งถ้าหากทำไม่สำเร็จในปีนี้นั้น ปีหน้าคาดว่า ทีมอย่างลิเวอร์พูล ที่ได้ เจอเก้น คลอปป์ เข้ามาน่าจะสร้างผลงานได้ดี รวมถึง การที่มีโอกาสสูงที่ เป๊บ กวาดิโอล่า นั้นจะเข้ามารับงานคุมทีมใน premierleague เป็นไปได้สูงและทำให้เกิดการแข่งขันค่อนข้างสูงแน่ ๆ ในฤดูกาลหน้า

ซึ่งจากสภาพทีมในปีนี้นั้น หากผู้เล่นที่บาดเจ็บกลับมาพร้อมหน้า คิดว่าอาเซน่อลก็พร้อมที่จะสู้กับทุกทีมและคิดว่ามีโอกาสสูงที่ทีมเราจะสามารถคว้าแชมป์ได้ในปีนี้อย่างแน่นอน

Img Ref : telegraph.co.uk

เตรียมติดเครื่องเพื่อลุ้นแชมป์เต็มตัว

ผ่านเกมส์แชมเปี้ยนลีคนัดที่สองมาแบบสะบักสะบอมสำหรับอาเซน่อลเมื่อเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ olympiagos ทีมดังจาก กรีซ คาบ้านไปอย่างหมดสภาพ

ตอนแรกนึกในใจว่าน่าจะไม่รอดหมือนเกมส์แรกที่แพ้ โครเอเชีย ซาเกร็บ แล้วตามด้วยโดนเชลซีสอย  แต่เกมส์นี้ถือว่า นักเตะอาเซน่อลเล่นได้ดีอย่างเหลือเชื่อเหมือนถูกเวนเกอร์ติวเข้มอย่างหนักหลังเกมแพ้ โอลิมเปียกอส ไปแบบหมดรูปในเกมกลางสัปดาห์

สำหรับคู่รักคู่แค้นอย่าง แมนยูนั้น ช่วงหลัง ๆ ถือว่าอาเซน่อลเป็นฝ่ายแพ้ทางมาแทบจะตลอด ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีเกมไหนที่อาเซน่อลจะชนะขาดแมนยู ได้อย่างเกมนี้ เราไม่ได้เห็น อาเซน่อล ทำสกอร์ห่างแมนยู ถึงสามลูกมานานมาแล้ว ซึ่งเกมนี้ถือว่า เวนเกอร์วางแท็กทิคมาอย่างดี เล่นเกมเร็ว โดยเฉพาะการมีศูนย์หน้าอย่าง วัลคอตนั้นทำให้เกมอาเซน่อลนั้นดูไหลลื่นกว่าการมีชิรูด์อยู่เป็นอย่างมาก รูปเกมเร็วขึ้นอย่างชัดเจน การประสานงานใช้จังหวะน้อย และความเด็ดขาดของกองหน้า ก็ทำให้เกมนี้นั้นขาดไปตั้งแต่ช่วง 20 นาทีแรก

ถ้าเป็นเมื่อก่อนนั้น เวนเกอร์คงให้ลูกทีมบุกแหลกต่อไป แต่ช่วงหลัง เวนเกอร์ค่อนข้างที่จะไม่ประมาทในทุก ๆ เกมเราจะเห็นได้ชัดว่าเน้นผลการแข่งขันมากกว่าเมื่อก่อน หากนำขาดมักจะไม่เสี่ยง เน้นตั้งรับรอสวนกลับอย่างเดียวในหลาย ๆ เกมที่ผ่านมาเพื่อเน้นผลการแข่งขันมากกว่าการ เอ็นเตอร์เทน คนดูเหมือนยุคก่อน ๆ ที่แทบจะร้างราแชมป์มานาน

ถือว่าปีนี้น่าจะเป็นปีที่ดีของอาเซน่อลในการลุ้นแชมป์แบบเต็มตัว ตามที่สื่อหลาย ๆ สำนักได้วิเคราะห์ไว้ ทุกอย่างค่อนข้างลงตัวไม่มีการเปลี่ยนแปลงทีมมากมาย และทุกคนเล่นเข้าขากันได้ดี ถ้าเทียบกับทีมอื่นๆ  ที่มีการเสริม หรือ ขายตัวผู้เล่นอย่างต่อเนื่อง แต่ช่วง 2-3 ปีมานี้ อาเซน่อลนั้นแทบจะเจอผู้เล่นชุดหลักที่เล่นเข้าขากันได้อย่างดี และพร้อมที่จะลุ้นแชมป์ได้อย่างเต็มตัวแล้วในปีนี้

Img Ref : espnfc.com

Two Lose With Three Red

ผลงาน 2 นัดล่าสุดของทีมอาเซน่อล ถือว่าเป็นสัปดาห์ที่เลวร้ายที่สุดสัปดาห์หนึ่งเลยก็ว่าได้ ผ่านเกมส์ 2 นัดทั้งในเกมส์ยุโรป และ ใน premier league มาอย่างสภาพสะบักสะบอมมาก ๆ ทั้งผู้เล่นบาดเจ็บทั้งผู้เล่นโดนแบน ถือเป็นสัปดาห์ที่เลวร้ายจริง  ๆ ของทีมอย่าง อาเซน่อล ที่เพิ่งเริ่มฤดูกาลได้ไม่กี่นัด

สำหรับส่วนของเกมส์ยุโรปนั้น ต้องถือว่าเป็นความผิดเต็ม ๆ ของ ชิรูด์ เลยก็ว่าได้ถือว่าเป็นการเสียค่าโง่ชัด ๆ กับการโดนใบแดงที่ไม่ควรโดนอย่างยิ่งทำให้เพื่อนๆ  เล่นกันได้ยาก รวมถึงได้มีการพักตัวผู้เล่นหลายคน ทำให้ถือว่าเป็นการเจอทีมอย่าง Dinamo Zagreb ด้วยผู้เล่นน้อยกว่า ก็ไม่ได้เป็นงานง่ายเลย และสุดท้ายก็แพ้ไปจนได้ ซึ่งผมได้มีโอกาสได้ดูในเกมส์นี้ด้วย  ต้องถือว่าก่อนจะโดนใบแดงนั้น อาเซน่อลก็ถือว่าวางหมากมาเล่นได้อย่างดี ผู้เล่นที่ลงไปก็ไม่น่าจะพลาดเก็บสามแต้มได้หากตัวผู้เล่นเท่ากัน หรืออย่างแย่สุด คงเป็นผลเสมอกลับมา แต่ การที่เหลือ 10 คนด้วยการเสียค่าโง่ของ ชิรูด์นั้น ถือว่าเสียหายอย่างยิ่ง ทำให้ปีนี้เราแทบจะไม่ต้องลุ้นเป็นที่ 1 ของกลุ่ม แน่ ๆ แล้ว คงลุ้นได้เข้าเป็นที่ 2 เหมือนทุก ๆ ปีที่ผ่านมา รวมถึงการอยู่ร่วมกลุ่มกับทีมอย่าง บาเยิร์น มิวนิก ที่เราแพ้ทางตลอดนั้น ก็คงไม่น่าจะมีสิทธิ์ลุ้นแชมป์กลุ่มอย่างแน่นอน แต่การออกสตาร์ทแบบนี้ นั้นทำให้เราต้องเหนื่อยเพิ่มในการลุ้นเป็นอันดับที่ 2 ของกลุ่ม เหมือนในทุก ๆ ปี แต่ผมเชื่อว่ายังไงก็น่าจะผ่านรอบนี้ไปได้ แต่อาาจะผ่านไปแบบไม่ค่อยสวยงามเหมือนหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา

ส่วนในเกมส์ premier league  BIG Match ที่พบกับเชลซีในวันเสาร์ที่ผ่านมานั้น ก่อนเกมส์ก็ถือว่ามีลุ้นลึก ๆ ว่าทีมจะสามารถล้มทีมอย่างเชลซีที่สภาพไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ในตอนนี้ได้ อย่างที่เคยชนะมาใน community shield ก่อนเปิดฤดูกาล  แต่เช่นเคยเหมือนไม่เข็ดสำหรับการควบคุมอารมณ์ของนักเตะอาเซน่อลอย่าง Gabrieal นั้นถือว่าเสียท่าให้กับ คอสต้าไปเต็ม ๆ ในเกมส์นี้แบบไม่น่าเสีย ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นตัวจุดชนวน เผลอหลุดไปชั่ววูปทำให้ทีมเสียหายอย่างมหาศาล ซึ่งคิดว่าตอนแรกนัดนี้ผมหวังไว้อย่างแย่คงน่าจะเก็บ 1 แต้มกลับบ้านมาได้ เช่นเดียวกับเกมส์ยุโรปกลางสัปดาห์ การเหลือผู้เล่น 10 คน นั้นก็ไม่สามารถเอาตัวรอดจากเกมส์ดังกล่าวได้ ต้องบอกว่าตอน 11 คนเท่ากันนั้น เกมส์ถือว่าเล่นได้สนุกมาก ผลัดกันรุกรับ แต่พอเกมส์เปลี่ยนจากการขาดผู้เล่น ก็เป็นฝ่ายเชลซีที่เป็นฝ่ายคุมเกมส์อยู่ฝ่ายเดียว และเล่นเพื่อเน้นผลสกอร์ และสามารถทำไปได้อย่างไม่ยากเย็น

สัปดาห์นี้ถือว่าเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของนักเตะอาเซน่อลในการควบคุมอารมณ์ในการเล่น จะเห็นได้ว่า เหมือนเหตุการณ์เดิมวนลูปมาซ้ำในเกมส์กับเชลซี ซึ่งสไตล์การเล่นของอาเซน่อลนั้นหากเหลือผู้เล่นน้อยกว่านั้นเป็นกาารยากอย่างยิ่งที่จะทำเกมส์เข้าไปสู้กับคู่ต่อสู้ได้ จึงหวังว่าคงไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกในฤดูกาลนี้ หวังว่าเวนเกอร์คงจะกำชับลูกทีมอย่างดีต่อจากนี้ในเรื่องของการควบคุมอารมณ์ ซึ่งหลังจาก ที่แมนซิตี้ นั้นแพ้เป็นนัดแรกไปแล้ว ก็ถือว่า การลุ้นแชมป์ในปีนี้ยังเปิดกว้างอยู่ ยังไม่หมดหวังไปซะทีเดียวสำหรับไอปืนใหญ่ อาเซน่อล

Image Reference : telegraph

ในความล้มเหลวอีกครั้งของอาเซน่อล

ปีนี้เป็นปีที่ 5 ติดต่อกันแล้วที่อาเซน่อล ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีค  ซึ่งในตอนแรกนั้นที่จับฉลาก ได้มาเจอกับทีมอย่าง โมนาโก ถือว่าเป็นทีมที่อ่อนที่สุดแทบจะว่าได้ ที่ได้ผ่านเข้ารอบมา ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าน่าจะผ่านเข้ารอบ 8 ทีมได้ในปีนี้แน่ ๆ

แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่หวังเหมือนเคย เกมส์นี้เนื่องจาก ภาระอันหนักอึ้งที่มาจากนัดแรกที่ถูกบุกไปชนะถึงบ้าน 3-1 ทำให้ต้องการถึง 3 ประตูถึงจะเพียงพอที่จะเข้ารอบต่อไปได้ ซึ่งในใจนั้น ก็ถือว่ายังลุ้นว่า ยังพอมีโอกาสที่จะเข้ารอบไปได้ในปีนี้

รูปเกมส์นั้นก็อาเซน่อล ก็ถือว่าทำได้ดีอย่างมาก  ๆผู้เล่นทุกคนมุ่งมั่นที่จะทำให้ทีมผ่านเข้ารอบไปได้ การวางแผนของอาเซน เวนเกอร์ก็ถือว่า วางหมากมาเพื่อรุกแหลกเพื่อให้ผ่านเข้ารอบให้ได้ ครึ่งแรก นำ 1-0 ก็ถือว่ายังมีโอกาสอย่างมาก ถ้าดูตามรูปเกมส์ ซึ่ง อาเซน่อล แทบจะบุกอยู่ฝ่ายเดียวและครองบอลทำเกมส์อยู่ฝ่ายเดียว และเสียดายในหลายโอกาสในช่วงท้ายครึ่งแรกที่น่าจะเป็นประตู แต่ เริ่มครึ่งหลังนั้น ก็เดินหน้ากันเต็มตัว แทบจะไปอยู่แดนของโมนาโกกันทั้งทีม แต่ประตูที่สองนั้น ถือว่ามาช้าไปต้องรอถึงนาทีที่ 80 ถึงจะมา ทำให้โอกาสนั้น เหลือน้อยเต็มที ซึ่งหลังจากอาเซน่อลได้ประตูที่ 2 นั้น ทางโมนาโก ก็จัดหลังมาเต็มที่มาเน้นอุดอย่างเดียวจนสุดท้าย ก็ไม่สามารถทำประตูที่สามได้ ต้องตกรอบเหมือนเคยเหมือนปีก่อน

ถ้ามองในแง่ดี ก็ถือว่านัดนี้เล่นดีมาก สมควรชนะ แต่ ความจริงก็คือมันเกิดขึ้นแบบนี้ในทุก ๆ ปี นัดแรกเล่นประมาท และมักจะแพ้ก่อนเป็นประจำ และไปพยายามสร้างปาฏิหารย์ในนัดที่ 2 ในหลาย ๆ ปี ซึ่งจะเห็นได้ว่า อาเซน่อลก็ไม่เคยกลัวใครในนัดที่สอง ทั้ง บาเยิร์น มิวนิค หรือ เอซีมิลาน ก็สู้ได้อย่างเต็มที่ในปีก่อน ๆ แต่ก็ได้แค่เฉียดอย่างงี้ทุกปี

ปีหน้าก็ต้องมาว่ากันใหม่ไม่อยากให้พลาดการเป็นแชมป์กลุ่มอีกแล้วส่วนใหญ่ อาเซน่อลจะเล่นดีในนัดสอง ซึ่งควรเป็นนัดที่ได้เล่นในบ้านตัวเองจะดีกว่า ซึ่งปีหน้านั้น ก็ควรทำผลงานให้ได้แชมป์กลุ่ม จะดีที่สุด ไม่ว่าจับฉลากได้เจอกับทีมอะไร ก็คิดว่า น่าจะผ่านเข้ารอบได้ หากได้เล่นนัดที่สองในบ้านของตัวเอง

เมื่อแมนยูเล่นบอลโยน

คืนวันอาทิตย์ มีโอกาสได้ดู match ที่ แมนยู เสมอกับ เวสต์แฮม 1-1 ซึ่งแมนยูสามารถมาตีเสมอได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ รอดตายไปอย่างหวุดหวิด ตามรูปเกมส์ เวสต์แฮม ก็ค่อนข้างเล่นได้ดี โดยมีโอกาส เข้าทำประตู หลายครั้งที่น่าจะเข้า ดีที่ยังมี เด เค อา ช่วยเซฟไว้หลายครั้ง ทำให้ไม่ถูกนำห่างไป

ได้ลองสังเกตมาหลายเกมส์แล้วว่า เกมส์ของแมนยูนั้นเริ่มเปลี่ยนไปในยุคของฟานกาล ในช่วงหลัง ๆ โดยเล่นลูกกลางอากาศมากขึ้นกว่าเดิมมาก การต่อบอลเท้าสู่เท้าจะน้อยลงไปกว่ายุคของ เดวิด มอยส์  ซึ่ง ผลการแข่งขันในหลายนัดถือว่าดี แต่ถ้าไม่ชนะ นี่ก็จะถูกด่าตามกันมา ๆ ดูจากผลงานถือว่าไม่ได้ดีไปกว่า เดวิด มอยส์ ในฤดูกาลที่แล้วแต่อย่างใด ถ้าเทียบคะแนน ต่อ คะแนน แต่ที่อันดับอยู่สูงนั้นน่าจะมาจาก ทีมอื่นนัดกันฟอร์มตกมากกว่า ทั้งอาเซน่อล ลิเวอร์พูล ต่างผลงาน ดร็อปลงไปเยอะจากปีที่แล้วทำให้ แมนยู ยังติดอยู่ใน 4 อันดับแรก แต่ถ้าเทียบตัวผู้เล่นจริง ๆ แมนยู ควรจะเป็นทีมที่ลุ้นแชมป์มากกว่า 2 ทีมที่กล่าวข้างต้น เนื่องจากไม่มีเกมส์ในสนามยุโรปให้เล่น เหมือนทีมอื่น ๆ ผมมองว่า ฟาน กาลนั้น ผลงานก็ไม่ได้ดีไปกว่า มอยส์แต่อย่างใด ปีที่แล้ว เดวิด มอยส์ นั้นต้องพาทีมลงสนามในเกมส์ยุโรป ด้วย จึงมีปัญหากับในลีกมากกว่า ยุคฟานกาล ซึ่งถ้าพิจารณาฟอร์มการเล่น โดยรวม ก็ถือว่าไม่ได้ดีเด่นซักเท่าไหร่ รูปเกมส์ นั้น ก็ไม่ค่อยตื่นเต้นเร้าใจเหมือนสมัยก่อน แท็กทิค ก็ดูโบราณยังไงชอบกล เหมือนฟานกาล จะมั่นใจในตัวเองสูงอยู่เหมือนกัน ที่พยายามใช้ แท็กทิค ที่ไม่ work อยู่หลายนัด จนต้องมาถอยในช่วงหลัง ๆ  ปรับมาใช้ระบบ 4-4-2 เหมือนเดิม

โดยส่วนตัวมองว่า แมนยู ไม่น่าจะได้ติด 4 อันดับแรกหากบอลยังคงรูปแบบการเล่นแบบนี้ ทีมที่ไล่มา ก็ฟอร์มร้อน แรง ทั้งนั้น ทั้ง สเปอร์ อาเซน่อล หรือ ลิเวอร์พูล จะได้เปรียบตรงที่ แมนยู ไม่ต้องลงเล่นถ้วย ยุโรปเหมือนสามทีมข้างต้นเท่านั้น สุดท้ายก็ต้องมาดูกันว่า สิ้นฤดูกาลผลจะเป็นอย่างไรสำหรับ แมนยู