เคยลองจินตนาการไหมว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าวันหนึ่งโลกนี้ขาดแคลนชิป?
ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย เพราะเมื่อต้นปี 2021 เหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นจริง โรงงานผลิตรถยนต์ทั่วโลก ตั้งแต่ Detroit ถึง Tokyo ต้องหยุดสายการผลิต ไม่ใช่เพราะขาดเหล็กหรือกระจก แต่เพราะขาด “ชิป” (chip) หรือเซมิคอนดักเตอร์ (semiconductor) ชิ้นเล็กๆ ที่เป็นเหมือนสมองกลของทุกอย่าง
วิกฤตครั้งนั้นทำให้เราตระหนักว่า ชิ้นส่วนเล็กๆ นี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกมหาศาลขนาดไหน และที่น่าสนใจกว่านั้นคือ กว่า 75% ของชิปทั้งหมดบนโลกใบนี้ ถูกผลิตขึ้นในภูมิภาคเดียว… นั่นคือ “เอเชียตะวันออก”
ยิ่งไปกว่านั้น หากเจาะจงไปที่ชิปสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ กว่า 70% มาจากบริษัทสัญชาติไต้หวันเพียงแห่งเดียวที่ชื่อว่า “TSMC”
คำถามคือ… ทำไมอำนาจในการผลิตเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดของโลก ถึงไปกระจุกตัวอยู่ในมือของชาติเอเชียตะวันออก?
เรื่องราวนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของการวางหมากที่ยาวนานหลายทศวรรษ การพลิกผันของประวัติศาสตร์ และการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยี
ย้อนกลับไปในทศวรรษ 1970 ภาพของอุตสาหกรรมชิปนั้นแตกต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง สหรัฐอเมริกาคือเจ้าแห่งบัลลังก์อย่างไม่มีใครเทียบได้ ขณะที่ญี่ปุ่นเปรียบเสมือนผู้ท้าชิงที่กำลังมาแรง
ในปี 1990 สหรัฐฯ ยังคงผลิตชิปคิดเป็นสัดส่วนถึง 37% ของโลก แต่แล้วในช่วง 30 ปีต่อมา จุดศูนย์กลางของอำนาจก็ได้ค่อยๆ เคลื่อนย้ายข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกมายังฝั่งตะวันออก
เมื่อถึงปี 2020 ส่วนแบ่งของอเมริกากลับลดลงเหลือเพียง 12% เช่นเดียวกับยุโรปที่บทบาทในอุตสาหกรรมนี้หดตัวลงอย่างน่าใจหาย
แล้วใครกันที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างมหาศาลนี้? คำตอบก็คือชาติในเอเชียตะวันออก
ภายในปี 2018 ไต้หวันได้ผงาดขึ้นเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก ตามมาติดๆ ด้วยเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ส่วนจีนที่เคยแทบไม่มีบทบาทเลย ก็เร่งเครื่องขึ้นมาอย่างน่ากลัว
นี่คือการผลัดใบครั้งประวัติศาสตร์ การผลิตเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดของโลกได้ย้ายจากตะวันตกสู่ตะวันออกอย่างสมบูรณ์ แล้วพวกเขาทำได้อย่างไร?
คำตอบของความสำเร็จอันน่าทึ่งนี้ ไม่ได้มาจากปัจจัยเพียงอย่างเดียว แต่มันคือส่วนผสมที่ลงตัวของ “สามประสาน” อันทรงพลัง นั่นคือ นโยบายรัฐที่มองการณ์ไกล, การสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง และการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์
ปัจจัยแรกที่เปรียบเสมือน “มือที่มองเห็น” คอยชี้นำทิศทางก็คือ นโยบายอุตสาหกรรม (Industrial Policy) จากภาครัฐ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับแนวทางแบบปล่อยเสรีของชาติตะวันตก
ญี่ปุ่นคือผู้บุกเบิกในเรื่องนี้ ในยุค 70s-80s รัฐบาลญี่ปุ่นผ่านกระทรวง MITI ได้เล็งเห็นว่าเซมิคอนดักเตอร์คืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต จึงทุ่มงบประมาณมหาศาล และริเริ่มโครงการวิจัยร่วมอย่าง VLSI Project เพื่อผลักดันให้บริษัทเอกชนก้าวกระโดดทางเทคโนโลยี
ผลลัพธ์ก็คือ ภายในเวลาไม่นาน บริษัทญี่ปุ่นอย่าง NEC, Toshiba และ Hitachi ก็สามารถยึดครองตลาด “ชิปหน่วยความจำ” (Memory Chip) ของโลกได้มากกว่าครึ่ง จนทำให้สหรัฐฯ ต้องออกมาตรการตอบโต้ทางการค้าเลยทีเดียว
เกาหลีใต้เองก็ได้เรียนรู้บทเรียนจากญี่ปุ่น และเดินตามรอยกลยุทธ์ที่นำโดยรัฐ รัฐบาลได้อัดฉีดเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและให้ความคุ้มครองแก่กลุ่มบริษัท “แชโบล” (Chaebol) อย่าง Samsung และ Hyundai
ด้วยการสนับสนุนนี้เอง Samsung Electronics ได้ตัดสินใจเดิมพันครั้งใหญ่กับชิปหน่วยความจำ พวกเขาซื้อเทคโนโลยี จ้างผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ และในที่สุดก็สามารถโค่นบัลลังก์ของญี่ปุ่น กลายเป็นผู้นำตลาดชิปหน่วยความจำของโลกได้สำเร็จ
ส่วนไต้หวันมีความท้าทายที่ต่างออกไป พวกเขาไม่มีบริษัทยักษ์ใหญ่แบบแชโบล รัฐบาลจึงต้องลงมือสร้างอุตสาหกรรมขึ้นมาจากศูนย์ ด้วยการก่อตั้งสถาบันวิจัย ITRI ขึ้น
จุดเปลี่ยนสำคัญคือการที่รัฐบาลไต้หวันได้เชิญวิศวกรระดับตำนานอย่าง “Morris Chang” อดีตผู้บริหารของ Texas Instruments ให้กลับมาบ้านเกิดเพื่อนำทัพ
ในปี 1987 ด้วยเงินทุนจากรัฐบาล Morris Chang ได้ก่อตั้งบริษัท TSMC ขึ้น พร้อมกับโมเดลธุรกิจใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน นั่นคือการเป็น “โรงงานรับจ้างผลิต” (Foundry) เพียงอย่างเดียว โดยไม่ออกแบบชิปเอง
โมเดลนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นการมองการณ์ไกลอย่างยิ่ง เพราะมันทำให้ TSMC สามารถรับงานผลิตจากบริษัททั่วโลกอย่าง Apple ได้ และกลายเป็นผู้ผลิตชิปที่ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 50% ในปัจจุบัน
ส่วนจีน ถึงแม้จะเข้ามาในเกมนี้ช้า แต่ก็มาพร้อมกับพลังสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเต็มที่ รัฐบาลจีนมองว่าเซมิคอนดักเตอร์คือความมั่นคงของชาติ และได้ทุ่มเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ผ่านกองทุน “Big Fund” เพื่อสร้างอุตสาหกรรมชิปของตัวเองให้แข็งแกร่ง
จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เหมือนกันคือ รัฐบาลในเอเชียตะวันออกมองว่า “ชิป” คือสินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์ และพร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ให้เติบโต
ปัจจัยที่สองที่ทำให้เอเชียตะวันออกมีความได้เปรียบที่ยากจะลอกเลียนแบบก็คือ การรวมกลุ่มของอุตสาหกรรม (Clustering) หรือการสร้าง “ระบบนิเวศ” ที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา
การผลิตชิปนั้นซับซ้อนและต้องการเครือข่ายซัพพลายเออร์ที่แข็งแกร่ง การที่ทุกอย่างมารวมอยู่ในที่เดียวกันจึงสร้างประสิทธิภาพมหาศาล
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ “Hsinchu Science Park” ของไต้หวัน ที่นี่เปรียบเสมือน Silicon Valley แห่งเอเชีย เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ TSMC, UMC และบริษัทออกแบบชิปอีกนับไม่ถ้วน
หากโรงงานต้องการชิ้นส่วนหรือสารเคมีด่วน ซัพพลายเออร์ก็อยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่นาที ความใกล้ชิดนี้เองที่ทำให้เกิดความเร็วและความคล่องตัวที่หาที่เปรียบไม่ได้
เช่นเดียวกับในเกาหลีใต้ อุตสาหกรรมชิปก็รวมตัวกันอยู่รอบกรุงโซล โดยมี Samsung และ SK Hynix เป็นศูนย์กลาง และรายล้อมไปด้วยเครือข่ายพันธมิตรและซัพพลายเออร์
การรวมกลุ่มกันนี้ไม่ได้มีแค่ในทางกายภาพ แต่ยังหมายถึงการไหลเวียนของความรู้และบุคลากร เมื่อบริษัทอยู่ใกล้กัน พนักงานก็ย้ายงานแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญ ความรู้ใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นได้เร็วขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น “ฝั่งอุปสงค์” หรือลูกค้าหลักของอุตสาหกรรมชิป ซึ่งก็คือโรงงานประกอบสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ก็ย้ายฐานการผลิตมาอยู่ในเอเชียเช่นกัน
สิ่งนี้ได้สร้างวงจรที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน (Self-reinforcing Loop) โรงงานชิปย้ายมาเอเชียเพื่ออยู่ใกล้ลูกค้า และการมีโรงงานชิปอยู่ในพื้นที่ก็ยิ่งดึงดูดให้โรงงานประกอบย้ายตามมามากขึ้น
สุดท้ายแล้ว เอเชียตะวันออกจึงกลายเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้ชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก อยู่ในพื้นที่เดียวกันและเกื้อหนุนการเติบโตของกันและกัน
แต่ต่อให้มีนโยบายที่ดีและระบบนิเวศที่แข็งแกร่งแค่ไหน ก็คงไร้ความหมายหากขาดปัจจัยสุดท้าย ซึ่งก็คือ “บุคลากร” (Talent) หรือพลังของ “คน”
การที่เอเชียตะวันออกเป็นผู้นำได้นั้น ไม่ได้มาจากแค่โรงงานหรือเครื่องจักร แต่มาจากรากฐานด้านทรัพยากรมนุษย์ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
ชาติเหล่านี้ลงทุนมหาศาลใน “การศึกษา” โดยเน้นด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) ตั้งแต่เด็ก ทำให้พวกเขาสามารถผลิตวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพออกมาได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ พวกเขายังมีกลยุทธ์ในการส่งนักเรียนที่เก่งที่สุดไปเรียนต่อต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ เพื่อซึมซับความรู้และเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า ก่อนจะดึงตัวกลับมาช่วยพัฒนาประเทศ เหมือนกรณีของ Morris Chang
อีกแง่มุมหนึ่งที่น่าสนใจคือเรื่องของ “วัฒนธรรมการทำงาน” การผลิตชิปเป็นงานหนักที่ต้องทำตลอด 24 ชั่วโมง และต้องใช้ความทุ่มเทอย่างสูง
ในช่วงที่อุตสาหกรรมชิปในสหรัฐฯ เริ่มเผชิญปัญหาคนเก่งไหลไปสู่อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ในทางกลับกัน วิศวกรในไต้หวันหรือเกาหลีใต้กลับมองว่างานในโรงงานชิปคืออาชีพที่ดีที่สุดและพร้อมที่จะทุ่มเททั้งชีวิต
สิ่งนี้ทำให้อัตราการลาออกต่ำ และเกิดการสั่งสมความเชี่ยวชาญในสายการผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ลอกเลียนแบบได้ยาก
ความสำเร็จของคนรุ่นก่อนยังสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ ทุกวันนี้วิศวกรหนุ่มสาวในเอเชียต่างฝันที่จะประสบความสำเร็จเหมือนฮีโร่ของชาติอย่าง Lisa Su แห่ง AMD หรือ Jensen Huang แห่ง NVIDIA ซึ่งช่วยดึงดูดคนเก่งๆ เข้าสู่วงการนี้อย่างไม่ขาดสาย
ทั้งหมดนี้คือส่วนผสมที่ทำให้เอเชียตะวันออกสามารถสร้าง “คลังสมอง” และ “คลังความเชี่ยวชาญ” ด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นมาได้
ดังนั้น คำตอบของคำถามที่ว่าทำไมเอเชียตะวันออกจึงครองอุตสาหกรรมชิป ก็คือการผสมผสานอย่างลงตัวของวิสัยทัศน์จากภาครัฐ, ระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง และพลังของบุคลากรที่ทุ่มเท
พวกเขาไม่ได้มองว่า “ชิป” เป็นแค่สินค้า แต่คือ “น้ำมันแห่งศตวรรษที่ 21” คือสินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องลงทุนและปกป้อง และการมองการณ์ไกลนั้นก็ได้ผลิดอกออกผลอย่างงดงามในวันนี้นั่นเองครับผม
References : [behindAsia, asia nikkei, bloomberg, reuters]
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA
Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
Geek Forever’s Podcast
“Open Your World With Technology“
AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning
Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ