ต้องบอกว่าเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เมื่อบ้านใหม่จำนวนหนึ่งทั่วทั้งแคลิฟอร์เนียขายดีเป็นเทน้ำเทท่าในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา และมีลูกค้ารอใน list กว่าอีก 1,000 ราย ที่อยากเป็นเจ้าของบ้านของบริษัทที่มีชื่อว่า Palari Homes
ในขณะที่บ้านที่ใช้เทคโนโลยีเก่า ๆ อย่างการก่อสร้างด้วยอิฐและปูน นั้นอาจจะต้องใช้เวลานานมากกว่าจะสร้างบ้านขึ้นมาได้ซัก 1 หลัง
แต่ Palari Homes สามารถสามารถสร้างบ้าน 1 หลังได้ภายใน 24 ชม.เพียงเท่านั้น พวกเขาสามารถทำมันได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของพวกเขาประกอบขึ้นโดยการพิมพ์มันออกมา ผ่านเทคโนโลยี 3D Printing
ต้องบอกว่าเทคโนโลยี 3D Printing ในการนำมาสร้างส่วนประกอบต่าง ๆ ของบ้านนั้น ไม่เพียงแต่ช่วยให้ใช้งานได้หลากหลายขึ้นเพียงเท่านั้น แต่มันยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ซึ่งนั่นเป็นคำตอบที่เป็นประโยชน์ สำหรับความท้าทายสองประการที่โลกเรากำลังเผชิญอยู่ : ทั้งเรื่องการขาดแคลนที่อยู่อาศัย และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังวิกฤติอย่างหนักในปัจจุบัน
มีข้อมูลที่น่าสนใจคือ ผู้คนประมาณ 1.6 พันล้านคนทั่วโลก หรือ มากกว่า 20% ของประชากรโลกเรา ไม่มีแม้กระทั่งที่พักอาศัยเป็นของตัวเอง
ที่สำคัญอุตสาหกรรมก่อสร้าง มีส่วนสำคัญต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ที่มนุษย์สร้างขึ้นสูงถึง 11% ของทั้งหมด และมันก็กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งระบบอัตโนมัติที่ Palari Homes ใช้นั้น สามารถประหยัดต้นทุนได้เป็นอย่างมาก การใช้เทคโนโลยี 3D Printing ใน 80% ของกระบวนการพิมพ์ทั้งหมด หมายความว่าบริษัทต้องการเพียงแค่ 5% ของแรงงานเท่านั้น นอกจากนี้พวกเขายังเพิ่มความเร็วในการผลิตเป็นสองเท่าได้อีกด้วย
ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นสำเร็จรูปของ Palari Homes นั้น บริษัทสามารถลดปริมาณการขนส่งด้วยรถบรรทุกที่เกี่ยวข้องกับการสร้างบ้าน ซึ่งสามารถลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาได้ถึงสองตันเลยทีเดียว
อีกข้อมูลที่น่าสนใจจาก McKinsey บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลก ได้กล่าวถึงอุตสาหกรรมก่อสร้างว่า เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่การ transform ไปสู่ยุคดิจิทัลนั้นยังช้ากว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ เป็นอย่างมาก
อุตสาหกรรมนี้ยังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะในหลายพื้นที่ และคาดว่าสถานการณ์จะแย่ลงไปอีก ตัวอย่างเช่นในอเมริกา ราว 40% ของผู้ที่ทำงานด้านก่อสร้าง คาดว่าจะเกษียณอายุภายในหนึ่งทศวรรษข้างหน้า
ซึ่งโครงการที่คล้าย ๆ กับ Palari Homes นั้นตอนนี้เริ่มกลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่เกิดขึ้นทั่วโลก 14Trees ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Holcim ผู้ผลิตซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกและ CDC Group ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการเงินเพื่อการพัฒนาของรัฐบาลของอังกฤษ ที่ดำเนินการในประเทศมาลาวี
โดย 14Trees สามารถพิมพ์บ้านได้ภายในเวลาเพียงแค่ 12 ชั่วโมง โดยมีราคาขายไม่ถึง 10,000 ดอลลาร์ นอกจากราคาถูกและสร้างได้รวดเร็วแล้วนั้น ยังช่วยลดมลพิษที่เกิดขึ้นในการก่อสร้างไปได้มากอีกด้วย
ด้วยเทคโนโลยี 3D Printing การเติมซีเมนต์ในปริมาณที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ จึงสามารถลดของเสียลง ซึ่ง 3D Printing จะสร้างคาร์บอนไดออไซต์เพียงแค่ 30% เมื่อเทียบกับการใช้อิฐดินเผา ซึ่งเป็นเทคนิคทั่วไปที่ใช้กันอยู่ในประเทศมาลาวี
และดูเหมือนอนาคตของวงการนี้จะดูสดใส ในปีที่แล้ว แผนสำหรับอาคารอพาร์ตเมนต์ที่ใช้เทคโนโลยี 3D Printing ได้รับการอนุมัติในประเทศเยอรมนี
โครงสร้างอพาร์ตเมนต์ 3 ชั้น ซึ่งประกอบโดย Peri บริษัทก่อสร้างสัญชาติเยอรมนี จากชิ้นส่วนที่ผลิตโดยใช้เครื่องพิมพ์ที่พัฒนาโดย Cobod บริษัทสัญชาติเดนมาร์ก
การใช้เทคโนโลยีนี้ ยังขยายตัวไปในตะวันออกกลางและเอเชีย รัฐบาลดูไบ ต้องการให้อาคารใหม่ในประเทศใช้เทคโนโลยี 3D Printing ภายในปี 2030
ซาอุดิอาระเบีย ต้องการใช้ 3D Printing เพื่อสร้างบ้าน 1.5 ล้านหลังในทศวรรษหน้า และกระทรวงการเคหะและกิจการเมืองของอินเดียวต้องการใช้เทคโนโลยีเดียวกัน เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนที่อยู่อาศัยของประเทศ
โดยเทคโนโลยี 3D Printing มีแนวโน้มที่จะขยายไปไกลกว่าที่อยู่อาศัย ทั้งในคลังสินค้า สำนักงาน และอาคารพาณิชย์อื่น ๆ หรือแม้กระทั่ง NASA เอง ก็มีแผนใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อสร้างแผ่นลงจอด ที่พัก และถนนบนดาวอังคารและดวงจันทร์
ซึ่งแน่นอนว่า เทรนด์ของโลกเรากำลังดำเนินไปในทิศทางดังกล่าว เนื่องจากหลาย ๆ ปัญหาอย่างที่กล่าวมา ทั้งการขาดแคลนแรงงาน ปัญหามลพิษ ต้นทุน ความล่าช้าของการผลิต ทุกสิ่งทุกอย่าง มันกำลังก้าวไปถึงจุด Disrupt ธุรกิจเดิม ที่คล้าย ๆ กับที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมอื่นที่ได้ transform ไปสู่ยุคดิจิทัลได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยนั่นเองครับผม
References :
https://www.cdcgroup.com/en/news-insight/news/14trees-pioneers-3d-printing-technology-in-africa-for-affordable-housing-and-schools/
https://www.economist.com/science-and-technology/the-rise-of-3d-printed-houses/21803667