การลงทุนด้าน AI กลายเป็น Priority ที่สำคัญที่สุดของบริษัทยักษ์ใหญ๋ในอเมริกา

ต้องบอกว่า ณ ขณะนี้นั้น ยุค Mobile First ได้จบลงไปแล้ว สำหรับการแข่งขันของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของอเมริกา

ตอนนี้ ทุก ๆ บริษัทนั้นกำลังมุ่งเน้นมาที่ AI First ซึ่งเป็นคลื่นลูกใหม่ของเทคโนโลยี ที่จะมีผลต่อการแข่งขันของเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น Google , Apple , Facebook , Amazon, IBM  หรือ Microsoft

จากการที่ Apple ได้ทำการจ้างอดีตหัวหน้าฝ่าย Search & AI มาจาก Google ได้นั้น ต้องถือว่าเป็นการย้ายสลับขั้วที่เป็นข่าวใหญ่เลยทีเดียว

เป็นการเสียมือดีอย่าง John Giannandrea ซึ่งฝากผลงานไว้อย่างมากมายกับเทคโนโลยีสุดล้ำของ Google ซึ่งสุดท้ายก็ได้ทำสิ่งที่เหลือเชื่อคือ การย้ายข้ามฝากมาทำงานกับ Apple ซึ่งจะดูเป็นรองในด้าน AI เมื่อเที่ยบกับ Google

ซึ่งจากรายงานของนักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley อย่าง Katy Huberty นั้น พบว่าในบริษัทยักษ์ใหญ่ในอเมริกาในขณะนี้นั้น Priority ที่สำคัญที่สุดในการที่จะแข่งขันกับคู่แข่งได้ คือ การลงทุนด้าน AI ไม่ว่าจะเป็นนักวิจัย หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI นั้นบริษัทเหล่านี้พร้อมที่จะทุ่มเทงบประมาณเต็มที่เสมอ เพื่อดึงตัว สุดยอดฝีมือทางด้าน AI ให้มาเข้าร่วมกับตนเองให้ได้ ดังตัวอย่างที่ Apple สามารถทำได้มาแล้ว

John Giannandrea

ซึ่งการจ้าง John Giannandrea ทำให้เค้ากลายเป็นผู้บริหารสำคัญลำดับต้น ๆ ของ Apple ในขณะนี้ โดยต้องรายงานตรงไปยัง Tim Cook CEO ของบริษัท Apple เพียงคนเดียวเท่านั้น ต้องถือว่าข่าวนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงการประกาศอย่างชัดเจนว่า Apple จะเป็นผู้เล่นรายสำคัญ ในอุตสาหกรรม AI/Machine Learning ที่จะมีบทบาทสำคัญต่อโลกของเราอย่างมากในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากทุก ๆ บริษัทยักษ์ใหญ่ตอนนี้ได้มุ่งเน้นมายัง AI First กันแทบทั้งหมด

การที่ apple เข้ามา Focus ในส่วนของ AI นั้น ก็เพื่อช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่าง SIRI ให้มีความสามารถมากยิ่งขึ้น รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ apple แอบซุ่มพัฒนาอยู่อย่าง self-driving car ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงทางด้าน AI และต้องใช้บุคคลากรที่มีความสามารถสูงอย่าง John Giannandrea จึงจะบรรลุเป้าหมายที่ apple ต้องการได้

AI Vendor ระดับท็อป

สำหรับ Google , Apple และ Facebook นั้น ผลิตภัณฑ์ทางด้าน AI จะเน้นไปยังกลุ่ม Consumer เป็นหลัก แต่ ถ้าพูดถึงตลาดสำหรับองค์กรนั้น จากการสำรวจ AI Vendor ระดับท็อป อย่าง Amazon , Microsoft และ IBM ผ่านการสำรวจกับ CIO ของบริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา และ ยุโรป พบว่า Amazon Machine Learning ใน AWS ของ Amazon และ Microsoft Machine Learning ใน Cortana ของ บริษัท Microsoft นั้นมาเป็นอันดับหนึ่งในผลการสำรวจ โดยได้คะแนนถึง 13% จากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด โดยผู้ที่เข้าร่วมตอบแบบสอบนั้นจะเป็นคนที่ใช้เทคโนโลยีทางด้าน AI หรือ มีแผนที่จะใช้เทคโนโลยีทางด้าน AI เหล่านี้อยู่แล้ว

อันดับที่ 3 คือ IBM Watson จากบริษัท IBM ที่ได้คะแนน 12% ตามมาด้วย Salesforce.com (CRM) Machine Learning ที่ได้ไป 7%

ซึ่งผลจากการที่ปีที่แล้ว IBM นั้นได้เสียหัวหน้าฝ่ายวิจัยด้าน AI ไปให้กับคู่แข่ง และการพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็วของ Amazon และ Microsoft นั้นทำให้สามารถแซง IBM ที่ผลิตภัณฑ์เด่นอย่าง IBM Watson ขึ้นมาได้จากการสำรวจดังกล่าว

ซึ่งการแข่งขันทางด้าน AI/Machine Learning ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของอเมริกานั้น ล้วนแล้วแล้วแต่ต้องพี่งพาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากบริษัทเทคโนโลยีใน Silicon Valley แทบทั้งสิ้น ในทุก ๆ อุตสาหกรรม ที่มีการใช้ IT ในการขับเคลื่อนธุรกิจ

ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของสหรัฐนั้น มีการใช้งบทางด้าน Information Technology อยู่ทีประมาณ 5.8% ในแต่ละปี ซึ่งตลอด 10 ปีที่ผ่านมางบดังกล่าว ก็ได้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ตามกระแสของเทคโนโลยีที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

ซึ่งในยุค AI First นั้น องค์กรต่าง ๆ ก็ต้องการผลิตภัณฑ์ที่จะตอบโจทย์ธุรกิจของตนเอง เพื่อให้สามารถเป็นอาวุธในการแข่งขันในตลาดที่ดุเดือด และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างเช่นในปัจจุบันได้ หากองค์กรใดที่ไม่ยอมปรับตัว ก็มีโอกาสที่ ธุรกิจที่มีมาร้อย ๆ ปี อาจจะล่มสลายได้ในเวลาเพียงไม่นาน เหมือนที่หลาย ๆ ธุรกิจ อย่าง สิ่งพิมพ์ เพลง หรือบริษัทมือถือยุคเก่าอย่าง Blackberry,Nokia เคยล้มมาแล้วในเวลาอันสั้น หากไม่ยอมคิดที่จะปรับตัว

 

References : thenextweb.com wikipedia.org www.investors.com

การปฏิวัติยูเครน Winter On Fire (Ukraine’s Fight For Freedom)

เป็นเวลากว่าร้อยปี ที่ ประเทศยูเครน เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างฝั่งตะวันตก และ ตะวันออกของประเทศรัสเซีย ซึ่งในที่สุดในปี 1991 ยูเครนก็ได้รับเอกราช

การเมืองของยูเครนนิ่งมานาน จนการมาถึงของ วิคเตอร์ ยานูโควิช ในช่วงปี 2013 ผู้นำคนสำคัญที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ประเทศยูเครนอย่างสิ้นเชิง จากการที่เขาเป็นคนฝักใฝ่ฝ่ายรัสเซีย และออกห่างจากยุโรป ซึ่งเป็นวิธีการที่ชาวยูเครนส่วนใหญ่รับไม่ได้ เพราะเป็นการพาประเทศเดินถอยหลังกับการไปคบหากับรัสเซีย

จุดเริ่มต้นของการปฏวัตินั้นเริ่มที่จตุรัส ไมดาน กลางกรุงเคียฟ เมืองหลวงของรัสเซีย ซึ่งเริ่มมีประชาชนที่ไม่พอใจ ประธานาธิบดี ยานูโควิช ได้ทยอย ๆ เข้าร่วมร่วมกับผู้นำฝ่ายค้าน ที่มาเข้าร่วมชุมนุมกับประชาชน

ด้วยกระแสทาง Social Network อย่าง Facebook ทำให้ประชาชนเริ่มทยอยมาที่จตุรัสไมดานมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นการต่อสู้ด้วยพลังของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่มีม๊อบจัดตั้งแบบบางประเทศแถวเอเชีย

ประชาชนต้องการเรียกร้องให้นำยูเครนเข้าสู่สหภาพยุโรป โดยวันแล้ววันเล่าที่ประชาชนต่างมาเรียกร้อง ก็ยังไม่มีการตอบสนองจากรัฐบาลเกิดขึ้น

เริ่มมีการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทางรัฐบาลส่งมาปราบปราม ภาพการปะทะนั้นได้รับการเผยแพร่ไปทั่ว Social Network รวมถึงช่องทีวีดัง ๆ จากทั่วโลก

หลังจากการถูกปราบปรามจากตำรวจที่จตุรัส ไมดานแล้วนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ก็ได้หนีไปยังโบสถ์ เซ็นต์ไมเคิล หรือ วิหารทองคำ  และเริ่มมีการจัดระเบียบการชุมนุมมากขึ้น เริ่มมีส่วนของสเบียงอาหาร รวมถึง มีส่วนของศูนย์การแพทย์ เพื่อช่วยเหลือผู้ชุมนุม ซึ่งในช่วงเริ่มต้นของการชุมนุมนั้น ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นวัยรุ่นยุคใหม่ทั้งสิ้น

หลังจากการถูกปราบปรามในครั้งแรกก็ทำให้เริ่มมีประชาชนหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ ทั่วประเทศเพิ่มมากขึ้น ไม่เพียงเฉพาะประชาชนเมืองเคียฟแล้วเท่านั้น ซึ่งทำให้ขนาดของการชุมนุมมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าครั้งแรกที่จตุรัสไมดานอย่างเห็นได้ชัด

คนนับแสนเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่ใจกลางเมืองเคียฟ ไม่ใช่แค่เพียงเหล่านักศึกษารุ่นใหม่อีกต่อไป ชาวยูเครนต่างพร้อมใจกันเป็นฝ่ายเดียว ไม่มีแบ่งแยกสี จากนั้นก็เดินหน้ากลับไปที่จตุรัสไมดานอีกครั้ง

ซึ่งคราวนี้ เหล่าคนดังทั้งหลาย รวมถึง เซเลบชื่อดัง ต่างมาร่วมชุมนุมด้วยทั้งสิ้น ทำให้การชุมนุมกลับมาครึกครื้นขึ้นอีกครั้งหลังจากการถูกปราบปรามในครั้งแรก

หลายคนที่โกรธแค้นจากที่ถูกปราบปรามในครั้งแรกนั้น เริ่มคิดแผนที่จะยึดทำเนียบประธานาธิบดี ที่อยู่ไม่ไกลจาก จตุรัสไมดาน ซึ่งคราวนี้เริ่มมีการใช้ความรุนแรงขึ้นจากกลุ่มผู้ชุมนุมเอง ตำรวจก็ต้องเริ่มจัดการโดยใช้แก๊สน้ำตาอีกครั้ง และ ด้วยจำนวนตำรวจที่มาป้องกันนั้นมีมากกว่าชุมนุม พร้อมอาวุธคือ กระบอง ที่ใช้ในการจัดการผู้ชุมนุม

การปะทะกันรอบสองนี้ทำให้ผู้ชุมนุมบาดเจ็บไปเป็นจำนวนมากกว่าครั้งแรก หลายคนบาดเจ็บสาหัส จากการกระทำของกลุ่มตำรวจ ทำให้ภาพเหล่านี้กระจายไปยังวงกว้าง ผ่านทั้ง Social Media รวมถึงช่องทีวีต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ

หลังจากนั้นเริ่มมีกระแสกดดันจากนานา ประเทศ เริ่มได้ส่งตัวแทนเข้ามาเจรจาปัญหากับรัฐบาลยูเครน เพื่อให้แก้ปัญหานี้อย่างสันติ

แต่ท่าทีของรัฐบาลนั้นเริ่มชัดเจนว่า ต้องการกวาดล้างผู้ชุมนุมสร้างความวุ่นวายให้หมด โดยยกกองกำลังตำรวจจำนวนมหาศาล มาล้อมจตุรัสไมดานไว้

ซึ่งในคืนวันที่ 11 ธันวาคมของ ปี 2013 สถานการณ์ก็เริ่มเปลี่ยน เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พยายามผลักดันผู้ชุมนุมให้สลาย ไม่สามารถต้านทานพลังของผู้ชุมนุมที่เข้ามามากขึ้นได้ ทำให้ต้องถอนกำลังออกไป เริ่มมีการประนามจากนานาประเทศ เนื่องจากเหล่าผู้ชุมนุม ส่วนใหญ่ได้มีการชุมนุมอย่างสันติ

เมื่อถึงวันที่ 20 ของการชุมนุม รูปแบบการชุมนุม ก็พร้อมมากขึ้น มีการฝึกปฏิบัติกับสถานการณ์หากถูกสลายการชุมนุม เริ่มมีการตั้งสิ่งกีดขวาง ไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงได้ รวมถึง เริ่มมีหน่วยลาดตระเวนบริเวณที่ชุมนุม เพื่อรักษาความปลอดภัย และไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มมือที่สามที่มีโอกาสเข้ามาสร้างสถานการณ์ รวมถึงกลุ่มผู้นำศาสนาเริ่มเข้ามามีบทบาทกับการชุมนุมมากยิ่งขึ้น

ในที่สุด ชาวยูเครนก็ต้องมาฉลองปีใหม่ที่จตุรัสไมดาน ร่วมกัน เค้าดาวน์ ต้อนรับปีใหม่ 2014 ร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุม กว่าแสนชีวิต

หลังจากนั้นการชุมนุมก็ยืดเยื้อมากว่า 2 เดือน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่เป็นรุปธรรม ตามความต้องการของผู้ชุมนุมเลย พรรคฝ่ายค้านที่ไปทำหน้าที่ในสภาก็ไม่สามารถทำให้อะไรดีขึ้นไปได้ มีแต่การประชุม ๆ ซึ่งไม่มีอะไรคืบหน้าสำหรับเหล่าผู้ชุมนุมเลย รวมถึง ทาง ยานูโควิช ก็แสดงเจตจำนงให้ปล่อยให้การชุมนุมยืดเยื้อไปอย่างงี้ และไม่ได้ตอบสนองใด  ๆกับสิ่งที่ผู้ชุมนุมเรียกร้อง

กลุ่มผู้ชุมนุม เริ่มไม่เชื่อ กับการแก้ไขปัญหาโดยนักการเมือง เริ่มมีการต่อสู้อย่างจริงจรังกับตำรวจ โดยมีการปะทะกันหลายครั้ง ซึ่งรอบนี้ตำรวจเริ่มใช้ไม้แรงขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มยิงกระสุนยาง เพื่อต้านกลุ่มผุ้ชุมนุม แต่เนื่องจากสถานการณ์เริ่มยืดเยื้อมานาน ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุม ไม่กลัวตำรวจอีกต่อไป รวมถึง มีการฝึกรับมือมาอย่างดี ทำให้ เริ่มมีการใช้ความรุนแรงจากทั้งสองฝ่ายมากยิ่งขึ้น กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มใช้อาวุธอย่าง ระเบิดเพลิง  เริ่มมีการจุดไฟเผายาง เพื่อป้องกันไม่ให้ตำรวจเข้าจู่โจม สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงไปเรื่อย ๆ

พอถึงวันที่ 63 ของการชุมนุม เริ่มมีความอลหม่านมากยิ่งขึ้น ตำรวจเริ่มจะมีการสลายการชุมนุมอีกครั้ง ตอนนี้สถานการณ์เริ่มร้ายแรง ตำรวจเข้าทำลาย แม้กระทั่ง สถานพยาบาลชั่วคราวที่ไว้รักษาอาการบาดเจ็บของผู้ชุมนุม  เริ่มมีการใช้กระสุนจริง กับผู้ชุมนุม ทำให้มีคนตายในที่สุด

หลังจากยืดเยื้อไปถึงวันที่ 90  ก็ได้มีการปะทะครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ณ ขณะนี้ จตุรัส ไมดาน กลายเป็นกองเพลิงขนาดใหญ่ ที่ผู้ชุมนุมต่างจุดไฟเผา เพื่อไล่กลุ่มตำรวจ ต้องบอกว่า สถานการณ์เลวร้ายแบบสุด ๆ เริ่มมีการเผาตึกรามบ้านช่อง ทำให้เคียฟ กลายเป็นทะเลเพลิง เริ่มมีผู้เสียชีวิตมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งฝ่ายผู้ชุมนุม และ ตำรวจ  เริ่มกลายเป็นสงครามกลางเมืองเข้าไปทุกที ตอนนี้เริ่มมีการใช้อาวุธหนักเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตำรวจเริ่มนำปืนกลมาใช้ รวมถึง สไนเปอร์ เพื่อดักยิงกลุ่มผู้ชุมนุม แต่กลุ่มผู้ชุมนุม ก็ยังไม่มีท่าทีจะยอมแพ้แต่อย่างใด แม้ต้องเอาตัวเองไปรับกระสุน เพื่อช่วยเหลือเพื่อนที่บาดเจ็บออกมาก็ตาม

หลังจากผ่านวันสุดเลยร้าย รัฐบาลเริ่มโอนอ่อน เริ่มมีการเสนอทางเลือกให้ มีการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2014  แต่ต้องบอกว่าหลังจากความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงนั้น กลุ่มผู้ชุมนุม ไม่ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว ต้องการให้ ยานูโควิช ลาออกเท่านั้น

สุดท้ายด้วยความกดดันจากทุกทาง ที่มีมาเรื่อย ๆ รวมถึงผู้คนที่ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ประชาชนก็ไม่ยอม ต้องให้เค้าออกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สุดท้าย ยานูโควิช ก็ทนความกดดันไม่ไหว ต้องหนีออกจากเคียฟไปในที่สุด  และชัยชนะ ก็เป็นของเหล่าผู้ชุมนุมในที่สุด เป็นการสิ้นสุดการปฏิวัติ ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งนึงของโลกเราเลยก็ว่าได้

การปฏิวัติยูเครน บ่งบอกอะไร เมื่อ เปรียบเทียบกับการชุมนุมในไทย?

ต้องบอกว่าการปฏิวัติครั้งนี้ ถือเป็นผลสำเร็จของการชุมนุมโดยประชาชนโดยแท้จริง สุดท้ายรัฐบาลก็ไม่สามารถทนต่อแรงกดดัน ที่ประชาชนต่อสู้มาอย่างยาวนานต่อเนื่องได้ จุดเปลี่ยนสำคัญน่าจะเกิดจากการใช้กำลังจนเริ่มควบคุมไม่อยู่ ทำให้มีการสังหารประชาชนโดยใช้กระสุนจริง ๆ และอาวุธที่ร้ายแรงอย่างต่อเนื่อง ๆ

ต้องบอกว่าการชุมนุมประท้วงครั้งนี้นั้น เป็นพลังบริสุทธิ์ ที่มาจากประชาชนโดยแท้จริง  ๆ ซึ่งหากเราเทียบกับการประท้วงของประเทศเรา ซึ่งอยู่ในห้วงเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของฝั่งเสื้อแดง หรือ รอบล่าสุดอย่าง การชุมนุม ของกปปส. นั้น มันมีนัยยะทางการเมือง ของนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง จะบอกว่าเป็นการชุมนุมที่เหมือนกับยูเครนมั๊ย ต้องบอกว่าต่างกันสิ้นเชิง

ที่ยูเครน เค้าสู้ด้วยพลังที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง แม้จะมีแกนนำที่เป็นนักการเมืองฝ่ายค้านอยู่ด้วย แต่สุดท้าย เค้าก็ไม่เชื่อแกนนำเหล่านี้อยู่ดี เพราะมีผลประโยชน์ทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ถึงแม้จะมีคนตายจำนวนมาก เค้าก็พร้อมที่จะฝ่าดงกระสุน โดยใช้เพียงโล่เป็นเกราะป้องกันเท่านั้น จะเห็นได้ถึงความบริสุทธิของพลังมวลชนจริง ๆ

จุดจบของการประท้วงหลายครั้ง ก็ เริ่มมาจากความรุนแรง จากฝั่งรัฐบาลทั้งนั้น ถ้าปราบปรามได้สำเร็จก็ถือเป็นผู้ชนะ แต่ที่ยูเครน แม้จะใช้กำลังยังไง ประชาชนก็ต่อสู้จนหยดสุดท้ายของชีวิต โดยแทบไม่มีอาวุธในการต่อกรกับตำรวจเลย ต่างจากประเทศไทยเรา ที่ได้มีการนำกลุ่มกองกำลัง มาสู้กับรัฐ ซึ่งมันกลายเป็นสงครามกลางเมืองดี ๆ นี่เอง ซึ่งในไทยสุดท้ายแล้ว คนที่เป็นเหยื่อก็คือผู้ร่วมชุมนุม ที่ไปปฏิบัติตามแกนนำ เช่นการไปเผาสถานที่ราชการ หรือ การใช้อาวุธมาต่อสู้กับทหาร จุดจบของการชุมนุมทุกครั้งของประเทศไทย คือ ความพ่ายแพ้

แม้ใครจะบอกว่า กปปส สามารถชุมนุมจนชนะล้มล้างนายกยิ่งลักษณ์จนสุดท้ายหนีออกไปอยู่ต่างประเทศได้ แต่ต้องบอกว่า การยืมมือทหาร เข้ามาปฏิวัติ แบบที่ไทยเราเคยเจอมาตลอดในรอบ 20 ปีหลัง  นี่แหละเป็นความพ่ายแพ้อย่างแท้จริงของการชุมนุมในไทย ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับการปฏิวัติของยูเครน โดยพลังบริสุทธิ์ของประชาชนโดยแท้จริง

References : netflix.com

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

เมื่อเทคโนโลยี Robot สามารถที่จะช่วยเหลือศัลย์แพทย์ในการผ่าตัดกระดูกและข้อ

หลังจากข่าวล่าสุดที่ Johnson & Johnson Medical Devices Companies บริษัทจำหน่ายเครื่องมือแพทย์อันดับต้น ๆ ของโลก ได้ประกาศการเข้าซื้อบริษัท Orthotaxy จากฝรั่งเศษ ผู้พัฒนาหุ่นยุนต์ช่วยผ่าตัดกระดูกและข้อ ซึ่งรวมถึงการการผ่าตัดแบบเปลี่ยนข้อเข่าของคนไข้ได้จริง

บริษัท Orthotaxy จากฝรั่งเศษ ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 ซึ่งในขณะที่ถูกเข้าซื้อโดย Johnson & Johnson ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริการนั้น ยังอยู่ในช่วงของการพัฒนาและวิจัย ในส่วนการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าของคนไข้เท่านั้น  แต่การ take over ครั้งนี้ มีสัญญาณที่บ่งชี้ให้เห็นว่า ตลาดทางด้านการผ่าตัดกระดูกและข้อนั้นเป็นตลาดที่ใหญ่มาก

ซึ่งประเมินคร่าวๆ ได้ว่า ในแต่ละปีนั้น มีการเปลี่ยนข้อเข่า ของคนไข้ในสหรัฐสูงถึง 780,000 ราย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นถึง 3.48 ล้านราย จากการประมาณการในปี 2030 ซึ่งการที่มี Robot มาช่วยนั้นก็จะสามารถช่วยเหลือศัลยแพทย์ให้สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ซึ่งในขณะนี้ หุ่นยนต์ผ่าตัดชื่อดังอย่าง Da Vinci ของบริษัท Intuitive Surgical ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการศัลย์แพทย์อย่างมหาศาล โรงพยาบาลขนาดใหญ่หลายแห่งเริ่มมีการนำมาใช้ช่วยเหลือในการผ่าตัด ซึ่งโดยเฉพาะการผ่าตัดต่อมลูกหมากนั้น ถือว่า Da Vinci ทำได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก และช่วยเหลือศัลย์แพทย์ได้อย่างมากมายในการผ่าตัด

ผลงานของ Da Vinci นั้นทำให้ Market Cap ของ บริษัท Intuitive สูงขึ้นไปถึง 47,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทำให้ไม่แปลกใจกับการต้องกระโจนเข้ามาสู่เทคโนโลยีทางด้านหุ่นยนต์ผ่าตัดของ Johnson & Johnson ในขณะนี้เพื่อทำให้เป็นผู้นำในตลาดหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดกระดูกและข้อ ที่มีมูลค่าทางการตลาดมหาศาลให้เร็วที่สุด

และต้องบอกว่า เนื่องจากเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง ทำให้มีการจดสิทธิบัตรในเทคโนโลยีของตน ไม่ต่างจากอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้คู่แข่งได้เลียนแบบเทคโนโลยีของตนเองได้อย่างง่าย

ซึ่งทาง Intuitive ได้ทำการตกลงในลักษณะ Licensing deals กับ JustRight Surgical สำหรับการใช้สิทธิบัตรในส่วนของการผ่าตัดในเด็ก ซึ่งจะทำให้สามารถใช้งานเทคโนโลยีในห้องผ่าตัดได้ทั่วโลก

แต่บริษัทอย่าง Auris Surgical ซึ่งก่อตั้งโดย Federic Moll ซึ่งเป็น Co-founder ของ Intuitive ได้ใช้ประโยชน์จากสิทธิบัตรของตนเอง เพื่อให้สามารถสร้างกำไรได้มากที่สุด ซึ่ง สิทธิบัตรของ Auris หลายฉบับนั้นเกี่ยวข้องกับการผ่าตัดเนื้อเยื่อที่บอบบางมาก ๆ เช่น เนื้อเยี่อปอด

ซึ่ง ในช่วงปีที่แล้วนั้น Auris ได้ใช้เงินกว่า 80 ล้านเหรียญสหรัฐ เข้า Take Over บริษัท Hansen Medical เพื่อครอบครองสิทธิบัตรที่มีประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์หลายฉบัยที่ Hansen Medical ถืออยู่

อย่างไรก็ดีรายละเอียดของข้อตกลงระหว่าง Johnson & Johnson และ Orthotaxy นั้นยังไม่ได้รับการเปิดเผย และยังไม่มีกำหนดการที่จะนำผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์ที่ช่วยผ่าตัดกระดูกและข้อ ออกสู่ตลาด

สงคราม Surgical Robot & สิทธิบัตร

ต้องบอกว่าตลาดของการผ่าตัดในทุก ๆ ส่วนของร่างกายนั้นเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มหาศาลเลยทีเดียว เพราะแทบจะเป็นรายได้ลำดับต้น ๆ ให้กับโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนเลยก็ว่าได้ ก่อนหน้านี้ เราจะได้เห็นการซื้อตัวศัลยแพทย์เก่ง ๆ มากมาย จากทำงานให้รัฐ ให้เข้ามาทำงานเอกชน

และผลงานที่ถือว่าเป็นต้นแบบของหุ่นยนต์ผ่าตัดอย่าง Da Vinci ที่เริ่มมีใช้งานกันแล้วทั่วโลกนั้น ทำให้สามารถช่วยเหลือศัลยแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การพัฒนาของเทคโนโลยีอย่างหุ่นยนต์ รวมถึงเซ็นเซอร์ต่างๆ  นั้น รวมถึงกล้องความละเอียดสูงที่มีขนาดเล็กนั้น

นับว่าเป็นส่วนนึงที่จะช่วยเหลือการผ่าตัดของแพทย์ให้มีความแม่นยำมายิ่งขึ้น ซึ่งเครื่องมือต่าง ๆ เหล่านี้นั้น สามารถช่วยเหลือ ศัลยแพทย์ ให้เข้าถึงในส่วนที่ยาก ๆ เช่น สมอง หัวใจ ที่ต้องใช้ความละเอียดแม่นยำสูงมาก และมีผลต่อชีวิตคนไข้เป็นอย่างมาก

ต้องยอมรับว่าถึงแม้ศัลยแพทย์ ที่เป็นมนุษย์นั้นจะเก่งแค่ไหนก็ตาม แต่ยังไง มนุษย์ก็ต้องมีขีดจำกัดในการทำงานในสภาวะที่ยาก ๆ เช่น ในบริเวณชิ้นส่วนของร่างกายที่มีขนาดเล็กมาก ๆ หรือ การเข้าถึงส่วนที่ผิดปรกติของร่างกาย บางครั้งแพทย์ก็รู้ว่าส่วนที่ผิดปรกตินั้นอยู่ตำแหน่งใด

แต่เนื่องจากขีดจำกัดบางอย่าง ก็ไม่สามารถเข้าถึงชิ้นส่วนของร่างกายที่ผิดปรกตินั้นได้ ซึ่งภายในไม่กี่ปีนี้ Robot นั้นจะมีการนำมาใช้อย่างกว้างขวางอย่างแน่นอน เพราะเป็นตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล รวมถึง สิทธิบัตรต่าง ๆ ที่บริษัทใหญ่ ๆ ถือครองอยู่ แม้จะเป็นอุปสรรคในการเข้าถึง แต่ บางที Robot ที่สามารถก้าวผ่านขีดจำกัดของมนุษย์ได้นั้น แม้จะแพงแค่ไหน ยังไงก็เป็นสิ่งที่น่าลงทุนอยู่ดี เพราะสามารถที่จะช่วยเหลือชีวิตเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

References : www.zdnet.com

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol

ทีเด็ด Apple ปีนี้อยู่ที่ Electrocardiogram

ต้องบอกว่าเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ไม่ได้มานั่งฟัง Live สดการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ Apple เพราะ โดยส่วนตัวก็ห่างจากผลิตภัณฑ์จาก Apple มาค่อนข้างนานแล้ว

ปีนี้จึงเป็นปีแรกในรอบหลาย ๆ ปีที่มีโอกาสได้ดู Live ของงาน Apple Event ต้องบอกว่าไม่มีอะไรเซอร์ไพรซ์ จากข่าวหลุดที่ออกมาก่อนหน้านี้เลย ทั้งชื่อรุ่น รูปแบบของ Iphone รวมถึง Spec ต่าง ๆ ที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ ต้องบอกว่า Apple ลดมนสเน่ห์ของงานนี้ลงไปมาก จากการที่ไม่สามารถจัดการข่าวที่หลุดออกไปได้ก่อนหน้า

ถ้าพูดถึงผลิตภัณฑ์เด่น ที่เปิดตัว อย่าง Iphone XS นั้น ต้องบอกว่าโดยส่วนตัวแล้ว ถือว่าน่าผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง แทบจะไม่มีอะไรว้าว ให้น่ากล่าวถึงเลยด้วยซ้ำ มีเพียงแค่การเล่นกับเรื่องเดิม ๆ ทั้งเรื่อง spec ที่เพิ่มในแบบ xเท่า ของชิ้นส่วนต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องปรกติของการ Present ของ Apple ไปเสียแล้ว

รวมถึงการอัด Spec ต่าง ๆ นาๆ ทั้ง 6 CPU เอย  4 GPU เอย ต้องบอกว่า การทำงานนั้น User ทั่วไปแทบจะมองไม่เห็นความแตกต่างอยู่แล้ว คือ Spec ในตอนนี้นั้น ต้องบอกว่า สามารถไปใช้งานเป็น Server ได้แล้วด้วยซ้ำ มันไม่ใช่ แค่สำหรับ End User ใช้งานมือถือ เท่านั้น ต้องบอกว่าเรื่อง Spec นั้นไม่ได้เป็นจุดเด่นของแต่ละเจ้าอีกต่อไป เมื่อทุกเจ้า สามารถอัดมาได้เหมือนกันหมด จึงแทบไม่เห็นความแตกต่าง ของ Android รุ่นท็อป กับ Apple รุ่นท๊อป อีกต่อไป

พระเอกของงานตัวจริง

ต้องบอกว่า แทบจะไม่มีข่าวหลุดมาเลยสำหรับตัว AppleWatch Series 4 ที่ apple ได้เปิดตัวในปีนี้  ซึ่งทำให้โดยส่วนตัวนั้น เริ่มอยากจะหามาใช้บ้างแล้ว หลังจากไม่เคยชายตามองเลยสำหรับ Apple Watch

ข้อมูลที่เหลือเชื่อมาก  ๆ คือ apple watch นั้นเป็นนาฬิกาที่ขายดีที่สุดในโลกไปแล้วในตอนนี้  ซึ่งไม่ใช่แค่ Smart Watch เท่านั้น แต่ apple ได้ส่วนแบ่งการตลาดของวงการนาฬิกาแบบดั้งเดิมไปได้มากที่สุดไปแล้ว ซึ่งตอนเปิดตัวมาตอนแรก ไม่คิดว่า apple watch จะเดินมาได้ไกลถึงขนาดนี้

ต้องยอมรับว่า apple ทำการตลาดในเรื่อง apple watch มาอย่างดี เน้นไปในเรื่องสุขภาพอย่างเห็นได้ชัด โดยอัดเซ็นเซอร์ต่าง ๆ เข้าไปมากมายให้กับผู้ใช้ ได้วัดค่าต่าง ๆ ของร่างกายได้ง่ายยิ่งขึ้น จึงกลายเป็นตลาดขนาดใหญ่ตลาดใหม่ของ apple ซึ่งก็ต้องถือว่า apple watch นั้นเป็นผลงานชิ้นแรก ของ ทิม คุ๊ก หลังจากการจากไปของ สตีฟ จ๊อป ที่สามารถประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ โดยไม่อยู่ใต้เงาของผลิตภัณฑ์ที่ สตีฟ จ๊อบ เป็นผู้สร้างมา

Electrocardiogram กับก้าวที่สำคัญของ Apple Watch

ต้องบอกว่าสิ่งที่ เซอไพรซ์ที่สุดของงานปีนี้ น่าจะเป็น เซ็นเซอร์ ตัวใหม่ของ Apple Watch ซึ่งเรียกว่า Electrocardiogram หรือในศัพท์ทางการแพทย์จริง ๆ ก็คือ การวัด ECG ที่เราใช้ตรวจคลื่นหัวใจเพื่อวัดความผิดปรกติของหัวใจ

ต้องบอกว่า มีผู้คนมากมาย ในโลกนี้ ต้องจบชีวิต ไปอย่างฉับพลัน ด้วยโรคหัวใจ บางคนต้องเสียหัวหน้าครอบครัว สูญเสียคนที่ตัวเองรัก ไปแบบฉับพลัน จากโรคหัวใจ ซึ่งต้องบอกว่าจากความเปลี่ยนแปลงของโลกเราในยุคปัจจุบัน ทั้งเรื่องรูปแบบการกิน รวมถึง รูปแบบการใช้ชีวิต ทำให้คนในรุ่นใหม่ ๆ มีความเสี่ยงกับเรื่องโรคหัวใจมากยิ่งขึ้น

การที่ apple เข้ามาเจาะในตลาด Healthcare อย่างเต็มตัว รวมถึงการเพิ่มความสามารถในส่วนการวัดค่า ECG ได้ หากอย่างที่ Apple โฆษณาจริง ๆ ต้องบอกว่า เป็น Features ที่ปฏิวัติ วงการเลยก็ว่าได้ ให้คนทั่วไปสามารถ คอยมอนิเตอร์ การเปลี่ยนแปลงของคลื่นหัวใจได้ และการทำงานร่วมกับ Apple Watch ก็สามารถทำให้ส่งสัญญาณเตือนให้กับผู้ใช้ได้ โดยหากยิ่งเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจอยู่แล้ว ถือว่าเป็นนวัตกรรมที่ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหัวใจได้อย่างมาก

และไม่ใช่แค่ผู้ป่วยเท่านั้น ที่สนใจที่จะซื้อ apple watch เพราะบรรดาลูกหลานต่าง ๆ ที่เป็นห่วงคุณพ่อ คุณแม่ หรือ คนเฒ่า คนแก่ ก็สามารถที่จะซื้อ apple watch เพื่อคอย มอนิเตอร์ ข้อมูลด้านสุขภาพของคนที่เค้ารักเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ซึ่งจากในงานนั้น ได้มี หมอด้านหัวใจ ออกมารับรองคุณภาพของตัวเซ็นเซอร์ตัวใหม่นี้ ซึ่งคิดว่า apple คงได้ทำการทดสอบมาอย่างดีแล้ว และทีสำคัญ ได้รับการรับรองจาก FDA ของสหรัฐอเมริกา เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย ซึ่งคิดว่า เมื่อมีการวางขายอย่างเป็นทางการของ Apple Watch Series 4 แล้วนั้น คงทำให้รายได้ของ apple เติบโตไปอีกก้าวอย่างแน่นอน ไม่ได้พึ่งเพียงแค่ผลิตภัณฑ์หลักอย่าง Iphone เหมือนเดิมอีกต่อไป

 

References : apple.com

 

 

ประวัติ Elon Musk ตอนพิเศษ : Difficult and Painful

ต้องบอกว่าเป็นปีชงเลยทีเดียวสำหรับ Elon Musk ในปี 2018 ที่ชีวิต ได้เจอกับมรสุมมากมาย ทั้งปัญหาใน Tesla เอง หรือ ปัญหาส่วนตัวที่เค้าค่อนข้างเจอมรสุมมากมาย

ต้องบอกว่า Musk นั้นถือเป็น Tech entrepreneur ที่เป็น idol ของเหล่า Tech Startup ทั้งหลายที่อยากเจริญรอยตามเค้าทั้งนั้น เนื่องจากเค้ามี idea มากมายที่จะเปลี่ยนโลกของเรา ให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่เค้าได้ไป take over Tesla มาเนื่องจากเป็นรถที่ใช้เทคโนโลยีที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ช่วยลดปัญหามลพิษให้กับโลกเรา

หรือ การสร้าง เทคโนโลยีอย่าง Hyperloop ที่ให้คนสามารถเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว ไม่แพ้การเดินทางด้วยเครื่องบิน ผ่านอุโมงค์ใต้ดิน และใช้ระบบไฟฟ้าในการขับเคลื่อนแทนน้ำมันที่ใช้ในเครื่องบิน

รวมถึงโครงการอื่นๆ. อีกมากมาย ที่ Elon Musk น้นได้เข้าไปมีส่วนร่วม ล้วนแล้วแต่เป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกแทบทั้งสิ้น

แล้วถ้าถามว่าทำไมนักลงทุนทั้งหลายถึงได้เชื่อใจ Elon Musk ก็ต้องตอบว่า เค้าเป็นหนึ่งในนักลงทุนกลุ่มแรกของ Silicon Valley  ที่ผ่านวิกฤติ ดอทคอม ในช่วงปี 2000 มาได้และเป็นหนึ่งในกลุ่ม Paypal Mafia ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญต่อโลกเทคโนโลยีของเราในช่วงหลัง ๆ ผลงานเลื่องชื่อ น่าจะเป็นการปลุกปั้น Paypal บริการด้านการเงิน online ที่ต้องบอกว่าเป็น Fintech แรก ๆ ของโลกเราเลยก็ว่าได้ ซึ่งต่อมาได้ขายกิจการให้กับ Ebay

Paypal Mafia กลุ่มผู้มีอิทธิพลใน Silicon Valley

Paypal Mafia กลุ่มผู้มีอิทธิพลใน Silicon Valley

แต่นิสัยอย่างนึงของเหล่า Paypal Mafia กลุ่มนี้ คือ การเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก ๆ ซึ่งจะหาคนที่ทำงานด้วยลำบาก และยึดถือความคิดตัวเองเป็นหลักเสมอ ไม่ค่อยเชื่อถือเพื่อนร่วมงานแต่อย่างใด ดังเห็นในข่าวหลาย ๆ ครั้ง ว่าเหล่าผู้ร่วมงานของ Musk ได้ทยอยลาออกไป เนื่องจากไม่สามารถทำงานร่วมกับ Elon Musk ได้

Tesla พบปัญหาผลิตไม่ได้ตามความต้องการ

Tesla พบปัญหาผลิตไม่ได้ตามความต้องการ

ซึ่งทำให้ปัญหาใหญ่อย่างที่ Tesla ที่ไม่สามารถผลิตรถได้ตามความต้องการได้นั้น Elon Musk ต้องลงมาดูด้วยตัวเอง ซึ่งผิดวิสัย CEO  ส่วนใหญ่ที่มักจะไม่ลงไป Operation เอง แต่ Musk นั้นได้ลงไปคลุกคลีในโรงงานด้วยตัวเอง และจัดการ Operation ทั้งหมดเอง เพื่อให้แก้ปัญหาไปได้ แต่ แม้จะทำให้ปัญหาคลี่คลายไปบ้าง แต่การที่ CEO ต้องลงมาทำเองแบบนี้ ทำให้งานของ CEO จริง ๆ ก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้เช่นกัน ทำให้ปัญหาวนลูปกลับมาที่ Tesla จนเริ่มมีปัญหากับนักลงทุนในที่สุด

และด้วยความกดดันหลาย ๆ ด้าน ทำให้บางครั้ง Elon Musk เองก็ทำอะไรแบบไม่คิดให้รอบด้านซักเท่าไหร่ โดยเฉพาะ ในโลก Social อย่าง Twitter  นั้น Musk มักจะ Tweet อะไรพลาด ๆ อยู่เสมอ เช่น เรื่องการจะนำเอา Tesla ออกจากตลาดหุ้น หรือ การออกมาตอบโต้ ทีมนักดำน้ำที่มาช่วยภารกิจถ้ำหลวงที่ประเทศไทย ก็ล้วน แล้ว แต่เป็นเรื่องที่ไม่น่าพูดออกไปทั้งสิ้น ซึ่งคนระดับ Musk ไม่ควรที่จะลงมาเล่นกับเรื่องอะไรแบบนี้ เป็นการเปลืองตัวเสียเปล่าๆ  ด้วยซ้ำ แต่คิดว่าเนื่องจาก นิสัยส่วนตัวดังที่กล่าว ทำให้เรื่องใน Social มักจะเป็นปัญหากับ Elon Musk เสมอ

Elon Musk สูบกัญชาในระหว่างการสัมภาษณ์ในรายการก็เป็นอีกสิ่งนึง ที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย

Elon Musk สูบกัญชาในระหว่างการสัมภาษณ์ในรายการก็เป็นอีกสิ่งนึง ที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย

และล่าสุดที่ได้ไปออกรายการทีวีในรัฐแคลิฟอเนีย  แม้จะเป็นรัฐที่การสูบกัญชานั้นถูกกฏหมาย แต่ภาพที่ Elon Musk สูบกัญชาในระหว่างการสัมภาษณ์ในรายการก็เป็นอีกสิ่งนึง ที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาเสียหายยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งในขณะนี้ปัญหาต่างๆ  มีมากมายอยู่แล้ว แต่ Musk นั้นก็ทำให้สิ่งต่าง ๆ ดูแย่ลงไปอีก ภาพลักษณ์ของเค้าเสียหายยิ่งขึ้นไปหลังจากที่ภาพการสูบกัญชาถูกปล่อยว่อนในโลก Social

Elon Musk จะผ่านวิกฤตนี้ไปได้อย่างไร

ต้องบอกว่าคนระดับอัจฉริยะ อย่าง Elon Musk นั้นผ่านประสบการณ์ มามากมาย ถึงจะได้รับการยอมรับถึงจุดนี้ได้  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2018 นั้น ต้องถือได้ว่าเป็นปีที่แย่ที่สุดปีนึงของ Elon Musk เลยก็ว่าได้

โดยที่ธุรกิจใหม่ๆ  นั้นเป็นธุรกิจแห่งอนาคตทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Tesla , SpaceX หรือ SolarCity เองก็ตาม มันยังสามารถที่จะตอบโจทย์ในด้านธุรกิจได้รวดเร็วเหมือนธุรกิจอินเตอร์เน็ตอื่น ๆ   และการที่เค้ามี Idea ที่เยอะเกินไปบางครั้ง ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดีนัก เพราะดูเหมือนจะเป็นการทำแบบไม่ Focus สิ่งใด สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนเท่าที่ควร ต้องมานั่งไล่แก้ปัญหา SpaceX ที ปัญหา Tesla ที ทำให้วิสัยทัศน์ใหญ่ของเขานั้นอาจจะขับเคลื่อนได้ช้าลงไป

ที่สำคัญการที่ Elon Musk เป็นคนที่ทำงานหนักมากและชอบทำงานคนเดียว และ ไม่ค่อยรับฟังความคิดเห็นผู้อื่นนั้นสักเท่าไหร่นั้น ยิ่งทำให้ปัญหาเพิ่มมากขึ้นไปอีก การบริหารหลายๆ  ธุรกิจ โดยแต่ละธุรกิจเป็นธุรกิจที่ใหญ่มาก ๆ และมีเรื่องให้แก้ปัญหาเยอะไปหมด ในคราวเดียวกัน แบบที่ Elon Musk ทำในตอนนี้นั้น ไม่น่าจะใช่สิ่งที่ดีในระยะยาวอย่างแน่นอน

ทางที่ดี Musk ควรที่จะเริ่มเชื่อใจผู้ร่วมงานบ้าง และหาคนที่เป็นมืออาชีพ จริง ๆ มาช่วยบริหาร หลาย ๆ ธุรกิจของตัวเองบ้าง แบบที่หลาย ๆ คนทำ เช่น Mark Zuckerberg ก็ปล่อยให้ sheryl sandberg เข้ามาช่วยเหลือในสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด  แล้วทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด จะเห็นได้ถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Facebook ในช่วงที่ผ่านมา

ซึ่งถ้า Mark ยังทำอยู่คนเดียวเหมือนช่วงแรก ๆ Facebook คงไม่สามารถเติบโตได้รวดเร็วดังที่เห็นในวันนี้อย่างแน่นอน ซึ่ง Elon Musk ก็น่าจะมีปัญหาคล้าย ๆ กัน คือต้องยอมลดฐิถิ  ตัวเองลงบ้าง แล้วปล่อยให้มืออาชีพของแต่ละส่วนมาช่วยทำงานด้าน Operation มากขึ้น เพื่อให้งานรุดหน้าไปได้รวดเร็วและมั่นคงมากยิ่งขึ้น แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา ทุกคนก็ต่างยอมรับในความทุ่มเท และเสียสละ และการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้อย่างที่เขาเคยทำมาสำเร็จมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งมัสก์ ก็คงสามารถผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้เหมือนเคย เพราะชายผู้นี้เป็นนักสู้กับปัญหาตัวยง ไม่ว่าปัญหาจะเล็กหรือใหญ่ขนาดไหนเขาก็สามารถที่จะผ่านมันไปได้ทุกครั้งเหมือนเคย

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol