ทำไม Sun Microsystems ถึงล่มสลาย? จากดาวรุ่งสู่ดาวดับ เมื่อการปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงมีราคาที่ต้องจ่าย

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่ง Silicon Valley ที่เคยรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด เป็นบริษัทที่นิยามคำว่า “เวิร์กสเตชัน” และเป็นพลังขับเคลื่อนยุคแรกของอินเทอร์เน็ต

แต่แล้ววันหนึ่ง บริษัทนี้ก็หายไปจากแผนที่ เหลือไว้เพียงตำนานและบทเรียนราคาแพง นี่คือเรื่องราวของ Sun Microsystems

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในปี 1978 ที่ห้องแล็บในตำนานอย่าง Xerox PARC สถานที่แห่งนี้คือบ่อเกิดของนวัตกรรมเปลี่ยนโลกมากมาย ทั้งเมาส์ และหน้าจอแบบกราฟิก

ที่นั่นนักศึกษาชาวเยอรมันจาก Stanford คนหนึ่งชื่อ Andreas “Andy” Bechtelsheim ได้เห็นของวิเศษ มันคือคอมพิวเตอร์ Alto ที่เชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย

Andy ไม่ได้แค่ทึ่ง แต่เขามองเห็นช่องว่างมหาศาลในตลาด เขารู้ว่าบรรดานักออกแบบชิป วิศวกร หรือนักวิทยาศาสตร์ ต่างโหยหาคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง พวกเขาต้องการเครื่องมือที่ทรงพลังเพื่องานของตัวเอง แต่ในยุคนั้น แทบไม่มีตัวเลือกที่ดีพอเลย

ที่สำคัญ Andy เห็นว่า Xerox เจ้าของเทคโนโลยี Alto กลับไม่สนใจที่จะพัฒนามันต่อเพื่อการค้า เขาจึงตัดสินใจว่า “ถ้าพวกเขาไม่ทำ ผมทำเองก็ได้” Andy กลับไปที่ Stanford และเริ่มสร้างคอมพิวเตอร์ในแบบของเขา

ปี 1981 เขาเข้าร่วมโครงการพัฒนาเวิร์กสเตชันราคาประหยัด เป้าหมายคือสร้างเครื่องสำหรับงาน Computer-Aided Design หรือ CAD คอมพิวเตอร์ของเขาใช้ชิป Motorola 68000 นี่คือไมโครโพรเซสเซอร์แบบ 32 บิต ตัวแรกที่มีการวางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ ซึ่งต้องบอกว่ามันทรงพลังมากในยุคนั้น

โครงการนี้ถูกตั้งชื่อเล่นว่า SUN ซึ่งย่อมาจาก Stanford University Network เวิร์กสเตชันรุ่นแรกที่เขาออกแบบ มีจอภาพแบบ bitmap ที่แสดงผลกราฟิกได้ และที่สำคัญ มันมีการเชื่อมต่อ Ethernet สำหรับใช้งานในเครือข่าย

Andy มีของดีอยู่ในมือ แต่เขาก็รู้ตัวว่าเขาเป็นวิศวกร การจะทำให้มันกลายเป็น “ธุรกิจ” ที่ยิ่งใหญ่ เขาต้องการทีมงานที่แข็งแกร่ง โชคดีที่เลขานุการของเขา แนะนำให้รู้จักกับ Vinod Khosla Khosla เป็นศิษย์เก่า Stanford ที่จบ MBA และมีประสบการณ์ด้านธุรกิจโชกโชน

Khosla มองเห็นโอกาสทางธุรกิจในสิ่งที่ Andy สร้าง เขาเห็นภาพชัดเจนว่านี่คือสิ่งที่ตลาดต้องการ ทั้งคู่จึงร่วมกันเขียนแผนธุรกิจสั้นๆ เพียง 6 หน้า วางแผนที่จะขายเวิร์กสเตชัน SUN ในราคาเครื่องละ 25,000 ถึง 100,000 ดอลลาร์

แต่วิศวกรหนึ่งคนกับนักธุรกิจหนึ่งคน ยังไม่พอที่จะสร้างบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก พวกเขาต้องการทีมที่สมบูรณ์แบบ ทีมผู้ก่อตั้งเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เมื่อได้ Scott McNealy จาก Harvard McNealy เก่งกาจเรื่องการผลิตและการดำเนินงาน เขาคือจิ๊กซอว์ที่จะทำให้บริษัทผลิตของได้จริง

และแล้ว จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่สุดในด้านซอฟต์แวร์ก็ปรากฏตัว เขาคือ Bill Joy นักศึกษาปริญญาโทจาก UC Berkeley Joy ไม่ใช่นักศึกษาธรรมดา เขาคืออัจฉริยะผู้พัฒนา Berkeley Unix ระบบปฏิบัติการที่เป็นที่นิยมอย่างสูงในหมู่นักวิชาการและนักวิจัย

Sun Microsystems เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ 1982 การแบ่งหน้าที่ชัดเจน Khosla รับตำแหน่ง CEO McNealy เป็นรองประธานฝ่ายผลิต Bechtelsheim ดูแลฮาร์ดแวร์ที่เขาถนัด และ Bill Joy ดูแลซอฟต์แวร์ทั้งหมด

หลายท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมเวิร์กสเตชันของ Sun ถึงฮิตระเบิดทันที? ต้องเข้าใจบริบทในยุคนั้นก่อน หากคุณเป็นวิศวกรที่ต้องการใช้คอมพิวเตอร์แรงๆ คุณต้อง “จองเวลา” ใช้มินิคอมพิวเตอร์ของส่วนกลาง เครื่องพวกนี้มีราคาแพงลิบลิ่ว และต้องแบ่งกันใช้

Sun เข้ามาเปลี่ยนเกมนี้ไปตลอดกาล พวกเขานำเสนอเวิร์กสเตชันส่วนบุคคล มันคือคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของคุณเอง ที่สำคัญ ราคามันย่อมเยากว่ากันเยอะ ราคาเริ่มต้นเพียง 8,000 ถึง 10,000 ดอลลาร์เท่านั้น

และด้วยราคานี้ Sun ยังทำกำไรขั้นต้นได้สูงถึง 50% เลยทีเดียว นี่คือโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่งมาก Sun เนื้อหอมถึงขนาดที่มีคำสั่งซื้อล่วงหน้าเข้ามา ก่อนที่บริษัทจะเริ่มสายพานการผลิตด้วยซ้ำ ลูกค้ากลุ่มแรกคือมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัย ที่รู้จักชื่อเสียงของ SUN ที่ Stanford อยู่แล้ว

จุดแข็งของ Sun คือความฉลาดในการ “เลือกใช้” ไม่ใช่ “สร้างใหม่” ทั้งหมด พวกเขาใช้ชิ้นส่วนมาตรฐานที่มีอยู่แล้วในตลาด ทั้งแหล่งจ่ายไฟ, ไมโพรเซสเซอร์จาก Motorola, ดิสก์ไดรฟ์จาก Fujitsu และแน่นอน ระบบปฏิบัติการ Berkeley Unix ของ Bill Joy

กลยุทธ์นี้ทำให้พวกเขาพัฒนาสินค้าได้เร็วและคุมต้นทุนได้ดี ยอดขายพุ่งทะยานเหมือนจรวด Sun ทำกำไรได้ทันทีตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 1982 เพียงไม่กี่เดือนหลังก่อตั้ง ปีแรก ทำรายได้ 8.5 ล้านดอลลาร์ ปีที่สอง พุ่งไปที่ 39 ล้านดอลลาร์ และปีที่สาม ทะยานสู่ 115 ล้านดอลลาร์

แต่การเติบโตที่รวดเร็วเกินไป มักมาพร้อมกับปัญหาเสมอ รอยร้าวเริ่มเกิดขึ้นในการบริหาร คณะกรรมการบริษัทเริ่มกังวลกับการที่มีผู้บริหารอายุน้อยเพียง 27 ปีอย่าง Khosla พวกเขาพยายามดึงคนที่มีประสบการณ์มากกว่าเข้ามา แต่กลับกลายเป็นการขัดแย้งกันภายใน

สุดท้าย Scott McNealy ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็น CEO ถาวร ส่วน Vinod Khosla ก็ออกจาก Sun ในปี 1985 เขาหันไปร่วมงานกับบริษัทลงทุนอย่าง Kleiner Perkins และกลายเป็นนักลงทุนในตำนานที่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล

ภายใต้การนำของ McNealy Sun ยังคงเติบโตอย่างบ้าคลั่ง ระหว่างปี 1982 ถึง 1987 ทุกๆ 6 เดือน ยอดจัดส่งเวิร์กสเตชันของ Sun จะเพิ่มเป็นสองเท่า ปี 1985 พวกเขาเปิดตัว Sun 3 ที่ใช้โพรเซสเซอร์ Motorola MC68020 รุ่นใหม่

Sun ยังแนะนำมาตรฐาน Network File System หรือ NFS มันคือเทคโนโลยีที่ทำให้คอมพิวเตอร์หลายเครื่องแชร์ไฟล์กันบนเครือข่ายได้อย่างราบรื่น NFS ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรม มันตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ Sun ที่ว่า “The Network is the Computer”

ภายในปี 1987 Sun ก็สามารถแซงหน้า Apollo Computer คู่แข่งรายใหญ่ที่สุดในตลาดเวิร์กสเตชันได้สำเร็จ Sun กลายเป็นเบอร์หนึ่งอย่างเต็มภาคภูมิ และในเดือนมีนาคม 1986 Sun ก็เข้าตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ด้วยรายได้ 210 ล้านดอลลาร์ ระดมทุนไปได้ 45 ล้านดอลลาร์ ถือเป็น IPO ด้านเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในรอบสามปีเลยทีเดียว

Sun กำลังอยู่บนจุดสูงสุด แต่ความท้าทายแรกที่อันตรายถึงชีวิตก็เริ่มปรากฏตัว Motorola ผู้ผลิตไมโครโพรเซสเซอร์หลักให้กับ Sun เริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ไม่ทันความต้องการของตลาด ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวกระโดด การที่แค่แก้บั๊กยังต้องใช้เวลาเป็นปี ถือว่าช้าเกินไป

Sun ตระหนักว่า ถ้ายังฝากชีวิตไว้กับคนอื่น พวกเขาอาจตายได้ บริษัทจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่กล้าหาญมาก ๆ นั่นคือการพัฒนาโพรเซสเซอร์ของตัวเอง โดยใช้สถาปัตยกรรมที่เรียกว่า RISC ซึ่งเป็นแนวคิดจาก IBM

ในปี 1987 ทีมที่นำโดย Anant Agrawal ก็พัฒนา CPU SPARC ได้สำเร็จ นี่คือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่ทำให้ Sun คุมชะตาตัวเองได้ในด้านฮาร์ดแวร์

แต่แล้ว ความท้าทายที่ใหญ่กว่าก็ถาโถมเข้ามา และครั้งนี้ มันคือสงครามที่ Sun เป็นคนเริ่มจุดชนวนเอง Sun ตัดสินใจร่วมมือกับ AT&T เพื่อพัฒนาระบบปฏิบัติการ Unix พวกเขาต้องการสร้างมาตรฐานกลางของ Unix ขึ้นมา

การจับมือกันของสองยักษ์ใหญ่ ทำให้คู่แข่งสั่นสะเทือน IBM และ HP กังวลอย่างมากว่า Sun และ AT&T จะ “ผูกขาด” ตลาด Unix พวกเขาจึงตัดสินใจตั้งกลุ่มพันธมิตรของตัวเองขึ้นมา ในชื่อ Open Software Foundation หรือ OSF เพื่อเป็นคู่แข่ง อุตสาหกรรม Unix แตกออกเป็นสองเสี่ยง เกิดเป็น “สงคราม Unix” ที่สู้รบกันอย่างดุเดือด

และอย่างที่ประวัติศาสตร์มักซ้ำรอย เมื่อยักษ์ใหญ่กำลังต่อสู้กันอย่างเมามัน พวกเขาก็มักจะมองไม่เห็นภัยคุกคามใหม่ที่กำลังคืบคลานเข้ามา สงคราม Unix ที่วุ่นวายนี้ เปิดช่องว่างให้กับผู้เล่นรายเล็กๆ ในตอนนั้น บริษัทนั้นชื่อ Microsoft

ในปี 1993 Microsoft เปิดตัว Windows NT 3.1 มันคือระบบปฏิบัติการที่รวมเอาคุณสมบัติดีๆ จากหลายระบบเข้าด้วยกัน และมันถูกออกแบบมาเพื่องานระดับองค์กรโดยเฉพาะ ในขณะที่ค่าย Unix กำลังตีกันเอง Windows NT ก็ค่อยๆ เติบโตอย่างเงียบๆ

บรรดาคู่แข่งของ Sun เช่น HP และ IBM เริ่มนำ Windows NT มาใช้กับเวิร์กสเตชันของตัวเอง พวกเขาให้ทางเลือกกับลูกค้า แต่ Sun ยังคงยืนกราน หัวแข็ง พวกเขาเชื่อมั่นว่า Unix ของตัวเอง (ที่ชื่อว่า Solaris) นั้นดีกว่า Sun ปฏิเสธที่จะสนับสนุน Windows NT

การตัดสินใจครั้งนี้ ทำให้ Sun สูญเสียส่วนแบ่งตลาดเวิร์กสเตชันไปอย่างน่าใจหาย ลูกค้าเริ่มหันไปหาทางเลือกที่ยืดหยุ่นกว่า Sun จึงต้องปรับตัวครั้งใหญ่ พวกเขาเบนเข็มจากตลาดเวิร์กสเตชันที่กำลังถูก Windows NT กัดกิน ไปสู่ตลาด “เซิร์ฟเวอร์องค์กร” ที่ใหญ่กว่า

Sun เข้าซื้อกิจการ Cray Business Systems ในปี 1996 เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง ระบบของ Sun เหมาะอย่างยิ่งกับตลาดเซิร์ฟเวอร์ ที่ต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพขั้นสูง

และจังหวะก็เข้าข้างพวกเขาอย่างไม่น่าเชื่อ ช่วงปลายทศวรรษ 1990 คือยุคที่อินเทอร์เน็ตเริ่มบูม โลกเข้าสู่ยุค “ฟองสบู่ดอทคอม” บริษัทเกิดใหม่มากมายต้องการสร้างเว็บไซต์ และเว็บไซต์เหล่านั้นต้องรันบนเซิร์ฟเวอร์ที่ทรงพลัง

บริษัทชั้นนำในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็น E*Trade หรือ eBay ต่างก็ใช้เซิร์ฟเวอร์ของ Sun คำขวัญ “The Network is the Computer” ของ Sun กลายเป็นความจริง Sun คือกระดูกสันหลังของยุคอินเทอร์เน็ตบูม รายได้ของบริษัทเติบโต 50-60% ต่อปี Sun กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และยิ่งใหญ่กว่าเดิม

แต่แล้ว งานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกรา ในปี 2000 ฟองสบู่ดอทคอมแตกสลาย บริษัทดอทคอมที่เคยเป็นลูกค้าหลักของ Sun ล้มละลายเป็นใบไม้ร่วง ธุรกิจของ Sun ก็ดิ่งลงเหวแบบฉุดไม่อยู่ Sun ที่เคยทำกำไรมหาศาลในปี 2000 และ 2001 กลับขาดทุนหนักมหาศาลในปี 2002 และ 2003

และในขณะที่ Sun กำลังเมาหมัด ความท้าทายสุดท้ายที่หนักหน่วงที่สุดก็ปรากฏตัว มันคือศัตรูที่ Sun คาดไม่ถึง นั่นคือ Linux ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการแบบ Open Source ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Unix ที่สำคัญคือ มัน “ฟรี”

ในอดีต Linux ถูกมองว่าเป็นของเล่นสำหรับโปรแกรมเมอร์ แต่ในช่วงต้นยุค 2000 มันพัฒนาจนแข็งแกร่งพอที่จะใช้งานระดับองค์กรได้ องค์กรต่างๆ เริ่มตาสว่าง พวกเขาไม่จำเป็นต้องซื้อเซิร์ฟเวอร์ราคาแพงลิบลิ่วจาก Sun อีกต่อไป พวกเขาสามารถประหยัดต้นทุนได้มหาศาล ด้วยการใช้คลัสเตอร์ของเซิร์ฟเวอร์ Linux ที่รันบนฮาร์ดแวร์พีซีธรรมดาๆ ที่หาซื้อได้ทั่วไป

Sun ที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความ “เปิด” ด้วย Unix และ NFS กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความ “ปิด” และ “แพง” เมื่อเทียบกับคลื่นลูกใหม่ Sun พยายามปรับตัวครั้งสุดท้าย พวกเขาเปิดเผยซอร์สโค้ดของ Solaris ระบบปฏิบัติการของตน เข้าซื้อกิจการบริษัทฐานข้อมูล Open Source อย่าง MySQL เข้าซื้อบริษัทสตอเรจอย่าง StorageTek แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว

รายได้หดหาย หุ้นดิ่งเหว Sun กำลังจะหมดลมหายใจ ในที่สุด Oracle ยักษ์ใหญ่ด้านฐานข้อมูล ก็เข้าซื้อกิจการ Sun ในราคา 7.4 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2009 เป็นการปิดฉากตำนานของบริษัทที่เคยยิ่งใหญ่แห่ง Silicon Valley

นับจากปี 2000 ที่รุ่งเรืองสุดขีด Sun สูญเสียรายได้ไปกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ และมูลค่าหุ้นลดลงกว่า 90%

การล่มสลายของ Sun Microsystems กลายเป็นบทเรียนสำคัญเรื่อง “การปรับตัว” Sun เคยเป็นผู้นำนวัตกรรม มีผลิตภัณฑ์ที่เจ๋งที่สุดในตลาด แต่ความดื้อรั้น การยึดติดกับแนวทางเดิม และการปฏิเสธที่จะยอมรับคลื่นลูกใหม่ ทำให้พวกเขาพลาดโอกาสและถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

Sun เคยเป็นลูกพี่ใหญ่แห่งยุค 80 และ 90 ที่เติบโตปีละ 30-50% อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อแนวโน้มเทคโนโลยีเปลี่ยน จากเวิร์กสเตชันไปสู่พีซี จาก Unix ราคาแพงไปสู่ Windows NT และ Linux Sun กลับปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลง และกลายเป็นผู้โดดเดี่ยวในที่สุด

เรื่องที่น่าสนใจมาก คือการเปรียบเทียบกับ Microsoft โดยเฉพาะภายใต้การนำของ Satya Nadella ซึ่งตัวของ Satya Nadella เคยทำงานที่ Sun Microsystems ก่อนที่เขาจะย้ายไป Microsoft ในปี 1992

หลายคนวิเคราะห์ว่า ประสบการณ์ที่ Satya ได้เห็นจาก Sun ทั้งจุดแข็งด้านนวัตกรรมเครือข่าย และจุดอ่อนที่ร้ายแรงเรื่องความดื้อรั้นและไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ได้หล่อหลอมวิสัยทัศน์ของเขา

เมื่อ Satya ก้าวขึ้นเป็น CEO ของ Microsoft เขาได้ปฏิวัติบริษัทที่กำลังเริ่มล้าหลัง ด้วยการเปิดรับ Open Source, กอด Linux, และมุ่งสู่ Cloud ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ Sun ทำในยุคสุดท้าย เรียกได้ว่าเขาเรียนรู้จากความผิดพลาดของ Sun และนำมันมาช่วยชีวิต Microsoft ได้สำเร็จ

เรื่องราวของ Sun Microsystems จึงเป็นทั้งแรงบันดาลใจและคำเตือนใจ มันแสดงให้เห็นว่า แม้แต่บริษัทที่ยิ่งใหญ่และ “เทพ” ที่สุด ถ้าหากหยุดปรับตัว ยึดติดกับความสำเร็จเดิม ก็อาจพบจุดจบที่น่าเศร้าได้เช่นกัน

References : [wikipedia, computerhistory, oracle, cnet, forbes]


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube