TikTok กับภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดของเจ้าพ่อ Social Network อย่าง Mark Zuckerberg

ในธุรกิจของแพล็ตฟอร์ม Social Network นั้น มีบริการใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย บางรายอยู่รอด บางรายก็ล้มหายตายจาก แต่พี่ใหญ่ที่ดูจะทรงพลัง และ ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก Social Network คงหนีจากใครไปไม่ได้นอกจาก Facebook ของ Mark Zuckerberg นั่นเอง

ต้องบอกว่า Mark Zuckerberg นั้นนำพา Facebook มาไกลเกินกว่าที่จะมีใครจะมาหยุดความร้อนแรงของพวกเขาได้ พวกเขาได้เจอศึกหนักมาหลายๆ ครั้งในการจัดการบริการน้องใหม่ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อมาท้าทายโลกแห่ง Social Network ธุรกิจหลักของพวกเขา

บางรายต้องล้มหายตาย จาก แม้กระทั่งขาใหญ่ยุคเริ่มต้นอย่าง myspace ก็ล้มไม่เป็นท่า แทบจะไม่มีจุดยืนในธุรกิจอย่างที่เราได้เห็นกันในปัจจุบัน

แน่นอนว่า มีหลากหลายกลยุทธ์ที่ Mark ใช้จัดการกับภัยคุกคามเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อกิจการไปเสียเลยอย่างเช่น Instragram ที่พวกเขาได้มาในราคาถูกมาก ๆ เพียงแค่ 1 พันล้านเหรียญเท่านั้น แต่ตอนนี้กลายเป็นบริการที่ยอดนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

หรือการเข้ามาของยักษ์ใหญ่อย่าง Google ที่ได้ส่งบริการ Google plus เข้ามาร่วมแจม ซึ่งในช่วงแรกมีการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะล้ม Facebook ให้ได้ เพราะกำลังเข้ามากัดกินส่วนแบ่งเค้กเม็ดเงินโฆษณาออนไลน์จำนวนมหาศาลที่ Google เคยถือครองอยู่เพียงผู้เดียว

ยักษ์ใหญ่อย่าง Google ก็ยังพ่ายแพ้หมดรูปในตลาด Social Network
ยักษ์ใหญ่อย่าง Google ก็ยังพ่ายแพ้หมดรูปในตลาด Social Network

แต่สุดท้าย Google Plus ก็พบจุดจบเดียวกับบริการอื่น ๆ ที่ไม่สามารถต่อกรกับ Facebook ได้ เพราะดูเหมือน Mark Zuckerberg เองจะเข้าใจความเป็น Social แพล็ตฟอร์มมากกว่าคนอื่นใดในโลกนี้

หรือการเข้ามาคุกคามจาก Snapchat เองก็ตาม ที่ดูเหมือนช่วงแรก ๆ จะถือเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัว แต่ก็เจอกลยุทธ์เด็ด ในการ copy cat ทำบริการเลียนแบบไปเสียเลยในผลิตภัณฑ์อย่าง instragram ก็ทำให้สถานการณ์ของ Snapchat ดูโซซัดโซเซ อย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้

เรียกได้ว่า ใครหน้าไหนเข้ามารุกรานในธุรกิจหลักของ Mark Zuckerberg อย่างธุรกิจ Social Network นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเสียมากกว่า แต่ตอนนี้ ศัตรูตัวฉกาจคนสำคัญกำลังเกิดขึ้น นั่นก็คือ TikTok

ต้องบอกว่ามันคือภัยคุกคามที่อันตรายที่สุด ตั้งแต่การเกิดขึ้นของแพล็ตฟอร์ม Facebook เลยก็ว่าได้ เพราะมันได้กระจายไปอย่างรวดเร็ว รุนแรง และกลายเป็นประแสไปทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ที่หันมาใช้งาน TikTok กันอย่างบ้าคลั่ง

ยิ่งโดยเฉพาะช่วงเหตุการณ์ COVID-19 นั้นดูเหมือน จะทำให้ TikTok แพร่กระจายอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น กลายเป็นกระแส Mass ขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่วัยรุ่นอีกต่อไป มันได้กลายเป็นแพล็ตฟอร์มที่ คนทุกวัยนั้นหันมาสนใจเป็นอย่างมาก

TikTok จากจีน ที่กลายมาเป็นภัยคุกคามครั้งสำคัญของ Facebook
TikTok จากจีน ที่กลายมาเป็นภัยคุกคามครั้งสำคัญของ Facebook

ซึ่งมันคล้ายกับการเกิดขึ้นของ Facebook ที่เริ่มเดิมที ฮิตเฉพาะหมู่วัยรุ่นมหาลัย ก่อนที่จะโอบล้อมไปยังกลุ่มคนวัยอื่น ๆ จนกลายเป็นอันดับหนึ่งของโลกอย่างที่เราได้เห็นในที่สุด

และดูเหมือนกระสุนเม็ดแรกที่ Mark ยิงเข้าไปเพื่อทำลาย TikTok นั้นมันจะไม่ได้ผล เพราะบริการอย่าง Lasso ที่ตั้งใจทำมาเลียนแบบ TikTok โดยตรง ดูเหมือนจะเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ได้ผล และเตรียมปิดบริการในเร็ว ๆ นี้

ส่วนกระสุนเม็ดที่สอง ที่ Mark กำลังใช้โดยย้อนรอยวิธีการเดิม ๆ ในการกำจัด Snapchat นั่นก็คือ ทำการฝัง Features ไว้ในแพล็ตฟอร์มหลักของตัวเองอย่าง Instragram Reels ซึ่งเราก็ต้องมารอดูกันต่อไปว่า กลยุทธ์นี้จะได้ผลอีกครั้งหรือไม่

แต่แน่นอนว่า ตอนนี้ ศึก Social Wars รอบใหม่ได้บังเกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนจะสนุกกว่าครั้งเก่า ๆ ที่ผ่านมา ที่ได้คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวอย่าง TikTok ซึ่งไม่ใช่เป็นของอเมริกา แต่เป็นของประเทศจีน แผ่นดินใหญ่ ซึ่งต้องบอกว่า มันส่งผลต่อเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายทั้งการเมือง สังคม และเรื่องของ Data

ซึ่งหากเหล่าผู้คนไหลเทมาใช้งาน TikTok มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ พลังในการกุม Data ที่มีอิทธิพลของ Facebook ก็เริ่มจะอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ ซึ่งเราก็ต้องมาติดตามกันต่อไปครับว่า ศึกครั้งนี้ใครจะเป็นฝ่ายชนะ ด้วยเดิมพันที่มหาศาล แน่นอนว่า ไม่มีใครที่อยากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอนครับ ในศึกครั้งนี้

Movie Review : Train to Busan 2 Peninsula ฝ่านรกซอมบี้คลั่ง

ถือเป็นหนึ่งภาพยนตร์ที่หลาย ๆ คนน่าจะรอคอยกันอยู่สำหรับ Train to Busan 2 Peninsula ฝ่านรกซอมบี้คลั่ง หลังจากที่ได้ฝากผลงานภาคแรกไว้ได้อย่างน่าประทับใจ ถือเป็นอีกหนึ่งหนังเกาหลีที่มีคุณภาพระดับ Hollywood เลยทีเดียว

“PENINSULA” ภาคต่อหนัง ซอมบี้ชื่อดัง “TRAIN TO BUSAN” ที่เคยสร้างปรากฏการณ์พีกคลั่งสุดขีดทำรายได้ถล่ม ทลายมาแล้วทั่วโลก

เป็นภาพยนตร์ ซอมบี้บ้าคลั่งที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ด้วยโปรดักชั่นระดับ Hollywood ที่เนรมิตดินแดนนรกร้างทั่วทั้งคาบสมุทร เกาหลี โดยครั้งนี้ได้เล่าเหตุการณ์ 4 ปีหลังจาก Train to Busan ดินแดนที่เต็มไปด้วยฝูงซอมบี้ กระหายเลือด และ เหลือจำนวนผู้รอดชีวิตแค่เพียงหยิบมือ

เป็นการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด การต่อสู้หนีตายจากฝูงซอมบี้ พร้อมกับตามหา มนุษย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ จึงกลายมาเป็นภารกิจหลักที่ดินแดนสุดเขตคาบสมุทร เดินหน้าสู่ขีดสุดความคลั่งก่อน วันสิ้นโลก

“PENINSULA” นำแสดงโดยนักแสดงมากฝีมือที่วงการภาพยนตร์เกาหลีคุ้นเคยกันดีอย่าง “คัง ดงวอน” จาก Romance of Their Own และ A Violent Prosecutor และ “อี จองฮยอน” จาก The Battleship Island

ซึ่งจากตอนจบในภาคแรกที่ไปถึงเมือง Busan ทางตอนใต้ของประเทศเกาหลี ที่ดูเหมือนจะรอด แต่สีหลังจากนั้น พบว่าทั้งคาบสมุทร เกาหลี ต้องพบกับความหายนะ ที่เหล่าซอมบี้ เข้ายึดครองได้ทั้งหมด

เนื้อเรื่องของ Peninsula นั้น เริ่มต้นย้อนกลับไปช่วงที่ มนุษย์กลุ่มท้าย ๆ ได้ทำการย้ายจากคาบสมุทรเกาหลี เพื่ออพยพไปยังประเทศอื่น ๆ และที่หมายของการดำเนินเรื่องคือ ฮ่องกง ถือว่า สามารถต่อจากเนื้อเรื่องเดิมได้ค่อนข้างดี และอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้อย่างสมเหตสมผล

สำหรับภาค 2 นั้น ไม่ได้เกี่ยวกับรถไฟ อีกต่อไป เพราะมันเป็นการสร้างเนื้อเรื่องขึ้นมาใหม่ ที่ใช้ตัวละครใหม่ทั้งหมด ที่ชายเกาหลีทั้งสี่ ต้องกลับไปทำภารกิจที่ประเทศบ้านเกิดของตัวเองอีกครั้ง ซึ่งเป็นภารกิจที่เสี่ยงตาย แต่มันคุ้มค่ากับจำนวนเงินมหาศาลที่จะเปลี่ยนชีวิตพวกเขาเหล่านี้

แน่นอนว่า มันเกี่ยวกับเรื่องการเหยียดชนชาติ ที่ทั้ง 4 โดนกระทำมา เมื่อต้องอพยพมาอยู่ที่ฮ่องกง เพราะภาพจำของชาวโลกนั้น มองว่า ชาติเกาหลี เป็นต้นกำเนิดเชื้อไวรัสนรกตัวนี้ ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกมากนักที่จะยกระดับชีวิตของตัวเองขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง

แม้เนื้อเรื่องจะไม่มีอะไรมากมาย แต่ต้องบอกว่า ฉากบู๊ ฉากแอคชั่น ทำได้ดีพอสมควร และ ฉากการขับขี่รถไล่ล่านั้น ต้องบอกว่าทำได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมกับความแอคชั่นสุดมันส์จากหนังเรื่องนี้

ส่วนของ CG นั้นก็ทำออกมาได้ดีไม่ต่างจากภาคแรก แต่ภาคนี้ บทบาทของซอมบี้ จะน้อยไปหน่อย ไม่มีการบุกตะลุย คลั่ง ฆ่าคน เหมือนภาคแรก แต่บทจะเน้นไปที่ความดิบของตัวละครทั้งหมดแทน ผ่านการเล่าเรื่องที่น่าสนใจเลยทีเดียว

เพราะภูมิหลังของตัวแสดงแต่ละคนนั้น มีความเชื่อมโยงกันทั้งหมด และยังเชื่อมโยงไปยังจุดจบตอนท้ายของเรื่อง ที่เรียกได้ว่า พลิกไป พลิกมาหลายตลบเลยทีเดียว

และผู้กำกับอย่าง ฮยอนซังโฮ ก็สร้างตัวละคร ที่มีหลากหลายมิติ ซึ่งทุกคนนั้นดูมีความเชื่อมโยงกัน และแสดงให้เห็นถึงความดิบเถื่อนในเหล่าผู้อยู่รอด ที่บางครั้งอาจจะทำตัวร้ายกาจกว่าเหล่าฝูงซอมบี้ ที่กำลังยึดครองเมืองอยู่เสียด้วยซ้ำ

ความสัมพันธ์ของครอบครัวก็เป็นหนึ่งประเด็นที่ หนังเรื่องนี้พยายามยัดใส่เข้ามาตลอดทั้งเรื่อง ตั้งแต่ตอนต้นเรื่องเลยทีเดียว แต่เมื่อดำเนินเรื่องมาถึงตอนจบ ก็ถือว่าค่อนข้างที่จะวางพลอตต่าง ๆ ไว้ได้ดีพอสมควร ทำให้เราได้ลุ้นไปถึงตอนจบว่าบทสรุปสุดท้ายมันจะเป็นยังไงกันแน่

ต้องบอกว่า ใครคาดหวังกับหนังเรื่องนี้ว่ามันจะเหมือนภาคแรกนั้น อาจจะผิดหวังได้ เพราะมันดูเหมือนมันจะเป็นคนละแนวกันเลยทีเดียว ภาคต่อนี้ มันคือหนังแอคชั่น ที่ผสมความดราม่า เรื่องครอบครัว และความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของตัวละคร ที่ก็ถือได้ว่าทำออกมาได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี ถือเป็นอีกหนึ่งภาพยนต์คุณภาพ ที่ตอนนี้โรงหนังแทบจะไม่ค่อยมีหนังใหม่ออกมาให้เราได้รับชม หนังดำเนินเรื่องไม่น่าเบื่อ มีความน่าติดตามตลอดเรื่อง พร้อมฉากแอคชั่นมันส์ ๆ ไปจนจบเรื่อง แนะนำให้ไปดูกันได้เลยครับ ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน