ผู้ก่อการร้ายกับการนำ 3D Printing มาสร้างอาวุธแบบใหม่

เหล่าผู้ก่อการร้ายยอดอัจฉริยะ กำลังใช้เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติร่วมกับปัญญาประดิษฐ์เพื่อสร้างอาวุธนิวเคลียร์ และอาวุธชีวภาพที่มีอำนาจทำลายล้างสูง (WMDs)

นั่นเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับการรายงานที่ออกใหม่โดยกลุ่มวิจัยหลายสถาบันที่นำโดยสถาบันการศึกษานานาชาติมิดเดิลเบอรีที่มอนเทอเรย์: เทคโนโลยีเดียวกับที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้สำหรับผู้ผลิตสินค้าต่าง ๆ ทั่วโลกอาจกำลังช่วยผู้ก่อการร้ายอยู่โดยไม่รู้ตัว

ผู้เขียนรายงานเชื่อว่าปัจจัยเสี่ยงของ WMD ที่สำคัญสามประการเกิดขึ้นจากความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติและ AI

สำหรับประเทศเช่นเกาหลีเหนือซึ่งมีโปรแกรม WMD อยู่แล้วสามารถเพิ่มกำลังการผลิตอาวุธโดยใช้เทคโนโลยีเพื่อพิมพ์ชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศหรือกลุ่มผู้ก่อการร้ายสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างโปรแกรม WMD ใหม่รูปแบบใหม่อยู่

ในที่สุดผู้เขียนรายงานเตือน ว่าเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติและ AI อาจนำไปสู่การคุกคาม จาก WMD ที่ไม่คาดคิด และจะเป็น“อาวุธแบบใหม่อย่างสมบูรณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นจริง ตามความคิดของ” โรเบิร์ต ชอว์ นักวิจัยที่กล่าวกับ scientificamerican.com

ซึ่งในท้ายที่สุดนักวิจัยหวังว่ารายงานของพวกเขาจะกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่พิจารณาการใช้งานเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติอย่างจริงจังสำหรับการสร้างอาวุธที่แอบแฝงของโปรแกรม WMD เหล่านี้

“ตอนนี้ทุกคนไม่ได้ให้ความสนใจมากพอก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง” นักวิจัย Miles Pomper  บอกกับ scientificamerican.com  “ และนี่คือการพยายามส่งเสียงเตือนเพื่อให้โลกรู้ว่าเรื่องดังกล่าวนั้นมีความอันตรายอย่างร้ายแรง ที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นในอนาคต”

Refernces : https://www.scientificamerican.com

เมื่อการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์กำลังจะอยู่ภายใต้การตัดสินใจของ AI

นักวิจัยของกองทัพอากาศสหรัฐกำลังมีความพยายามที่จะให้รหัสนิวเคลียร์แก่ AI หรือ ระบบปัญญาประดิษฐ์ในการตัดสินใจเรื่องการโจมตี

โดยสถาบันเทคโนโลยีแห่งกองทัพอากาศ นักวิจัย Curtis McGiffin และนักวิจัยสถาบันวิจัย Louisiana Tech อดัม โลว์เธอร์ ได้ร่วมกับกองทัพอากาศเพื่อเขียนบทความ   “America Needs a ‘Dead Hand’” โดยมีการถกในประเด็นที่ว่าสหรัฐอเมริกา ต้องพัฒนา“ ระบบตอบสนองเชิงกลยุทธ์อัตโนมัติบนพื้นฐานของปัญญาประดิษฐ์”

กล่าวอีกนัยหนึ่งพวกเขาต้องการให้ AI เป็นผู้ถือครองรหัสนิวเคลียร์ และแน่นอนว่าตามที่ผู้เขียนได้กล่าวถึงมันฟังดูคล้ายกับในหนังสือชื่อดังอย่าง “ Doomsday Machine” จากถ้อยคำของ Stanley Kubrick ในปี 1964“ 

“Dead Hand” ที่อ้างถึงในชื่อหมายถึงระบบกึ่งอัตโนมัติของสหภาพโซเวียตที่จะมีการเปิดตัวอาวุธนิวเคลียร์หากเงื่อนไขบางอย่างถูกพบ เช่น การตายของผู้นำของสหภาพโซเวียต

อย่างไรก็ตามในครั้งนี้ระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่พัฒนาโดย Lowther และ McGiffin จะไม่รอจนกว่าจะโดนการโจมตีครั้งแรกกับสหรัฐ โดย AI มันจะรู้ว่าต้องทำอะไรก่อนเวลาอันควร

“ มันอาจจำเป็นต้องพัฒนาระบบบนพื้นฐานของปัญญาประดิษฐ์ด้วยการตัดสินใจตอบสนองที่กำหนดไว้ล่วงหน้าซึ่งตรวจจับตัดสินใจและชี้นำกองทัพด้วยความรวดเร็ว ” พวกเขาเขียน

การใช้เวลาอย่างรวดเร็วในการโจมตีเป็นปรากฏการณ์ที่เทคโนโลยีสมัยใหม่รวมถึงเรดาร์ความไวสูงและสามารถสื่อสารได้ทันที ทำให้สามารถลดเวลาในการตรวจจับและการตัดสินใจลงอย่างมาก 

“ เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้กำลังลดระยะเวลาการตัดสินใจของผู้นำระดับสูงของอเมริกา ซึ่งในไม่ช้ามันอาจที่จะเป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินใจและบังคับใช้พลังงานนิวเคลียร์ได้ทันอย่างทันท่วงที หากยังใช้มนุษย์ในการตัดสินใจ” Lowther และ McGiffin โต้แย้ง

ความคิดคือการใช้โซลูชั่น AI ในการขับเคลื่อนซึ่งมันมีความสามารถในการตรวจจับการเปิดการโจมตีก่อนที่เกิดขึ้นที่ใดก็ได้ในโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยังมีความสามารถในการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ไปยังฝ่ายตรงข้าม”

และจากข้อเท็จจริงที่ว่า AI ไม่ได้มีข้อมูลมากนักที่จะดำเนินการ นั่นหมายความว่าข้อมูลส่วนใหญ่ที่ส่งไปยัง AI จะเป็นข้อมูลจำลองการรบเพียงเท่านั้น ซึ่งเราก็ต้องชั่งใจดูว่า อย่างไหนมันจะมีประสิทธิภาพมากกว่ากันระหว่างความสามารถของ AI และการตัดสินใจของมนุษย์ หากเกิดสงครามขึ้นมาจริง ๆ นั่นเอง

References : 
https://thebulletin.org

BIOWEAPONS กับแนวคิดอาวุธฆ่าคนด้วย DNA

ในอนาคตเราอาจต้องจัดการกับอาวุธชีวภาพที่มุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้นซึ่ง ตามรายงานใหม่จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ โดยนักวิจัยเคมบริดจ์ยืนยันว่ารัฐบาลโลกล้มเหลวในการเตรียมอาวุธในอนาคตจากเทคโนโลยีขั้นสูงเช่นปัญญาประดิษฐ์ หรือ การจัดการทางพันธุกรรม หรือแม้กระทั่งเชื้อโรคที่ออกแบบมาเพื่อฆ่าคนของเผ่าพันธุ์นั้น ๆ โดยเฉพาะ

รายงานดังกล่าวนั้น ก็เพื่อสำหรับการสร้างกลุ่มอิสระในการประเมินความเสี่ยงของเทคโนโลยีในอนาคตต่าง ๆ ที่จะมีบทบาทสำคัญที่จะเป็นอาวุธในสงครามที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และแน่นอนว่าเพื่อป้องกันความสูญเสียร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นกับมนุษยชาติ

“ตอนนี้เทคโนโลยีมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในราคาที่ถูกลง ทำให้ความสามารถในการทำลายล้างได้รวดเร็วและเป็นอันตรายมากขึ้น” ผู้เขียนรายงานกล่าว “ ในกรณีที่เลวสุด ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาวุธชีวภาพ สามารถสร้างขึ้นเพื่อกำหนดเป้าหมายกลุ่มชาติพันธุ์ที่เฉพาะเจาะจงตามรายละเอียดจีโนมของเผ่าพันธุ์นั้น ๆ ได้”

ซึ่งในที่สุดนักวิจัยสรุปว่าเราไม่สามารถรอให้อาวุธเหล่านั้นกลายเป็นความจริงขึ้นมา ก่อนที่จะไม่สามารถทำอะไรเพื่อหยุดยั้งไม่ให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติโดยการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในอนาคต

References : 
https://www.telegraph.co.uk

Drone Butterfly กับอาวุธใหม่ของกองทัพยุค 5G

เหล่าฝูงโดรนผีเสื้อที่ถูกควบคุมจากระยะไกลอาจเป็นจะกลายเป็นอาวุธลับใหม่ของการรบในอนาคต บริษัท Festo ซึ่งเป็น บริษัทในด้าน Control and Automation ของประเทศเยอรมัน ได้ทำการเปิดเผยโดรนตัวใหม่ eMotionButterflies

ซึ่งเป็นหุ่นยนต์น้ำหนักเบาที่สามารถบินแบบกระพือปีกได้เหมือนผีเสื้อจริง ๆ และมีระบบกล้องอินฟราเรดสิบตัวไว้ใน “ระบบเครือข่ายอัจฉริยะ” ที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั่นเอง 

“eMotionButterflies สร้างความประทับใจด้วยระบบกลไกที่ใช้งานอย่างชาญฉลาดและใช้พลังงานขนาดที่เล็กที่สุดที่เป็นไปได้ ในพื้นที่ที่แคบที่สุด” Festo เขียนบนเว็บไซต์ของพวกเขา “การลดขนาดชิ้นส่วนต่าง ๆ ในการใช้วัสดุช่วยให้สร้างโดรนที่มีการบินที่เป็นไปตามธรรมชาติ”

และมันไม่ใช่เป็นเพียงแค่หุ่นยนต์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสัตว์เพียงตัวเดียวเท่านั้น การเปิดตัวล่าสุดนี้ ยังรวมถึงหุ่นยนต์มด BionicANTs และ FlexShapeGripper ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่มีการจัดการอย่างดีที่สามารถเปล่งเสียงที่มีการจำลองรูปแบบของกิ้งก่าได้

เมื่อพิจารณาถึงการเปิดตัว SmartBird ที่มีการเลียนแบบนกนางนวลแฮริ่ง และ BionicKangaroo ที่เลียนแบบการกระโดดของจิงโจ้ ซึ่งคงจะไม่เป็นการเกินเลยที่จะพูดว่าสวนสัตว์หุ่นยนต์กำลังจะมีชีวิตที่สำนักงานใหญ่ของ Festo ในประเทศเยอรมันนั่นเอง

References : 
https://www.vice.com/en_us/article/qkwjx5/a-drone-butterfly-army-takes-flight

Spy ตัวจิ๋ว อาวุธใหม่แห่งการสอดแนมในอนาคต

ทีมวิศวกรจากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนียในลอสแองเจลิสได้สร้างหุ่นยนต์ที่บินได้แบบสี่ปีกที่ชื่อว่า Bee + ซึ่งมีน้ำหนักเพียง 95 กรัมและมีขนาดเล็กกว่าเหรียญเพนนีเสียอีก

ส่วนก่อนหน้านี้นั้น ทีมนักวิจัยของ Harvard ได้สร้าง  หุ่นยนต์บินได้ขนาดเล็กอีกตัวหนึ่งที่ชื่อว่า RoboBee ในปี 2013 ซึ่งมีน้ำหนักเพียง 75 กรัม

แต่ RoboBee ซึ่งมีเพียงสองปีก ทำให้การบินของมันไม่แน่นอนและไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งแต่ต่างจากปีกทั้งสี่ของ Bee + ซึ่งสามารถเรียนรู้วิธีควบคุมระดับเสียงและทิศทางในอากาศได้ดีกว่า

Robobee จาก Harvard ที่มีเพียง 2 ปีก
Robobee จาก Harvard ที่มีเพียง 2 ปีก

ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทีม Bee + ต้องเผชิญเพื่อเพิ่มจำนวนปีกให้มากถึงสี่ปีกคือน้ำหนักของมันนั่นเอง นักวิจัยได้ทำการออกแบบ “unimorph” ใหม่ที่อาศัยวัสดุ piezoelectric เพียงเส้นเดียวที่ขยายและหดตัวเมื่อมีการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านมัน ทำให้สามารถลดน้ำหนักของ actuators ลงไปได้กว่าครึ่งหนึ่ง

“วิธีการที่ทีมได้นำเสนอนั้นมีประโยชน์มากในแง่ของน้ำหนัก ขนาด รวมถึงการควบคุมและกรรมวิธีในการสร้างมันขึ้นมา” ทีมงานบอกกับ เอ็มไอทีเทคโนโลยีรีวิว

มีข้อบกพร่องอย่างใหญ่หลวงอย่างหนึ่งของทั้ง RoboBee และ the Bee +:  พวกเขาไม่ได้ใช้เทคนิคของการสร้างแบบโดรนเนื่องจากต้องมีการพึ่งพาแหล่งพลังงานมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนำเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่มีพัฒนาใหม่เพื่อมาทำงานกับหุ่นยนต์ระดับนาโนอย่างเจ้า Bee + ก็ทำให้มันสามารถบินได้ด้วยตัวเอง

ซึ่งน่าสนใจอย่างยิ่งว่า เทคโนโลยียานบินขนาดเล็กเหล่านี้ น่าจะมีบทบาทสำคัญในเรื่องของภารกิจสอดแนมต่าง ๆ ที่ต้องมีการนำมาใช้อย่างแน่นอนในอนาคต ซึ่งน่าจะส่งผลต่อการรบที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน

References : 
https://www.technologyreview.com/s/613528/a-tiny-four-winged-robotic-insect-flies-more-like-the-real-thing/