ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 6 : The Outsider

แม้ว่าในตอนแรกนั้น มัสก์ ยังไม่มั่นใจนักว่าจะได้ทำงานในเรื่องที่สนใจ อย่าง อินเตอร์เน็ต , พลังงานที่ยั่งยืน หรือ เรื่องการสำรวจอวกาศ ซึ่งล้วนจะมีอิทธิพลอย่างสูงต่ออนาคตของมนุษยชาติ ซึ่งตัวเขาเชื่อว่าทั้งสามสิ่งเหล่านี้ จะทำให้โลกมีความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น หากเขาได้ทำงาน หรือ สร้างธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทั้งสามเรื่องดังกล่าว

ในช่วงที่เขากำลังศึกษาในระดับ มหาลัยนั้น มัสก์ เริ่มที่จะสนใจ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยไฟฟ้า ซึ่งไม่ต้องพึ่งพาพลังงานที่กำลังจะหมดโลกอย่างน้ำมัน ความสนใจของเขามุ่งไปที่การที่จะสร้างแบตเตอรี่ เพื่อใช้ขับเคลื่อนยานพาหนะเหล่านี้

ซึ่งในปี 1995 ได้ทุนการศึกษาเข้าเรียนระดับ PhD ในสาขา materials science & applied physics ที่ Stanford University งานธีสิส ของเขานั้นเป็นไอเดียเกี่ยวกับการสร้างแหล่งพลังงานแบตเตอรี่รูปแบบใหม่ให้กับเหล่ายานพาหนะที่ถูกขับเคลื่อนโดยไฟฟ้านั่นเอง

สำหรับดีกรี PhD ที่จะได้มาหลังเรียนจบนั้นมัสก์ไม่ได้สนใจมันนัก แต่เขาสนใจผลจากงานวิจัยชิ้นนี้มากกว่า เป้าหมายของเขาต้องการที่จะทดแทนแบตเตอรี่รูปแบบเดิมๆ  ด้วยแบตเตอรี่รูปแบบใหม่ที่เขาได้วิจัยขึ้น ซึ่งจะทำให้มันสามารถที่จะชาร์จได้อย่างรวดเร็วที่สุดแบบที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

มัสก์ ได้ทุนเรียนต่อ PhD ที่ Stanford University
มัสก์ ได้ทุนเรียนต่อ PhD ที่ Stanford University

และมันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ อินเตอร์เน็ต กำลังเติบโตแบบสุดขีด มันทำให้มัสก์ ต้องเลือกทางเดินของชีวิตอีกครั้ง ว่าจะอยู่เรียนระดับ PhD เพื่อทำงานวิจัยให้สำเร็จ และเฝ้ามอง อินเตอร์เน็ตที่กำลังจะเปลี่ยนโลกใบนี้อยู่เฉย ๆ หรือ ออกมาทำความฝันอีกอย่างหนึ่งของเขาในโลกอินเตอร์เน็ตแล้วค่อยกลับมาเรียนต่อที่ Stanford

และเมื่อเขาได้วิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วนั้น เขาก็เลือก อินเตอร์เน็ตก่อน เขาลาออกจากการเรียน PhD ที่ Stanford เพราะดูแล้วว่าการทำความฝันทางด้านอินเตอร์เน็ตนั้นน่าจะบรรลุเป้าหมายได้เร็วกว่าต้องเรียน PhD ที่อีกหลายปีกว่าจะเรียนจบ

ซึ่งตอนนั้นหลาย ๆ คนมองว่าความคิดของเขาเป็นความคิดที่บ้าน่าดู เพราะเขาได้รับทุนที่ stanford และมีเส้นทางที่สดใสสำหรับการเรียนที่ stanford ที่ทุกคนต่างอิจฉา 

เขาต้องเริ่มหางานที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตทันที แต่ปัญหาใหญ่ คือ เขาแทบจะไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ที่เป็นรูปธรรมมาก่อนเลย แม้เขาจะเป็นอัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์คนหนึ่ง ที่เคยสร้างเกมส์ที่ประสบความสำเร็จมามากมายแล้วก็ตามที

ในขณะนั้น Web Browser ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่คือ NetScape ซึ่งครองส่วนแบ่งได้ถึง 90% แต่เพียงแค่ปีให้หลัง ก็ถูก Microsoft แย่งชิงตลาดไปจนเกือบหมด ด้วยกลยุทธ์ขายพ่วง Windows และแจก Internet Explorer ให้ใช้กันฟรี ๆ 

มัสก์นั้นเคยสมัครไปทำงานกับ NetScape แต่ก็ถูกปฏิเสธ เขาต้องการทำงานกับบริษัทที่สร้างเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลก และ เมื่อเขาไม่สามารถเข้าไปทำงานกับบริษัทอินเตอร์เน็ตเหล่านี้ได้ อีกทางเลือกหนึ่งคือเขาต้องสร้างบริษัทขึ้นมาเอง

มัสก์ ถูกปฏิเสธ การทำงานกับ NetScape จนต้องคิดมาสร้างบริษัทตัวเอง
มัสก์ ถูกปฏิเสธ การทำงานกับ NetScape จนต้องคิดมาสร้างบริษัทตัวเอง

มัสก์ นั้นฉุกคิดถึงเรื่องธุรกิจอินเตอร์เน็ตได้จาก ในวันหนึ่งเขาได้พบกับพนักงานขายของเยลโลว์เพจเจส ซึ่งพนักงานขายคนนั้นได้นำเสนอเรื่องการทำบัญชีรายชื่อออนไลน์เพื่อพัฒนารายชื่อแบบดั้งเดิม ที่ปรกติก็คือสมุดหน้าเหลือเหล่าหนาเต๊อะ ให้มาอยู่ในอินเตอร์เน็ต

และ ไอเดียนี้ นี่เองที่ทำให้มัสก์นั้นได้ไปคุยกับ คิมบัล น้องชายของเขา และได้พูดถึงไอเดียแนวคิดที่จะช่วยธุรกิจต่าง ๆ ให้สามารถก้าวสู่โลกออนไลน์ได้เป็นครั้งแรก ซึ่งในปี 1995 สองพี่น้องก็ได้เริ่มก่อตั้ง Global Link Information Network บริษัทสตาร์ทอัพ ที่สุดท้ายได้กลายร่างมาเป็นบริษัท Zip2 

สองพี่น้องมาร่วมกันตั้ง Zip2
สองพี่น้องมาร่วมกันตั้ง Zip2

ในตอนนั้น มีธุรกิจขนาดเล็กเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ที่เข้าใจอิทธิพลของอินเตอร์เน็ตที่มีต่อธุรกิจพวกเขาเหล่านี้ ยังมีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากอินเตอร์เน็ตได้อย่างไร มัสก์ กับน้องชาย นั้นมีแนวคิดที่จะโน้มน้าว ร้านอาหาร ร้ายขายเสื้อผ้า ร้านทำผม และร้านที่เป็นธุรกิจขนาดย่อมอื่น ๆ และพาพวกเขาเหล่านี้ขึ้นสู่ระบบอินเตอร์เน็ต

สองพี่น้องมัสก์ และ คิมบัล ได้ให้กำเนิด Zip2 ขึ้นใน พาโล แอลโต พวกเขาได้เช่าสำนักงานขนาดเล็กเท่าอพาร์ตเมนต์แบบสตูดิโอ ขนาด กว้าง 20 ฟุต คูณ 30 ฟุต มันเป็น ออฟฟิสขนาดเล็ก ๆ เพื่อให้พวกเขาได้เริ่มธุรกิจกันได้เท่านั้น

ช่วงแรกนั้น มัสก์ ที่มีพื้นฐานด้านโปรแกรมมิ่งมาจากการเขียนเกมส์มาก่อน เป็นคนเขียนโค้ดหลักทั้งหมดด้วยตัวเขาเอง เขาได้ซื้อฐานข้อมูลธุรกิจในเขตเบย์แอเรียมาได้ ในราคาไม่แพงนัก ซึ่งจะมีการรวบรวมรายชื่อที่อยู่และธุรกิจต่าง ๆ เพื่อมาเป็นฐานข้อมูลตั้งต้นของ Zip2

ส่วนเรื่องของแผนที่นั้น มัสก์ ได้ไปเจรจากับ บริษัท Navteq บริษัทด้านแผนที่ในอุปกรณ์นำทางแบบจีพีเอสในยุคแรก ๆ มัสก์ได้ใช้เทคนิคเจรจาจนได้เทคโนโลยีมาใช้แบบฟรี ๆ ซึ่งเหล่าวิศวกรของ Zip2 ก็ได้เพิ่มข้อมูลฐานข้อมูลและเชื่อมกับแผนที่ ที่ได้จาก Navteq ให้กลายเป็นระบบพื้นฐานและเปิดใช้งานให้ได้อย่างเร็วที่สุด

Navteq บริการด้านแผนที่ชื่อดังในขณะนั้น
Navteq บริการด้านแผนที่ชื่อดังในขณะนั้น

แม้ Zip2 นั้นจะเป็นกิจการอินเตอร์เน็ตที่น่าจะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ในยุคบูมสุดขีดของ อินเตอร์เน็ต แต่การที่จะจูงใจให้เหล่าธุรกิจต่าง ๆ มาเข้าร่วมนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยทีเดียว มัสก์ ต้องทำการจ้างทีมเซลล์ เพื่อไปเคาะประตูขายไอเดียดังกล่าวให้ธุรกิจขนาดเล็กที่เป็นลูกค้าเป้าหมายของเขาถึงหน้าบ้าน

มัสก์ ทำงานอย่างหนักจนแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ  เขาแทบจะใช้ชีวิตอยู่ในออฟฟิส นอน กิน ทำงาน ทุกอย่างอยู่ภายในออฟฟิส มันทำให้ Zip2 พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเปลี่ยนจากแค่การพิสูจน์แนวคิด มาเป็นผลิตภัณฑ์จริงๆ  ที่ใช้และสาธิตให้ลูกค้าเห็นภาพได้

และเหล่านักลงทุนนั้นเชื่อในความทุ่มเทถวายชีวิตให้บริษัทของมัสก์ ตอนนี้มัสก์ได้แขวนชีวิตไว้กับการสร้างแพลตฟอร์มนี้ขึ้นมา เขาจะพลาดไม่ได้ เขาทุ่มสุดตัวกับโปรเจคนี้เป็นอย่างมาก 

หนึ่งในนักลงทุนคนสำคัญ คนแรก ๆ คือ เกรก โครี นักธุรกิจชาวแคนาดา ซึ่งเจอพี่น้องมัสก์ ในเมืองโตรอนโต และร่วมสนับสนุนการระดมความคิดของ Zip2 ยุคแรก ๆ เขาได้ลงทุนกว่า 6,000 เหรียญ จนในปี 1996 เขาย้ายไปยังแคลิฟอร์เนียและร่วมเป็นผู้ก่อตั้ง Zip2

ซึ่งเกรก นี่เองเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ อีลอน มัสก์ นั้นจะฟัง และมีวิธีอธิบายสิ่งต่าง ๆ ให้มัสก์เข้าใจได้ ซึ่งการที่มัสก์ เป็นคนที่ฉลาดมาก ๆ ทำให้บางทีหลาย ๆ คนไม่เข้าใจว่ามัสก์กำลังคิดอะไรอยู่ และจะสื่อสารกับเขาได้อย่างไร

ในตอนต้นปี 1996 Zip2 ก็ได้รับการลงทุนจาก  Mohr Davidow Ventures โดยได้รับเงินทุนกว่า 3 ล้านเหรียญ และได้เริ่มว่าจ้างวิศวกรเพิ่มมากขึ้น รวมถึง ปรับ โมเดล ธุรกิจใหม่ให้กลายเป็นระบบบอกทางที่ดีที่สุดบนเว๊บไซต์  และได้เริ่มขยายธุรกิจไปทั่วประเทศ

Mohr Davidow Ventures บริษัทด้านการลงทุนแรก ๆ ทีสนใจ Zip2 ของ มัสก์
Mohr Davidow Ventures บริษัทด้านการลงทุนแรก ๆ ทีสนใจ Zip2 ของ มัสก์

แม้ภายหลังมัสก์ นั้นจะถูกบีบให้ขึ้นไปเป็นประธานฝ่ายเทคโนโลยี และ ให้ ริช ซอร์คิน มาเป็น CEO ของบริษัทแทนก็ตาม เพื่อให้บริษัทเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น ซึ่งมัสก์ ก็ยอมแต่โดดยดี แม้จะขมขื่นกับการที่ต้องวางมือจากบริษัทที่เขาสร้างมาเองก็ตาม แต่มันก็แลกกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลที่เขาได้รับ

ซึ่งการสร้าง Zip2 ของมัสก์นั้น มันได้เพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเขาเป็นอย่างมาก เขาควบคุมอารมณ์ได้มากขึ้น และเริ่มรู้ตัวและจัดการกับนิสัยเสีย ๆ บางอย่างของตัวเองเช่น การชอบไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นแบบแรง ๆ 

มัสก์นั้นก็ยังเป็นขุมกำลังหลักในบริษัทเหมือนเดิม เขาเป็นผู้นำปลุกใจเหล่าพนักงานของเขาได้อย่างดี ตอนนี้ภาวะผู้นำของเขานั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และ Zip2 ก็เริ่มที่เห็นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น

การเปลี่ยนโมเดลธุรกิจใหม่ นั้น ได้รับการตอบรับที่ดีจากบริษัทสื่อใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ไนท์รีดเดอร์ หรือ เฮิร์สท์คอร์เปอเรชั่น และสื่อใหญ่ ๆ อื่น ๆ อีกมากมายต่างลงทะเบียนมาใช้บริการ

บางแห่งก็ได้ทำการลงทุนเพิ่มใน Zip2 เลยด้วยซ้ำ บางรายให้สูงถึง 50 ล้านเหรียญ ตอนนั้นบริการอย่าง Craigslist นั้นเพิ่งเริ่มจะก่อตั้งขึ้น ยังไม่ได้เป็นคู่แข่งกับ Zip2 เสียทีเดียว 

Zip2 ก็เป็นที่กล่าวขวัญ ในวงกว้าง เนื่องจากสื่อยักษ์ใหญ่เหล่านี้อยากได้โฆษณาย่อย และรายชื่อสำหรับหน้าอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ และข่าวบันเทิง และมันทำให้เงินไหลเทมาที่ Zip2 อย่างต่อเนื่อง และทำให้เติบโตอย่างรวดเร็ว 

เพียงแค่ 2 ปีหลังจากนั้น Zip2 ได้รับข้อเสนอในการรวมกิจการกับคู่แข่งอย่าง CitySearch ซึ่งข้อตกลงมีมูลค่ากว่า 300 ล้านเหรียญ ทำให้ทั้งสองแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งทางด้านการตลาดจาก CitySearch และเหล่าวิศวกรอัจฉริยะจาก Zip2

แต่การรวมกันของสององค์กรที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งสองมีการทำงานที่ซับซ้อนกันอยู่หลายส่วน ต้องมีการตัดบางส่วนออกไป หรือ ผู้บริหารบางคนของ Zip2 ก็ถูกลดความสำคัญลงไป มัสก์นั้นแม้ตอนแรกจะสนับสนุนการควบรวม ก็ได้เปลี่ยนเป็นมาต่อต้านแทนในที่สุด

การรวมกับ CitySearch ดูจะไม่ค่อย Work สำหรับมัสก์
การรวมกับ CitySearch ดูจะไม่ค่อย Work สำหรับมัสก์

แต่ข้อตกลงต่าง ๆ มันได้คุยกันไปไกลมากแล้ว ตอนนี้ สถานการณ์ของ Zip2 เป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมาก แถม ยังมีคู่แข่งรายใหญ่อย่าง ไมโครซอฟต์ กำลังเข้ามาสู่ตลาดนี้ รวมถึงสตาร์ทอัพรายอื่น ๆ ก็กำลังสนใจตลาดนี้เช่นกัน มันทำให้คู่แข่งเริ่มเข้ามาเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ

แต่แล้ว ในปี 1999 เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อ บริษัท คอมแพค ที่ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรายใหญ่ของโลกในขณะนั้น ได้เสนอขอซื้อ Zip2 ด้วยเงินสดถึง 307 ล้านเหรียญ มันแทบจะเป็นสวรรค์มาโปรดสำหรับผู้ลงทุนใน Zip2 ที่สถานการณ์กำลังย่ำแย่ และพวกเขาแทบจะไม่ต้องคิดอะไรเลยในการตกลงรับข้อเสนอดังกล่าว

ข้อเสนอของ คอมแพค นี้มันทำให้ มัสก์ และ คิมบัล สองพี่น้อง กลายเป็นเศรษฐีย่อม ๆ มัสก์ ได้ส่วนแบ่งถึง 22 ล้านเหรียญ ส่วน คิมบัล นั้นได้ไป 15 ล้านเหรียญ มันเป็นเงินมากมายที่พวกเขาแทบไม่เคยได้จับมาก่อน มันเป็นความสำเร็จครั้งแรกของมัสก์เลยก็ว่าได้ในเรื่องของการทำธุรกิจ และที่สำคัญมันเพิ่งจะเป็นธุรกิจแรกของเขาเท่านั้น

Zip2 ธุรกิจแรกของมัสก์ สามารถขายให้ compaq ได้สำเร็จ ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีย่อม ๆ
Zip2 ธุรกิจแรกของมัสก์ สามารถขายให้ compaq ได้สำเร็จ ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีย่อม ๆ

และแน่นอน ว่าเงินจำนวนนี้ ที่มัสก์ได้มานั้น เขาต้องการลงมือในโปรเจคต่อไปทันที มัสก์ยอมรับว่า การสร้างบริษัทแรกอย่าง Zip2 นั้น มันมีข้อผิดพลาดหลายอย่าง ซึ่งเขาแทบจะไม่เคยบริหารบริษัทมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

การดูและลูกน้องก็ทำได้ไม่ดีนัก มัสก์ มักจะไปแก้งานของพวกเขา โดยไม่คุยกันก่อน เขามองว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะ ที่พวกลูกน้องต้องทำตามให้ได้ สไตล์การเผชิญหน้ากับลูกน้องของมัสก์ ก็ไม่ใช่แนวทางของผู้บริหารบริษัทที่ดีเลย มักจะมีแต่เสียกับเสียเสมอ เวลามัสก์ต้องเผชิญหน้ากับลูกน้องพร้อมกับปัญหา

มัสก์ ผู้ซึ่งดิ้นรนต่อสู้ในยุคดอทคอม ต้องเรียกได้ว่า มีทั้งความสามารถและมีดวงผสมอยู่ด้วย เขามีไอเดียเหมาะเจาะที่มาทำ Zip2 ได้ถูกที่ถูกเวลา และทำให้มันกลายเป็นบริการได้จริง ๆ แถมสามารถก้าวออกมาพร้อมเงินทุนที่จะไปสร้างธุรกิจใหม่ ตอนนี้ เขามีเงินทุนมากพอที่จะสร้างธุรกิจอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนโลกได้แล้ว แล้วธุรกิจนั้น จะเป็นธุรกิจอะไร และมัสก์จะปรับตัวในการเป็นนักธุรกิจที่ดีได้มากขึ้นแค่ไหน จะเกิดอะไรขึ้นต่อกับชายที่จะก้าวมาเป็นบุคคลหนึ่งทีทรงอิทธิพลที่สุดของโลกอย่างในปัจจุบัน โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 7 : Joining the Mafia

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 5 : The Meaning of Life

ความหมายของชีวิตคืออะไร? สำหรับ มัสก์  มันแทบจะเป็นคำถามของเขามาตั้งแต่เด็กเลยก็ว่าได้ มันเกิดจากช่วงชีวิตวัยเด็กของเขาที่แทบจะเป็นวิกฤติสำหรับชายอย่าง อีลอน มัสก์ ซึ่งกว่าที่เขาจะผ่านพ้นช่วงนั้นมาเริ่มชีวิตใหม่ในประเทศแคนาดา มันก็เป็นช่วงเวลายาวนานสำหรับเขา

มัสก์นั้นอ่านหนังสือมามากมาย ซึ่ง หนังสือเกี่ยวกับปรัชญานั้น เขาก็เป็นคนหนึ่งที่อ่านมาหลายเล่มมาก มันไม่ควรเป็นหนังสือที่เด็กน้อยอย่างมัสก์อ่านเลยตอนยังเยาววัย

หนึ่งในหนังสือเชิงปรัชญาที่เขาชอบมากที่สุดคือ The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy โดย Douglas Adams ซึ่งเป็นหนังสือที่เสนอมุมมองเชิงปรัชญาในหลาย ๆ ด้าน เนื้อหานั้นเป็นเหมือนการรวมเอาหนังสืออย่าง Monty Python และ Star Wars มารวมกัน

หนังสือ The Hitchhiker's Guide to the Galaxy
หนังสือ The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy

สิ่งสำคัญที่ มัสก์ ได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้คือ แนวคิดในการตั้งคำถามกับสิ่งต่าง ๆ มนุษย์ทุกคนนั้นมักจะมีคำถามอยู่เสมอ หากไม่เข้าใจในสิ่งใด ซึ่งเหมือนมัสก์ ที่กำลังตั้งคำถามกับชีวิตตัวเอง ว่าความหมายในการคงอยู่ของชีวิตเขานั้นมีไว้เพื่ออะไร?

ตอนที่เขาเรียนอยู่ University of Pennsylvania นั้น เขาได้เริ่มตั้งคำถามว่าอะไรที่เป็นสิ่งที่ผลกระทบมากที่สุดต่ออนาคตของมนุษย์เราในวันข้างหน้า?

ทำไมเขาจึงต้องคำถามเหล่านี้ ส่วนนึงก็มาจากหนังสือนวนิยายที่เขาชอบอ่านของ Isaac Asimov ซึ่งเป็นหนึ่งในนักเขียนในดวงใจของมัสก์เลยก็ว่าได้  ซึ่งนวนิยายวิทยาศาสตร์ของ Isaac Asimov นี่เองเป็นแรงบัลดาลใจให้มัสก์คิดเรื่องใหญ่ ๆ ที่ผลกระทบต่อโลกเราที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

หลาย ๆ ไอเดียของมัสก์ ก็มาจากนวนิยายของ Asimov เนี่ยแหละ แต่เขาไม่ได้คิดแบบเพ้อฝันแบบนวนิยาย เขาคิดโดยพื้นฐานทางด้านวิศวกรรมที่เขาได้ร่ำเรียนมา ทั้งเรื่องของกระสวยอวกาศ หรือ เรื่องพลังงานที่จะใช้ขับเคลื่อนมัน มัสก์ เปรียบเทียบกับความเป็นจริงอยู่เสมอโดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการคิด

หลายแนวคิดของ มัสก์ ได้มาจากนวนิยายของ Isaac Asimov
หลายแนวคิดของ มัสก์ ได้มาจากนวนิยายของ Isaac Asimov

มี 3 สิ่งที่มัสก์ นั้นคิดเสมอว่าจะเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่ออนาคตของมนุษย์เรามากที่สุด  สิ่งแรกนั้นคือ อินเตอร์เน็ต ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดไปยังผู้ใช้งานทั่วโลกในขณะนั้น สิ่งที่สองก็คือ พลังงานที่ยั่งยืน และสิ่งสุดท้ายก็คือการสำรวจอวกาศ

มันเป็น 3 สิ่งหลักที่อยู่ในใจมัสก์เสมอ สิ่งที่ impact ต่อโลกเราในอนาคตอย่างแน่นอน แต่มัสก์ ก็ไม่ได้มีเพียงแค่ 3 ไอเดียดังกล่าวเท่านั้น เขายังคิดถึงเรื่อง Artificial intelligence หรือ ปัญญาประดิษฐ์ และ ความรู้ด้านชีววิทยา เช่น การถอดรหัส DNA ของมนุษย์ที่เขามองว่าตอนนี้เทคโนโลยีที่มีอยู่นั้นยังไม่สมบูรณ์นัก มันยังมีความผิดพลาดอยู่อีกมาก เขาเปรียบเทียบการพยายามทำการอ่านรหัส DNA ของมนุษย์นั้นก็เปรียบเสมือนการอ่าน code ดี ๆ นี่เองซึ่งมักจะมี error อยู่เสมอ

สำหรับโลกของ อินเตอร์เน็ตนั้น มัสก์ ได้เริ่มใช้งานแบบจริง ๆ จัง ๆ เมื่อตอนเรียนในสาขาฟิสิกส์ ซึ่งเขาต้องใช้ อินเตอร์เน็ตในการค้นคว้าหางานวิจัย ตอนนั้นคือปี 1994 เขามองเห็นศักยภาพของอินเตอร์เน็ตทันที และคิดว่าอินเตอร์เน็ตมันต้องเปลี่ยนโลกได้อย่างแน่นอน

ช่วงที่มัสก์เริ่มใช้งานอินเตอร์เน็ตมันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน เดิมนั้นโลกของการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ต้องพึ่งพาห้องสมุดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ อินเตอร์เน็ตมันได้เปลี่ยนโลกของข้อมูลข่าวสารทั่วโลกทั้งหมดให้มาสู่ที่ปลายนิ้วเพียงเท่านั้น

ในวัยเด็กนั้น การที่จะหาข้อมูลต่าง ๆ แบบที่หาได้ใน wikipedia.org ในปัจจุบันนั้น ต้องอ่านผ่าน encyclopedias เล่มหนาเต๊อะ ต่างจาก wikipedia ในโลก อินเตอร์เน็ตที่มีการอัพเดทข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทันสถานการณ์อยู่ตลอด ต่างจากการอ่าน encyclopedias ที่มีการอัพเดทข้อมูลอย่างเร็วที่สุดปีละครั้งเพียงเท่านั้น

ส่วนเรื่องพลังงานที่ยั่งยืนนั้น มัสก์ เติบโตขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งพบปัญหากับวิกฤติทางด้านพลังงานอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งปัญหาน้ำมันซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักที่สำคัญที่สุดของแอฟริกาใต้ หนักหนาถึงขั้นที่ว่าในประเทศแอฟริกาใต้มีพลังานเหลือให้ประชากรใช้ได้เพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น

และไม่ใช่แค่เฉพาะเรื่องในแอฟริกาใต้เท่านั้น แนวคิดเรื่องพลังงานที่ยั่งยืนนั้น มาจากหนังสือนวนิยายของ Isaac Asimov นักเขียนคนโปรดของเขาอีกด้วย มัสก์ นั้นมองปัญหาใหญ่ ๆ อยู่สม่ำเสมอ เรื่องพลังงานนั้นเป็นปัญหาใหญ่ของโลก

ซึ่งมัสก์นั้นคิดว่าโลกเรามีความเป็นไปได้ที่ แหล่งพลังงานและแหล่งอาหาร นั้นจะอยู่ได้อีกไม่กี่สิบปี หากไม่ทำอะไรซักอย่าง มันจะเป็นปัญหาระดับโลกในอนาคต มันอาจจะส่งผลให้ เกิดความตื่นตระหนกวุ่นวายกันทั่วโลกเมื่อถึงเวลานั้นจริง ๆ การใช้ความรุนแรง การปล้น นั้นจะกลายเป็นทางเดียวที่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

ซึ่งในนวนิยายของ Asimov ก็มีการกล่าวถึงในเรื่องทำนองนี้เหมือนกัน มันอาจจะเกิดสงครามระหว่างประเทศ เพื่อแย่งชิงทรัพยากร โดยเฉพาะด้านพลังงานและอาหาร และเมื่อนั้นอาจจะมีสงครามนิวเคลียร์เกิดขึ้นจริงก็ได้

มัสก์ ได้กล่าวถึงการบริโภคพลังงานของมนุษย์เราในยุคปัจจุบัน นั้นสูงขึ้นกว่า 9 เท่า เมื่อเทียบกับในยุคปี 1850 หากไม่แก้ปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจรัง มันก็จะเกิดปัญหาระดับโลกได้ กระบวนการผลิตน้ำมันมันนั้นก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ 

Peak Oil คือ จุดที่การผลิตน้ำมันดิบอยู่ในอัตราสูงสุด ซึ่งเจ้าขอทฤษฏี Peak Oil คือ ดร.เอ็ม คิง ฮับเบิร์ต นักธรณีวิทยาชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ซึ่งในปี 1956 เขาได้พยากรณ์ไว้ว่า การผลิตน้ำมันในสหรัฐอเมริกาจะถึงจุดสูงสุดในช่วงต้นทศวรรษ 1970 เลยจากจุดนั้นปริมาณน้ำมันที่ผลิตได้จะลดลงเรื่อย ๆ 

กราฟแสดง ทฤษฏี Peak Oil
กราฟแสดง ทฤษฏี Peak Oil

ซึ่งพยากรณ์ดังกล่าวของ ดร.ฮับเบิร์ต นั้นเป็นจริง ถึงแม้ว่า การผลิตน้ำมันในสหรัฐ ขึ้นถึงจุดสูงสุดในทศวรรษ 1970 หลังจากนั้นก็ลดต่ำลงมาโดยตลอด จึงมีผู้นำทฤษฏี Peak Oil ไปใช้ทำนายแนวโน้มการผิลตน้ำมันดิบของโลกจะลดลง เพราะไม่มีแหล่งน้ำมันดิบใหม่ที่คุ้มค่าในการผลิต ขณะเดียวกัน ความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น

ซึ่งมัสก์ นั้นก็เป็นคนสนใจในทฤษฏีดังกล่าวนี้เป็นอย่างมาก เขาคาดการณ์ว่า Peak Oil จะเกิดขึ้นในปี 2020 และน้ำมันจะเริ่มหมดไปในช่วงปี 2050 โลกเรานั้นใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนโดยเฉลี่ยต่อวันสูงถึง 87 ล้านบาร์เรล ในปี 2010 ซึ่งมันทำให้เราจะมีน้ำมันใช้จนถึงแค่เพียง 40 ปีเท่านั้น

แนวคิดสำคัญของมัสก์ ก็คือ ก่อนที่น้ำมันจะหมดโลก เราควรที่จะเก็บมันไว้ใช้ในอนาคต ในวันที่เราต้องการใช้มันจริง ๆ มากกว่า ในเมื่อในตอนนี้ เราสามารถใช้พลังงานทางเลือกอื่น ๆ ได้อยู่ มันไม่มีเหตุจำเป็นใด ๆ ที่เราต้องนำน้ำมันที่กำลังจะหมดไปมาใช้ให้หมดในยุคของเราแบบทันที

เรื่องของน้ำมันที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้นเป็นเรื่องนึงที่มัสก์ ใส่ใจ แต่อีกประเด็นเขาก็ยังสนใจประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับปัญหานี้ คือ ปัญหาสิ่งแวดล้อม เขามองว่าโลกที่ไม่ใช่พลังงานจากน้ำมันเหล่านี้นั้น จะเป็นโลกที่สะอาดขึ้น ปัญหาใหญ่คือเรื่องก๊าซ CO2 ที่ถูกปล่อยออกมามากขึ้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาโลกร้อนที่จะเกิดกับโลกเราในอนาคต

ส่วนอีกเรื่องที่มัสก์ สนใจนั้นคือ การอพยพ ย้ายไปอยู่ในดาวดวงอื่นนั้น หลายคนอาจจะมองเป็นสิ่งที่เพ้อฟัน เป็นเรื่องในนวนิยายวิทยาศาสตร์ แต่ มัสก์ นั้นก็มองว่า ทุกเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นบนโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสื่อสาร การแพทย์ หรือ อาวุธสงครามต่าง ๆ นั้น ล้วนเกิดจากจินตนาการที่เคยเป็นเรื่องที่เพ้อฟันแทบจะทั้งสิ้น

ความเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน ทั้งเรื่องปัญหาโลกร้อน หรือ ปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าโลกใบนี้จะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ มัสก์มองว่ามันเป็นการเตรียมตัวรับอนาคตที่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น

เขาได้กล่าวถึง หากมนุษย์เราสามารถที่จะมีชีวิตในดาวดวงอื่นได้ เราก็ต้องเรียนรู้ให้ลึกซึ้งเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม และสภาพอากาศ และ รู้จักที่จะทำให้มันเกิดความสมดุล ไม่งั้นมันสุดท้ายมันก็จะกลายสภาพให้เป็นโลกเราที่เห็นในปัจจุบันอยู่ดี

แนวคิดเรื่องการย้ายไปดาวดวงอื่น ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน
แนวคิดเรื่องการย้ายไปดาวดวงอื่น ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน

ซึ่งสุดท้ายคิดเสมอว่า โครงการด้านอวกาศใหม่ ๆ นั้นถือเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญให้กับมนุษย์โลก ซึ่งการที่เขาได้สร้างบริษัทอย่าง spaceX ขึ้นมาในภายหลังนั้น มันถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ ต่อยุคใหม่ของเทคโนโลยีทางด้านอวกาศ ซึ่งอาจจะทำให้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์เราไปตลอดกาลก็เป็นได้

–> อ่านตอนที่ 6 : The Outsider

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 4 : What Do I Do Now?

และแล้วมันก็ถึงเวลาที่ อีลอน มัสก์ จะได้เป็นอิสระ เสียที ในปี 1989 หลังจากที่เขาได้มุ่งหน้าสู่ประเทศแคนาดา เมย์ ผู้เป็นแม่ ก็รู้สึกได้ถึงความดีใจที่มัสก์ ได้ก้าวเข้าสู่โลกใหม่ของเขาได้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป้าหมายต่อไปเขาคือการเดินตามความฝันของตัวเองให้ได้นั่นเอง

ทันทีที่เครื่องบินลงที่เมือง มอนทรีออล มัสก์ ก็ ต่อรถบัสเพื่อไปที่เมือง แวนคูเวอร์ทันที มันเป็นการเดินทางมาแทบจะตัวเปล่าของมัสก์ มันเป็นการผจญภัยครั้งใหม่ของเขา เขาต้องเริ่มทำงานเพื่อหาเงินยังชีพในแคนาดา โดยเริ่มต้นจากงานที่ฟาร์มของญาติของเขา

เขาเริ่มต้นด้วยงานที่ใช้แรงงานอย่าง การดูแลสวน มันเป็นงานที่ไม่น่าเชื่อว่าชายคนนี้สุดท้ายจะกลายมาเป็นมหาเศรษฐีในอนาคต ช่วงแรก ๆ นั้นเขามีเงินติดตัวเพียงไม่กี่พันเหรียญ เขาต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัดเป็นอย่างมากในช่วงแรกของการมาใช้ชีวิตที่แคนาดา

และหลังจากนั้นหนึ่งปี ทั้งแม่ และน้อง ๆ ของมัสก์ ก็ได้ย้ายตามมาอยู่ที่แคนาดา ด้วยความที่น้อง ๆ นั้นทนคิดถึงพี่ชายไม่ไหว ซึ่งเป็นช่วงที่ มัสก์ ได้เริ่มตั้งหลักกับชีวิตในแคนาดาได้บ้างแล้ว มัสก์ นั้นได้สมัครเข้าเรียนที่ Queen’s University ซึ่งเป็นมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของแคนาดา

มัสก์ นั้นได้เริ่มเรียนในสาขาธุรกิจ และ ฟิสิกส์ แม้เขาจะไม่เคยเข้าชั้นเรียนเลยก็ตาม ด้วยความอัจฉริยะเป็นกรด เขาแค่อ่าน textbooks แล้วเขาสอบก็เพียงพอที่จะสอบผ่านไปได้อย่างสบาย ๆ 

และก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ที่ตอนนั้นมัสก์ เริ่มสนใจที่จะจีบสาวมากกว่าการไปเรียน เหตุผลหนึ่งที่เขาเลือกเรียนที่ Queen ‘s University ก็เพราะสาว ๆ ที่นี่ Hot กว่าใครนั่นเอง

มัสก์เลือกเรียนที่ Queen's University เพราะที่นี่สาว Hot กว่าใคร
มัสก์เลือกเรียนที่ Queen’s University เพราะที่นี่สาว Hot กว่าใคร

มหาวิทยาลัยนั้นเหมาะกับมัสก์ เขาเริ่มเปลี่ยนตัวเองจากคนที่รู้ไปทุกเรื่อง ก็พยายามทำตัวให้กลมกลืนกับเพื่อน ๆ มันไม่เหมือนที่แอฟริกาใต้ ที่นี่ไม่มีใครหัวเราะเยาะเขาเรื่องความเห็นที่เขามีต่อเรื่องใหญ่ ๆ อย่างเรื่องพลังงาน อวกาศ รวมถึงสิ่งอื่น ๆ ที่เขาสนใจอยู่ในตอนนั้น

มัสก์ได้เจอกับเหล่าผู้คนที่ตอบสนองต่อความทะเยอทะยานของเขามากกว่าที่จะหัวเราะเยาะเหมือนเคย และเขาก็รักในสภาพแวดล้อมแบบนี้มาก ๆ มันแทบจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียวระหว่างชีวิตตอนเรียนมัธยม กับ ชีวิตในมหาลัย

มันทำให้เขามีความทะเยอทะยานมากยิ่งขึ้นกว่าตอนเรียนมัธยม เขาได้เรียนทั้งบริหารธุรกิจ เข้าร่วมการแข่งขันการพูดในที่สาธารณะ และเริ่มแสดงภาพลักษณ์เอาจริงเอาจังและชอบแข่งขัน ซึ่งเป็นที่มาของนิสัยและพฤติกรรมของเขาในปัจจุบัน 

หนึ่งในสาวที่ มัสก์ ออกเดทด้วยคือ จัสติน วิลสัน ซึ่งมีอายุอ่อนกว่า มัสก์ อยู่ 1 ปี ที่มีหน้าตาออกไปทางสไตล์ ยุโรป มากกว่าชาวแคนาดาส่วนใหญ่ เธอค่อนข้างเรียนหนัก เพราะต้องรักษาทุนการศึกษาที่เธอได้รับไว้ จึงต้องรักษาเกรดให้อยู่ในระดับสูงอยู่ตลอด

มัสก์ นั้น เจอกับ จัสติน ที่ห้องเรียนติดกันในมหาลัย เขาเริ่มต้นจีบเธอด้วยการโกหกว่า เขาเคยพบกับเธอที่ปาร์ตี้มาก่อน แต่หารู้ไม่ว่า จัสติน นั้นเป็นคนไม่เที่ยว ถือว่าหน้าแตกไม่น้อยสำหรับ มัสก์ แต่เขาก็พยายามออกเดทกับจัสตินให้ได้ แต่จัสติน นั้นไม่ได้ประทับใจมัสก์ เท่าไหร่ตั้งแต่แรก

แม้มัสก์ พยายามตื้อจนได้คบกับ จัสติน ในที่สุด แต่ความรักของทั้งคู่ก็ดูลุ่ม ๆ ดอน ๆ แม้มัสก์นั้นจะพยายามรักษาความสัมพันธ์ให้นานที่สุด แต่เขาเองนั้นก็รู้ดีว่าเขาก็เตรียมตัวที่จะย้ายไปที่อเมริกาในอีกไม่นาน

อีลอน มัสก์ รู้ตัวเองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ว่าที่แคนาดา มันไม่ใช่ที่ที่เขาจะอยู่ถาวรอย่างแน่นอน เป้าหมายของเขาคือ สหรัฐอเมริกา เขามีความคิดตั้งแต่แรกว่าเขาจะต้องสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่มี impact ต่อโลกใบนี้ นวัตกรรมรวมถึงความคิดใหม่ ๆ ล้วนเกิดในอเมริกา เป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ เป็นที่ ๆ เหมาะที่สุดกับเขาที่จะแจ้งเกิดได้

และในที่สุดเขาก็สามารถมาถึงดินแดนอเมริกาที่เขาฝันไว้ได้สำเร็จ ด้วยทุนการศึกษา ที่ University of Pennsylvania ซึ่งที่นั่นเขาได้เจอกับเพื่อนอย่าง อาดีโอ เรสซี่ ซึ่งเป็นนักศึกษาที่ University of Pennsylvania เช่นเดียวกัน และ ได้มาแชร์ที่พักอยู่ด้วยกัน

มัสก์เข้าสู่อเมริกาได้สำเร็จได้มาเรียนที่ University of Pennsylvania
มัสก์เข้าสู่อเมริกาได้สำเร็จได้มาเรียนที่ University of Pennsylvania

และถ้าถามว่าความคิดเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่มัสก์มีนั้น มันมีอิทธิพลจากเพื่อนเขาคนนี้ นี่เอง เพราะ เรสซี่ เป็นบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ The Green Times ของมหาลัย ซึ่งเป็นสื่อที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม และมันเป็น Thesis ที่ใช้ในการเรียนจบปริญญาของ เรสซี่อีกด้วย

เรียกได้ว่า เรสซี่ และ มัสก์ นั้นเข้าขากันได้อย่างดี แม้จะดูเป็นขั้วตรงข้ามกับมัสก์เลยก็ตาม เพราะเรสซี่ จะมีหัวทางศิลปะ ต่างจากมัสก์ ที่เป็นเด็กเนิร์ด บ้าเรียน และไม่ค่อยสุงสิงกับใครมากนัก

มันต่างจากชีวิตที่แอฟริกาใต้อย่างชัดเจน มัสก์ อยู่ที่นี่ด้วยความสุข ที่บ้านของพวกมักเชิญเพื่อนๆ  มาจัดปาร์ตี้กัน บางครั้งก็เปลี่ยนบ้านเช่าของพวกเขาให้กลายเป็นคลับดี ๆ นี่เอง พวกเขาจัดปาร์ตี้ขนาดยักษ์ มีคนมาร่วมกว่า 500 คน โดยเก็บค่าเข้าคนละ 5 เหรียญ โดยสามารถที่จะดื่มเบียร์ได้อย่างไม่จำกัด ซึ่งมันเป็นธุรกิจอย่างนึงที่ทั้งคู่คิดไว้อย่างดี ด้วยหัวทางด้านธุรกิจของมัสก์ ทำให้บางปาร์ตี้ สามารถทำกำไรได้กว่า พันเหรียญ ซึ่งมันมันสามารถจ่ายค่าบ้านด้วยการจัดงานปาร์ตี้เพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น

เปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นปาร์ตี้
เปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นปาร์ตี้

ถ้าไม่ปาร์ตี้ มัสก์ ก็มักจะขลุกอยู่กับเกมส์ FPS ซึ่งเป็นเกมส์ที่เขาติดหนึบเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าบางทีเขาเล่นเกมส์มากกว่าเรียนอีกด้วยซ้ำ เพราะเรื่องเรียนไม่เคยเป็นปัญหาของคนระดับอัจฉริยะอย่าง อีลอน มัสก์ เขาอ่านหนังสือเอง และไปสอบได้แบบผ่านฉลุยแทบจะทุก ๆ ครั้ง

และไม่ใช่แค่เพียงทำแต่เรื่องไร้สาระเท่านั้น เขาใช้เวลาบางส่วนในการเริ่มคิดแผนธุรกิจ สำหรับธุรกิจ E-Book Scan รวมถึงใช้เวลาในช่วงพัก summer เข้าไปฝึกงานกับบริษัทชื่อดังอย่าง Pinnacle Research 

อย่างที่กล่าวในบทที่แล้ว มัสก์ นั้นสามารถสร้างเกมส์ได้ตั้งแต่เด็กและหาเงินรายได้ด้วยตัวเองโดยส่งเกมส์ไปให้นิตยสารเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งเวลาว่างตอนอยู่มหาลัยเขาก็ได้ไปรับงานสร้างเกมส์ ให้กับ Rocket Science Games เขามีส่วนในการสร้างเกมส์มากมายเช่น Loadstar:The Legend of Tully Bodine ที่วางขายในปี 1994 รวมถึง Cadillacs and Dinosaurs: The Second Cataclysm ที่ออกจำหน่ายในปี 1995 

เกมส์ที่มัสก์มีส่วนร่วมในการสร้าง Loadstar:The Legend of Tully Bodine
เกมส์ที่มัสก์มีส่วนร่วมในการสร้าง Loadstar:The Legend of Tully Bodine

และเป็นช่วงที่เรียนมหาลัยนี่เอง ที่มัสก์ เริ่มที่จะสนใจเรื่องของพลังงานแสงอาทิตย์ และการหาวิธีควบคุมพลังงานแบบใหม่ ๆ มัสก์เจาะลึกลงไปถึงการทำงานของเซลล์แสงอาทิตย์ และองค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งสามารถทำให้มันมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เขาได้ทำรายงานเกี่ยวกับ สถานีพลังงานในอนาคต เป็นภาพแผงพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดยักษ์สองแถวในอวกาศ ซึ่งแต่ละแถวกว้าง 4 กิโลเมตร ส่งพลังงานมาบนโลกผ่านคลื่นไมโครเวฟ สู่จานรับสัญญาณขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 7 กิโลเมตร 

รายงานอีกเรื่องที่เขาทำเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องตัวกักเก็บพลังงานรูปแบบใหม่ ซึ่งจะเหมาะกับสิ่งที่เขาพยายามทำต่อไปในอนาคต ทั้งกับรถยนต์ เครื่องบิน ยานอวกาศ มันเป็นจุดสำคัญในเรื่องของการส่งพลังงานออกมาได้รวดเร็วกว่าแบตเตอรี่ที่มีน้ำหนักเท่ากันถึง 100 เท่า

ซึ่งสุดท้าย แม้เขาจะไม่ได้ขยันเรียนมากมายนัก แต่สุดท้ายเขาก็ได้ปริญญามา 2 ใบ คือ ด้านการเงินจาก Wharton Shool และ สาขาฟิสิกส์ จาก University of pennsylvania ซึ่งหลังจากเขาทำเป้าหมายแรกได้สำเร็จ มันก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไป เพราะตอนนี้เขามีความรู้ทั้งเรื่องของวิทยาศาสตร์ และ เรื่องธุรกิจ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

และที่สำคัญ ช่วงเรียนมหาลัยนี่เอง ที่ทำให้เขาเกิดไอเดียที่ยิ่งใหญ่มากมาย ในหัว ทั้งเรื่องเกมส์ เรื่องอินเตอร์เน็ต พลังงานที่ไร้ขีดจำกัด และเรื่องการเดินทางในอวกาศ  ซึ่งล้วนแล้วแต่จะเป็นสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ในอนาคตแทบจะทั้งสิ้น 

จากตอนนี้จะเห็นว่า ชีวิตในมหาลัยของมัสก์ นั้นเปลี่ยนจากช่วงมัธยมอย่างสิ้นเชิง เขาเริ่มเข้ากับผู้คนได้ และเริ่มมีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ที่มันกำลังจะเกิดขึ้นจริง แล้วหลังจากเขาเรียนจบมหาลัย จะเกิดอะไรขึ้นต่อกับ อีลอน มัสก์ เขาจะหาเงินทุนมาสร้างธุรกิจที่เป็นไอเดียบรรเจิดของเขาได้อย่างไร โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 5 : The Meaning of Life

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 3 : Boredom Leads to Great Things

ถ้าเปรียบเทียบชีวิตของอีลอน มัสก์ ตอนเด็ก สมัยที่อาศัยอยู่ในเมือง พริทอเรีย ของแอฟริกาใต้ เขาแทบดูจะไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตในเมืองนี้เลยด้วยซ้ำ อาจจะกล่าวได้ว่าเมืองแห่งนี้มันเหมือนคุกสำหรับกักขัง อีลอน มัสก์ ให้เขาแทบจะต้องเก็บตัวอยู่คนเดียว แต่เมืองแห่งนี้มันได้หล่อหลอมนิสัยบางอย่างของเขา ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญของผู้ที่ประสบความสำเร็จมากมาย นั่นคือ นิสัยรักการอ่าน

อดีตนายก รัฐมนตรี ผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษ อย่าง วินสตัน เชอร์ชิล  เมื่อเขาหันเหชีวิตเข้าสู่การเมือง ครั้งแรกเขาลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้เชอร์ชิลเพิ่งมีอายุ 25 ปี และไม่มีใครรู้จัก เขาจึงได้หันกลับมาสู่ปืนและปากกาอีกครั้งหนึ่ง ในปีนั้นเอง สงครามบัวร์ได้เริ่มปะทุขึ้น สงครามดังกล่าวเป็นการรบระหว่างกองทัพอังกฤษและชาวดัตช์ผู้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนแอฟริกาใต้

ฉนวนสงครามเกิดขึ้นเมื่อมีการค้นพบแหล่งแร่มีค่า เช่น ทองคำและเพชร รัฐบาลอังกฤษจึงได้มีความคิดที่จะเข้าครอบครองดินแดนดังกล่าว เขามองเห็นช่องทางในการที่จะทำในสิ่งที่ตนรักคือการเขียนหนังสือ เขาจึงตกลงกับหนังสือพิมพ์ Morning Post เพื่อที่จะติดตามข่าวเรื่องนี้ เขาได้นั่งรถไฟไปกับกองทหารอังกฤษ แต่ขบวนรถไฟดังกล่าวถูกโจมตีอย่างหนักจากทหารชาวบัวร์ เมื่อเกิดวิกฤตเช่นนี้เขาได้ประกอบวีรกรรมคือรับอาสาฝ่ากระสุนปืนของพวกบัวร์ไปเคลื่อนย้ายตู้รถไฟที่ขวางทางอยู่ ทำให้ขบวนรถที่เต็มไปด้วยทหารที่บาดเจ็บสามารถผ่านออกจากสนามรบไปได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ดีทหารอังกฤษอีก 52 นาย รวมทั้งตัวเขาเองถูกจับเป็นเชลยทั้งหมด

เขาถูกคุมขังประมาณ 1 เดือนด้วยความอัดอั้นตันใจ แม้เขาจะไม่ได้ถูกทรมานใดๆ แต่การต้องมาทนอยู่เฉยๆ เป็นเหมือนการทำให้เขาเสียเวลาในการแสวงหาชื่อเสียงไปโดยเปล่า โดยที่เขายังไม่รู้ว่าขณะเดียวกันนั้น หนังสือพิมพ์พากันประโคมข่าวถึงเขา และคนอังกฤษกำลังสวดมนต์อ้อนวอนขอให้พระเจ้าคุ้มครองให้แก่วีรบุรษเชอร์ชิลผู้ซึ่งอยู่ระหว่างการคุมขัง

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1899 เขาได้หลบหนีออกมาจากที่คุมขัง ท่ามกลางกองกำลังพลของทหารชาวบัวร์จำนวนมากมายมหาศาล เขาสามารถหนีกลับมาที่กองทัพอังกฤษได้อย่างปลอดภัย และเมื่อกองทหารอังกฤษบุกเข้ายึดกรุงพริทอเรีย เชอร์ชิลก็ได้เป็นผู้ขี่ม้านำหน้าใครๆ เข้าไปฉีกธงของพวกบัวร์ที่ปักไว้หน้าคุกที่เคยกักขังเขาไว้ทิ้ง

เชอร์ชิล ในสมัยที่หนีออกจากคุกในเมือง พริทอเรีย ได้สำเร็จ
เชอร์ชิล ในสมัยที่หนีออกจากคุกในเมือง พริทอเรีย ได้สำเร็จ

หลังจากนั้นเขาได้เดินทางกลับมายังประเทศอังกฤษ และได้รับการต้อนรับอย่างใหญ่โตในฐานะวีรบุรุษของชาติ เขาได้เข้าสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง และประสบความสำเร็จ โดยได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนราษฎร นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นในชีวิตบนเส้นทางการเมืองอันยาวนานและยิ่งใหญ่ของเขานั่นเอง

ซึ่งจะว่าไปแล้ว เส้นทางชีวิตของ วินสตัน เชอร์ชิล ในเมืองพริทอเรีย มันก็แทบจะคล้ายกับ อีลอน มัสก์ ประสบพบเจอตอนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองพริทอเรีย แห่ง แอฟริกาใต้

ในวัย 6 ขวบ ในงานปาร์ตี้ครั้งนึงที่บ้านของญาติเขาในเมือง พริทอเรีย ด้วยความที่ มัสก์ นั้นได้ถูกห้ามจากแม่ของเขาไม่ให้ไปงานปาร์ตี้ที่บ้านญาติของเขา

เขาไม่เห็นด้วยกับการ กระทำดังกล่าว เขาจึงได้วางแผนที่จะหนีไปจากบ้าน เพื่อไปยังงานปาร์ตี้ ซึ่งความคิดแรกของ มัสก์นั้น เขาก็อยากที่จะปั่นจักรยานไปแทนที่จะเดินซึ่งเป็นระยะทางที่ยาวไกล 

แต่ เมย์ แม่ของมัสก์ ได้หลอกกับเขาว่า การที่จะขับรถจักรยานได้นั้นต้องมีใบขับขี่ และตำรวจจะจับหากยังดื้อด้านที่จะขับรถจักรยานออกไปข้างนอก ซึ่ง มัสก์ นั้นมีทางเลือกเดียวที่ต้องเดินข้ามเมือง พริทอเรีย ที่ต้องใช้ระยะทางกว่า 10 ไมล์ ( 16 km) เพื่อไปยังที่จัดปาร์ตี้

มันเป็นเส้นทางเดียวกับที่ เชอร์ชิล หนีออกจากคุก ซึ่งเชอร์ชิล นั้นได้แต่เฝ้ามองทิศผ่านดวงดาว เพื่อหนีออกไปจาก พริทอเรีย ให้ได้ แต่มัสก์ เด็กน้อยวัย 6 ขวบ ที่ตอนนั้นถือได้ว่าเป็นนักอ่านตัวยง

มัสก์ ได้อ่านสัญญาณจราจร บนถนน เพื่อเดินทางไปยัง ปาร์ตี้ให้ได้ เขาเดินผ่านตึกยุคโบราณที่มีอยู่เต็มเมืองพริทอเรีย ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 4 ชม. กว่าจะถึงสถานที่จัดงานปาร์ตี้ดังกล่าว

และมันเป็นจังหวะที่ เมย์ แม่ของเขาเห็นเข้าพอดี ซึ่งมัสก์ นั้นไม่ได้รับอนุญาติให้มางานดังกล่าว ทางเดียวที่เขาทำได้ในตอนนั้นคือ หนี!!! และมัสก์ ก็หนีโดยการปีนต้นไม้ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นทางเลือกที่หนูน้อยมัสก์ คิดออก ณ ขณะนั้น 

มัสก์ อยู่บนต้นไม้ ไม่ยอมลงมา จนแม่เขาต้องสัญญาว่า จะไม่ทำโทษมัสก์ กับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาลงมาพร้อมความรู้สึกเบื่อหน่าย และต้องกลับบ้าน เหมือนที่เขาต้องทำทุก ๆ ครั้ง เพราะที่ พริทอเรีย มันคือ คุกดี ๆ สำหรับมัสก์ นั่นเอง

ที่ พริทอเรีย มัสก์ แทบจะไม่มีเพื่อน เวลาส่วนใหญ่ในการใช้ชีวิตที่แอฟริกาใต้ คือ เล่นกับลูกพี่ลูกน้องของเขา หรือ อ่านหนังสือ หรือสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำก็คือ การดูทีวี เพราะเขาเกลียดรายการทีวีที่นี่เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้มัสก์มีนิสัยเบื่อง่ายเป็นอย่างมาก

อีลอน มัสก์ ในสมัยเด็ก มักอยู่แต่กับญาติพี่น้องเท่านั้น
อีลอน มัสก์ ในสมัยเด็ก มักอยู่แต่กับญาติพี่น้องเท่านั้น

แต่สิ่งนึงที่เขาชอบที่สุด ก็คือ การอ่านหนังสือ มัสก์อ่านทุกอย่างที่อ่านได้เพื่อเป็นการแก้เบื่อของเขาในการใช้ชีวิตที่นี่ เขาสามารถใช้เวลากับหนังสือเล่มโปรดกว่า 10 ชม.ต่อวัน เขาอ่านหนังสือได้มากมาย บางครั้งสามารถอ่านหนังสือเล่มใหญ่ ๆ ได้ 2 เล่มภายในวันเดียวเลยด้วยซ้ำ

เขามักจะไปฝังตัวอยู่ที่ร้านหนังสือเป็นประจำ มันเหมือนโลกทั้งใบของเขา คือ โลกของการอ่านหนังสือนี่เอง  บางครั้งการไปฝังตัวที่ร้านหนังสือของเขานานจน เจ้าของร้านต้องมาไล่ให้เขากลับบ้าน แม้กระทั่งยามที่ทานอาหารมือค่ำ หากมีอาหารที่ไม่น่าสนใจนัก เขาก็มักจะพกหนังสือมานั่งอ่านบนโต๊ะอาหารด้วย

หนังสือที่เขาชอบนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวของฮีโร่ ที่มากอบกู้โลก หรือ หนังสือที่เกี่ยวข้องกับการผจญภัย มีหลาย ๆ เล่มที่น่าสนใจ มัสก์ ได้อ่านมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น The Lord of the Rings by J.R.R Tolkien , everything by Jules Verne , the Foundation Series by Isaac Asimov หรือ everything by Robert Heinlein และอีกมากมาย

หนังสืออย่าง everything by Jules Verne นั้นทำให้ มัสก์ สนใจเรื่องฟิสิกส์ รวมถึงเรื่องของสิ่งที่เป็นอนาคต เช่น เรือดำน้ำ , ยานอวกาศ  การเดินทางไปในอวกาศ ซึ่งล้วนแล้วเป็นที่มาในความสนใจของเขาที่สุดท้ายแล้วมาสร้างบริษัท SpaceX แทบจะทั้งสิ้น

หนังสือของ Jules Verne ทำให้มัสก์ เริ่มหันมาสนใจฟิสิกส์
หนังสือของ Jules Verne ทำให้มัสก์ เริ่มหันมาสนใจฟิสิกส์

ซึ่งหลายปีต่อมา เขาก็ชอบอ่าน ประวัติ บุคคลสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น Benjamin Franklin หรือแม่กระทั่งประวัติ ของ สตีฟ จ๊อบส์ เขาสนใจเรื่องจิตวิญญาณในการเป็นผู้ประกอบการของผู้ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจเหล่านี้

การ์ตูนก็เป็นสิ่งที่เด็กทุกคนสนใจ ซึ่งมัสก์ เอง ก็เหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป เขาไล่อ่านการ์ตูน หลาย  ๆ เรื่องตั้งแต่ Batman ไปจนถึง Iron Man ซึ่งสุดท้าย หลายๆ สื่อได้ยกเขาเปรียบเสมือน Iron Man ในโลกแห่งความจริงเลยด้วยซ้ำ

ซึ่งหลังจากอ่านการ์ตูน จนไม่มีอะไรจะให้เขาอ่านแล้วนั้น เขาก็เริ่มสนใจไปอ่านหนังสืออย่าง Encyclopedia Britannica ซึ่งแม่ของเขายังตกใจว่า มัสก์ นั้นสามารถจดจำเนื้อหาส่วนใหญ่ของ encyclopedia หลังจากอ่านจบ พี่สาวของเขา ทอสก้า ให้ฉายากับ มัสก์ว่า “genius boy” เพราะทึ่งในความสามารถในการจดจำทุกสิ่งทุกอย่างของมัสก์

มัสก์ สามารถ จดจำข้อมูลมหาศาลใน encyclopedia ได้
มัสก์ สามารถ จดจำข้อมูลมหาศาลใน encyclopedia ได้

ครูของมัสก์นั้นก็คิดไม่ต่างจากพี่สาวของเขา  แม้มัสก์จะเป็นคนเงียบ แต่ก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เป็นอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์ และเป็นคนที่รักคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก

แต่ตัวมัสก์เองนั้นก็ไม่ได้เป็นที่รักของเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเสียทีเดียว เพราะเขาต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเองว่า เขานั้นฉลาดกว่าใครเพื่อน และความฉลาดของเขานั้น เขาก็ต้องการจะช่วยเพื่อน ๆ ด้วย แต่ส่วนใหญ่เพื่อน ๆ จะไม่ค่อยเข้าใจกับความหวังดีของมัสก์ในลักษณะนี้ มันทำให้เขาดูแปลกในสายตาเพื่อน ๆ ตั้งแต่เด็ก

เขาไม่ค่อยสุงสิงกับเพื่อนสักเท่าไหร่ มักจะไปขลุกอยู่ในห้องสมุดของโรงเรียนเสียมากกว่า ในขณะที่เพื่อน ๆ ต่างเล่นสนุกกัน ซึ่ง นิสัยเหล่านี้นั้น จะเห็นได้ว่าจะคล้ายกับเหล่านักธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จมาแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น สตีฟ จ๊อบส์ หรือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก

มันเป็นช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตได้ลำบากมาก ๆ สำหรับเด็กน้อยยอดอัจฉริยะ อย่าง อีลอน มัสก์ ซึ่งชีวิตในวัยเด็กก็ส่งผลสำคัญต่อมัสก์ ในวัยเด็กเป็นอย่างมาก มันเป็นชีวิตที่น่าเบื่อของเขามาก ๆ กับการใช้ชีวิตในแอฟริกา เขามักถูกรังแกจากเพื่อนร่วมชั้นอยู่เสมอ แต่มันไม่มีทางเลือกสำหรับเด็ก ที่ต้องตื่นเช้าและไปโรงเรียน เขาเกลียดชีวิตในวัยเด็กของตัวเองเป็นอย่างมาก

และมันได้ส่งผลต่อชีวิตในครอบครัวของเขา การที่เขาเป็นเด็กที่ฉลาดมาก บางครั้งทำให้ไม่ค่อยเชื่อฟังสิ่งที่พ่อแม่พูด เขามักจะถามหาเหตุผลในทุก ๆ เรื่อง คำว่า Why? นั้นคือประโยคที่เขามักพูดกับแม่เขาบ่อย ๆ เพราะเขาเป็นคนที่รู้เยอะมากจากการอ่าน บางครั้งหากพ่อแม่สอนอะไรผิด ๆ เขาก็มักจะสวนกลับไปทันที และ ไม่มีท่าทีรดราวาศอก เขาจะเถียงจนกว่าแม่เขาจะยอมแพ้ไปเท่านั้น

จุดเปลี่ยนที่สำคัญของ มัสก์ คือ การได้พบเจอกับโลกใหม่คือคอมพิวเตอร์ เขาได้พยายามสะสมเงินเพื่อซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวเครื่องแรกของเขาอย่าง Commodore VIC-20 ซึ่งแน่นอนสำหรับเด็ก ๆ มันใช้สำหรับเล่นเกมส์นั่นเอง

Commodore VIC-20 คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของมัสก์
Commodore VIC-20 คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของมัสก์

มัสก์ ต้องการสร้างเกมส์ของตัวเอง เขาจึงได้พยายามเรียนรู้ที่จะทำการฝึกเขียนโปรแกรม เขาจึงได้ไปลงเรียนในคลาส computer programming ซึ่งในปี 1983 ในขณะที่เขาอายุได้ 12 ปีนั้น เขาสามารถสร้างเกมส์และขายไปยัง นิตยสารที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ได้ถึง 500 เหรียญ เขาติดต่อผา่น mail ง่าย ๆ ไปยังนิตยสารเพื่อต้องการขายเกมส์ที่เขาสร้างขึ้นมา ซึ่งเกมส์แรกที่เขาสร้างขึ้นคือ “Blaster” 

เป็นการเอาแนวคิดเกมส์อาเขต ที่เขาชอบอย่าง Asteroids และ Space Invaders มารวมร่างกัน ซึ่งจากผลงานชิ้นแรก นั้นทำให้เขาเป็นที่ยอมรับจากนิตยสาร และเขาก็สามารถสร้างเกมส์อื่น ๆ ขายได้อีกในภายหลัง

BLASTER เกมส์แรกที่ทำรายได้ให้มัสก์
BLASTER เกมส์แรกที่ทำรายได้ให้มัสก์

ตอนอายุได้ 17 ปี มัสก์ ต้องการที่จะออกจากแอฟริกา ไปยัง แคนาดา หนึ่งในเหตุผลหลักคือ เขาไม่ต้องการที่จะเข้าไปเกณฑ์ทหาร มัสก์นั้นอยากเข้าเรียนมหาลัยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

เขาต้องการหนีจากแอฟริกาใต้ มานานมากแล้ว ที่นี่เปรียบไปก็ไม่ต่างจากคุกสำหรับคนอย่างเขา ความหลงไหลในคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยี และความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเขาเป็นแรกผลักให้เขาต้องออกจากแอฟริกา แคนาดานั้นเป็นแค่ ที่พักชั่วคราวเท่านั้น เพราะเขามีบรรพบุรุษเป็นชาวแคนาดา 

ตอนนี้เขาเริ่มเติบโตขึ้นอีกขั้นแล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมที่จะไปแสวงโชค ที่ดินแดนแห่งเสรีภาพ เป้าหมายอันแรงกล้าของเขาคือ  ซิลิกอน วัลเลย์ สถานที่บ่มเพาะผู้ประกอบการหน้าใหม่ มันชัดเจนว่าเขามีจิตวิญญาณที่จะเป็นผู้ประกอบการที่ยิ่งใหญ่ได้ บวกกับความฉลาดเป็นกรด เขาแค่ต้องเรียนให้จบมหาลัยเท่านั้น และตอนนี้ตั๋วเดินทางไปแคนาดามันพร้อมแล้ว ซึ่ง มันจะเป็นการเดินทางจากบ้านไปอย่างไม่มีวันหวนกลับสำหรับชายที่ชื่อ อีลอน มัสก์

–> อ่านตอนที่ 4 : What Do I Do Now?

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol 

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 2 : Lost Cities

หลาย ๆ ท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าตัว อีลอน มัสก์ นั้นได้เติบโตขึ้นในวัยเด็กในประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งประเทศแอฟริกาใต้ นี่เองเป็นที่ ที่ มัสก์ นั้นได้หล่อหลอมเอาความคิด และ นิสัยบางอย่าง จากสภาพแวดล้อม รวมถึงวัฒนธรรม ที่สุดท้ายมันได้หล่อหลอมให้กลายเป็น อีลอน มัสก์ อย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้

และหลายท่านอาจจะไม่รู้ว่า นามสกุลของ อีลอน มัสก์ นั้น นับเป็นหนึ่งในนามสกุลที่เก่าแก่ที่สุดนามสกุลนึงเลยก็ว่าได้ของประเทศอังกฤษ ซึ่งถือได้ว่า มัสก์ นั้นเป็นนามสกุลแรก ๆ ของอังกฤษ หลังจากประเทศอังกฤษนั้นได้ เริ่มมีการปรับมาให้ใช้นามสกุลเพิ่มจากเดิมที่เหล่าประชากรจะมีแต่เพียงแค่ชื่อเพียงเท่านั้น ซึ่งการเกิดขึ้นของนามสกุล ก็เพื่อใช้ในการจัดเก็บภาษี ได้สะดวกขึ้นนั่นเอง

ถ้าจะย้อนไปถึงรากเหง้าจริง ๆ ของตระกูล มัสก์ นั้น มีข้อมูลว่าสามารถที่จะติดตามย้อนกลับไปได้ถึง ศตวรรษที่ 18 ต้นตระกูลจริง  ๆ นั้นคือ เฮนรี่ มัสก์ ที่ได้แต่งงานกับ Mary Faulkener ซึ่งทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษ และมีลูกๆ  รวมทั้งสิ้น 4 คน และสืบเชื้อสายต่อเนื่องมาจนถึง อีลอน มัสก์ ในปัจจุบัน

มัสก์ มักจะถูกล้อเสมอ ๆ ในวัยเด็ก เพราะชื่อที่แปลกประหลาดอย่าง อีลอน นั้นมีที่มาจากไหน ซึ่งชื่อของเขามาจาก คุณตาทวด ที่ชื่อ จอห์น อีลอน ฮัลเดอมัน ซึ่งคุณตาทวดของมัสก์ นั้น ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่มียารักษาในขณะนั้น โดยเสียชีวิตในปี 1909

ภรรยาของ คุณตาทวด จอห์น อีลอน ฮัลเดอมัน คือ  อัลเมด้า ฮัลเดอมัน ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับลูกชาย ซึ่งก็คือคุณตาของมัสก์ โจชัว ฮัลเดอมัน โดยหลังจากสามีได้เสียชีวิตไป ได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่ แคนาดา ด้วยความเชื่อที่ว่าหากเป็นโรคเบาหวาน จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้หากอยู่ในที่ที่หนาวพอ ซึ่งแคนาดาสามารถตอบสนองสิ่งดังกล่าวได้ดี

ซึ่งต้นแบบหลักของมัสก์ ก็น่าจะเป็นคุณตาของเขาอย่าง โจชัว ฮัลเดอมัน นี่เอง ที่เป็นผู้ชายแหวกแนว ที่มีความโดดเด่นอย่างมาก ซึ่งเป็นต้นแบบที่สำคัญของมัสก์ต่อมา

โจชัว คุณตาของมัสก์ นั้นทำงานได้หลายอย่าง และยังมีทักษะในหลาย ๆ เรื่องเช่น การต่อยมวย การเล่นมวยปล้ำ การยิงปืน การไต่เชือก เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความสามารถหลากหลายเลยทีเดียวในขณะนั้น 

คุณตา โจชัว ได้แต่งงานกับ วีน ครูสอนในสตูดิโอเต้นรำชาวแคนาดาในปี 1948 โดยมีลูกด้วยกัน 5 คน และสองในห้า นี้เป็นฝาแฝด คือ เคย์ และ เมย์ ซึ่งคือ แม่บังเกิดเกล้าของอีลอน มัสก์ ในภายหลังนั่นเอง

เมย์ แม่บังเกิดเกล้าของ อีลอน มัสก์
เมย์ แม่บังเกิดเกล้าของ อีลอน มัสก์

คุณตา โจชัว เป็นคนโลดโผน และใช้วิธีเสรีนิยมในการเลี้ยงลูก ๆ ของเขา เขาชอบขับเครื่องบิน ในตอนนั้นเขาได้เปิดคลินิกไคโรแพรกติก ซึ่งคลินิกแพทย์ทางเลือกที่มีความนิยมในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก

แต่ในปี 1950 ชีวิตของคุณตา โจชัว และครอบครัวก็ต้องออกผจญภัยอีกครั้ง เพราะคุณตาเบื่อกับระบบราชการแคนาดาที่ชอบมาก้าวก่ายชีวิตการทำงานของเขา และนิสัยรักการผจญภัยของเขา รวมถึงเขาก็มีแนวคิดที่จะนำเอาคลินิกไคโรแพรกติกไปเผยแพร่ในประเทศอย่างแอฟริกาใต้อีกด้วย เขาจึงพาครอบครัวทั้งหมดออกเดินทางไปแอฟริกาใต้ ที่ๆ พวกเขาไม่เคยไปมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

ไคโรแพรกติก เป็นแพทย์ทางเลือก ที่ปัจจุบันก็ยังไ้ดรับความนิยม
ไคโรแพรกติก เป็นแพทย์ทางเลือก ที่ปัจจุบันก็ยังไ้ดรับความนิยม

สำหรับเมืองในแอฟริกาใต้ ที่ โจชัว ต้องการจะไปอาศัยนั้น เขายังไม่ได้ตัดสินใจตั้งแต่แรก เขาทำการบินด้วยเครื่องบินส่วนตัวของเขาสำรวจดูเมืองต่าง ๆ ทั่วแอฟริกาใต้ จนสุดท้าย มาปักหลักอยู่ที่เมือง พริทอเรีย นอกกรุงโจฮันเนสเบิร์ก 

ย้ายมาอยู่ Pretoria ที่แอฟริกาใต้
ย้ายมาอยู่ Pretoria ที่แอฟริกาใต้

และที่แอฟริกาใต้นี่เองที่เปิดโอกาสให้ โจชัว ได้ใช้ชีวิต โลดโผนผจญภัยได้อย่างเต็มที่ มีเรื่องที่น่าสนใจที่ โจชัวต้องการค้นหาสิ่งหนึ่งนั่นก็คือ Lost City หรือ เมืองโบราณในทะเลทราย คาลาฮารี ที่มีการตีพิมพ์เรื่องราวจากนักเดินทางชื่อดังอย่าง ฟารินี่ ที่เคยเขียนบันทึกเกี่ยวกับเมืองลึกลับแห่งนี้ ว่ามีซากของเมืองโบราณอยู่ และหลังจากที่ ฟารินี่ กลับไปที่ยุโรป ก็ได้ตีพิมพ์ เรื่องนี้ออกสู่สาธารณชน ทำให้มีผู้คนสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งรวมถึง ตัวโจชัวด้วยนั่นเอง

มันได้ท้าทายโจชัวให้ไปค้นหา นิสัยรักการผจญภัยของเขา จึงได้ทำการออกทำการค้นหาเมืองลับแลในทะเลทราย คาลาฮารี ที่แสนน่าสะพรึงกลัว เขาต้องการเห็นด้วยตาตัวเอง ทะเลทราย คาลาฮารี เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย นา ๆ นับชนิด รวมถึงยังมีชนเผ่าโบราณ ที่ยังคงใช้ชีวิตแบบเดิมอาศัยอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้

เมืองลับแล ในทะเลทราย คาลาฮารี ที่ โจชัว คิดว่ามาอยู่จริง
เมืองลับแล ในทะเลทราย คาลาฮารี ที่ โจชัว คิดว่ามาอยู่จริง (Credit : messagetoeagle.com)

ทะเลทรายคาลาฮารี ได้ชื่อว่าเป็นทะเลทรายที่อุดมสมบูรณ์และเปียกชื้นที่สุดของแอฟริกา มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มาก สภาพภูมิประเทศเป็นทุ่งหญ้าสลับกับต้นไม้ มีลักษณะคล้ายทุ่งสะวันนา ในอดีตทะเลทรายคาลาฮารีเคยมีพื้นที่กว้างขวางไปจรดถึงทะเลทรายสะฮาราทางตอนเหนือ ปัจจุบันอุณหภูมิในช่วงเวลากลางวันที่แดดร้อนจัดอาจสูงได้ถึง 70 องศาเซลเซียสบนพื้นดิน และในเวลากลางคืนก็มีอุณหภูมิถึงขั้นติดลบ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ท้าทายสำหรับนักเดินทางเป็นอย่างมาก

เขาออกสำรวจที่ทะเลทรายหลายครั้ง บางครั้งก็พาภรรยา วีน รวมถึงลูกชายอย่าง สก็อตไปด้วย มันเป็นการผจญภัยที่น่าสนุกสำหรับ โจชัว แต่ไม่สนุกสำหรับลูกชายเขาเลย เพราะบางครั้ง การนอนค้างแรม อาจจะมีสิงห์โต หรือ เสือ ตัวยักษ์ มาเยี่ยมเยียน เต๊นของพวกเขาอยู่เสมอ พวกเขาใช้ชีวิตด้วยการล่าสัตว์ เพื่อมาทำอาหาร ต้องบอกว่ามันเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบของชายรักการผจญภัยอย่าง โจชัว

การออกผจญภัยแต่ละครั้งใช้เวลานานเป็นเดือน ๆ ซึ่งเขาก็ได้พยายามหาเมืองลึกลับ ตามที่ ฟารินี่ บันทึกไว้ แต่ก็ไม่ได้พบมันซักครั้ง ซึ่งสุดท้าย ก็เกิดโศกนาฏกรรม กับตัวเขาเอง เพราะเขาได้ประสบอุตบัติเหตุเครื่องบนตกจนเสียชีวิตในที่สุดในปี 1974 

ซึ่งสุดท้ายได้มีการทำการวิจัยเรื่องที่ฟารินี่เล่าในบันทึกการเดินทาง และมีหลักฐานบางอย่างที่มาหักล้างว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด แต่ ก่อนที่โจชัว จะเสียชีวิตนั้น เขาก็ยังเชื่ออยู่เสมอว่า Lost Cities หรือ เมืองลับแล แห่งนี้นั้นมันมีอยู่จริง ๆ 

ตอนนั้น อีลอน มัสก์ ยังอยู่ในวัยหัดเดิน แต่ ต้องบอกเลยว่า คุณตา โจชัวของเขานั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อหลาย ๆ อย่างของอีลอน มัสก์ เมื่อเขาเติบโตขึ้นมา อีลอน นั้นได้ยินวีรกรรมมากมายเกี่ยวกับความกล้าหาญของคุณตา โจชัว ของเขา

อิทธิพลของคุณตาโจชัว นั้นส่งผลถึง อีลอน มัสก์ เป็นอย่างมาก
อิทธิพลของคุณตาโจชัว นั้นส่งผลถึง อีลอน มัสก์ ตั้งแต่วัยเด็ก เป็นอย่างมาก

เขาได้ดูภาพถ่ายนับไม่ถ้วน ที่บันทึกการเดินทางของคุณตาโจชัวของเขา มันเป็นการผจญภัยที่แสนมหัสจรรย์ ที่ อีลอน มัสก์ นั้นรับรู้มาตั้งแต่เด็ก มันคือจิตวิญญาณของการชอบสำรวจ และทำอะไรบ้า ๆ ซึง อีลอน มัสก์ นั้นเชื่อว่า นิสัยสำคัญอย่างนึงของเขา ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงเกิดขีดจำกัดธรรมดาของมนุษย์ของเขา นั้น น่าจะเป็นมรดกตกทอดจาก คุณตา โจชัวของเขาโดยตรงนั่นเอง

–> อ่านตอนที่ 3 : Boredom Leads to Great Things

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ