สงครามไซเบอร์ของรัสเซียในยูเครนส่งสัญญาณอันตรายไปทั่วโลกอย่างไร

รัสเซียได้ส่งทหารมากกว่า 100,000 นายไปยังชายแดนของประเทศกับยูเครน คุกคามการทำสงครามแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังไม่มีการปะทะกันอย่างจริงจัง แต่ปฏิบัติการทางไซเบอร์กำลังดำเนินการไปอย่างเข้มข้นแล้ว

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แฮ็กเกอร์ทำลายล้างเว็บไซต์ของรัฐบาลหลายสิบแห่งในยูเครน ซึ่งเป็นการกระทำที่ง่ายในทางเทคนิค แต่สามารถดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างมาก พวกเขาได้วางมัลแวร์ทำลายล้างไว้ในหน่วยงานรัฐบาลของยูเครน ซึ่งค้นพบครั้งแรกโดยนักวิจัยที่ Microsoft ยังไม่ชัดเจนว่าใครรับผิดชอบ แต่รัสเซียเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับแรกอย่างแน่นอน

แต่ในขณะที่ยูเครนยังคงรู้สึกถึงความรุนแรงของการโจมตีของรัสเซีย รัฐบาลและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์กังวลว่าการแฮ็กข้อมูลเหล่านี้อาจแพร่กระจายไปทั่วโลก คุกคามยุโรป สหรัฐอเมริกา และอื่นๆ 

เมื่อวันที่ 18 มกราคม สำนักงานความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐอเมริกา (CISA) ได้เตือนผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญให้ดำเนินการขั้นตอนเร่งด่วนในระยะสั้นกับภัยคุกคามทางไซเบอร์

โดยอ้างว่าการโจมตียูเครนครั้งล่าสุดเป็นเหตุให้ต้องตื่นตัวต่อภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นกับสหรัฐฯ  ซึ่งมันชี้ให้เห็นถึงการโจมตีทางไซเบอร์สองครั้งในปี 2017 ได้แก่ NotPetya และ WannaCry ซึ่งแพร่กระจายอย่างรวดเร็วทั่วอินเทอร์เน็ต

การโจมตีได้ส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลกด้วยความเสียหายมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ความคล้ายคลึงกันนั้นชัดเจน: NotPetya เป็นการโจมตีทางอินเทอร์เน็ตของรัสเซียที่กำหนดเป้าหมายไปยังยูเครนในช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดสูง

“ปฏิบัติการทางไซเบอร์เชิงรุกเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ได้ก่อนที่กระสุนและขีปนาวุธจะบินว่อนในสงครามเต็มรูปแบบจริง ๆ ” John Hultquist หัวหน้าหน่วยข่าวกรองของ Mandiant บริษัท รักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์กล่าว “ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้กับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรได้ในขณะที่สถานการณ์เลวร้ายลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสหรัฐฯ และพันธมิตรมีท่าทีก้าวร้าวต่อรัสเซียมากขึ้น”

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน กล่าวระหว่างการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 19 มกราคม ว่าสหรัฐฯ สามารถตอบสนองต่อการโจมตีทางไซเบอร์ของรัสเซียต่อยูเครนในอนาคตด้วยความสามารถทางไซเบอร์ของตนเอง ซึ่งอาจจะทำให้ความขัดแย้งยิ่งทวีความรุ่นแรงมากยิ่งขึ้น

“ผมเดาว่าเขาจะบุกเข้ามา” ไบเดนกล่าวเมื่อถูกถามว่าเขาคิดว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียจะบุกยูเครนหรือไม่

ผลที่ไม่คาดคิด?

ผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ ของโลกอาจไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่พื้นที่เล็ก ๆ เหมือนในอดีต สงครามไซเบอร์ไม่เหมือนกับสงครามในสมัยก่อน สงครามไซเบอร์ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยพรมแดนเหมือนในอดีตอีกต่อไป

ยูเครนกำลังอยู่ในจุดสิ้นสุดของการปฏิบัติการทางไซเบอร์ของรัสเซียอย่างดุเดือดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และได้รับความเดือดร้อนจากการบุกรุกและการแทรกแซงทางทหารจากมอสโกตั้งแต่ปี 2014 ในปี 2015 และ 2016 แฮกเกอร์ชาวรัสเซียโจมตีโครงข่ายไฟฟ้าของยูเครนและปิดไฟในเมืองหลวงของ Kyiv ซึ่งส่งผลร้ายแรงต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก

การโจมตีไปที่โครงสร้างพื้นฐานของประเทศอย่างเครือข่ายไฟฟ้า (CR:Bankinfosecurity)
การโจมตีไปที่โครงสร้างพื้นฐานของประเทศอย่างเครือข่ายไฟฟ้า (CR:Bankinfosecurity)

การโจมตีทางอินเทอร์เน็ต NotPetya ในปี 2017 ซึ่งได้รับคำสั่งจากมอสโกอีกครั้ง โดยเริ่มแรกมุ่งเป้าไปที่บริษัทเอกชนของยูเครน ก่อนที่มันจะเริ่มแพร่กระจายและทำลายระบบต่างๆ ทั่วโลก 

NotPetya ปลอมตัวเป็นแรนซัมแวร์ แต่แท้จริงแล้วมันเป็นโค้ดที่สร้างความเสียหายอย่างสูง มัลแวร์ทำลายล้างที่พบในยูเครนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ WhisperGate ยังทำตัวเป็นเป็นแรนซัมแวร์ โดยมีเป้าหมายที่จะทำลายข้อมูลสำคัญที่ทำให้เครื่องมือต่าง ๆ ใช้งานไม่ได้ 

ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า WhisperGate นั้น  ชวนให้นึกถึง NotPetya แต่ก็มีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจน ประการหนึ่ง WhisperGate นั้นซับซ้อนน้อยกว่าและไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว  ซึ่งทางรัสเซียปฏิเสธการมีส่วนร่วม และไม่มีจุดเชื่อมโยงที่ชัดเจนไปยังมอสโก

NotPetya ทำให้ท่าเรือขนส่งสินค้าแทบเป็นอัมพาต และทำให้บริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่หลายแห่งและหน่วยงานภาครัฐไม่สามารถทำงานได้ เกือบทุกคนที่ทำธุรกิจกับยูเครนได้รับผลกระทบเพราะรัสเซียแอบวางไวรัสในซอฟต์แวร์ที่ใช้โดยทุกคนที่จ่ายภาษีหรือทำธุรกิจในประเทศ 

ทำเนียบขาวกล่าวว่าการโจมตีครั้งนี้สร้างความเสียหายทั่วโลกมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ และถือเป็น “การโจมตีทางไซเบอร์ที่ทำลายล้างและมีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์”

ตั้งแต่ปี 2017 มีการถกเถียงกันอย่างต่อเนื่องว่าเหยื่อจากต่างประเทศเป็นเพียงความเสียหายโดยไม่ได้ตั้งใจหรือว่าการโจมตีมุ่งเป้าไปที่บริษัทที่ทำธุรกิจกับศัตรูของรัสเซียหรือไม่ ที่ชัดเจนก็คือมันสามารถเกิดขึ้นได้อีกอย่างแน่นอนในอนาคต 

Hultquist คาดว่าเราจะได้เห็นการปฏิบัติการทางไซเบอร์จากหน่วยข่าวกรองทางทหารของรัสเซีย GRU องค์กรที่อยู่เบื้องหลังการแฮ็กที่ก้าวร้าวที่สุดตลอดกาลทั้งในและนอกยูเครน กลุ่มแฮ็กเกอร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของ GRU ซึ่งได้รับการขนานนามว่าแซนด์เวิร์ม

กลุ่มนี้มีหน้าที่รับผิดชอบสำหรับการแฮ็กระดับใหญ่ รวมถึงแฮ็กกริดไฟฟ้าของยูเครนปี 2015, แฮ็ก NotPetya ในปี 2017, การแทรกแซงการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส และการแฮ็กในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก

การถูกแทรกแซง และภาพการบุกสภาที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของผู้ประท้วงชาวอเมริกัน (CR:Wikipedia)
การถูกแทรกแซง และภาพการบุกสภาที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของผู้ประท้วงชาวอเมริกัน (CR:Wikipedia)

Hultquist กำลังมองไปที่อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้เชี่ยวชาญในชื่อ Berserk Bear ซึ่งมาจากหน่วยงานข่าวกรองรัสเซีย FSB ในปี 2020 เจ้าหน้าที่สหรัฐฯเตือนถึงภัยคุกคามที่กลุ่มก่อขึ้นต่อเครือข่ายรัฐบาล รัฐบาลเยอรมันกล่าวว่ากลุ่มเดียวกันนี้ประสบความสำเร็จในการโจมตีบริษัทต่างๆ เนื่องจากพวกเขามุ่งเป้าไปที่ภาคพลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

“กลุ่มคนเหล่านี้ติดตามโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญมาเป็นเวลานาน เกือบทศวรรษแล้ว” Hultquist กล่าว “แม้ว่าเราจะจับพวกมันได้หลายครั้ง แต่ก็พวกเขายังคงเข้าถึงได้ในหลายๆ พื้นที่อยู่ดี”

เครื่องมือโจมตีที่มีความซับซ้อนสูง

มีการถกเถียงกันอย่างจริงจังเกี่ยวกับกลุ่มแฮ็กเกอร์ในรัสเซียและการรุกรานที่มอสโกต้องการทำนอกยูเครน 

“ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่ชาวรัสเซียจะไม่กำหนดเป้าหมายที่ระบบของเรา โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของเรา” Dmitri Alperovitch ผู้เชี่ยวชาญที่รู้จักกันมานานเกี่ยวกับกิจกรรมทางไซเบอร์ของรัสเซียและผู้ก่อตั้ง Silverado Policy Accelerator ในวอชิงตันกล่าว “สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาจะทำคือเพิ่มความขัดแย้งกับสหรัฐฯ ท่ามกลางความพยายามในการทำสงครามกับยูเครน”

ไม่มีใครเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าแผนการที่แท้จริงของมอสโกเป็นอย่างไรในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนี้ ผู้นำอเมริกันคาดการณ์ว่ารัสเซียจะบุกยูเครน แต่รัสเซียได้แสดงให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า เมื่อพูดถึงโลกไซเบอร์ พวกเขามีเครื่องมือโจมตีที่มีความซับซ้อนและหลากหลายกว่ามาก

บางครั้งพวกเขาใช้มันเพื่อบางสิ่งที่ค่อนข้างเรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพเหมือนกับการทำแคมเปญเพื่อบิดเบือนข้อมูลในเครือข่ายโซเชียลมีเดีย โดยมีจุดประสงค์เพื่อทำลายเสถียรภาพทางการเมืองหรือแบ่งแยกฝ่ายตรงข้าม พวกเขายังมีความสามารถในการพัฒนาและปรับใช้การดำเนินการทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนและก้าวร้าวที่สุดในโลก

ในปี 2014 ในขณะที่ยูเครนตกอยู่ในวิกฤตอีกครั้งและรัสเซียบุกไครเมีย แฮ็กเกอร์ชาวรัสเซียก็แอบบันทึกการเรียกร้องของนักการทูตสหรัฐฯ ที่ผิดหวังกับการเพิกเฉยของยุโรปซึ่งกล่าวว่า “Fuck the EU” กับเพื่อนร่วมงาน ข้อมูลที่รั่วไหลผ่านการโทรทางออนไลน์เพื่อพยายามสร้างความโกลาหลในพันธมิตรของตะวันตกได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินการด้านข้อมูลที่รุนแรงโดยรัสเซีย 

การรั่วไหลของข้อมูลและการบิดเบือนข้อมูลยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับมอสโก การเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปต้องเผชิญซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากการบิดเบือนข้อมูลทางไซเบอร์ตามทิศทางของรัสเซีย 

ในช่วงเวลาของพันธมิตรที่เปราะบางและสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่ซับซ้อนมากขึ้นในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ปูตินสามารถบรรลุเป้าหมายที่สำคัญได้ด้วยการกำหนดรูปแบบการสนทนาในที่สาธารณะและการรับรู้ว่าสงครามในยุโรปกำลังคืบคลานเข้ามา

“เหตุการณ์ในโลกไซเบอร์เหล่านี้แทบไม่ต้องใช้ความรุนแรง และผลที่ตามมาส่วนใหญ่อยู่ในการรับรู้ของสาธารณชนน” Hultquist กล่าว “พวกเขากัดกร่อนสถาบัน ทำให้เราดูไม่ปลอดภัย ทำให้รัฐบาลดูอ่อนแอ พวกเขามักจะไม่ยกระดับที่จะกระตุ้นการตอบสนองทางการทหารที่นำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ”

บทสรุป

เรื่องของ Propaganda หรือการโฆษณาชวนเชื่อนั้น ต้องบอกว่า มีมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ยุคสงครามโลก หรือ สงครามเย็น เพราะเป็นอาวุธที่สำคัญอย่างหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจเหล่านี้

แต่ตอนนี้ โลกได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญก็คือ การเกิดขึ้นของ Social Media ต่าง ๆ มากมาย ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และแน่นอนว่าสื่อใหม่เหล่านี้ ได้สร้างพลัง และอิทธิพลอย่างสูงต่อความเป็นไปของโลกเรา

ถึงขนาดที่ว่า ประเทศยักษ์ใหญ่ ที่มีอำนาจสูงสุดอย่าง สหรัฐอเมริกา ที่เป็นผู้นำโลก ยังโดนสงครามข้อมูลเหล่านี้ เปลี่ยนแปลงสังคม สร้างความเกลียดชัง และความแตกแยกของประชาชนชาวอเมริกันอย่างไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

เราได้เห็นภาพในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในประเทศประชาธิปไตยแบบสุดขั้วอย่างสหรัฐอเมริกา การบุกรุกรัฐสภาสหรัฐของผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้

และสิ่งเหล่านี้มันกำลังเกิดขึ้น ทั่วโลก ไล่มาตั้งแต่อาหรับสปริง การปฏิวัติในยูเครน จนมาถึงสิ่งที่ใหญ่ที่สุดอย่างการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของอเมริกา หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่กำลังเกิดความแตกแยกในประเทศไทยเราเองก็ตามที

หรือรูปแบบของการโจมตีไซเบอร์ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน ทำลายโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งทุก ๆ ชาติต้องเตรียมการกับการโจมตีรูปแบบใหม่นี้ เพราะในหากสงครามเต็มรูปแบบมันเกิดขึ้นจริงมันคงเป็นสงครามที่ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไปนั่นเองครับผม

อ่าน Blog Series : Cyberwar – How Russian Hackers Steal the 2016 Election

References : https://www.express.co.uk/news/world/719511/Russia-US-brink-cyber-warfare-Putin-accused-rigging-election
https://www.technologyreview.com/2022/01/21/1043980/how-a-russian-cyberwar-in-ukraine-could-ripple-out-globally/?
https://www.politico.eu/article/russia-hacking-victoria-nuland-the-hairs-really-went-up-on-the-back-of-our-necks/
https://www.microsoft.com/security/blog/2022/01/15/destructive-malware-targeting-ukrainian-organizations/
https://www.bignewsnetwork.com/news/253442659/for-the-first-time-ever-putin-concedes-us-election-hacking-may-have-emanated-from-russia-blames-patriotic-hackers-ridicules-probe

Swarm Hive Mind กับเทคโนโลยีทางการทหารใหม่ที่ควบคุมฝูงบินโดรน 130 ลำด้วยทหาร 1 นาย

ผมเป็นหนึ่งในคนที่สนใจเทคโนโลยีทางการทหาร หากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้นมาจริง ๆ เราคงจินตนาการไม่ออกเลยว่าความล้ำสมัยของเทคโนโลยีทางด้านการทหารในตอนนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหากเกิดสงครามเต็มรูปแบบขึ้นมาจริง ๆ

ตัวอย่างที่น่าสยดสยองของความสามารถในการทำสงครามที่ทวีความรุนแรงขึ้น  ซึ่งเพนตากอนได้ช่วยพัฒนาเทคโนโลยีที่อนุญาตให้ทหารเพียงคนเดียวควบคุมโดรน 130 ลำสำหรับการปฏิบัติการทางทหาร

เบื้องหลังโครงการคือบริษัทผู้รับเหมาด้านการป้องกันประเทศ Raytheon ซึ่งทำงานร่วมกับ Defense Advanced Research Projects Agency (DARPA) ทีมงานประสบความสำเร็จในการทดสอบเทคโนโลยีใหม่ในสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกเมือง ตามข่าวประชาสัมพันธ์ของบริษัท 

โครงการดังกล่าวได้รับการขนานนามว่า “OFFensive Swarm-Enabled Tactics” (OFFSET) ผู้ปฏิบัติงานเพียงคนเดียวสามารถควบคุมฝูงบินโดรน ฝูงนี้ประกอบด้วยโดรน 130 ลำและโดรนจำลอง 30 ลำ ซึ่งทาง Raytheon อ้างว่าซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในฝูงบินโดรนช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถสั่งงานฝูงบินได้อย่างง่ายดายทั้งในร่มและกลางแจ้งในเขตเมือง 

“การควบคุมฝูงโดรนเปลี่ยนวิธีที่ผู้ปฏิบัติงานคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีโดรน” Shane Clark ผู้นำของโครงการ OFFSET ที่ Raytheon กล่าว

องค์ประกอบสำคัญของโปรแกรมนี้คือการใช้ฮาร์ดแวร์ราคาไม่แพง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถในการคำนวณและการตรวจจับที่มีประสิทธิภาพสูงในฮาร์ดแวร์ขนาดใหญ่ที่มีราคาแพง

โดย Raytheon ได้ทำการสร้างคลังข้อมูลกว้างๆ ของการสร้างกลยุทธ์อย่างง่ายที่ใช้ในการสร้างแผนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของภารกิจ 

Raytheon ได้ออกแบบและกำหนดค่าวิธีการปรับแต่ง แยกส่วน และทำการกระจายการควบคุมในส่วนของการจัดการแพลตฟอร์มเพื่อให้สามารถบรรลุภารกิจในปัจจุบันและในอนาคตที่มีความหลากหลายได้

โดยเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ โดรนทั้งฝูงจะร่วมมือกันเพื่อตัดสินใจว่าจะทำภารกิจใดภารกิจหนึ่งให้สำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดได้อย่างไร

ซึ่งผู้ควบคุมฝูงบินโดรนจะไม่ทำอย่างนั้นที่โต๊ะและจอยสติ๊กเหมือนเก่าอีกต่อไป แต่พวกเขาจะใช้อินเทอร์เฟซเสมือนจริงอย่างเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) ที่ช่วยให้พวกเขาสามารถมองผ่านโดรนแต่ละตัวได้ สิ่งนี้สร้าง “มุมมองเสมือนจริงที่สามารถโต้ตอบได้แบบเรียลไทม์ของสภาพแวดล้อมในขณะที่มีการรบ” Clark กล่าว

“คุณสามารถมองไปด้านหลังอาคารเพื่อเข้าถึงมุมมองของสถานที่ที่โดรนเข้าถึง และใช้สภาพแวดล้อมเสมือนจริงเพื่อทดสอบและดูว่าภารกิจของคุณเป็นไปได้หรือไม่” Clark อธิบาย 

ทีมงานยังได้สร้างอินเทอร์เฟซเสียงพูดที่ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถสั่งงานด้วยเสียงกับฝูงบินได้ Clark เสริมว่าสิ่งนี้จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานดำเนินการได้อย่างรวดเร็วในขณะที่ยังคงตระหนักถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในภารกิจนั้น ๆ

ต้องบอกว่าฝูงโดรนที่บินเข้าสู่สงครามเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีด้านสงครามที่น่าสนใจมาก ๆ นะครับ ลองนึกภาพที่คนๆ เดียวกำลังควบคุมฝูงโดรนขนาดใหญ่โดยใช้ VR และคำสั่งเสียงนั้นเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ และมันกำลังเกิดขึ้นแล้ว 

References : https://www.raytheonintelligenceandspace.com/news/advisories/raytheon-intelligence-space-drone-swarm-control-solution-shines-darpa-field
https://futurism.com/the-byte/terrifying-robot-swarm-smarter
https://www.techeblog.com/darpa-offset-drones/

MQ-9 Reaper โดรนที่น่ากลัวที่สุดในโลก ผู้ปลิดชีพ ยอดแม่ทัพ Soleimani แห่งอิหร่าน

ในปฏิบัติการสังหาร Soleimani นายพลของอิหร่าน เชื่อว่าได้รับการจัดการโดย CIA ผ่าน Drone อากาศยาน MQ-9 Reapers ที่เคลื่อนจากฐานทัพอากาศ Creech ในเนวาดา และได้รับการสนับสนุนจาก CIA ใน Langley รัฐเวอร์จิเนีย

จากข้อมูลของกองทัพอากาศสหรัฐฯ Reaper นั้นเป็น “เครื่องบินอเนกประสงค์ที่ใช้ในหลายภารกิจ ซึ่งสามารถทำระดับความสูงได้หลายระดับ และระยะการเดินทางที่รอบรับการบนในระยะไกล ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่ระยะไกลที่ใช้เป็นหลักในการปฏิบัติตามกลยุทธ์ทางการทหารของอเมริกา

ประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นคนสั่งการให้สังหาร Soleimani ขณะที่กำลังเดินทางใกล้สนามบินนานาชาติแบกแดด โดยการโจมตีดังกล่าวยังได้สังหาร Abu Mahdi al Muhandis รองผู้บัญชาการของกองกำลังเคลื่อนที่ของอิรักที่ได้รับการสนับสนุนจากอิรัก และเป็นผู้ก่อตั้ง Kataib Hezbollah กลุ่มก่อการร้ายที่สังหารผู้รับชาวเหมาสหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

เมื่อถูกถามว่ากองทัพอากาศเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้หรือไม่ ทางโฆษกของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ พ.ต.ท. โทมัส แคมป์เบล บอกกับ WashingtonExaminer : “เราไม่มีอะไรเพิ่มเติมนอกเหนือจากแถลงการณ์เมื่อวานนี้” คำสั่งของกระทรวงกลาโหมไม่ได้ระบุว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบในการโจมตี CIA บอกกับ WashingtonExaminer 

Soleimani  ยอดนายพลแห่งอิรัก ที่ถูกสังหาร
Soleimani ยอดนายพลแห่งอิหร่าน ที่ถูกสังหาร

เสียงพึมพำเงียบ ๆ ของ Reaper นั้นเหมาะสำหรับการใช้โจมตี ตามที่อดีตนักบินกองทัพอากาศที่เกษียณไปแล้วอย่าง John Venable กล่าว

“MQ-9 Reaper มีความแม่นยำ และด้วยความสามารถในการโจมตี ทำให้มันเป็นอาวุธที่เหมาะกับภารกิจ ISR [เฝ้าระวัง ข่าวกรอง ลาดตระเวน] เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีการคุกคามต่ำ” Venable บอกกับ WashingtonExaminer  “ ทางการสหรัฐใช้โดรนในการติดตาม Soleimani รวมถึงติดตามการเคลื่อนไหวของ Muhandis ทั้งในและรอบ ๆ กรุงแบกแดด ซึ่งความสามารถของ Reaper ทำให้สหรัฐฯไม่ใช่แค่ใช้มันเพื่อสังเกตการเพียงเท่านั้น แต่เพื่อกำจัดเป้าหมายเหล่านั้นด้วย ”

พล.ท. เดวิด เดอทูลา นายพลเกษียณจากกองทัพอากาศบอกกับ WashingtonExaminer :  “MQ-9 Reaper เป็นระบบอาวุธที่สมบูรณ์แบบสำหรับงานนี้ “การตอบโต้ครั้งนี้เป็นการการตอบสนองที่เหมาะสมหลังจาก 18 เดือนของการเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีโดยทรัมป์ที่ดำเนินการเนื่องจากการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศของอิหร่านอย่างก้าวร้าวโดยทรัมป์ได้ขีดเส้นเตือนอิหร่านไว้ก่อนหน้านี้ และเมื่อพวกเขาล้ำเส้น ทรัมป์ก็พร้อมที่จะปกป้องบุคลากรและผลประโยชน์ของอเมริกา “

Reaper ผลิตโดย General Atomics ซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2007 ด้วยราคาประมาณ 16 ล้านเหรียญจึงเป็นตัวเลือกที่ประหยัด สามารถปฏิบัติการทางอากาศด้วยระเบิดและขีปนาวุธที่หลากหลาย Reaper นั้นมีขนาดเล็กกว่าเครื่องบินจู่โจมทั่วไปโดยมีปีกกว้าง 66 ฟุตและมีน้ำหนักเพียง 4,900 ปอนด์ โดยทั่วไปจะทำงานที่ระดับความสูงประมาณ 25,000 ฟุตและใช้เครื่องยนต์ใบพัดทำให้ยากต่อการมองเห็นและได้ยินในสนามรบ ด้วยระยะทาง 1,200 ไมล์มันสามารถเดินทางไกลได้ในขณะที่นักบินอยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์

Reaper มีอุปกรณ์ทางทหารที่ทันสมัยที่สุดในโลก ระบบถ่ายภาพประกอบด้วยเซ็นเซอร์อินฟราเรดกล้องถ่ายภาพสีและขาวดำและเครื่องค้นหาระยะเลเซอร์และอุปกรณ์การกำหนดเป้าหมายสำหรับการโจมตีที่มีความแม่นยำสูง

มีการใช้ Reapers ในอัฟกานิสถาน อิรัก เยเมน ลิเบีย และอีกหลายประเทศ มีรายงานการสังหารครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2007 เมื่อมีการยิงขีปนาวุธเฮลล์ไฟกับผู้ก่อความไม่สงบในอัฟกานิสถาน 

ความคิดเห็นเพิ่มเติมจากผู้เขียน

ต้องบอกว่าข่าวการสังหารนายพลของอิหร่าน ในมุมมองของเทคโนโลยีนั้นน่าสนใจมาก ๆ อย่างที่ผมได้เคยเขียนไปในหลาย ๆ Blog เกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กำลังมีบทบาทสำคัญในวงการทหาร

แน่นอนว่าผลพวงจากเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในวงการทหารหลาย ๆ เทคโนโลยีล้วนมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจด้วย เราจะเห็นได้จากหลาย ๆ เทคโนโลยีที่เกิดจากแวงวงทหารเช่น อินเทอร์เน็ตเป็นต้น ซึ่งหลายชาติมหาอำนาจในโลกที่เป็นยักษ์ใหญ่ทางด้านเศรษฐกิจก็ล้วนแล้วแต่มีเทคโนโลยีทางด้านการทหารที่แข็งแกร่งมาก่อน ตัวอย่างเช่น อเมริกา ญี่ปุ่น หรือ เยอรมัน ที่กลายเป็นยักษ์ใหญ่วงการยานยนต์โลกก็ล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานสำคัญมาจากการผลิต ยุทธโธปกรณ์ในสงครามโลกครั้งที่สองแทบจะทั้งสิ้น

และในข่าวใหญ่ครั้งก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางด้านการทหารของอเมริกานั้น ไปไกลมาก ๆ พวกเขายังมีอาวุธลับอีกมากมาย ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากเกิดสงครามขึ้นมาจริง ๆ ผมก็ยังมองว่า ไม่มีชาติใดในโลกนี้ที่จะสู้พวกเขาได้

และถามว่าทำไมพวกเขาจึงลงทุนไปมากมายกับเทคโนโลยีด้านการทหาร ก็เพราะความมั่นคงที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่อเมริกามอง พวกเขาแม้จะแพ้ทางด้านเศรษฐกิจ แต่ด้านความมั่นคง พวกเขาไม่เคยแพ้ใคร และ สุดท้ายเมื่อเกิดสงครามขึ้นมาจริง ๆ ตัวชี้วัดว่าชาติใดจะเป็นมหาอำนาจของโลกตัวจริง มันอยู่ที่เทคโนโลยีทางด้านการทหารนั่นเองครับ

–> ฟัง podcast World War III เมื่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการชี้ขาดชัยชนะของสงครามยุคใหม่ : http://bit.ly/2MUHdph

References : https://www.washingtonexaminer.com/policy/defense-national-security/worlds-most-feared-drone-cias-mq-9-reaper-killed-soleimani https://www.researchgate.net/figure/MQ-9-Reaper-UAV-drone-and-its-zoom-camera_fig113_335455327

Cyborg Warriors กับอนาคตหุ่นยนต์ทหารของกองทัพสหรัฐ

ทหารสหรัฐฯมีแผนที่จะเปลี่ยนทหารให้กลายเป็นนักรบหุ่นยนต์ไฮเทคด้วยการทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นเพิ่มส่วนของความรู้สึกเข้าไปในหุ่นยนต์ดังกล่าว และเชื่อมสมองของพวกเขาเข้ากับคอมพิวเตอร์ เพื่อสร้างกองทัพยุคใหม่ที่แข็งแกร่ง

เพนตากอนได้กล่าวว่า cyborgs หุ่นยนต์เหล่านี้จะพร้อมที่จะลุยในสนามรบจริงภายในปี 2050 กระทรวงกลาโหมเพิ่งทำการปกปิดรายงานใหม่เมื่อเดือนตุลาคมที่มีการระบุรายละเอียดแผนการ “ มนุษย์ / เครื่องจักรฟิวชั่น”

ซึ่งในบทสรุปของรายงานระบุการอัปเกรดที่สำคัญสี่ประการซึ่งหวังว่าจะพัฒนาในอีกสามทศวรรษข้างหน้า ซึ่งรวมถึงการเพิ่มความสามารถเรื่องการมองเห็นและการได้ยินของทหารและต้องการทำให้ทหารแข็งแกร่งขึ้นด้วยการสวมใส่อุปกรณ์รูปแบบใหม่ที่สามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ได้

จากรายงานดังกล่าวใน 3 หมวดแรกนั้น จะเป็นการแสดงศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากความสามารถพื้นฐานปกติของทหารที่มีอยู่เดิม”

สิ่งที่แวดวงทหารตื่นเต้นจริงๆคือในหมวดที่สี่: “การเพิ่มประสิทธิภาพระบบประสาทโดยตรงของสมองมนุษย์สำหรับการถ่ายโอนข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการเชื่อมโยงจิตใจของทหารกับคอมพิวเตอร์เพื่อให้ผู้นำทหารสามารถถ่ายโอนข้อมูลใหม่ได้ทันที เพื่อให้ทหารสามารถที่จะควบคุมยานพาหนะไร้คนขับ โดยใช้เพียงแค่ความคิดของพวกเขาเท่านั้น

อย่างไรก็ตามปัญหาที่น่าเป็นห่วงคือ : “การเพิ่มทหาร Cyborgs เหล่านี้เข้าไปนั้น จะนำไปสู่ความไม่สมดุล ความไม่เท่าเทียมกัน รวมถึงเรื่องของกรอบกฎหมายในด้านความปลอดภัยและเรื่องของจริยธรรมนั่นเอง”

ความเห็นจากผู้เขียน

เรื่องราวของวงการทหารนั้นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด ที่กำลังนำเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่รุดหน้าไปอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องของ Brain Machine Interface หรือการเชื่อมต่อสมองเข้ากับคอมพิวเตอร์ เมื่อนำมาใช้ในวงการทหารนั้นถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

มันจะสร้างความเป็นต่อในเรื่องการรบและเพิ่มศักยภาพของกองทัพได้อย่างแน่นอน หากเกิดสงครามขึ้นมาจริง ๆ จะเห็นได้ว่าในขณะที่ประเทศไทยกำลังถกเถียงกันเรื่องเกณฑ์ทหาร หรือ จัดซื้อาวุธยุคโบราณอยู่นั้น แต่โลกทางการทหารได้ก้าวไปไกลมาก ๆ แล้ว และ หากเราไม่พัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ด้วยตัวเองบ้างนั้น ก็มีโอกาสที่จะสูญเสียความสามารถในการรบ และแน่นอนว่ามันจะส่งผลต่อความมั่นคงของชาติเราเช่นเดียวกันนั่นเอง

References : https://www.armytimes.com/news/your-army/2019/11/27/cyborg-warriors-could-be-here-by-2050-dod-study-group-says/

ผู้ก่อการร้ายกับการนำ 3D Printing มาสร้างอาวุธแบบใหม่

เหล่าผู้ก่อการร้ายยอดอัจฉริยะ กำลังใช้เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติร่วมกับปัญญาประดิษฐ์เพื่อสร้างอาวุธนิวเคลียร์ และอาวุธชีวภาพที่มีอำนาจทำลายล้างสูง (WMDs)

นั่นเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับการรายงานที่ออกใหม่โดยกลุ่มวิจัยหลายสถาบันที่นำโดยสถาบันการศึกษานานาชาติมิดเดิลเบอรีที่มอนเทอเรย์: เทคโนโลยีเดียวกับที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้สำหรับผู้ผลิตสินค้าต่าง ๆ ทั่วโลกอาจกำลังช่วยผู้ก่อการร้ายอยู่โดยไม่รู้ตัว

ผู้เขียนรายงานเชื่อว่าปัจจัยเสี่ยงของ WMD ที่สำคัญสามประการเกิดขึ้นจากความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติและ AI

สำหรับประเทศเช่นเกาหลีเหนือซึ่งมีโปรแกรม WMD อยู่แล้วสามารถเพิ่มกำลังการผลิตอาวุธโดยใช้เทคโนโลยีเพื่อพิมพ์ชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศหรือกลุ่มผู้ก่อการร้ายสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างโปรแกรม WMD ใหม่รูปแบบใหม่อยู่

ในที่สุดผู้เขียนรายงานเตือน ว่าเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติและ AI อาจนำไปสู่การคุกคาม จาก WMD ที่ไม่คาดคิด และจะเป็น“อาวุธแบบใหม่อย่างสมบูรณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นจริง ตามความคิดของ” โรเบิร์ต ชอว์ นักวิจัยที่กล่าวกับ scientificamerican.com

ซึ่งในท้ายที่สุดนักวิจัยหวังว่ารายงานของพวกเขาจะกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่พิจารณาการใช้งานเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติอย่างจริงจังสำหรับการสร้างอาวุธที่แอบแฝงของโปรแกรม WMD เหล่านี้

“ตอนนี้ทุกคนไม่ได้ให้ความสนใจมากพอก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง” นักวิจัย Miles Pomper  บอกกับ scientificamerican.com  “ และนี่คือการพยายามส่งเสียงเตือนเพื่อให้โลกรู้ว่าเรื่องดังกล่าวนั้นมีความอันตรายอย่างร้ายแรง ที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นในอนาคต”

Refernces : https://www.scientificamerican.com