หากย้อนกลับไปในปี 2006 การใช้งานทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตถึง 70% เป็น Torrenting แต่ในปัจจุบันเหลือไม่ถึง 1% เรื่องราวของ Torrent เทคโนโลยีที่เคยเป็นที่นิยมของคนทั่วโลก ก่อนที่จะค่อยๆ มลายหายไปหมดสิ้น เป็นคำถามที่น่าสนใจนะครับว่าอะไรที่ทำให้เทคโนโลยีมันเกิดขึ้นและหายไป?
ย้อนกลับไปช่วงปลายยุค 90 อินเทอร์เน็ตกำลังบูม ความเร็วพุ่งทะยานจากระบบ dial-up เป็นบรอดแบนด์ เร็วขึ้นถึง 20 เท่า จาก 50 กิโลบิตต่อวินาทีเป็นมากกว่า 1 เมกะบิตต่อวินาทีในปี 2003
ความเร็วที่เพิ่มขึ้นเปิดโลกใหม่ให้ผู้คน การโหลดรูปภาพหรือเพลงไม่ต้องรอนานอีกต่อไป แต่ปัญหาคือ ทุกคนต้องการดาวน์โหลดเพลงและหนัง แต่ทำไม่ได้ ยังไม่มี Netflix หรือ Disney Plus และ iTunes ก็เพิ่งเริ่มต้น
อินเทอร์เน็ตในช่วงนั้น ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ บริษัทต่างๆ ยังไม่รู้วิธีทำเงินบนโลกออนไลน์ จากช่องว่างนี้ ระบบ peer to peer (p2p) จึงถูกเสกขึ้นมา
ลองจินตนาการว่าคุณและคนอื่นๆ อีกหลายพันคนต้องการฟังเพลงใหม่ แต่ไม่มีที่ดาวน์โหลด จนมีคนริปเพลงจาก CD และแชร์ให้คนอื่นบนแพลตฟอร์มอย่าง Napster
ผู้ใช้จะ “seed” ไฟล์ให้คนอื่นดาวน์โหลดโดยตรงจากคอมพิวเตอร์ของพวกเขา แล้วคนที่ดาวน์โหลดก็สามารถ “seed” ต่อให้คนอื่น ยิ่งมี seeder มาก ดาวน์โหลดก็ยิ่งเร็ว ระบบนี้ทำให้เพลงหรือหนังละเมิดลิขสิทธิ์แพร่กระจายอย่างบ้าคลั่ง
แพลตฟอร์ม Napster, LimeWire และ BitTorrent เกิดขึ้นมากมาย สร้างฐานผู้ใช้งานหลายล้านคนอย่างรวดเร็ว การเข้าถึงสื่อบันเทิงแบบฟรีๆ กลายเป็นเรื่องปกติ
อินเทอร์เน็ตยุค 2000 นี่แตกต่างจากปัจจุบันมาก ดูเหมือนทุกคนกำลังละเมิดลิขสิทธิ์กันอย่างเมามัน แม้จะผิดกฎหมายและเต็มไปด้วยไวรัสแฝง แต่ก็ไม่หยุดยั้งผู้คน เพราะมันง่ายพอที่จะดึงดูดให้ทุกคนใช้งาน
อุตสาหกรรมภาพยนตร์และเพลงไม่เคยเจอการละเมิดลิขสิทธิ์มากมายขนาดนี้มาก่อน และมันแย่ลงเรื่อยๆ เมื่อ Torrent สามารถครองทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตได้ถึง 70% ในปี 2006
ผู้คนไม่จำเป็นต้องซื้อแผ่น CD อีกต่อไป แค่ใช้ Torrent และส่งไปยังเครื่องเล่น mp3 ง่ายสำหรับผู้ใช้ แต่เจ็บปวดสำหรับเจ้าของลิขสิทธิ์ที่กำลังสูญเสียทุกอย่าง
สมาคมภาพยนตร์แห่งอเมริกา (Motion Picture Association of America) สูญเงินกว่า 2.3 พันล้านดอลลาร์จากการละเมิดลิขสิทธิ์ทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก peer to peer ศิลปินเห็นผลงานใหม่รั่วไหลและถูกดาวน์โหลดแบบผิดกฏหมายเหมือนบ้านป่าเมืองเถื่อน
บริษัทสื่อต่างๆ จึงเริ่มไล่ล่าเจ้าของแพลตฟอร์ม พวกเขามองว่าถ้าปิดแพลตฟอร์มได้ ผู้ใช้ก็จะไม่สามารถละเมิดลิขสิทธิ์ อย่างน้อยก็คิดแบบนั้น
Napster เป็นหนึ่งในเป้าหมายแรก แต่พวกเขาทำผิดพลาดร้ายแรงด้วยการใช้เซิร์ฟเวอร์แบบรวมศูนย์ในการจัดระเบียบไฟล์ละเมิดลิขสิทธิ์ ทำให้เจ้าหน้าที่มีเป้าชัดเจน
Napster ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายหลายสิบล้านโดยเจ้าของลิขสิทธิ์ รวมถึง A&M Records และวง Metallica แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น การฟ้องร้องกลับทำให้ Napster ดังกระฉ่อน
ผู้ใช้เพิ่มขึ้นถึง 80 ล้านคน ทุกคนรีบดาวน์โหลดให้มากที่สุดก่อนแพลตฟอร์มจะหายไป แต่หลังจากการฟ้องร้องและจ่ายค่าเสียหายมากมาย Napster ก็ยื่นล้มละลายในเดือนกันยายน 2002
ต่อมาคดีอื่นๆ เริ่มเกิดขึ้น โดดเด่นที่สุดคือ RIAA ฟ้อง LimeWire ในนามของค่ายเพลง กล่าวหาว่าทำให้วงการเพลงเสียหาย 75 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่า GDP ของทั้งโลกที่มีเพียง 59 ล้านล้านดอลลาร์!
ศาลเห็นว่าตัวเลขนี้ “เกินจริง” จึงลดลงเหลือ 50 พันล้านดอลลาร์ และในที่สุดก็ตกลงที่ 105 ล้านดอลลาร์ แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เจ้าของลิขสิทธิ์เริ่มตระหนักว่าการต่อสู้กับการละเมิดลิขสิทธิ์นั้นเป็นสิ่งที่ยากมาก ๆ
เมื่อเจ้าหน้าที่ปิดแพลตฟอร์มหนึ่ง อีกสามแพลตฟอร์มก็ผุดขึ้นมาแทน ผู้ใช้เพียงย้ายไปแพลตฟอร์มใหม่ และดำเนินการดาวน์โหลดต่อ แพลตฟอร์มที่เกิดขึ้นในภายหลังมีการกระจายศูนย์มากขึ้น ทำให้ติดตามยากขึ้น
การฟ้องร้องใช้เวลานานขึ้นเรื่อยๆ Napster ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีในการถูกปิด แต่ LimeWire อยู่ได้นานถึง 10 ปี เจ้าหน้าที่ใช้เวลาหนึ่งทศวรรษในการจับกุมผู้ก่อตั้ง Pirate Bay คนสุดท้าย แต่เว็บไซต์ก็ยังคงอยู่
เจ้าของลิขสิทธิ์และศิลปินบางรายจึงเปลี่ยนกลยุทธ์ ในปี 2003 Madonna ตั้งใจปล่อยอัลบั้ม American Life ลงบนแพลตฟอร์มแชร์ไฟล์ แต่ไม่ใช่เพลงจริง เป็นแค่เสียงเธอด่า “What the f*** do you think you are doing?”
สิ่งนี้เรียกว่า Torrent Poisoning ทำให้ข้อมูลน่าเชื่อถือน้อยลง และทำให้ผู้ใช้ตกใจ Hal Laboratory ก็ใช้วิธีเดียวกันกับเกม Earthbound โดยปล่อยเวอร์ชั่นที่เล่นยากขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายจะค้างแล้วลบ save เกมทั้งหมด
แม้มีการฟ้องร้องและวางยาพิษ Torrent แต่ก็ยังไม่ได้ผล RIAA จึงเปลี่ยนมาฟ้องผู้ใช้งานแทน ทำให้ผู้ใช้หลายหมื่นคนถูกฟ้องเพราะดาวน์โหลดเพลงผิดกฎหมาย
Jammie Thomas แม่เลี้ยงเดี่ยวลูกสองคน ถูกปรับ 222,000 ดอลลาร์เพราะแชร์เพลง 24 เพลงบน Kazaa แม้วิธีนี้ทำให้ผู้ใช้หลายคนกลัว แต่ก็สร้างปัญหาใหม่
RIAA บังคับให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ส่งข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้พิพากษา นำไปสู่การใช้อำนาจในทางที่ผิด Sarah Ward คุณยายคนหนึ่ง ถูกฟ้องข้อหาใช้ซอฟต์แวร์ Windows เพื่อดาวน์โหลดเพลงแร็พ ทั้งที่เธอมีแค่ Mac
แต่ในปี 2003 ผู้พิพากษาตัดสินว่า RIAA ไม่มีสิทธิ์ขอข้อมูลผู้ใช้จาก ISP โดยไม่ผ่านศาล ทำให้การรณรงค์ต่อต้านผู้ใช้หยุดชะงัก เจ้าของลิขสิทธิ์จึงเปลี่ยนมา “ตามรอยเงิน” แทน
พวกเขาสร้าง “รายชื่อเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์” และกดดัน Google ให้บล็อกการเข้าถึงแพลตฟอร์มเหล่านี้ เพื่อลดทราฟฟิคและรายได้โฆษณา Google, Microsoft, Yahoo และบริษัทอื่นๆ ร่วมมือช่วยลดรายได้โฆษณาของเว็บละเมิดลิขสิทธิ์
สิ่งนี้ทำร้าย Torrenting และทำให้มันห่างจากกระแสหลัก แต่ก็ยังไม่พอที่จะฆ่ามัน ยังมีคนหลายล้านคนใช้ Torrent และรักษาความนิยมของแพลตฟอร์ม แต่ทางออกที่แท้จริงกลับเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด
ในช่วงต้นปี 2000 อีคอมเมิร์ซยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น iTunes เปิดตัวในปี 2001 หลังจาก Napster และต้องใช้เวลาก่อนจะเป็นที่นิยม ไม่มีทางเลือกที่ถูกกฎหมายมากนัก บริษัทต่างๆ ยังหาวิธีจัดจำหน่ายออนไลน์ Torrenting จึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการเข้าถึงสื่อ
แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปในปี 2007 เมื่อ Netflix เปิดบริการใหม่ คุณสามารถดูอะไรก็ได้ที่ต้องการในราคาเพียงเดือนละ 9 ดอลลาร์ Netflix ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ภายในสองปีมีผู้สมัครสมาชิกมากกว่า 11 ล้านคน และเพิ่มเป็นสองเท่าในอีกสองปีต่อมา
นี่คือสิ่งที่ฆ่า Torrenting จริงๆ: ความสะดวกสบาย ตรรกะง่ายๆ คือ ถ้าวิธีที่ถูกกฎหมายง่ายกว่าและราคาสมเหตุสมผล เกือบทุกคนจะเลือกใช้บริการที่ถูกกฎหมาย มีแค่ส่วนน้อยที่จะละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อให้ได้ฟรี
ความสะดวกสบายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของพฤติกรรมมนุษย์ การดูรายการทีวีและหนังอย่างถูกกฎหมายง่ายกว่าการใช้ Torrent และด้วยการเปิดตัวแพลตฟอร์มสมัครสมาชิกอย่าง Spotify ผู้คนมีเหตุผลน้อยลงที่จะใช้การละเมิดลิขสิทธิ์
Torrenting จึงเริ่มตกต่ำลง ภายในปี 2011 peer to peer ลดลงเหลือต่ำกว่า 19% ของการรับส่งข้อมูลในอเมริกาเหนือ และลดลงเหลือเพียง 7.39% ในปี 2013 มันอยู่ในช่วงลดลงอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของทราฟฟิคเว็บ
ในปี 2015 การรับส่งข้อมูล peer to peer ทั้งหมดเหลือประมาณ 3% ของการรับส่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ขนาดประมาณเท่ากับ Hulu ซึ่งไม่ใช่เว็บไซต์สตรีมมิ่งที่ใหญ่ที่สุดด้วยซ้ำ
สิ่งนี้สร้างผลกระทบแบบลูกโซ่ คนน้อยลงบนแพลตฟอร์ม คนน้อยลงที่จะ seed ไฟล์ ไม่เพียงแค่มีการรับส่งข้อมูลน้อยลง การใช้ Torrent ก็ยากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
ในปี 2017 กลุ่ม Pirate Bay ขู่ว่าจะปล่อยซีรีส์ “Orange is the New Black” บน BitTorrent ก่อนออกฉายอย่างเป็นทางการ แต่แทบไม่มีผลกระทบต่อผลงานอย่างเป็นทางการเลย เพราะผู้ใช้ที่ดาวน์โหลดซีรีส์ชุดนี้อาจจะไม่สมัครสมาชิก Netflix อยู่แล้ว
ปัจจุบัน Torrenting แทบจะดับสูญ มันยังคงมีอยู่ แต่เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่อยู่ชายขอบของอินเทอร์เน็ต Torrenting ไม่สะดวกสำหรับคนส่วนใหญ่อีกต่อไป การละเมิดลิขสิทธิ์ยังคงมีอยู่ แต่เปลี่ยนรูปแบบเป็นการสตรีมมิ่งที่ผิดกฎหมาย ที่ผู้ใช้สามารถดูเนื้อหาโดยไม่ต้องดาวน์โหลด
ด้วยบริการสตรีมมิ่งหลายสิบราย และราคาที่ถูกขึ้นราคาอย่างต่อเนื่อง การสตรีมมิ่งที่ผิดกฎหมายกำลังได้รับความนิยม ภายในปี 2016 การสตรีมมิ่งที่ผิดกฎหมายครอง 73% ของการละเมิดลิขสิทธิ์ทางอินเทอร์เน็ต แต่ Torrenting ไม่ได้อยู่ในเกมนี้อีกต่อไป
ยุคสมัยเปลี่ยนไป คนที่เติบโตมากับ BitTorrent และ Napster แก่ตัวลงและมีแนวโน้มที่จะละเมิดลิขสิทธิ์น้อยลง คนรุ่นใหม่เติบโตในโลกที่แตกต่างออกไป มี Netflix, Spotify และวิธีที่สะดวกและถูกกฎหมายมากมาย จนไม่มีความจำเป็นต้องใช้ Torrenting หรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเคยมีอยู่
เรื่องราวของ Torrent สอนบทเรียนสำคัญให้กับโลกธุรกิจ: ถ้าคุณต้องการให้ผู้คนจ่ายเงินสำหรับสิ่งที่พวกเขาเข้าถึงได้ฟรี คุณต้องทำให้ประสบการณ์การใช้งานดีกว่า
Netflix และบริการสตรีมมิ่งอื่นๆ ไม่ได้ชนะเพราะราคาถูกกว่า (Torrent ฟรี!) แต่ชนะเพราะความง่ายในการใช้งาน ไม่ต้องรอดาวน์โหลด ไม่มีไวรัส และไม่ต้องพยายามหา seeder
การเปลี่ยนแปลงนี้สอนเราว่า ความสะดวกสบายมักจะเอาชนะราคาเสมอ แม้จะมีค่าใช้จ่าย ผู้คนก็เต็มใจจ่ายเพื่อบริการที่ดีกว่า และเมื่อบริการนั้นให้ประสบการณ์ที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน พฤติกรรมผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
Torrent อาจจะไม่ได้หายไปอย่างสมบูรณ์ แต่การลดลงอย่างรวดเร็วของมันเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้เทคโนโลยีที่ดูเหมือนจะครองโลกในวันนี้ ก็อาจจะกลายเป็นเพียงข้อมูลในประวัติศาสตร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อสิ่งที่ดีกว่าเข้ามาแทนที่
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA
Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
Geek Forever’s Podcast
“Open Your World With Technology“
AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning
Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ