Geek Daily EP19 : DNA Storage กับเทคโนโลยีที่เก็บหนังได้มากกว่า 100 ล้านเรื่อง

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียและศูนย์จีโนมนิวยอร์กได้คิดค้นระบบการเข้ารหัสใหม่ซึ่งเรียกว่าDNA Fountain ซึ่งมีความสามารถในการบรรจุข้อมูล 215 เพตาไบต์ลงบน DNA เพียงแค่หนึ่งกรัม

นั่นคือมากกว่า 100 เท่าของนักวิจัยก่อนหน้านี้ที่สามารถเก็บข้อมูลไว้ได้ใน DNA และสามารถทำได้โดยการกำหนดอัลกอริทึมสำหรับการสตรีมวิดีโอบนสมาร์ทโฟน 

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/2EiDkJg

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/2ZZYbsY

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3hxJLX8

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/iurk7vH6Sqw

References : https://www.zdnet.com/article/dna-data-storage-landmark-now-its-215-petabytes-per-gram-or-over-100-million-movies/

Elon Musk กล่าว “คนที่ไม่คิดว่า AI จะฉลาดกว่าพวกเขา เป็นคนโง่กว่าที่คิด”

Elon Musk CEO ของ Tesla กล่าวย้ำถึงข้อกังวลของเขาเกี่ยวกับอนาคตของปัญญาประดิษฐ์ในวันพุธที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า ผู้ที่ไม่เชื่อว่าคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้เกินขีดความสามารถทางปัญญาของพวกเราได้ เป็นคนโง่กว่าที่คิด

Musk กล่าว “เราควรกังวลว่า AI กำลังจะก้าวไปถึงจุดไหน และคนที่คิดผิดมากที่สุดเกี่ยวกับ AI คือคนที่ฉลาดมาก ๆ เพราะพวกเขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าคอมพิวเตอร์จะฉลาดกว่าพวกเขา เป็นตรรกะที่โง่กว่าที่คิด

ก่อนหน้านี้ Musk ได้กล่าวว่าเขาเชื่อว่า AI ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อมนุษยชาติมากกว่าอาวุธนิวเคลียร์และเรียกร้องให้มีกฎระเบียบในการตรวจสอบในการพัฒนาเทคโนโลยี AI

“อันตรายของ AI นั้นใหญ่กว่าอันตรายจากหัวรบนิวเคลียร์เป็นอย่างมาก” Musk กล่าวในปี 2018 “ไม่มีใครในโลกนี้อยากให้โลกสร้างหัวรบนิวเคลียร์ขึ้นมาเพิ่มอีก : แต่ AI จะอันตรายยิ่งกว่านิวเคลียร์ “

Mark Zuckerberg CEO ของ Facebook ไม่เห็นด้วยกับ Musk และกล่าวว่า AI มีประโยชน์มากมาย ทั้งการปรับปรุงการดูแลสุขภาพ และสามารถลดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะที่เห็นว่า Musk นั้นมอง AI ในแง่ร้ายมากเกินไปเกี่ยวกับ AI

สำหรับโดยส่วนตัวนั้น ก็ถือว่า ติดตามเทคโนโลยีด้าน AI มาอยู่ตลอดเป็นเวลาหลายปี และใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในการทำงานด้วย ต้องบอกว่าความเห็นส่วนตัวนั้น ค่อนข้างที่จะเห็นด้วยกับ Elon Musk

จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ผมมองเห็นน่าจะเป็นการสร้าง Alpha Go ที่เอาชนะแชมป์โกะโลกได้ ต้องบอกว่า ก่อนหน้านี้ ที่ IBM เคยเอาชนะแชมป์หมากรุกโลกได้นั้น ถือเป็นเรื่องเล็ก ๆ ไปเลย เมื่อเทียบกับเกมส์โกะ เพราะเกมส์โกะ เป็นเกมส์ที่มีความน่าจะเป็นในกระดานสูงมาก และต้องคิดแบบหลายชั้น

ซึ่งการที่ AI สามารถเอาชนะขีดจำกัดในข้อนี้ของมนุษย์ได้นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา เราต้องลองจินตนาการว่า หาก Alpha Go สามารถเอาชนะแชมป์โลกโกะ ได้ แล้วต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อ AI สามารถเรียนรู้การทำงานของมนุษย์ และรู้ถึงจุดอ่อนของมนุษย์เราได้

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ คือการเกิดขึ้นของ Alpha Go
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ คือการเกิดขึ้นของ Alpha Go

ต่อจากนี้เราก็อาจจะได้เห็น Alpha Go ในทุก Domain เลยก็ว่าได้ลองจินตนาการว่า  หมอที่เก่งที่สุดในโลกในด้านที่ AI สามารถจำลองการทำงานได้ เช่น รังสีแพทย์ ที่ใช้ในการวิเคราะห์ผลจากการถ่าย X-RAY ไม่ว่าจะเป็น Ultrasound , MRI , CT-Scan เพื่อใช้ในการวิเคราะห์โรคร้ายต่าง ๆ ซึ่งหมอเล่านี้นั้น ต้องใช้การเรียนรู้ + ประสบการณ์ในการ วิเคราะห์ภาพที่ได้จากเครื่อง X-RAY ชนิดต่าง ๆ ซึ่ง ไม่ยากเลยสำหรับ AI ที่จะเรียนรู้แบบหมอได้

และเทคโนโลยีปัจจุบันนั้น คิดว่า สมมติว่ามีการแข่งขัน ให้หมอที่เทพที่สุดด้านนี้ มาแข่งกับ AI ผลน่าจะไม่ต่างจากเกมส์โกะ ที่สามารถเอาชนะแชมป์โลกไปได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ก็อยู่ที่ว่ามนุษย์เรานั้นจะสามารถยอมรับได้หรือไม่ หากต่อไป นั้น เราจะถูกวินิจฉัยโดย AI ซึ่งไม่ใช่หมอ

เช่นเดียวกับ ในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะยอมรับได้มั๊ยว่า รถแบบขับเคลื่อนอัตโนมัตินั้น จะเป็นรถปรกติที่วิ่งบนถนนเดียวกับเรา ซึ่ง ยังไงอัตรการเกิดอุบติเหตุจาก AI เหล่านี้ ก็น่าจะน้อยกว่ามนุษย์อยู่แล้ว เพราะความแม่นยำที่สามารถตรวจสอบได้ และขีดจำกัดหลาย ๆ อย่างของมนุษย์นั้น จะไม่สามารถทำงานได้เทียบเท่า AI อีกต่อไป

แล้วคุณล่ะ คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ???

References : https://www.businessinsider.com/elon-musk-smart-people-doubt-ai-dumber-than-they-think-2020-7