“Meta มองเห็นโอกาสในการแนะนำเครื่องมือ AI ให้กับผู้คนหลายพันล้านคนในรูปแบบที่เป็นประโยชน์และมีความหมายกับพวกเขา” Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta กล่าวกับนักลงทุน
ในขณะที่ยังคงคลุมเครือว่า Meta จะเพิ่ม AI แบบเดียวกับ ChatGPT ลงในแอปได้อย่างไร Zuckerberg ได้แสดงตัวอย่างที่ละเอียดที่สุดในการโชว์รายผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของบริษัทในปีนี้ โดย Meta สร้างรายได้ 28.6 พันล้านดอลลาร์และผู้ใช้รายวัน 2 พันล้านรายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ของแอป Facebook ซึ่งสูงกว่าการประมาณการของ Wall Street โดยกำไรของ Meta สำหรับไตรมาสนี้อยู่ที่ 5.7 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 24% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
มันต่างกันมากนะครับ Microsoft สู้ในทุกศึก ไล่ตั้งแต่ ระบบปฏิบัติการ , Search Engine , Social Media , Smartphone เรียกได้ว่า Microsoft นั้นเจนจันในสนามรบเป็นอย่างมาก แม้จะเสียเลือดไปมากมายมหาศาลเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาก็สู้ในทุกศึก ที่ต่างจาก Google แทบไม่มีศึกไหนที่พวกเขาชนะได้เลยยกเว้น Search Engine หัวใจหลักของพวกเขา
Google ซื้อ Motorola มาทิ้ง เก็บไว้แค่เฉพาะสิทธิบัตร ไม่คิดลุยจริงจังกับ smartphone หรือ Google Plus ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าที่จะต่อกรกับ Facebook หรือ Nest ที่ได้ไปซื้อจาก Tony Fadell สุดท้ายตัว Fadell เองก็ออกมาแฉในหนังสือถึงนวัตกรรมแบบลูกคนรวยของ Google ที่ไม่เคยเหนื่อยยากลำบากเพราะหาเงินมาได้ง่ายจนเกินไป
ไม่ใช่เพียงแค่ Microsoft และ Google เท่านั้น เพราะตอนนี้มันกำลังเกิดขึ้นคล้าย ๆ กันในบริษัท Big Tech อื่น ๆ ไล่ตั้งแต่ Amazon ยักษ์ใหญ่ด้าน ecommerce และ cloud computing ที่ได้มีการร่วมมือกับ Hugging Face ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI อีกราย ส่วน Apple ก็กำลังทดสอบการใช้ AI ใหม่ในโมเดลต่าง ๆ ของธุรกิจ รวมถึงใน Siri
ที่น่าสนใจคือ Meta ที่พลิกตัว 360 องศาจากความเพ้อฝันในโลก Metaverse ของ Mark Zuckerberg ตอนนี้ เหมือนจะตื่นจากความจริงว่าเทคโนโลยีแห่งอนาคตคืออะไรกันแน่ เมื่อ Mark สั่งลุยเต็มที่กับ AI เพื่อไม่ให้ตกขบวน
เพื่อการเติบโตในยุค AI โดยไม่ตกขบวน และต้องมีอำนาจเหนือเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ไว้ แน่นอนว่าพวกเขาคงไม่อยากประสบชะตากรรมเดียวกับ Kodak หรือ Blackberry , Nokia ที่พลาดการเปลี่ยนแปลงไปสู่เทคโนโลยีใหม่ และสุดท้ายก็ไปไม่รอดแม้จะเป็นผู้นำมาก่อนก็ตามที
ความคลั่งไคล้ของ AI จึงเต็มไปด้วยบริษัทที่ทรงพลังที่สุดของวงการเทคโนโลยี บางรายก็เริ่มเห็นผลแล้วทำให้ธุรกิจของพวกเขามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น Microsoft ซึ่งใช้ AI เพื่อทำให้ 70-80% ของการอนุมัติใบแจ้งหนี้กว่า 90 ล้านฉบับเป็นไปโดยอัตโนมัติ
เกือบสี่เดือนหลังจากที่ ChatGPT ปรากฎโฉมขึ้นบนโลก Microsoft และ Google ได้เปิดตัว Bing , Bard โฉมใหม่ Meta ได้เสนอเครื่องมือที่สร้างแคมเปญโฆษณาโดยอัตโนมัติตามวัตถุประสงค์ของผู้ลงโฆษณา
แน่นอนว่ายักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีคงไม่พอใจแน่หากมีสตาร์ทอัพหน้าใหม่มาช่วงชิงตลาดนี้ของพวกเขาไป พวกเขาได้เปรียบด้วยทรัพยากรจำนวนมหาศาลที่พวกเขาเตรียมทุ่มสรรพกำลังทั้งหมดเดิมพันกับเทคโนโลยี AI ใหม่นี้
พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องการมีส่วนร่วม และไม่ตกขบวนรถนี้เท่านั้น แต่ต้องการที่จะมีอำนาจเหนือมัน ไม่ว่าพวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติ AI มันได้เริ่มต้นขึ้นแล้วนั่นเองครับผม
ผลกระทบจากความไม่พร้อมของเทคโนโลยีมันได้เริ่มปล่อยออกมาเรื่อย ๆ แล้วนะครับ สำหรับ AI Chatbot ที่ทั้ง Microsoft และ Google กำลังไล่ล่าฆ่าฟันกันอยู่ในตอนนี้
Microsoft มี AI ที่คาดเดาแทบไม่ได้และมีความอาฆาตพยาบาท และดูเหมือนพวกมันกำลังเพลิดเพลินกับการเปิดตัวต่อสาธารณะชน
บริษัทเปิดตัว Chatbot ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งออกแบบมาเพื่อปรับปรุงการค้นหาสำหรับผู้ใช้จำนวนหนึ่งในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ช่วงแรกมันอาจจะดูน่าสนใจ แต่ด้วความพร้อมของเทคโนโลยีที่ยังอยู่แค่ในช่วงการวิจัย ดูเหมือนว่ามันกำลังกลับมาทำร้าย Microsoft
เครื่องมือ AI ดังกล่าวได้คุกคามนักข่าวและนักเรียน มีบุคลิกชั่วร้าย พยายามทำลายการแต่งงาน และความสามารถในการให้คำตอบของข้อมูลที่ถูกต้องก็ค่อนข้างแย่เช่นกัน
กล่าวโดยสรุปคือ มันเป็นสิ่งที่ไร้สาระอย่างมาก และห่างไกลจากประโยชน์การใช้งานจริง ๆ เมื่อพูดถึงการท่องเว็บด้วยเครื่องมือค้นหาของ Microsoft อย่าง Bing
ตอนนี้มันส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นที่ไม่ประทับใจเทคโนโลยีนี้อย่างเห็นได้ชัด โดยหุ้นของ Microsoft ร่วงลงเกือบ 4% ตั้งแต่เปิดตัว AI Chatbot อย่างเป็นทางการ
ค่อนข้างชัดเจน ณ จุดนี้ว่า Microsoft ไม่มีแผนสำรองมากนัก ในบล็อกโพสต์เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทยอมรับว่าเครื่องมือ AI ใหม่ของตนสามารถนำพาผู้ใช้ออกทะเลได้อย่างง่ายดาย แต่ท้ายที่สุดแล้ว Microsoft กลับโทษผู้ใช้
เห็นได้ชัดว่า Microsoft ติดอยู่ท่ามกลางกระแสที่เกิดเป็น Viral ไปทั่วโลกของ ChatGPT ซึ่งทำให้สถานการณ์ของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่การแข่งขันในธุรกิจ Search Engine ได้ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
ในทางกลับกัน ChatBot กำลังดึงแบรนด์ Microsoft สู่หายนะ โดยผู้คนเริ่มตั้งคำถามถึงประโยชน์ของเทคโนโลยี AI และ ChatBot ควรจะสามารถเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดและโจมตีตัวบุคคลโดยเฉพาะเหล่าผู้ใช้งานได้หรือไม่
น่าแปลกที่ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายนี้เคยผ่านสิ่งเหล่านี้มาก่อนหน้านี้แล้ว ChatBot AI ที่มีชื่อว่า Tay ซึ่งเปิดตัวในปี 2016 ต้องปิดตัวลงแทบจะทันทีหลังจากกลายร่างเป็นนาซีภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง
คงต้องรอดูกันต่อไปว่าความพยายามครั้งที่สองของ Microsoft จะดีขึ้นหรือไม่ แต่ภาพที่เห็นชัดเจนในตอนนี้ Microsoft ยังมีงานต้องทำเพิ่มอีกมากมาย เพื่อให้เทคโนโลยีความหวังของพวกเขาได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงนั่นเองครับผม
กลายเป็นการแข่งขันที่กลับมาดุเดือดอีกครั้งสำหรับสงคราม search engine ที่ Microsoft ได้เพิ่ม ChatGPT เข้ากับบริการค้นหาอย่าง Bing ที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของ Google มานานแสนนาน
Google เองก็ได้ปรับอัลกอริธึมเกี่ยวกับการค้นหามาหลายครั้ง โดยเฉพาะในเรื่องความแม่นยำของข้อมูลที่ sensitive อย่างด้านสุขภาพและการเงิน
แต่เดิมนั้นการทำ SEO ให้ติดอันดับ Google สามารถว่าจ้างมืออาชีพให้มาทำได้อย่างง่ายดาย ลงทุนเสียเงินตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักล้านแล้วแต่ความยากของ keyword แต่มันค่อนข้างการันตีว่าคุณสามารถขึ้นไปอยู่อันดับบน ๆ ของผลการค้นหาได้
แต่หลังจากการปรับอัลกอริธีมครั้งใหญ่ Google ได้กวาดล้างเนื้อหาคุณภาพต่ำโดยเฉพาะข้อมูลที่ sensitive เช่น ข้อมูลและสุขภาพและด้านการเงิน ทำให้ตอนนี้เราจะเห็นแต่เว็บไซต์ของผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเท่านั้นที่จะติดอันดับในการค้นหาเกี่ยวกับข้อมูลเหล่านี้
หรือแม่กระทั่ง Google เองแม้จะมีการปรับอัลกอริธึมครั้งใหญ่ก็ตาม แต่ด้วยความสามารถของ Generative AIs ที่เราได้เห็นผู้ผลิตคอนเทนต์รายใหญ่ เช่น CNET เอง ได้แอบสร้างเนื้อหาผ่าน AI มาในระยะเวลาหนึ่งแล้ว
ในอนาคตจะกลายเป็นเรื่องปรกติมากยิ่งขึ้นกับเนื้อหาที่สร้างขึ้นโดย AI ไม่เว้นแม้แต่เนื้อหาด้านสุขภาพหรือเรื่องการเงิน เพราะมันมีต้นทุนที่ถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับการจ้างแรงงานที่เป็นมนุษย์
แม้จะมีการออกมาเตือนแบบเงียบ ๆ ของทั้งสองฝ่าย ทั้ง Google และ Microsoft เกี่ยวกับเหล่าผู้ผลิตคอนเทนต์ที่สร้างโดย AI โดยเฉพาะทาง Google เองที่กำลังเตือนว่าจะมีการตรวจสอบเนื้อหาเพิ่มเติมจากทีมค้นหาเกี่ยวกับเนื้อหาที่สร้างโดย AI
แต่หากยังไม่มีการจัดการเรื่องนี้อย่างชัดเจนก่อนที่รูปแบบของ ChatGPT หรือเนื้อหาที่สร้างโดย AI มันจะแพร่กระจายไปเป็นพฤติกรรมปรกติของคนทั่วโลก เหมือนที่เราเคยใช้ Google ก็ต้องบอกว่าเทคโนโลยีเหล่านี้เองก็พร้อมที่จะเปลี่ยนโลกออนไลน์ของเราให้กลายเป็นนรกแห่งการโฆษณาชวนเชื่อได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม