5 เหตุผลที่ว่าทำไม Yandex จึงเป็นผู้นำในตลาดการค้นหาเหนือ Google ในประเทศรัสเซีย

Yandex ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านการค้นหาของรัสเซียที่จดทะเบียนในตลาด NASDAQ และเป็นคู่แข่งสำคัญของ Google ในตลาดรัสเซีย แล้วทำไมมันจึงเป็นที่นิยมในหมู่ชาวรัสเซีย?

ต้องบอกว่า Yandex นั้นเป็นมากกว่าแค่บริษัท มันเป็นเรื่องของความภาคภูมิใจของชาติ แม้ชาวรัสเซียชอบที่จะสวมใส่เสื้อผ้าโดยแบรนด์จากต่างประเทศและอเมริกามากมายแค่ไหนก็ตาม แต่เมื่อมาถึงบริการออนไลน์พวกเขากลับบูชาบริการในท้องถิ่นของพวกเขาเอง

ในปี 1997 ก่อนที่ Larry Page และ Sergey Brin จะสร้าง Google นั้น Ilya Segalovich และ Arkady Volozh ได้ก่อตั้ง Yandex มาก่อนหน้าแล้ว โดยบริษัทยังคงเป็นผู้นำตลาดของรัสเซีย แต่ดูเหมือนว่าการแข่งขันจะรุนแรงขึ้นในทุก ๆ ปี

Google มีเป้าหมายอย่างชัดเจนในตลาดอินเทอร์เน็ตของรัสเซียซึ่งการรุกทั้งหมดยังคง  อยู่ที่ประมาณ 70%เท่านั้นและยังคงอยู่เบื้องหลังการเจาะตลาด 80-90% ในประเทศยุโรปส่วนใหญ่ นอกจากนี้รัสเซียซึ่งมีประชากร 144 ล้านคนมีอัตราการเติบโตอินเทอร์เน็ตสองหลักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ต่อไปนี้เป็น 5 เหตุผลว่าทำไม Yandex จึงเป็นผู้นำในตลาดอินเทอร์เน็ตของรัสเซีย

  • วิธีการที่แตกต่างในการค้นหา ในขณะที่ Google ให้ความสำคัญกับการคำนวณอันดับของหน้าเว็บไซต์มากขึ้นอัลกอริทึมการจัดอันดับของ Yandex จะคำนึงถึงระยะห่างระหว่างคำและความเกี่ยวข้องของเอกสารกับการสืบค้น ในปี 2017 บริษัท ได้เปิดตัวอัลกอริทึม Neural network ใหม่ที่มีชื่อว่า  Korolev  ซึ่งทำให้การค้นหามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • บริการสื่อแบบบูรณาการ Yandex เป็น บริษัทสื่อที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซียและให้บริการemail แผนที่ เพลง วิดีโอ ที่เก็บรูปภาพ แอป และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกมากมายแม้ว่า Google จะให้บริการฟรี  แต่บริการระหว่างประเทศของรัสเซียเหล่านี้มีคุณภาพเทียบเท่าและปรับตัวได้ดีสำหรับผู้ใช้ในท้องถิ่นและบางครั้งก็ทำมันได้ดีกว่า
  • มันเป็นมากกว่าอินเทอร์เน็ต คุณเคยรู้จัก Google แท็กซี่หรือไม่ ไม่แน่นอนเพราะมันไม่มีอยู่จริง ในรัสเซีย Yandex มีบริการรถแท็กซี่ที่ได้รับความนิยมมากกว่า Uber ที่จริงแล้ว  ทั้งสอง บริษัทได้ประกาศแผนการที่จะรวม  ความพยายามของพวกเขาสร้างหนึ่งในบริการรถแท็กซี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในรัสเซีย Yandex ยังแทนที่บริการชั้นนำอื่น ๆ เช่น PayPal ด้วยบริการ Yandex.Money
  • พยากรณ์อากาศที่แม่นมาก ๆ  คุณอาจคิดว่ามันไม่สำคัญ แต่หากไม่มีการพยากรณ์อากาศเราแทบไม่มีอะไรจะพูดถึง Yandex ได้พัฒนาการพยากรณ์ที่แม่นยำที่สุดในโลกด้วยอัลกอริทึมที่ทันสมัย มันมีแผนที่ลมด้วย เริ่มแรกผู้พัฒนาวางแผนที่จะยุติการบริการนี้ แต่พวกเขาเปลี่ยนใจหลังจากได้รับการร้องขอจากชาวประมงรัสเซีย
  • มันดีกว่าสำหรับภาษารัสเซีย  Yandex ดีกว่าสำหรับการค้นหาภาษารัสเซียและถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับตลาดรัสเซียและสามารถเอาชนะอุปสรรคทางภาษาได้มากมาย นอกจากนี้ยังเป็นการดีกว่าที่จะเข้าใจ CrazyFont ซึ่งเป็นการเขียนคำภาษารัสเซียโดยใช้อักษรละตินแทน Cyrillic CrazyFont เป็นที่นิยมในหมู่ชาวรัสเซียที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ

และที่สำคัญที่สุด Yandex นั้นมีอายุมากกว่าบริการออนไลน์จากต่างประเทศชื่อดัง และเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ซึ่งในปี 2004 เมื่อ Google บุกไปที่รัสเซียมันก็สายเกินไปแล้ว เครื่องมือค้นหาอเมริกันถูกจู่โจมอย่างรุนแรง วันนี้ Yandex ยังเป็นเสิร์ชเอ็นจิ้นที่ได้รับความนิยมสูงสุดของรัสเซียและเป็น บริษัท อินเทอร์เน็ตอันดับ 1ของประเทศ

อย่างไรก็ตามในปี 2014 สถานะของ Google เริ่มดีขึ้นเนื่องจากมีชาวรัสเซียใช้บริการอินเทอร์เน็ตบนอุปกรณ์มือถือมากขึ้น จากข้อมูลของ Mail.Ru Group ระบุว่า 75% ของชาวรัสเซียใช้แพลตฟอร์ม Android บนสมาร์ทโฟนทำให้ Google เป็นเครื่องมือค้นหาอันดับ 1 บนมือถือ

แต่ Yandex กำลังต่อสู้กลับ และในปี 2016 บริษัท ได้ทำการยื่นฟ้องระบบปฏิบัติการ Android ของ Google โดยอ้างว่า Google กำลังละเมิดกฎระเบียบต่อต้านการผูกขาดของรัสเซีย

ในเดือนสิงหาคม 2017 ผู้ใช้ Android ในรัสเซียได้รับหน้าจอตัวเลือกในเบราว์เซอร์ Chrome Mobile ทำให้พวกเขาสามารถที่จะเลือกเครื่องมือค้นหาที่ต้องการได้ “นี่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้ใช้ภาษารัสเซียและสิ่งที่เราได้รับ หลังจากการทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานานเพื่อต่อสู้ในเรื่องการผูกขาดของ Google” บริษัทกล่าวในแถลงการณ์

ต้องบอกว่าถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าสนใจกับบริการท้องถิ่นในประเทศรัสเซียอย่าง Yandex ที่สามารถเอาชนะ Google ได้แบบเดียวกับที่ Naver เอาชนะ Google ในประเทศรัสเซียได้

มันคือการแข่งขันที่สมบูรณ์ คงไปเทียบกับในจีนไม่ได้เพราะเป็นการกีดกันจาก The Great Firewall ของประเทศ แต่ในรัสเซีย และ เกาหลีใต้นั้น พวกเขาแข่งขันกันโดยตรง และสามารถเอาชนะ ด้วยความสามารถในการเอาชนะใจผู้ใช้ท้องถิ่นได้

และสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากเรื่องราวของทั้งสองบริษัททั้ง Yandex และ Naver นั้นก็คือ พวกเขาเตรียมสู้ตั้งแต่เริ่ม ก่อนที่ Google จะเข้ามาบุกทำให้พวกเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบโดยเฉพาะเรื่องของภาษา ซึ่งก็น่าเสียใจที่ไทยเราไม่มีบริการแบบนี้ ที่เข้าใจคนไทยมาแข่งขันได้ เพราะภาษาไทยก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งภาษาที่หินมาก ๆ ในการพัฒนาโปรแกรมเพื่อให้เข้าใจเช่นเดียวกัน แต่สุดท้าย google ก็สามารถพัฒนาจนเอาชนะใจคนไทยได้สำเร็จ และสามารถดึงเงิน และ ข้อมูล กลับประเทศไปได้มากมายอย่างที่เราได้เห็นกันในตอนนี้นั่นเองครับ

References : https://www.ksdk.com/article/entertainment/television/show-me-st-louis/602-8388409/
https://www.digitaltrends.com/android/is-russias-yandex-beating-google-at-its-own-gam/
https://www.kgw.com/video/syndication/veuer/yandex-is-beating-google-in-russia/602-8388409
https://russiabusinesstoday.com/featured/yandex-beating-google-in-russia-analysts-say/

Google vs Naver : ทำไม Google ถึงครองตลาดการค้นหาของเกาหลีใต้ไม่สำเร็จ

แม้ว่าปัจจุบัน Google ถือครองตลาดการค้นหาทั่วโลกถึง 83% แต่ก็มีหลายประเทศที่หลุดมือจากพวกเขา หนึ่งในนั้นก็คือเกาหลีเกาหลีใต้ ซึ่งแน่นอนถ้าถามคนเกาหลีว่าใช้เครื่องมือค้นหาอะไรและน่าจะเป็นคำตอบคือ Naver

Naver ปัจจุบันเป็นเครื่องมือค้นหาอันดับหนึ่งของเกาหลีและคิดเป็นกว่า 70% ของตลาดการค้นหาที่นั่น เสิร์ชเอนจิ้น ที่เปิดตัวในปี 1999 โดยกลุ่มอดีตพนักงานของซัมซุงและได้ครองวงการการค้นหาของเกาหลีนับตั้งแต่นั้นมา

หากคุณยังไม่เคยไปที่หน้าแรกของ Naver สิ่งที่น่าจะทำให้คุณรู้สึกได้ทันทีคือความคล้ายคลึงกับ Yahoo หน้าแรกของ Naver และหน้าผลการค้นหาของมันยุ่งกว่าของ Google มากด้วยรูปภาพจำนวนมาก แบนเนอร์ และแฟลช ฯลฯ

หน้าจอที่แตกต่างระหว่าง Google และ Naver
หน้าจอที่แตกต่างระหว่าง Google และ Naver

นั่นเป็นเพราะผู้ดูแลเว็บเกาหลีจำนวนมากบล็อก Google และเครื่องมือค้นหาทั่วโลกอื่น ๆ ไม่ให้เข้าถึงเว็บไซต์ของพวกเขาด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย แล้วทำไมเว็บไซต์ส่วนใหญ่ของเกาหลี จึงไม่จำเป็นต้องเป็นส่วนหนึ่งของ Google

ประการแรกเมื่อพูดถึงนวัตกรรม Naver มักเป็นผู้นำ Google:

  • ในปี 2002 Naver ได้เปิดตัว Knowledge In ซึ่งเป็นระบบนำทางของ Yahoo! Answer ซึ่งฐานข้อมูลความรู้ในการถาม & ตอบยังคงเป็นที่นิยมอย่างมากกับผู้ใช้
  • Naver เริ่มนำเสนอผลการค้นหาประเภทต่างๆก่อนที่การค้นหาทั่วไปของ Google จะปรากฏ
  • Naver เป็นเครื่องมือค้นหาโซเชียลมากขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นในขณะที่ Google ยังเป็นเพียงการค้นหาผ่านเว๊บไซต์เพียงเท่านั้น
  • me.naver.com ของ Naver นั้นมีมานานก่อนที่ Google จะมาพร้อมกับ Search Plus My World (SPYW)

Naver นั้นกำลังรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับหัวข้อยอดนิยมซึ่งมักสร้างโดยผู้ใช้เอง (บล็อกและการค้นหาคำถามและคำตอบ) และการนำเสนอข้อมูลดังกล่าวในลักษณะที่เป็นมิตรกับมนุษย์มาก ซึ่งมีความต่างจาก Google ไม่ต้องพึ่งพาประสิทธิภาพการทำงานของ Search Algorith ซึ่งดูเหมือนหุ่นยนต์มากกว่า “

ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้ว Naver คือ Yahoo! Answer , Blogger, YouTube และการค้นหาของ Google Paid Search รวมกัน ผู้ค้นหามองหาข้อมูลที่จำเป็นโดยการสืบค้นผลการค้นหาของ Naver ประเภทต่างๆ เช่น ฐานข้อมูล ถาม & ตอบ การค้นหาข่าว การค้นหาบล็อก เป็นต้น

Naver สามารถทำอะไรได้บ้างซึ่ง Google ไม่สามารถทำได้

สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ Algorithm การค้นหาของ Naver ถูกสร้างขึ้นผ่านภาษาเกาหลีซึ่งช่วยให้ Naver แสดงผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องมากกว่า Google ในหลาย ๆ ครั้ง เนื่องจากไวยากรณ์ภาษาเกาหลีนั้นแตกต่างจากภาษาอังกฤษค่อนข้างมาก

ตัวอย่างเช่นลองค้นหา 이브닝가운 ( ชุดราตรี ) ใน Naver.com และ Google.co.kr เราจะเห็นได้ว่า Naver ให้ผลการค้นหาที่เป็น สารานุกรมความรู้ 3 รายการ, ผลลัพธ์ 5 ข่าว, 5 ข้อมูลผลลัพธ์ระดับมืออาชีพ (เอกสาร PDF), 3 ผลลัพธ์วิดีโอ และ 5 รูปภาพผลลัพธ์ในหน้าแรก

ความแตกต่างที่ Google ไม่สามารถเลียนแบบได้
ความแตกต่างที่ Google ไม่สามารถเลียนแบบได้

หากเราไปที่ Google.co.kr ตรงข้ามกับหน้าผลลัพธ์ที่ฟุ่มเฟือยของ Naver เราเห็นเฉพาะผลลัพธ์รูปภาพ 5 รายการและผลลัพธ์ 1 ข่าว ผลลัพธ์ที่เหลือจะคล้ายกันมากใน Search Engine ทั้งสอง (และส่วนใหญ่มาจากบล็อก):

ซึ่งอาจพูดได้ว่าเป็นเพราะ Google ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดทำดัชนีเว็บไซต์เหล่านั้นจำนวนมาก แต่ก็มีแนวโน้มมากกว่าที่มองได้ว่า Naver นั้นคุ้นเคยกับข้อมูลเฉพาะของเว็บเกาหลีและภาษาเกาหลีมากกว่า Google ดังนั้นทำให้ Naver ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า สำหรับผลการค้นหาส่วนใหญ่

เหตุผลที่ทำให้ Google โกรธมากๆ ในตลาดการค้นหาในประเทศเกาหลีใต้ ก็คือ เหล่าเว็บมาสเตอร์ชาวเกาหลีจำนวนมากไม่กังวลเกี่ยวกับปัญหาความเป็นส่วนตัวกับ Naver เนื่องจากพวกเขารู้ว่า Naver จะไม่สร้างดัชนีข้อมูลบางอย่าง เหมือนที่ Google ทำ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดความปลอดภัย พวกเขาก็เพียงแค่บล็อก Google bot จากการรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ของพวกเขา

แต่หากมีการนับจำนวนไซต์ที่มีการจัดทำดัชนีใน Naver มันจะมีขนาดเล็กกว่าจำนวนไซต์ที่จัดทำดัชนีใน Google อย่างแน่นอน แต่คุณภาพของเว็บไซต์เหล่านั้นที่ผ่านการเก็บข้อมูลของ Naver อาจจะทำได้ดีกว่า ซึ่งทาง Naver ชอบที่จะทำให้มีเนื้อหาน้อยลงในการเก็บดัชนีเว๊บไซต์ต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งนั้นเป็นของจริงและตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานมากที่สุดนั่นเอง

สิ่งที่ Google พยายามทำทั้งหมด คือการวางเนื้อหาที่เป็นภาษาเกาหลีให้ได้มากที่สุด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้จะต้องโน้มน้าวให้ผู้ดูแลเว็บเกาหลี และนักธุรกิจที่พวกเขาต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาสำหรับ Google นั่นเอง เพราะหากสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น Google จะไม่สามารถให้ผลลัพธ์การค้นหาที่ดีกว่า Naver นำเสนอได้

และปัญหาสำหรับ Google ก็คือผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในเกาหลีส่วนใหญ่ดูเหมือนจะค่อนข้างมีความสบายใจกับการใช้งาน Naver แน่นอนว่าผลการค้นหาของเนื้อหาจากเกาหลีนั้นจะปรากฏบนเว็บ แต่มันสามารถมองเห็นผ่าน Naver ในรูปแบบสไตล์การแสดงผลที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ Google ไม่สามารถเลียนแบบได้ 

สถานะของ SEO กับ Search Engine ในประเทศเกาหลี

แล้วการทำ SEO ของเกาหลีใต้นั้น มีอยู่จริงหรือไม่? ต้องบอกว่ามันไม่มีอยู่ในรูปแบบที่ปรากฏในสหรัฐอเมริกา ซึ่งแต่ละส่วนของการค้นหาใน Naver นั้น (การค้นหาด้านความรู้ การค้นหาบล็อก การค้นหาข่าว ฯลฯ ) ต่างมีอัลกอริทึมเป็นของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีสูตรการเพิ่มประสิทธิภาพที่เหมาะกับการทำ SEO ให้กับเว๊บไซต์ในแต่ละรูปแบบ เหมือนที่ เหล่านักการตลาดออนไลน์ทำสำเร็จกับ Google

ในประเทศเกาหลีนั้น มันค่อนข้างเป็นการผสมผสานระหว่างการโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก และการจ่ายต่อเวลาควบคู่ไปกับการโปรโมตใน Knowledge In ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของบล็อก ข่าว รูปภาพ วิดีโอและผลลัพธ์ประเภทอื่น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากการทำ SEO ในแบบของ Google ในที่อื่น ๆ ทั่วโลก

บทสรุป

ต้องบอกว่าอุตสาหกรรมการค้นหาของเกาหลีนั้น เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ ที่ Google ไม่สามารถที่จะครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จเหมือนที่อื่น ๆ ในโลกได้ มันมาจากรากฐานทางวัฒนธรรม ความเป็นชาตินิยม และอีกหลาย ๆ อย่างที่เราได้เห็นศักยภาพของบริการ หรือ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากประเทศนี้ สามารถต่อสู้ในระดับโลกได้

สำหรับ ตัวผมเอง ถ้าถามว่าชาติไหนเจ๋งที่สุด ก็ต้องบอกว่า เกาหลีอยู่ในลำดับต้น ๆ เพราะพวกเค้าต้องต่อสู้มาตั้งแต่ความยากลำบาก ในระดับประเทศที่ยากจนข้นแค้น หลังจบสงคราม ก่อสร้างประเทศ สร้างผลิตภัณฑ์ และบริการต่าง ๆ ที่มีคุณภาพแข่งขันได้ในระดับโลก

ซึ่งทั้งที่ประเทศพวกเขานั้นไม่ได้มีประชากรมากมาย เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่สามารถสร้างผลิตภัณฑ์และใช้ Economy of scale เอาชนะคู่แข่งได้ง่ายกว่า แต่เกาหลีเป็นประเทศเล็ก ๆ และคิดใหญ่ ทำใหญ่ และทำมันออกมาได้ดีมาก ๆ ในหลากหลายสินค้าและบริการ และตัวอย่างหนึ่งก็คือสิ่งที่ Naver ทำได้สำเร็จกับตลาด Search Engine ที่สามารถเอาชนะยักษ์ใหญ่อย่าง Google ได้นั่นเองครับ

–> อ่าน Blog Series : Rise of South Korea

References : https://www.theegg.com/sem/korea/paid-search-in-korea-naver-ads-vs-google-ads/
https://www.minttwist.com/blog/google-vs-naver-googles-struggles-south-korea-focus/
https://www.twinword.com/blog/4-reasons-why-seo-in-korea-is-difficult/

สงครามการเมือง กับเบื้องหลังความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญของ Google Plus ที่มีต่อ Facebook

Google+ ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกปิดตัวลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  หลังจากที่ บริษัท ใช้เงินไปหลายร้อยล้านดอลลาร์กับโปรเจ็คดังกล่าว Google Plus ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะต่อสู้กับ Facebook ได้เลย 

มันเป็นความล้มเหลวครั้งสำคัญของ Google ในโลกออนไลน์ที่พวกเขาถนัด ซึ่งหลังจากอดีตนักออกแบบของ Google Plus ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมที่ทำงานกับผลิตภัณฑ์ กล่าวว่าสาเหตุหลัก ๆ คือ เรื่องของการเมืองภายในองค์กร และการขาดวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่

หนึ่งวันหลังจากที่ Google ประกาศเกี่ยวกับบริการที่ไม่มีใครสนใจ Google ยอมรับว่า 90% ของผู้ใช้ นั้นอยู่ในบริการของ Google+ น้อยกว่าห้าวินาที อดีตพนักงานของ Google ชื่อ Morgan Knutson ได้กล่าวย้อนอดีตถึง ผลงานภายในของ Google Plus

Knutson ทำงานเป็นนักออกแบบกับ Google+ ระหว่าง 2011 และ 2012 เขาได้ทวีตมากกว่า 200 ครั้ง เพื่ออธิบายรายละเอียดการดำรงตำแหน่งระยะสั้นของเขาที่ Google+ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อมีเป้าหมายในการเอาชนะ Facebook

สิ่งที่ Knutson กล่าวในทวีต อธิบาย เรื่องราวของความหลงใหล การทรยศ การจัดการที่ผิดและ การเมืองในสำนักงานของ Google เอง จากนั้นเขาก็อธิบายว่าทำไมเขาถึงได้เข้ามาทำงานในโครงการใหม่ของ Google ที่ชื่อว่า Google+

หนึ่งในปัญหามากมายของ Google+ ตามที่พนักงาน Google เคยอธิบายไว้ คือ การขาดวิสัยทัศน์ Knutson กล่าวว่า การมองผลิตภัณฑ์ของ Google ใน Google+ นั้น เป็นการขึ้นอยู่กับความกลัวที่จะสูญเสียการแข่งขันที่มีต่อ Facebook แทนที่จะสร้างสิ่งที่แปลกใหม่อย่างแท้จริงตามวิถีทางแบบเก่า ๆ ของ Google

“วิสัยทัศน์ผลิตภัณฑ์ของ Vic เต็มไปด้วยความกลัว” Knutson เขียนอ้างถึง “Vic” Gundotra ผู้บริหาร Google ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าโครงการ Google+ ก่อนที่เขาจะออกจาก บริษัท ในปี 2014 ท่ามกลางข้อกล่าวหาเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ 

Vic Gundotra อดีตหัวเรือใหญ่ของ Google+
Vic Gundotra อดีตหัวเรือใหญ่ของ Google+

“Google ได้สร้างกราฟขององค์ความรู้และ Facebook ได้สร้างกราฟของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ซึ่งหากเราไม่ได้เป็นเจ้าของกราฟเครือข่ายสังคมออนไลน์ เราก็ไม่สามารถอ้างสิทธิ์ที่จะจัดทำดัชนีข้อมูลในโลกนี้ได้ทั้งหมด” เขาเขียนไว้ในทวีตหนึ่งไว้อย่างน่าสนใจ

อย่างไรก็ตามการมองผลิตภัณฑ์ ไม่ได้เป็นปัญหาเดียวกับโครงการที่ทะเยอทะยานของ Google 

Knutson กล่าวในรายละเอียด และอธิบายว่า ทีมต่าง ๆ ที่ทำงานในโครงการไม่ได้ทำงานพร้อมเพรียงกัน ทีมทั้งหมดทำงานในโมดูลแยกต่างหาก โดยไม่มีความรู้ในสิ่งที่เขาอธิบายว่าเป็น “วิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่” “ทุกสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นล้วนไม่มีความต่อเนื่อง มันเป็นการสร้างและคัดลอก มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อเอาชนะ Facebook”

โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสัยทัศน์เหล่านี้ ไม่ได้จำกัดเฉพาะแพลตฟอร์มของ Google+ เท่านั้น แต่รวมถึงระบบนิเวศของ Google โดยรวมทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าเมื่อ Knutson ออกแบบอินเทอร์เฟซผู้ใช้ทั้งหมดของ Google+ ใหม่ ซึ่งยังอยู่ในช่วงการพัฒนาในเวลานั้นเพื่อรวมแอพอื่น ๆ ของ Google เข้ากับการนำทางในแถบด้านข้าง

แต่เขากลับถูกล้มแนวคิดดังกล่าว โดยผู้บริหารอาวุโส เนื่องจากถูกมองว่ามันไปคล้ายกับส่วนขยายของ Chrome ซึ่ง Google วางแผนที่จะเปิดตัวที่ Google I / O

อีกปัญหาหนึ่งของ Google+ คือข้อเท็จจริงที่ว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมันไม่ได้ถูกพิจารณาโดยระบบนิเวศทั้งหมดของ Google

Knutson อธิบายสิ่งนี้ว่าเป็นความไม่มีความเสมอภาคในการออกแบบในเรื่องประสบการณ์ของลูกค้า “ไม่มีสิ่งใด ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยคำนึงถึงผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในระบบนิเวศของ Google นักออกแบบ UX นั้นไม่ได้สนใจประสบการณ์ของลูกค้าอย่างแท้จริง” เขาเขียน

Google Plus ที่ออกแบบมาโดยไม่คำนึงถึงประสบการณ์ของผู้ใช้
Google Plus ที่ออกแบบมาโดยไม่คำนึงถึงประสบการณ์ของผู้ใช้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Google ได้ปรับปรุงระบบนิเวศทั้งหมดในภายหลัง ซึ่งประกอบไปด้วย Gmail, Google Drive และ G-Suite ในหกปีต่อมา โดยนำความสอดคล้องการออกแบบและเพิ่มคุณสมบัติใหม่ ๆ ให้กับพวกมัน และประสบความสำเร็จอย่างสูง

นอกเหนือจากความไม่เสมอภาคในการออกแบบและวิสัยทัศน์ สิ่งที่ฆ่า Google+ คือการเมืองภายในบริษัท เมื่อคนทำงานเป็นทีม และมีความพยายามในการเล่นการเมืองระหว่างแต่ละทีม ซึ่งมักจะส่งผลเสียต่อโปรเจ็ค ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับ Google+ เช่นกัน

Knutson พบกับการเมืองในสำนักงานระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งใน Google ในที่สุดเมื่อเขาได้รับการอนุมัติให้นำทีมสำหรับการออกแบบส่วนต่อประสานผู้ใช้ เขาต้องเผชิญกับการต่อต้านจากนักออกแบบคนอื่น

“Jim” ผู้ซึ่งอยู่ในทีม Google+ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง เมื่อ Knutson พยายามแก้ไขปัญหากับ Jim โดยการสนทนาแบบตัวต่อตัว แต่เขาก็ไม่เคยมาปรากฏตัว เมื่อเขาไปหาหัวหน้าของ Jim คือ Greg แต่ดูเหมือนปัญหามันก็ถูกซ่อนไว้ใต้พรมตามเดิมที่ไม่ได้รับการแก้ไข

แต่ Greg กลับให้ท้าย Jim โดยบอกกับ Knutson ว่าจะให้ Jim เป็นผู้จัดการของเขาหลังจากที่ Project เปิดตัว ” เขายังจำบทสนทนาดังกล่าวได้อย่างดี

สองสามเดือนต่อมา Knutson ก็ได้ออกจาก Google เพื่อเข้าร่วมงานกับ Dropbox

Google อาจจะตัดสินใจยุติโครงการ Google+ ไปแล้ว แต่ชัดเจนว่าข้อบกพร่องด้านความปลอดภัยเป็นเพียงข้ออ้างที่ Google พยายามแถลงต่อสาธารณะเพื่อไม่ให้พวกเขาเสียหน้าเท่านั้น

Google+ ไม่สามารถบรรลุสิ่งที่ บริษัทคาดหวัง ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของ Facebook และตัวเลขผู้ใช้งาน Google+ ที่ลดน้อยลงต่างหาก ที่เป็นสิ่งบังคับให้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีตัดสินใจยุติโครงการดังกล่าวในท้ายที่สุด

จะเห็นได้ว่า แม้ Google+ ตอนเปิดตัวนั้น จะมีการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมด้วย Features ต่าง ๆ มากมาย แต่เราจะได้เห็นถึงความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญครั้งแรกของ Google ไม่ว่าจะมาจากปัญหาการเมืองภายในองค์กร รวมถึงวิสัยทัศน์ที่คิดเพียงแค่จะล้ม Facebook ให้ได้เพียงเท่านั้น

ซึ่งมันเป็นการผิดวิสัยของบริษัทอย่าง Google ที่มักจะสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ ออกมาให้เป็นที่ยอมรับ ก็ต้องให้เครดิตกับ Mark Zuckerberg ที่สามารถทำให้ Facebook เอาชนะในศึกครั้งนั้นมาได้ ซึ่งดูเหมือนว่า ในเรื่องของเครือข่ายสังคมออนไลน์นั้น คงไม่มีใครจะเข้าใจมันได้ดีไปกว่า Mark Zuckerberg ที่ทำให้ตอนนี้แพลตฟอร์มของเขาครองใจผู้ใช้งานส่วนใหญ่ทั่วโลกมาจวบจนถึงปัจจุบันได้นั่นเองครับ

References : https://www.the-vital-edge.com/fall-of-google-plus/
https://mashable.com/2015/08/02/google-plus-history/
https://www.indiatoday.in/technology/features/story/former-google-designer-explains-why-google-s-social-media-play-failed-1370662-2018-10-18
http://dansator.blogspot.com/2019/02/rip-google-plus.html

Geek Monday EP45 : ความหวังมวลมนุษยชาติ เมื่อ Apple และ Google จับมือสร้างระบบติดตามการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ทรงพลังที่สุด

การร่วมมือกันของสองยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีอย่าง Google และ Apple ในครั้งนี้อาจจะสามารถที่จะช่วยเหลือคนทั้งโลกได้เลยด้วย ซ้ำ เพราะมันเป็นการสร้างการแจ้งเตือน Notification มาจาก Platform แบบทันทีทันใด หากมีผู้ป่วยที่มีการยืนยันการติด COVID-19 ซึ่งจะทำให้ ผู้ที่เข้าไปสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยก่อนหน้านี้ ที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่าน Bluetooh แล้วนั้น

สามารถได้รับการแจ้งเตือนได้แบบทันที ว่ามีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ และให้สามารถไปกักกันตัวได้ทันที แทนที่การคาดเดา หรือการคอยสัมภาษณ์แบบเดิม ๆ ที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะตามตัวทุกคนที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่่ติดเชื้อมาได้นั่นเองครับ ถือเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมาก ๆ ครับสำหรับเทคโนโลยีนี้

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน Podbean : https://bit.ly/2wx5fS4

ฟังผ่าน Apple Podcast :https://apple.co/2lEqPPg

ฟังผ่าน Google Podcast :  https://bit.ly/2xnyEi6

ฟังผ่าน Spotify : https://spoti.fi/3eiwmkP

ฟังผ่าน Youtube https://youtu.be/K9vothkXC-g

Image References : https://abcnews.go.com/Health/google-apple-team-contact-tracing-covid-19-app