ทำไมเวียดนามกล้ายุบอำเภอทั้งประเทศ? ลดคน ลดจังหวัด เพื่ออนาคตชาติ เบื้องหลังการปฏิรูปใหญ่ที่สะเทือนทั้งอาเซียน

เคยลองจินตนาการเล่นๆ ไหมครับว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าวันหนึ่งรัฐบาลประกาศว่าจะยุบ “อำเภอ” ทั้งหมดในประเทศไทยทิ้งไป แล้วควบรวมจังหวัดเล็กๆ จนเหลือแค่ครึ่งเดียว

ฟังดูอาจเหมือนเป็นพล็อตหนังไซไฟ หรือเรื่องไกลตัวที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง แต่เรื่องที่น่าทึ่งก็คือ แผนการที่ว่านี้กำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ ที่ประเทศเพื่อนบ้านของเรานี่เอง

ประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยบอบช้ำจากสงคราม แต่ในวันนี้กลับกลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่ทั่วโลกต่างจับตามอง… ประเทศนั้นคือ “เวียดนาม”

วันนี้เราจะไปเจาะลึกเบื้องหลังแผน “ผ่าตัดใหญ่” ประเทศ ที่ไม่ได้เดิมพันด้วยเงิน แต่เดิมพันด้วยอนาคตของคนเกือบร้อยล้านคน

เรื่องราวนี้ไม่ใช่แค่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างธรรมดา แต่มันคือ “วิสัยทัศน์แห่งศตวรรษ” ที่จะกำหนดชะตากรรมของเวียดนามไปอีกยาวนาน

ณ ปัจจุบัน เวียดนามมีหน่วยงานปกครองที่ซับซ้อนถึง 3 ระดับ คือ จังหวัด, อำเภอ, และตำบล/ชุมชน ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ใช้กันมาอย่างยาวนาน

แต่แผนปฏิรูปที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ พวกเขากล้าถึงขั้นที่จะ “ทุบทิ้ง” โครงสร้างเดิม แล้วสร้างใหม่ให้เหลือเพียง 2 ระดับเท่านั้น คือระดับจังหวัดและระดับรากหญ้า

นั่นหมายความว่าหน่วยงานระดับ “อำเภอ” ทั้งหมดเกือบ 700 แห่ง กำลังจะหายไปจากแผนที่การปกครองของเวียดนาม

ไม่เพียงแค่นั้น จังหวัดต่างๆ จาก 63 แห่ง จะถูกควบรวมให้เหลือเพียงประมาณ 30 กว่าแห่ง ส่วนหน่วยงานระดับตำบลกว่า 10,000 แห่ง ก็จะถูกยุบรวมให้เหลือแค่ราว 3,000 แห่ง

คำถามสำคัญคือ… ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้? อะไรคือปัญหาใหญ่ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง จนทำให้เวียดนามต้องตัดสินใจลงมือทำในสิ่งที่หลายประเทศไม่กล้าแม้แต่จะคิด

การจะเข้าใจเรื่องนี้ เราต้องย้อนเวลากลับไปในอดีตเสียก่อน…

ในยุคหลังสงครามและการรวมชาติ เวียดนามจำเป็นต้องมีหน่วยงานราชการเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วประเทศ การซอยย่อยเขตการปกครองเป็นจังหวัดและอำเภอขนาดเล็กจึงเป็นเรื่องจำเป็น

เพราะในยุคนั้น โครงสร้างพื้นฐาน ทั้งถนนหนทาง ไฟฟ้า และระบบสื่อสารยังไม่ดีพอ การมีข้าราชการอยู่ใกล้ชิดประชาชนจึงเป็นวิธีเดียวที่จะบริหารจัดการและพัฒนาประเทศได้อย่างทั่วถึง

แนวคิดนี้ยิ่งถูกตอกย้ำในยุคปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งสำคัญที่เรียกว่า “Đổi Mới” (โด๋ยเม้ย) เมื่อปี ค.ศ. 1986 ซึ่งการมีหน่วยงานย่อยๆ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี

เรียกได้ว่าโครงสร้างที่ซับซ้อนนี้ เคยเป็น “พระเอก” ที่ช่วยกอบกู้และพัฒนาประเทศในยุคหนึ่งเลยทีเดียว

แต่เมื่อเวลาผ่านไป “พระเอก” ในวันนั้น กลับค่อยๆ กลายเป็น “ภาระ” ที่ฉุดรั้งประเทศในวันนี้

ภาระที่ว่านี้เห็นภาพชัดที่สุดเมื่อดูที่ตัวเลขงบประมาณแผ่นดินครับ

ลองนึกภาพตามว่า ถ้ารัฐบาลมีรายได้ 100 บาท แต่ต้องใช้เงินมากถึง 65-70 บาท ไปกับ “รายจ่ายประจำ” ซึ่งก็คือเงินเดือนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของระบบราชการ

นั่นเท่ากับว่าจะเหลือเงินเพียง 30-35 บาทเท่านั้น ที่จะนำไปใช้ลงทุนสร้างอนาคตของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างถนน โรงพยาบาล หรือพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ

มันไม่ต่างอะไรกับบริษัทที่ใช้เงินส่วนใหญ่ไปกับการจ่ายเงินเดือนผู้บริหาร จนแทบไม่เหลือเงินไปวิจัยและพัฒนาสินค้าเพื่อแข่งขันในตลาด

ในระยะยาว ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน…

เลขาธิการใหญ่ To Lam ผู้นำคนปัจจุบันของเวียดนาม ได้ย้ำถึงปัญหานี้หลายครั้งว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องโยกทรัพยากรจากการ “หล่อเลี้ยงระบบราชการ” ไปสู่ “การลงทุนเพื่อการเติบโต”

นี่คือเหตุผลสำคัญข้อแรก… คือความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาทางการคลัง

แต่ถ้ามีแค่เหตุผลนี้อย่างเดียว การปฏิรูปครั้งใหญ่ก็อาจจะยังไม่เกิดขึ้นก็ได้ มันจำเป็นต้องมี “ปัจจัยเร่ง” ที่ทำให้เวียดนามมองเห็นว่า “ตอนนี้” คือโอกาสทองที่จะลงมือทำ

ปัจจัยแรกที่เปรียบเสมือนตัวเปลี่ยนเกมเลยก็คือ เทคโนโลยี

การมาถึงของ Digital Transformation ได้ทำให้รูปแบบการทำงานของภาครัฐเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

จากเดิมที่ประชาชนต้องเดินทางไปติดต่อที่ว่าการอำเภอ เดี๋ยวนี้พวกเขาสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐได้ง่ายๆ ผ่านสมาร์ทโฟน

เมื่อเอกสารทุกอย่างกลายเป็นดิจิทัล มีการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ ความจำเป็นของหน่วยงานที่เป็น “ตัวกลาง” อย่างอำเภอ ก็ลดน้อยลงไปอย่างมหาศาล

รัฐบาลเวียดนามเองก็จริงจังกับเรื่องนี้มาก โดยตั้งเป้าว่าภายในสิ้นเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2025 เอกสารราชการทั้งหมดจะต้องถูกจัดการผ่านระบบออนไลน์

ปัจจัยที่สองคือ โครงสร้างพื้นฐาน ที่พัฒนาไปไกลมาก

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เวียดนามได้ทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับการสร้างทางด่วน ท่าเรือ สนามบิน และเครือข่ายการสื่อสารที่ทันสมัย

สิ่งเหล่านี้ได้ช่วย “ย่อขนาด” ประเทศลง ทำให้ข้อจำกัดเรื่องระยะทางที่เคยเป็นปัญหาสำคัญในอดีตหมดไป การบริหารจัดการพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

และปัจจัยสุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ คน

ดร. Vu Van Phuc รองประธานสภาวิทยาศาสตร์แห่งหน่วยงานกลางของพรรค ชี้ว่า ขีดความสามารถของบุคลากรภาครัฐในปัจจุบันสูงขึ้นกว่าในอดีตมาก

พวกเขามีความรู้ มีประสบการณ์ และมีความพร้อมที่จะบริหารจัดการหน่วยงานที่ใหญ่และซับซ้อนขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อทั้งเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และคน มีความพร้อม… มันจึงกลายเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะลงมือผ่าตัดใหญ่ประเทศ

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังได้ทำการ “ทดลอง” มาแล้วด้วย

โดยรัฐบาลกลางของเวียดนามได้นำร่องปรับลดโครงสร้างของตัวเองเสร็จสิ้นไปเมื่อต้นปี ค.ศ. 2024 และผลลัพธ์ก็คือ ทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

นี่จึงเป็นเครื่องยืนยันชั้นดีที่สร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่ายว่า แผนการปฏิรูปนี้สามารถทำได้จริง

เมื่อเหตุผลชัดเจน และโอกาสเปิดทาง คำถามต่อไปก็คือ… แล้วอนาคตของเวียดนามหลังการปฏิรูปครั้งประวัติศาสตร์นี้ จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร?

เป้าหมายสูงสุดที่เวียดนามตั้งไว้ คือการก้าวขึ้นเป็น “ประเทศพัฒนาแล้วที่มีรายได้สูง” ให้ได้ภายในปี ค.ศ. 2045

ซึ่งการปฏิรูปโครงสร้างรัฐบาลให้กระชับและคล่องตัว คือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะทำให้เป้าหมายนั้นเป็นจริงได้

ภาพแรกที่จะเกิดขึ้นคือ ความคล่องตัวและประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น

เมื่อลดขั้นตอนจาก 3 ระดับเหลือ 2 ระดับ การตัดสินใจต่างๆ จะรวดเร็วขึ้น การขอใบอนุญาตต่างๆ ของภาคธุรกิจที่เคยล่าช้าเพราะต้องผ่านหลายหน่วยงาน ก็จะง่ายและเร็วขึ้นมาก

ความคล่องตัวนี้จะเป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติให้หลั่งไหลเข้ามาในประเทศมากยิ่งขึ้น

ภาพที่สอง คือ การปลดล็อกงบประมาณมหาศาลเพื่อการพัฒนา

เงินที่เคยต้องจ่ายเป็นเงินเดือนและค่าใช้จ่ายของหน่วยงานที่ซ้ำซ้อน จะถูกนำไปใช้ในสิ่งที่สร้างประโยชน์ให้กับประเทศในระยะยาว

ไม่ว่าจะเป็นการสร้างศูนย์วิจัยและนวัตกรรม, การยกระดับคุณภาพการศึกษา, การพัฒนาระบบสาธารณสุขให้ทัดเทียมนานาชาติ หรือการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง

แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ ย่อมต้องมีผลกระทบกับประชาชนในช่วงเปลี่ยนผ่าน

นักประวัติศาสตร์อย่าง Duong Trung Quoc ยอมรับว่า ประชาชนอาจต้องเจอกับความไม่สะดวกอยู่บ้าง เช่น การต้องไปทำเอกสารประจำตัวหรือทะเบียนที่ดินใหม่

แต่ด้วยระบบรัฐบาลดิจิทัลที่ถูกวางรากฐานไว้เป็นอย่างดี ก็จะเข้ามาช่วยลดผลกระทบเหล่านี้และทำให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด

เรื่องราวของเวียดนามในครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการยุบอำเภอหรือควบรวมจังหวัด

แต่มันสะท้อนให้เห็นถึงการมองการณ์ไกล ความกล้าที่จะยอมเจ็บปวดในระยะสั้น เพื่ออนาคตที่ดีกว่าในระยะยาว

และนี่อาจเป็นคำตอบว่าทำไมเวียดนามถึงเป็นประเทศที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด… เพราะพวกเขาไม่เคยกลัวที่จะ “ทุบ” สิ่งเก่าที่ไม่ตอบโจทย์ เพื่อสร้างสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิม

เป็นเรื่องราวที่ทำให้เราต้องกลับมาขบคิดว่า ประเทศไทยจะได้เรียนรู้อะไรจากความกล้าหาญของเวียดนามในครั้งนี้บ้าง…

References : [vietnamnet, baochinhphu, vnexpress, nhandan, asia .nikkei]


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube