TikTok กับภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดของเจ้าพ่อ Social Network อย่าง Mark Zuckerberg

ในธุรกิจของแพล็ตฟอร์ม Social Network นั้น มีบริการใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย บางรายอยู่รอด บางรายก็ล้มหายตายจาก แต่พี่ใหญ่ที่ดูจะทรงพลัง และ ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก Social Network คงหนีจากใครไปไม่ได้นอกจาก Facebook ของ Mark Zuckerberg นั่นเอง

ต้องบอกว่า Mark Zuckerberg นั้นนำพา Facebook มาไกลเกินกว่าที่จะมีใครจะมาหยุดความร้อนแรงของพวกเขาได้ พวกเขาได้เจอศึกหนักมาหลายๆ ครั้งในการจัดการบริการน้องใหม่ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อมาท้าทายโลกแห่ง Social Network ธุรกิจหลักของพวกเขา

บางรายต้องล้มหายตาย จาก แม้กระทั่งขาใหญ่ยุคเริ่มต้นอย่าง myspace ก็ล้มไม่เป็นท่า แทบจะไม่มีจุดยืนในธุรกิจอย่างที่เราได้เห็นกันในปัจจุบัน

แน่นอนว่า มีหลากหลายกลยุทธ์ที่ Mark ใช้จัดการกับภัยคุกคามเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อกิจการไปเสียเลยอย่างเช่น Instragram ที่พวกเขาได้มาในราคาถูกมาก ๆ เพียงแค่ 1 พันล้านเหรียญเท่านั้น แต่ตอนนี้กลายเป็นบริการที่ยอดนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

หรือการเข้ามาของยักษ์ใหญ่อย่าง Google ที่ได้ส่งบริการ Google plus เข้ามาร่วมแจม ซึ่งในช่วงแรกมีการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะล้ม Facebook ให้ได้ เพราะกำลังเข้ามากัดกินส่วนแบ่งเค้กเม็ดเงินโฆษณาออนไลน์จำนวนมหาศาลที่ Google เคยถือครองอยู่เพียงผู้เดียว

ยักษ์ใหญ่อย่าง Google ก็ยังพ่ายแพ้หมดรูปในตลาด Social Network
ยักษ์ใหญ่อย่าง Google ก็ยังพ่ายแพ้หมดรูปในตลาด Social Network

แต่สุดท้าย Google Plus ก็พบจุดจบเดียวกับบริการอื่น ๆ ที่ไม่สามารถต่อกรกับ Facebook ได้ เพราะดูเหมือน Mark Zuckerberg เองจะเข้าใจความเป็น Social แพล็ตฟอร์มมากกว่าคนอื่นใดในโลกนี้

หรือการเข้ามาคุกคามจาก Snapchat เองก็ตาม ที่ดูเหมือนช่วงแรก ๆ จะถือเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัว แต่ก็เจอกลยุทธ์เด็ด ในการ copy cat ทำบริการเลียนแบบไปเสียเลยในผลิตภัณฑ์อย่าง instragram ก็ทำให้สถานการณ์ของ Snapchat ดูโซซัดโซเซ อย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้

เรียกได้ว่า ใครหน้าไหนเข้ามารุกรานในธุรกิจหลักของ Mark Zuckerberg อย่างธุรกิจ Social Network นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเสียมากกว่า แต่ตอนนี้ ศัตรูตัวฉกาจคนสำคัญกำลังเกิดขึ้น นั่นก็คือ TikTok

ต้องบอกว่ามันคือภัยคุกคามที่อันตรายที่สุด ตั้งแต่การเกิดขึ้นของแพล็ตฟอร์ม Facebook เลยก็ว่าได้ เพราะมันได้กระจายไปอย่างรวดเร็ว รุนแรง และกลายเป็นประแสไปทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ที่หันมาใช้งาน TikTok กันอย่างบ้าคลั่ง

ยิ่งโดยเฉพาะช่วงเหตุการณ์ COVID-19 นั้นดูเหมือน จะทำให้ TikTok แพร่กระจายอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น กลายเป็นกระแส Mass ขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่วัยรุ่นอีกต่อไป มันได้กลายเป็นแพล็ตฟอร์มที่ คนทุกวัยนั้นหันมาสนใจเป็นอย่างมาก

TikTok จากจีน ที่กลายมาเป็นภัยคุกคามครั้งสำคัญของ Facebook
TikTok จากจีน ที่กลายมาเป็นภัยคุกคามครั้งสำคัญของ Facebook

ซึ่งมันคล้ายกับการเกิดขึ้นของ Facebook ที่เริ่มเดิมที ฮิตเฉพาะหมู่วัยรุ่นมหาลัย ก่อนที่จะโอบล้อมไปยังกลุ่มคนวัยอื่น ๆ จนกลายเป็นอันดับหนึ่งของโลกอย่างที่เราได้เห็นในที่สุด

และดูเหมือนกระสุนเม็ดแรกที่ Mark ยิงเข้าไปเพื่อทำลาย TikTok นั้นมันจะไม่ได้ผล เพราะบริการอย่าง Lasso ที่ตั้งใจทำมาเลียนแบบ TikTok โดยตรง ดูเหมือนจะเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ได้ผล และเตรียมปิดบริการในเร็ว ๆ นี้

ส่วนกระสุนเม็ดที่สอง ที่ Mark กำลังใช้โดยย้อนรอยวิธีการเดิม ๆ ในการกำจัด Snapchat นั่นก็คือ ทำการฝัง Features ไว้ในแพล็ตฟอร์มหลักของตัวเองอย่าง Instragram Reels ซึ่งเราก็ต้องมารอดูกันต่อไปว่า กลยุทธ์นี้จะได้ผลอีกครั้งหรือไม่

แต่แน่นอนว่า ตอนนี้ ศึก Social Wars รอบใหม่ได้บังเกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนจะสนุกกว่าครั้งเก่า ๆ ที่ผ่านมา ที่ได้คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวอย่าง TikTok ซึ่งไม่ใช่เป็นของอเมริกา แต่เป็นของประเทศจีน แผ่นดินใหญ่ ซึ่งต้องบอกว่า มันส่งผลต่อเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายทั้งการเมือง สังคม และเรื่องของ Data

ซึ่งหากเหล่าผู้คนไหลเทมาใช้งาน TikTok มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ พลังในการกุม Data ที่มีอิทธิพลของ Facebook ก็เริ่มจะอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ ซึ่งเราก็ต้องมาติดตามกันต่อไปครับว่า ศึกครั้งนี้ใครจะเป็นฝ่ายชนะ ด้วยเดิมพันที่มหาศาล แน่นอนว่า ไม่มีใครที่อยากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอนครับ ในศึกครั้งนี้

Geek Daily EP17 : SkinMarks กับการใช้รอยสักเพื่อแปลงผิวของเราให้กลายเป็นทัชแพด

โครงการรอยสัก SkinMarks คือ การทำให้การโต้ตอบกับเทคโนโลยี ให้รู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติมากขึ้น SkinMarks สามารถใช้กับนิ้วมือหรือชิ้นส่วนของมือที่เราควบคุมด้วยทักษะแบบเบสิก

ซึ่งถือเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ทุกคน ดังนั้นการใช้เซ็นเซอร์ ผ่านการงอนิ้วหรือการบีบกำปั้น จะกลายเป็นแนวคิดใหม่สำหรับส่วนต่อประสานกับเทคโนโลยีต่าง ๆ ในอนาคต

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/39cSlrm

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3eGVpgp

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3eJa1vJ

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/9KOZNKzskHM

References : https://www.cnet.com/features/google-is-quietly-experimenting-with-holographic-glasses-and-smart-tattoos/#ftag=CAD590a51e

Lasso เมื่อกลยุทธ์แรกในการกำจัด TikTok ของ Facebook ประสบความล้มเหลว

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา Facebook มีการเปิดเผยว่ากำลังปิดแอปทดลองสองแอป หนึ่งในนั้นคือการโคลนนิ่ง TikTok ที่มีชื่อว่า Lasso ส่วน แอปอย่าง Hobbi ที่ออกมามาชนกับ Pinterest ก็ประสบกับความล้มเหลวเช่นเดียวกัน

โดยเฉพาะทั้งสองแอปพลิเคชันของ Facebook ที่จะปิดตัวลง , Lasso ที่ทำการโคลน TikTok และ Hobbi ที่ถูกสร้างมาเลียนแบบ Pinterest ทั้งคู่ได้รับการพัฒนาโดยทีมทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Facebook และได้ถูกเปิดตัวภายในไม่กี่ปีที่ผ่านมา 

โดยแอปทั้งสองต่างก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นการเลียนแบบแอปอื่น ๆ แม้กระทั่ง Review เชิงบวกสำหรับ Lasso ก็ถูกนำมาเปรียบเทียบกับ TikTok

แต่แน่นอนว่า เราไม่สามารถตัดสิน Facebook ว่าผิด กับความพยายามที่สูญเปล่าในการเลียนแบบลูกเล่นของแพลตฟอร์มอื่น ๆ เพราะกลยุทธ์นี้มันทำสำเร็จมาแล้ว ในกรณีของ Instagram และ Snapchat ไม่น่าแปลกใจที่ Facebook พยายามทำแบบเดียวกันอีกครั้ง 

TikTok ที่กำลังเข้ามาแย่งส่วนแบ่งผู้ใช้งานคนรุ่นใหม่จาก Facebook
TikTok ที่กำลังเข้ามาแย่งส่วนแบ่งผู้ใช้งานคนรุ่นใหม่จาก Facebook

แต่ Facebook ดูเหมือนจะมีการปรับกลยุทธ์ใหม่ โดยทุ่มเททรัพยากรไปใช้ใน Instagram แทน ตาม TikTok คู่แข่งสำคัญ โดยกลยุทธ์ใหม่ของ Facebook จะไม่ใช่แอปแยกต่างหากอีกต่อไป แต่จะสร้างคุณสมบัติใหม่ภายใน Instagram ที่อนุญาตให้ผู้ใช้ถ่ายทำวิดีโอรูปแบบสั้น ๆ ที่กำหนดให้เป็นเพลงได้ 

ซึ่ง Facebook ไม่ได้เป็นเพียงแพลตฟอร์มเดียวที่มองว่า TikTok กำลังเป็นภัยคุกคาม YouTube กำลังเปิดตัวคุณลักษณะที่คล้ายกันในความพยายามอย่างโจ่งแจ้งเพื่อดึงดูดผู้ใช้งานของ TikTok

ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยีหลายคนรวมถึง Sheryl Sandberg COO ของ Facebook แสดงความไม่ชอบ TikTok และ บริษัทแม่อย่าง Bytedance เป็นอย่างมาก

ในขณะที่พวกเขาหลายคนพยายามที่จะสร้างภาพความน่ากลัวในเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ สำหรับแอป ที่มีบริษัทแม่อยู่ในประเทศจีน

Sandberg  ให้สัมภาษณ์ในสิ่งที่น่าจะเป็นแหล่งที่มาของความเป็นศัตรูที่แท้จริงกับ TikTok ว่า การเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วของ TikTok ทำให้คนรุ่นใหม่ถูกดึงดูดไปใช้งานแพล็ตฟอร์มใหม่นี้ Sandberg ยอมรับว่าลูก ๆ ของเธอยังเป็นผู้ใช้ TikTok คนสำคัญอีกด้วย

Sandberg COO ของ Facebook ที่ไม่ชอบใจ TikTok
Sandberg COO ของ Facebook ที่ไม่ชอบใจ TikTok

ในขณะที่รัฐบาลทั่วโลกเริ่มที่จะออกมาปราบปรามแอป TikTok โดยแอปถูกแบนในอินเดียในขณะที่ TikTok นั้นถูกกล่าวหาว่าอยู่ภายใต้การตรวจสอบความปลอดภัยจากองค์กรของรัฐในประเทศสหรัฐอเมริกา 

แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะประทับใจกับแอป TikTok ที่คุ้นเคยแทนที่จะต้องใช้แอปแยกต่างหาก และสถานการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนว่า TikTok  ได้กลายเป็นแอป Social หลักสำหรับคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่ไม่สนใจ คุณลักษณะใหม่ของ Instagram อีกต่อไปแล้วนั่นเอง

โดย ทั้ง Lasso และ Hobbi เป็นความล้มเหลวอีกครั้งหนึ่งของ Facebook ซึ่งจะทำการปิดตัวลงในวันที่ 10 กรกฎาคม และดูเหมือนว่า ศึกชิง Social War ครั้งใหม่กำลังเริ่มขึ้นแล้ว เราก็ต้องคอยมาดูกันว่า เมื่อ TikTok เริ่มไปกระตุกหนวดเสือ พี่ใหญ่อย่าง Facebook และ Google พวกเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง จะจบไม่สวยแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นกับ Snapchat หรือไม่ โปรดติดตามกันต่อไปครับ

References : https://techcrunch.com/2020/07/01/lasso-facebook-tiktok-shut-down/
https://www.theverge.com/2020/7/2/21311077/facebook-lasso-shutting-down-tiktok-short-form-video-hobbi
https://www.digitalinformationworld.com/2020/05/facebook-tests-lasso-camera-within-the-main-app.html

Copycat กับกลยุทธ์ง่าย ๆที่ Facebook ใช้จัดการกับภัยคุกคามที่มาจาก Snapchat

Mark Zuckerberg ตระหนักดีถึงภัยคุกคามที่อาจทำให้ Facebook ถึงคราวล่มสลายได้จากบริการ Social Network ดาวรุ่งอื่น ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้เข้าซื้อ Startup ยอดนิยมเช่น Instagram, WhatsApp  เพื่อไม่ให้กลายมาเป็นภัยคุกคามกับบริการหลักอย่าง Facebook ของเขาในอนาคต

แต่วิธีการนั้นใช้ไม่ได้กับ Snapchat เมื่อ Facebook พยายามซื้อในปี 2013 แต่ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Snapchat อย่าง Evan Spiegel ได้ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 3 พันล้านเหรียญ 

สำหรับ Zuckerberg นั้น Snapchat กลายเป็นเด็กดื้อ ที่ไม่ยอมเชื่อฟังพวกเขาแต่โดยดี และที่สำคัญ Snapchat ก็ยังคงเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ดึงดูดผู้ใช้มากขึ้นและที่สำคัญยังพยายามเข้ามาแย่งส่วนแบ่งของบริการรูปภาพและวิดีโอที่ผู้ใช้โพสต์ไปยัง Facebook หรือ Instagram อีกด้วย

Evan Spiegel CEO ของ Snapchat ปฏิเสธการเข้าซื้อของ Mark Zuckerberg
Evan Spiegel CEO ของ Snapchat ปฏิเสธการเข้าซื้อของ Mark Zuckerberg

Snapchat พิสูจน์แล้วว่ามีตลาดขนาดใหญ่สำหรับวิธีการของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับความพยายามที่ล้มเหลวในการซื้อ Snapchat ของ Zuckerberg และนั่นทำให้ Zuckerberg พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อโจมตีภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของ Facebook ในหลาย ๆ ด้านทันที

Facebook คัดลอกฟีเจอร์ Story ของ Snapchat ซึ่งให้ผู้ใช้โพสต์ภาพสไลด์และวิดีโอสไลด์ที่หายไปหลังจาก 24 ชั่วโมง ในแอพ Facebook, Messenger, WhatsApp และ Instagram  

ไม่เพียงเท่านั้น Facebook ยังเพิ่มตัวเลือกการส่งข้อความที่ไม่ถาวรซึ่งเป็นการเลียนแบบมากจาก Snapchat โดยตรง ให้กับบริการทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น Instagram และ Messenger และเริ่มทำการทดสอบ Filter ใบหน้าที่คล้ายคลึงกันกับเลนส์ของ Snapchat

ในช่วงกีฬาโอลิมปิก ในประเทศบราซิลและแคนาดา ผู้ใช้ที่เปิดแอป Facebook ของพวกเขาจะเห็นหน้าต่างกล้องเปิดขึ้นซึ่งคล้ายกับ Snapchat ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาใช้สีใบหน้าแบบบราซิลหรือแคนาดาเพื่อให้กำลังใจประเทศของพวกเขาในการเชียร์กีฬาโอลิมปิก  พวกเขายังสามารถเพิ่มตัวบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์บนภาพถ่ายที่กล่าวว่า “ทีมแคนาดา” และ “ทีมบราซิล” ได้อีกด้วย

นี่คือสงคราม Copycat อย่างแท้จริง ด้วยการใช้คุณสมบัติทั้งหมดของ Snapchat ในส่วนต่าง ๆ ของอาณาจักร Facebook และ Instagram และแน่นอนว่ามันส่งผลให้การเติบโตของ Snapchat ช้าลงทันที ผู้คนหลายร้อยล้านคนใช้ Facebook และ Instagram แทนที่ Snapchat เพราะมันทำทุกอย่างได้เหมือนกัน

ตลอดสิ้นปี 2016 และต้นปี 2017 มีการแสดงความคิดเห็น และจำนวนการ View บน Instagram Stories มากกว่าใน Snapchat Stories 

ในช่วงดังกล่าว Instagram มีผู้ใช้งานมากกว่า 700 ล้านรายต่อวันเปรียบเทียบกับ Snapchat เพียงแค่ 166 ล้านคนและผู้ใช้ส่วนใหญ่มีเพื่อนและผู้ติดตามบน Instagram มากกว่าบน Snapchat 

Story ได้กลายมาเป็น Features สุดฮิตบน Instragram
Story ได้กลายมาเป็น Features สุดฮิตบน Instragram

ด้วย Features Story ที่เพิ่มเข้ามา มันได้สร้างความตื่นเต้นที่ได้เห็นว่ามีคนกี่คนกำลังเฝ้าดู Story ของผู้ใช้งานแต่ละคน Zuckerberg ต้องขอบคุณ Snapchat ที่ได้สร้าง Features ดี ๆ แบบนี้ออกมา และมันกำลังแพร่กระจายผ่านฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่ของ Instagram ในท้ายที่สุด

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งบทเรียนทางธุรกิจที่น่าสนใจมาก ๆ ในเรื่องนี้ ที่ Facebook พยายามคัดลอก Snapchat หลายครั้ง เพราะความล้มเหลวในการเข้าซื้อกิจการ Snapchat มันไม่สำคัญอีกต่อไป พวกเขามองเพียงแค่ความสำเร็จเท่านั้น และสุดท้ายพวกเขาก็ชนะในเกมครั้งนี้นั่นเองครับ

–> อ่าน Blog Series ประวัติ Mark Zuckerberg
ตอนที่ 1 : Facemash (The Beginning)

References : https://thenextweb.com/socialmedia/2018/05/21/facebook-is-killing-snapchat-with-the-format-it-created/
https://www.wired.com/story/copycat-how-facebook-tried-to-squash-snapchat/
https://www.businessinsider.com/how-developer-mark-zuckerberg-invented-instagram-stories-copied-snapchat-2020-4

Quora บริการถาม-ตอบหมื่นล้าน ที่แสวงหาคำตอบจากคนที่รู้จริง

Quora ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 โดย Adam D’Angelo อดีต CTO ของ Facebook และ Charlie Cheever อดีตพนักงาน Facebook  แม้ว่า Quora จะเปิดตัวในปี 2009 เว็บไซต์นี้ได้เผยแพร่สู่สาธารณะในเดือนมิถุนายน 2010 Quora เป็นแพลตฟอร์มตอบคำถามที่ให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการถามคำถาม และแสวงหาคำตอบจากคนที่รู้จริง

ยิ่งไปกว่านั้นแพลตฟอร์มตอบคำถามช่วยให้ผู้ใช้สามารถตั้งคำถามสาธารณะหรือผ่านทางตัวตนแบบนิรนาม ซึ่งผู้ใช้ยังสามารถทำงานร่วมกันใน Quora ได้โดยแก้ไขคำถามแนะนำการแก้ไขคำตอบบนแพลตฟอร์มที่โพสต์โดยผู้ใช้รายอื่น

Adam D’Angelo ผู้ก่อตั้ง Quora และ CEO ของ Facebook, Mark Zuckerberg นั้นเป็นเพื่อนในโรงเรียนเดียวกัน โดยทั้งคู่เคยเรียนด้วยกันที่ Phillips Exeter Academy ใน New Hampshire 

ต่อมาเขาได้รับปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย ตั้งแต่ทั้ง Mark และ Adam ได้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่อย่าง Facebook และในปี 2004 Zuckerberg ได้แต่งตั้งให้ Adam ดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายวิศวกรรมของ Facebook ในช่วงเริ่มต้น 

ต่อมาในปี 2008 Adam ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) ที่ Facebook เขาทำงานเป็น CTO ของ Facebook เป็นเวลาเกือบสองปีซึ่งเขาเป็นผู้นำการพัฒนาทีม Data และขยายแพลตฟอร์ม Facebook เขายังดูแลการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่รวมถึงสถาปัตยกรรมของเว็บไซต์ Facebook ในยุคแรก ๆ

เมื่อพูดถึง Charlie  ในปี 2006 เขาได้รับอีเมลจาก Facebook ที่เสนองานตำแหน่งผู้จัดการวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เริ่มแรกเขาไม่สนใจอีเมลดังกล่าว และไม่ได้คิดถึงโอกาสมากนัก แต่ต่อมาเขาเปลี่ยนใจและยอมรับข้อเสนอที่ยื่นให้เขา โดยก่อนที่จะเข้าร่วม Facebook Charlie ทำงานให้กับ Amazon มาแล้วในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

Adam ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้าง Quora เพราะเขามีความเห็นว่าคำถามและคำตอบเป็นหนึ่งในพื้นที่บนอินเทอร์เน็ตที่ยังไม่ดีมากพอ เขาคิดว่ามีหลายเว็บไซต์ที่มีคำถาม & คำตอบ แต่ไม่มีใครคิดริเริ่มที่จะมาพร้อมกับสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเหล่าผู้ที่ต้องการหาคำตอบที่แท้จริง

ดังนั้นมันเป็นความคิดของเขาที่เขาแบ่งปันกับ Charlie ขณะทำงานที่ Facebook และเชื่อมโยงกับความคิดในภายหลังทันที ทั้ง Adam และ Charlie ยังคงทำงานที่ Facebook และพวกเขาแลกเปลี่ยนความคิดและแผนการจัดตั้ง บริษัท ที่จะทำให้ผู้คนแบ่งปันความคิดความรู้และความคิดเห็นของพวกเขาได้ง่ายขึ้น

ต่อมาในปี 2008 ทั้งคู่ตัดสินใจออกจาก Facebook เพื่อดำเนินการตามความคิดและสร้าง Startup ตามความฝันของพวกเขาทั้งสอง โดยพวกเขามาพร้อมกับชื่อ ‘Quora’ ซึ่งมาจากคำว่า Quorum ซึ่งความหมายคือ การให้กับกลุ่มคนที่มารวมตัวกันเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน 

Adam D'Angelo ลาออกจาก Facebook เพื่อทำตามความฝันของตัวเอง
Adam D’Angelo ลาออกจาก Facebook เพื่อทำตามความฝันของตัวเอง

โดย Quora ได้เปิดตัวในปี 2009 และใช้เวลาเกือบหนึ่งปีสำหรับผู้ก่อตั้งในการพัฒนา บริการ และในที่สุดบริการ คำถาม & คำตอบอย่าง Quora ก็ได้ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะในปี 2010

ในช่วงวันแรก ๆ Quora ถูกเปรียบเทียบกับเครื่องมือการค้นหาของ Google อย่างไรก็ตามในขณะที่ผู้คนใช้แพลตฟอร์มพวกเขาค้นพบความแตกต่างระหว่างทั้งสองแพลตฟอร์ม Google เป็นแพลตฟอร์มที่เน้นอัลกอริธึม ในขณะที่ Quora ได้รับเนื้อหาจากความรู้ที่แบ่งปันโดยผู้คนบนแพลตฟอร์มจากผู้ที่รู้จริง

หลังจาก Quora ได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะในเวลาไม่นานเว็บไซต์ก็สร้างความฮือฮาใน Silicon Valley เหล่าเพื่อน ๆ ของผู้ก่อตั้งรวมถึงกลุ่มคนใน Silicon Valley เริ่มที่จะมีการเชิญกันให้มาใช้ Quora ซึ่งทำให้ฐานผู้ใช้ของ Quora เติบโตขึ้น เนื่องจากเนื้อหาบนแพลตฟอร์มดูเหมือนว่ามีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ 

ความนิยมของแพลตฟอร์มคำถามและคำตอบเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งในช่วงเวลาสั้น ๆ ของการก่อตั้งและมีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนแล้ว 500,000 ราย ภายในเดือนมกราคม 2011

ในปีต่อมา Charlie ก็ก้าวออกจากบริษัท อย่างไรก็ตามเขาตัดสินใจที่จะดำรงตำแหน่งต่อในฐานะที่ปรึกษา หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจคือ Adam มีความมั่นใจมากเกี่ยวกับความคิดของเขาว่าเขาลงทุนเงินของตัวเองในบริษัท ในช่วงระดมทุนรอบ Series B หลังจากการลงทุนเขาได้g-เข้ามาควบคุมเสียงส่วนใหญ่ในกรรมการบริษัท เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งต่าง ๆ จะทำงานตามแนวทางของเขา

หลังจากความสำเร็จ Quora ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มบล็อกในปี 2013 เพื่อให้ผู้ใช้โพสต์เนื้อหาที่ไม่ใช่การถามตอบ เช่น รูปภาพ และอื่น ๆ จากโปรไฟล์ของพวกเขา ในเดือนเมษายน 2014 Quora สามารถระดมทุนได้ 80 ล้านดอลลาร์จาก Tiger Global Management นอกจากนี้ยังได้เข้าซื้อ Parlio เว็บไซต์ถามตอบออนไลน์ที่สร้างโดย Wael Ghonim ในเดือนมีนาคม 2016

เมื่อเวลาผ่านไป Quora ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในแต่ละปีที่ผ่านมา Quora ได้รับเงินทุนจากอีกหลายแหล่ง เพื่อขยายการดำเนินงานและเร่งการเติบโต Quora ได้รับเงินทุน 85 ล้านดอลลาร์ใน Series D ทำให้มูลค่าบริษัทพุ่งสูงขึ้นถึง 1.8 พันล้านดอลลาร์ ด้วยเงินทุนที่ได้รับจาก Collaborative Fund และ Y Combinator

จากการระดมทุนในซีรี่ส์ D จาก 85 ล้านดอลลาร์ Quora ทำให้ Quora อยู่ในอันดับต้น ๆ ของ Unicorn Startup ด้วยการประเมินมูลค่าของบริษัทสูงถึง 1.8 พันล้านดอลลาร์  ซึ่งการเติบโตอย่างต่อเนื่องของ Quora ทำให้พวกเขาสามารถเสนอขายหุ้น IPO ได้ในอนาคต อย่างไรก็ Quora จำเป็นต้องสร้างรายได้เพียงพอเพื่อรักษาการดำเนินงานและรักษาอัตราการเติบโต

Quora เป็นเพียงพอร์ทัลคำถามและคำตอบที่เนื้อหาได้รับการดูแลโดยผู้ใช้บนแพลตฟอร์มและเนื้อหาได้รับการจัดการโดยบริษัท จุดเด่นของ Quora นั้นมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาฐานความรู้คุณภาพสูงที่ยังคงมีประโยชน์อย่างมากในระยะยาว

เพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อหาใน Quora ยังคงมีประโยชน์ บริษัทได้เพิ่มคุณสมบัติใหม่ ๆ เช่นคำถามที่ถูกการอ้างอิงแบบ wikidata เป็นต้น คุณสมบัติ เช่น wikidata ได้ถูกนำเสนอบนแพลตฟอร์มเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ และเพิ่มอัตราการเข้าชมเว็บไซต์ให้มากขึ้น นอกจากนี้ Quora ก็ไม่ได้ขอให้ผู้ใช้ลงทะเบียนกับแพลตฟอร์มของตนซึ่งจะทำให้การใช้เว็บไซต์ง่ายขึ้น

Quora เติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใช้งาน
Quora เติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใช้งาน

อย่างไรก็ตามรูปแบบรายได้ที่ Quora คิดนั้น พื้นฐาน คือ การสร้างรายได้จากโฆษณาที่วางบนแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ Quora สามารถรวมโฆษณาไว้ในรูปแบบที่สามารถสร้างรายได้ที่ดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับโฆษณาอื่น ๆ

เนื่องจากให้โฆษณาที่เกี่ยวข้องที่สำคัญจากผู้โฆษณาที่เกี่ยวข้อง โฆษณาจะถูกรวมอยู่ในรูปแบบ ที่มีลักษณะที่สวยงามที่ โฆษณามักจะปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มแบบเนียนตามากกว่าโฆษณาแบบอื่น ๆ บนโลกออนไลน์

นอกจากนี้ Quora มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอัตราการเติบโต 3 หลักและการประเมินมูลค่าของ บริษัท อยู่ที่ 1.8 พันล้านเหรียญ วัตถุประสงค์ของ Quora ยังคงเหมือนเดิมจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็คือการสร้างฐานข้อมูลที่มีคุณภาพสูงของคำตอบสำหรับคำถามที่ถูกถามโดยเหล่าผู้คนหลายล้านคนจากทั่วโลกบนแพลตฟอร์ม Quora

Quora ได้เปิดให้บริการในภาษาเยอรมันและอิตาลีซึ่งให้ความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ภายในสิ้นเดือนเมษายน 2018 Quora เปิดตัวสิ่งอำนวยความสะดวกในการตอบวิดีโอซึ่งทำให้แพลตฟอร์มนี้เข้าถึงได้สำหรับผู้ที่ก่อนหน้านี้พบว่าเป็นการยากที่จะพิมพ์คำตอบเนื่องจากความพิการบางประเภทหรืออื่น ๆ

เดือนมกราคม 2019 Quora ได้เพิ่มการขยายให้สนับสนุนภาษาอื่น ๆ เช่น ดัทช์ เดนมาร์กฟินแลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน มาราธี เบงกาลี และทมิฬ สิ่งนี้ทำให้แพลตฟอร์มสามารถเข้าถึงได้ในส่วนต่างๆของโลกจึงก่อให้เกิดความนิยมที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

วิวัฒนาการของ Quora แสดงให้เห็นว่าความคิดที่อยากรู้อยากเห็นสามารถกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์และเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนได้อย่างไร วันนี้มันเป็นหนึ่งในเว็บไซต์ที่น่าสนใจและมีประโยชน์มากที่สุดบนอินเทอร์เน็ตซึ่งไม่เพียง แต่สร้างรายได้เท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มคุณค่าที่สำคัญให้กับชีวิตประจำวันของมนุษย์เราได้อีกด้วย

References : https://en.wikipedia.org/wiki/Quora
https://www.quora.com/What-is-the-story-of-Quora
https://www.startupstories.in/stories/inspirational-stories/what-is-quora
https://www.vox.com/recode/2019/5/16/18627157/quora-value-billion-question-answer
https://dailyhive.com/vancouver/quora-vancouver-office