ไม่ต้องชาร์จไฟ ! เยอรมนีทดสอบทางหลวงไฟฟ้าครั้งแรก

เยอรมนีกำลังเดิมพันใหม่ในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนด้วย ” ทางหลวงไฟฟ้า ” เพื่อส่งเสริมการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประเทศได้เริ่มต้นการทดสอบระบบ eHighway ในโลกแห่งความเป็นจริงบนถนน Autobahn ระหว่างแฟรงค์เฟิร์ตและดาร์มสตัดท์

โดยเป็นถนนที่มีความยาว 3.1 ไมล์ด้วยการใช้รถบรรทุกไฮบริดไฟฟ้าดีเซล ซึ่งเป็นการใช้งานร่วมกับการจราจรในชีวิตประจำวันในขณะที่รถไฟฟ้าเหล่านี้จะได้รับพลังงานจากสายเคเบิลเหนือศีรษะ  การทดสอบก่อนหน้านี้อาศัยการทดสอบในเวลากลางคืน โดยทำการทดสอบในสนามบินทหารที่ไม่ได้ใช้แล้วเพื่อความปลอดภัย

eHighway แรกนั้นมีการเปิดตัวในประเทศสวีเดนในปี 2559 ซึ่งแนวคิดของ eHighway ที่เยอรมันสร้างนั้นมีรูปแบบคล้ายคลึงกัน – รถบรรทุกจะใช้ pantographs (pickps บนหลังคาของพวกเขา) เพื่อยึดกับสายเคเบิลเหนือศีรษะในการดึงกระแสไฟฟ้า รถบรรทุกสามารถชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปในตะแกรงเมื่อมีการเบรกทำให้ระบบมีประโยชน์อย่างยิ่งหากมีการจราจรที่ติดขัด

eHighway ช่วยประหยัดในการเดินทางขนส่งสินค้า
eHighway ช่วยประหยัดในการเดินทางขนส่งสินค้า

ซึ่งการทดลองในถนนจริงดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการจราจรในช่วงเวลาหนึ่ง โดยจะใช้รถบรรทุกเพียงห้าคันเท่านั้นที่จะวิ่งทุกวัน ซึ่งโดยปรกตินั้น 10 เปอร์เซ็นต์ของการใช้งานถนนจะมีรถบรรทุกหนักอยู่ประมาณ 135,000 คัน

ซึ่งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงนั้น สามารถเพิ่มปริมาณรถได้หากต้องการ เนื่องจากรถบรรทุกจำนวนมากในประเทศเยอรมันนั้นสนับสนุนระบบไฟฟ้านี้อยู่แล้ว และจะสามารถกระตุ้นให้ บริษัท รถบรรทุกหันมาใช้ระบบไฟฟ้า ซึ่งจากสถิติพบว่าการขนส่งสินค้าในรูปแบบนี้นั้น สามารถลดการใช้พลังงานได้มากขึ้น และ ทำให้สามารถขนส่งได้ในระยะทางที่มากขึ้นนั่นเองหากเทียบกับเงินเท่าเดิม

References : 
https://www.engadget.com/2019/05/12/germany-electric-highway-for-trucks/

Book Review : My Best Friend is Me

สารภาพตามตรงเลยว่า ประสิทธิภาพการอ่านหนังสือในช่วงหลังนี่ลดลงไปอย่างมาก หลังจาก พวก social media เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผม จนแทบจะไม่มีเวลามาอ่านหนังสือที่เป็นเล่มจริง ๆ ต้องเรียกว่ามีสิ่งรบกวนจากโลก social อยู่ตลอดเวลาทำให้ไม่สามารถอ่านหนังสือได้อย่างมากมายเหมือนเมื่อก่อน

จนมาถึงงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติในปีนี้ ซึ่งผมก็ไม่ได้ไปงานสัปดาห์หนังสือมาเป็นเวลา 2-3 ปีแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนไปทีนึง ก็ต้องขนกลับมาเป็นจำนวนมาก เสียเงินเสียทองเป็นจำนวนมากกับงานสัปดาห์หนังสือทุกครั้ง จน shelf หนังสือเริ่มเต็ม

ปีนี้ ได้เวลาพอดีหนังสือใน stock เริ่มหมดไป อยากกลับมาอ่านหนังสืออีกครั้ง ซึ่งหลัง ๆ ผมจะชอบซื้อหนังสืออยู่ไม่กี่ค่าย ถ้าเจ้าประจำก็คงเป็น salmon book รวมถึง a book ที่ไปทีไรก็ขนกลับมาทุกที สำหรับปีนี้ได้เข้า บูธ Salmon เห็นหนังสือที่น่าสนใจคือเล่มนี้ My best friend is me ของคุณ พวงสร้อย อักษรสว่าง ซึ่งผมก็ไม่เคยอ่านงานของเธอมาก่อน แต่ที่น่าสนใจสำหรับผมคือ เป็นหนังสือเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในประเทศเยอรมัน ซึ่งโอกาสน้อยมาก ๆ ที่จะได้เรียนรู้เรื่องราวจากประเทศนี้ส่วนใหญ่จะเป็นแถบ zone asia อย่าง ญี่ปุ่น หรือ ในอเมริกาไปเลย

กอรปกับ ผมเพิ่งได้เจอกับทางครอบครัวของแม่แฟน ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในเยอรมันพอดี ซึ่งก็ได้มีโอากาสรับรู้สิงต่างๆ เกี่ยวกับ สังคม วัฒนธรรม การใช้ชีวิตในเยอรมันมาบ้าง แต่ก็ไม่ละเอียดเท่าหนังสือเล่มนี้ โดยเฉพาะ ชีวิตในมหาลัยในเยอรมัน ซึ่งคิดว่า เป็นตัวเลือกท้าย ๆ ของเหล่านักศึกษาไทย ที่จะไปเรียนมหาลัยที่นั่น เนื่องจากข้อจำกัดสำคัญอย่าง เรื่องของภาษาเยอรมัน ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นภาษาที่ยากที่สุด ภาษานึงในโลกนี้

หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ต้องยอมรับว่าไม่ผิดหวังเลยที่ได้ซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่าน เราได้แง่คิดการใช้ชีวิต รวมถึง วัฒนธรรม ที่แตกต่างในประเทศเยอรมัน ที่ผู้เขียนได้ถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือได้อย่างออก ชอรรถรส ได้รับรู้ถึงความยากของภาษาเยอรมัน รวมถึงการที่ต้องใช้ภาษาเยอรมัน ในการเรียนรู้ในมหาลัย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง ที่ผู้เขียนสามารถปรับตัวใช้ชีวิตได้

หนังสือเล่มนี้จึงเป็นหนังสือที่อยากแนะนำให้อ่าน จะให้เราได้เข้าใจว่า ทำไมประเทศเค้าถึงได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว แม้จะเสียหายจากสงครามมาอย่างหนักในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเยอรมันแทบจะสิ้นประเทศไปซะแล้วในช่วงนั้น รวมถึงการถูกแบ่งประเทศ เป็น 2 ประเทศ จนผู้คนในประเทศต่อสู้จนกลับมารวมประเทศให้กลายเป็นเยอรมันที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างในปัจจุบัน