คุณคือหนูทดลอง กลยุทธ์เสี่ยงของ Tesla ที่ใช้ลูกค้าเป็นเดิมพัน

ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เราฝันถึงการเดินทางที่ไร้ซึ่งข้อจำกัดมาตลอด จากการขี่ม้า สู่การสร้างรถยนต์คันแรก และการทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยเครื่องบิน ทุกก้าวของนวัตกรรมคือการลดภาระและเพิ่มอิสระให้กับเรา

และในยุคดิจิทัล ความฝันขั้นสูงสุดก็คือ “รถยนต์ที่ขับเคลื่อนตัวเองได้” พาหนะที่คิดแทนเรา ตัดสินใจแทนเรา และพาเราไปสู่จุดหมายได้อย่างปลอดภัยโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย

ความฝันนี้ดูเหมือนจะอยู่ไกลแสนไกล จนกระทั่งมีบริษัทหนึ่งก้าวออกมาประกาศว่า พวกเขาจะทำให้มันเป็นจริงได้ในอีกไม่ช้า บริษัทนั้นคือ Tesla และคำมั่นสัญญาของพวกเขาก็ยิ่งใหญ่เสียจนสั่นสะเทือนไปทั้งโลก

เรื่องราวของ Tesla ไม่ได้เริ่มต้นจากการเป็นแค่บริษัทรถยนต์ไฟฟ้า แต่มันคือการวางเดิมพันครั้งประวัติศาสตร์กับเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนทุกสิ่ง Elon Musk ผู้เป็นแม่ทัพ ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน

เขามองว่าอนาคตของ Tesla จะมีมูลค่ามหาศาลหรืออาจจะไร้ค่าไปเลยนั้น ขึ้นอยู่กับคำสองคำ นั่นคือ “การขับขี่อัตโนมัติ” (Autonomous Driving)

นี่ไม่ใช่แค่ฟีเจอร์เสริม แต่มันคือแก่นแท้ของบริษัท คือเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนมอง Tesla ว่าเป็นบริษัทเทคโนโลยีและ AI ไม่ใช่แค่โรงงานประกอบรถยนต์

และเพื่อทำให้วิสัยทัศน์นี้จับต้องได้ Tesla ได้สร้างแบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในวงการขึ้นมาสองชื่อ นั่นคือ Autopilot และ Full Self-Driving หรือ FSD

แค่ชื่อก็บอกทุกอย่างแล้วครับ Autopilot ทำให้เรานึกถึงระบบการบินอัตโนมัติที่ซับซ้อนและเชื่อถือได้ ส่วน Full Self-Driving ก็คือคำประกาศที่ชัดเจนว่านี่คือการขับขี่ด้วยตนเองเต็มรูปแบบ

ด้วยพลังของการตลาดนี้เอง ลูกค้าหลายแสนคนทั่วโลกยอมจ่ายเงินเพิ่มอีกหลายแสนบาท เพื่อซื้อ “อนาคต” ที่ยังมาไม่ถึง พวกเขายอมเป็นผู้ใช้งานกลุ่มแรกของเทคโนโลยีที่ยังอยู่ในขั้นทดลอง

Wall Street ตอบรับวิสัยทัศน์นี้อย่างคลั่งไคล้ มูลค่าของ Tesla พุ่งทะยานจนแซงหน้าบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทั้งหมดรวมกัน ทุกอย่างดูเหมือนจะสดใสราวกับเทพนิยายแห่งวงการเทคโนโลยี

แต่แล้ว เรื่องราวก็มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อ Tesla ตัดสินใจในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำ นั่นคือการนำเทคโนโลยีที่ยังไม่สมบูรณ์ 100% ออกมาให้ผู้ใช้งานทั่วไปได้ทดลองบนท้องถนนจริง

การตัดสินใจครั้งนี้ คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ที่นำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างคำมั่นสัญญากับความเป็นจริง ระหว่างนวัตกรรมกับความปลอดภัย และมันคือการเดิมพันที่ใช้ชีวิตของผู้คนเป็นเครื่องพิสูจน์

ณ จุดนั้นเอง เส้นทางของ Tesla ได้แยกออกจากบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมอย่างสิ้นเชิง มันคือทางสองแพร่งของประวัติศาสตร์เทคโนโลยียานยนต์ ที่มีแนวคิดแตกต่างกันสุดขั้ว

บริษัทส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Waymo ของ Google หรือ Cruise ของ General Motors ต่างเลือกเดินในเส้นทางของวิศวกรผู้รอบคอบ พวกเขามองว่าการจะสร้างรถยนต์ที่ไว้ใจได้นั้น ต้องอาศัยประสาทสัมผัสที่หลากหลาย

พวกเขาติดตั้งทั้ง LIDAR (ไลดาร์) ที่ใช้เลเซอร์สแกนสร้างภาพสามมิติความละเอียดสูง, Radar (เรดาร์) ที่มองทะลุสภาพอากาศเลวร้ายได้ และ Cameras (กล้อง) ที่ใช้วิเคราะห์ภาพเหมือนดวงตามนุษย์

แนวทางนี้เปรียบเสมือนการมีทีมผู้เชี่ยวชาญ 3 คนคอยตรวจสอบซึ่งกันและกันตลอดเวลา ถ้าคนหนึ่งพลาด ก็ยังมีอีกสองคนคอยทักท้วง มันคือหลักการของความปลอดภัยซ้ำซ้อน (Redundancy) ที่แม้จะมีต้นทุนสูง แต่ก็ให้ความมั่นใจได้มากกว่า

แต่ Elon Musk กลับมองว่านี่คือทางที่ผิด เขามองว่ามันซับซ้อนและแพงเกินไป เขาเชื่อในปรัชญาที่เรียบง่ายกว่านั้นมาก “มนุษย์ขับรถได้ด้วยดวงตาแค่สองข้าง แล้วทำไมรถยนต์จะทำบ้างไม่ได้?”

นี่คือจุดกำเนิดของ Tesla Vision ปรัชญาที่เดิมพันทุกอย่างไว้กับ “กล้อง” เพียงอย่างเดียว โดยเชื่อว่าพลังของปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะสามารถเรียนรู้และตีความโลกผ่านภาพที่เห็นได้ดีเทียบเท่าหรือดีกว่ามนุษย์

การตัดสินใจครั้งนี้คือความกล้าหาญ มันช่วยลดต้นทุนและทำให้ Tesla สามารถติดตั้งฮาร์ดแวร์ที่พวกเขาอ้างว่า “พร้อมสำหรับอนาคต” ลงในรถทุกคันได้

แต่การพึ่งพากล้องเพียงอย่างเดียว ก็เหมือนกับการปิดตาข้างหนึ่งแล้วเดินในที่ที่ไม่คุ้นเคย มันสร้างจุดบอดและช่องโหว่ที่คาดไม่ถึงขึ้นมามากมาย

หนึ่งในนั้นคือปรากฏการณ์ “เบรกทิพย์” หรือ Phantom Braking ที่ผู้ใช้ Tesla รู้จักกันดี ลองนึกภาพคุณขับรถอยู่บนทางหลวงด้วยความเร็ว แล้วจู่ๆ รถก็เบรกอย่างรุนแรง เพราะกล้องตีความเงาของสะพานลอยผิดว่าเป็นกำแพง

ปัญหานี้เลวร้ายลงอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่ Tesla ตัดสินใจครั้งใหญ่อีกครั้ง ด้วยการถอด “เรดาร์” ซึ่งเป็นเครื่องมือสำรองชิ้นสุดท้ายออกจากรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เพื่อเดินหน้าสู่โลกของ “กล้องล้วน” อย่างเต็มตัว

แต่รอยร้าวที่ใหญ่ที่สุดที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นของผู้คน กลับไม่ใช่ปัญหาทางเทคนิค แต่เป็นเรื่องของ “ความจริงใจ”

ในปี 2016 Tesla ได้ปล่อยวิดีโอโปรโมตชิ้นหนึ่งที่กลายเป็นตำนาน มันแสดงภาพรถ Tesla ที่ขับเคลื่อนตัวเองไปทั่วเมืองอย่างน่าทึ่ง พร้อมข้อความประกาศว่า “รถกำลังขับเคลื่อนด้วยตัวเอง”

วิดีโอนี้ทำให้โลกเชื่อว่ายุคของรถยนต์ไร้คนขับมาถึงแล้วจริงๆ แต่หลายปีต่อมา ความจริงก็ถูกเปิดเผยในชั้นศาล จากปากของผู้อำนวยการฝ่าย Autopilot ของ Tesla เอง

เขายอมรับภายใต้คำสาบานว่า วิดีโอทั้งหมดนั้นถูก “จัดฉาก” ขึ้นมา ทีมงานต้องสร้างแผนที่สามมิติของเส้นทางไว้ล่วงหน้า และรถคันดังกล่าวถึงกับเคยขับชนรั้วในระหว่างการถ่ายทำด้วยซ้ำ

มันคือการแสดง ไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริงของเทคโนโลยีในตอนนั้น เรื่องนี้สะท้อนถึงความขัดแย้งภายในบริษัท ระหว่างวิศวกรที่ต้องการความปลอดภัย กับฝ่ายการตลาดที่ต้องการความสำเร็จ

เมื่อคำโฆษณาวิ่งแซงหน้าความเป็นจริงไปไกลเกินไป โศกนาฏกรรมก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ ข่าวอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับระบบ Autopilot เริ่มปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง

ทั้งการชนท้ายรถฉุกเฉินที่จอดนิ่งอยู่ ซึ่งเป็นจุดบอดของระบบที่ใช้กล้อง หรือการชนเข้ากับสิ่งกีดขวางบนทางหลวง เหตุการณ์เหล่านี้ได้นำไปสู่การสืบสวนจากภาครัฐ และตัวเลขผู้เสียชีวิตที่น่าเศร้า

ความเชื่อมั่นที่เคยมีให้ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเคลือบแคลงสงสัย สังคมและหน่วยงานกำกับดูแลเริ่มตั้งคำถามอย่างจริงจังต่อคำกล่าวอ้างของ Tesla และในที่สุด การต่อสู้ก็ได้ย้ายจากท้องถนนเข้าสู่ห้องพิจารณาคดี

พายุทางกฎหมายเริ่มก่อตัวขึ้น และศูนย์กลางของพายุลูกใหญ่นี้อยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ตลาดที่สำคัญที่สุดของ Tesla

กรมการขนส่งยานยนต์ (DMV) ของรัฐ ได้ยื่นฟ้อง Tesla ในข้อหาที่ตรงไปตรงมาและรุนแรงที่สุด นั่นคือ “การโฆษณาที่หลอกลวง”

นี่ไม่ใช่คดีที่เกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งใดครั้งหนึ่ง แต่เป็นการโจมตีไปที่หัวใจของแบรนด์ นั่นคือชื่อ “Autopilot” และ “Full Self-Driving” ที่ DMV มองว่าเป็นการจงใจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด

หาก Tesla แพ้คดีนี้ มันจะไม่ใช่แค่การจ่ายค่าปรับหรือการเปลี่ยนชื่อฟีเจอร์ แต่มันคือการสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายว่า Tesla ได้ “โกหก” ต่อสาธารณชน ซึ่งอาจนำไปสู่การฟ้องร้องแบบกลุ่มจากลูกค้านับแสนคน

และดูเหมือนว่าลมได้เริ่มเปลี่ยนทิศแล้ว ในคดีที่รัฐฟลอริดา คณะลูกขุนได้ตัดสินว่า Tesla มีส่วนต้องรับผิดชอบต่ออุบัติเหตุร้ายแรง พร้อมคำตัดสินจากผู้พิพากษาที่ว่า บริษัทแสดงให้เห็นถึง “การไม่ใส่ใจต่อชีวิตมนุษย์อย่างร้ายแรง”

คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นว่า ข้อแก้ต่างเดิมๆ ของ Tesla ที่ว่า “นี่เป็นเพียงระบบช่วยเหลือ” และมีคำเตือนอยู่ในคู่มือ กำลังจะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป

แน่นอนว่า Tesla พยายามปรับตัว พวกเขาเปลี่ยนชื่อฟีเจอร์เป็น “Full Self-Driving (Supervised)” เพื่อบอกเป็นนัยว่าผู้ขับขี่ยังต้องดูแลอยู่ แต่สำหรับหลายคน มันอาจจะสายเกินไปแล้ว

เรื่องราวของ Tesla Autopilot กำลังเดินทางมาถึงบทสรุปที่สำคัญ ไม่ว่าผลทางกฎหมายจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม มันได้กลายเป็นกรณีศึกษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบทหนึ่งของโลกเทคโนโลยีไปแล้ว

มันคือบทเรียนราคาแพงเกี่ยวกับเส้นแบ่งที่บางเบา ระหว่างวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญ กับคำโฆษณาที่เกินจริง

และมันยังทิ้งคำถามสำคัญไว้ให้เราทุกคนได้ขบคิดว่า ในยุคที่เราไล่ตามนวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง เราได้หลงลืมความรับผิดชอบพื้นฐานที่สุดไปหรือไม่ และท้ายที่สุดแล้ว ราคาของความก้าวหน้าที่เราต้องการนั้น ควรจะต้องจ่ายด้วยอะไรกันแน่

References : [youtube/moreperfectunion,washingtonpost, reuters, theverge, nhtsa, cnbc]


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube