ทำไม Google ถึงไล่ผู้ก่อตั้ง Android ออก? กับเรื่องราวของเจ้าพ่อระบบปฏิบัติการที่ถูกลืม

ถ้าพูดถึงระบบปฏิบัติการบนมือถือที่ฮิตที่สุดในโลก ชื่อของ Android คงจะขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยฐานผู้ใช้งานที่มากกว่า 2.5 พันล้านคนทั่วโลก แฟนคลับจำนวนมากถึงกับบอกว่า จะขอใช้ Android ไปจนวันตาย

เมื่อเห็นความสำเร็จระดับนี้ หลายคนอาจจินตนาการว่า ผู้สร้าง Android ก็น่าจะเป็นไอคอนแห่งวงการเทคโนโลยี ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้ Bill Gates หรือ Steve Jobs แต่เรื่องจริงกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

เรื่องที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือ คนจำนวนไม่น้อยกลับเกลียดชังชายที่ชื่อ Andy Rubin ผู้ให้กำเนิด Android คนนี้คือชายที่ Google ยอมจ่ายเงินสูงถึง 90 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 3,000 ล้านบาท เพียงเพื่อให้เขาลาออกจากบริษัทไปเงียบๆ

และเมื่อเบื้องหลังการลาออกครั้งนี้ถูกเปิดโปง พนักงาน Google กว่า 20,000 คน ถึงกับนัดหยุดงานประท้วง เรื่องราวบานปลายจนผู้ถือหุ้นฟ้องร้องบริษัท และ Google ต้องยอมจ่ายเงินอีก 310 ล้านดอลลาร์เพื่อยุติคดี

มองในมุมของ Google การจ่ายเงินรวมกันกว่า 400 ล้านดอลลาร์ เพื่อแลกกับการได้ Android มาไว้ในมือ อาจเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามหาศาล แต่สำหรับ Andy Rubin แล้ว เขาไม่เพียงแต่พลาดโอกาสที่จะรวยระดับหมื่นล้าน แต่ยังต้องสูญเสียชื่อเสียงที่สั่งสมมาไปทั้งหมด

นี่คือเรื่องราวการเดินทางของผู้สร้าง Android จากจุดสูงสุด สู่การเป็นเจ้าพ่อที่โลกลืม

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นที่ Andy Rubin ชายผู้เกิดในปี 1963 ที่นิวยอร์ก คุณพ่อของเขาเป็นนักจิตวิทยา ก่อนจะผันตัวมาทำบริษัทการตลาดที่รับถ่ายภาพอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ๆ

นี่จึงเป็นโอกาสทองของ Andy ในวัยเด็ก เขาได้คลุกคลีกับแกดเจ็ตล้ำๆ ที่บางชิ้นยังไม่วางขายด้วยซ้ำ ประสบการณ์นี้เองที่จุดประกายความหลงใหลในเทคโนโลยีให้กับเขาตั้งแต่นั้นมา

หลังจากจบการศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ในปี 1985 งานแรกของเขากลับไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ แต่เป็นบริษัทชื่อ Carl Zeiss ซึ่งเขาได้ทำงานเกี่ยวกับหุ่นยนต์สมใจอยาก

ในช่วงแรกของอาชีพ Andy ไม่ได้มีความทะเยอทะยานอะไรยิ่งใหญ่ เขาแค่ต้องการทำงานกับหุ่นยนต์ที่เขารัก และออกไปท่องโลกกว้าง ความฝันนี้พาเขาไปไกลถึงสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทำงานเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์

แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตก็มาถึงในปี 1989 ระหว่างที่เขาไปพักร้อนที่หมู่เกาะเคย์แมน เขาได้บังเอิญเจอกับวิศวกรของ Apple ที่ชื่อ Bill Caswell ทั้งสองคุยกันถูกคอ และมิตรภาพครั้งนั้นก็นำพาให้ Andy ได้เข้าทำงานที่ Apple

ที่ Apple นี่เอง ที่เพื่อนร่วมงานตั้งฉายาให้เขาว่า “Android” เพราะความคลั่งไคล้ในหุ่นยนต์ของเขา แต่ช่วงเวลานั้น Apple กำลังอยู่ในยุคมืด หลังจากที่ Steve Jobs ถูกบีบให้ออกจากบริษัทไป

เมื่อเห็นว่าบริษัทกำลังค่อยๆ สูญเสียมนต์ขลัง ในปี 1992 Andy จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ General Magic บริษัทเล็กๆ ที่แยกตัวออกมาจาก Apple

แม้ชื่อ General Magic จะไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพราะบริษัทปิดตัวไปนานแล้ว แต่ในซิลิคอนแวลลีย์ พวกเขากลับได้รับการยกย่องว่าเป็น “บริษัทที่ตายไปแล้วแต่สำคัญที่สุด”

เพราะ General Magic คือผู้คิดค้นเทคโนโลยีที่มาก่อนกาลมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน, อีคอมเมิร์ซ, โซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งอีโมจิ น่าเสียดายที่วิสัยทัศน์เหล่านี้ไม่เคยกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จในยุคนั้น

ต่อมาในปี 1995 Andy ได้ย้ายไปทำงานที่ WebTV บริษัทที่ต้องการนำอินเทอร์เน็ตมาสู่จอโทรทัศน์ ซึ่งต่อมาถูก Microsoft ซื้อไปด้วยมูลค่า 425 ล้านดอลลาร์

หลังจากทำงานให้ Microsoft อยู่พักหนึ่ง ในปี 1999 Andy ก็ตัดสินใจว่า เขาไม่อยากเป็นลูกจ้างย้ายบริษัทไปเรื่อยๆ อีกแล้ว เขาต้องการสร้างอะไรที่เป็นของตัวเอง ดังนั้น เขาจึงลาออกและเริ่มต้นเส้นทางผู้ประกอบการ

หลายคนอาจคิดว่าบริษัทแรกของเขาคือ Android แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ บริษัทแรกที่เขาร่วมก่อตั้งมีชื่อว่า Danger Inc. ซึ่งพวกเขาสร้างซอฟต์แวร์สำหรับอุปกรณ์พกพา

ผลงานชิ้นเอกของ Danger ก็คือโทรศัพท์ T-mobile Sidekick ที่มีคีย์บอร์ด QWERTY แบบเต็มๆ ซ่อนอยู่ข้างใต้จอ ซึ่งในยุคนั้นถือว่าล้ำสมัยมาก

เรื่องของเรื่องคือ เครื่องมือค้นหาเริ่มต้นบนเจ้า Sidekick ก็คือ Google สิ่งนี้ไปเข้าตา Larry Page หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Google เข้าอย่างจัง

Larry และ Andy ได้พบกันครั้งแรกในปี 2002 และการพบกันครั้งนั้นก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่จะส่งผลกระทบต่อโลกเทคโนโลยีไปอีกนับทศวรรษ

ขณะที่ Danger กำลังไปได้สวย Andy กลับเริ่มมองหาความท้าทายใหม่ เขาอยากจะสร้างซอฟต์แวร์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ในปี 2003 เขาจึงริเริ่มโปรเจกต์เล็กๆ ที่ชื่อว่า “Android”

เป้าหมายแรกเริ่มของ Android คือการสร้างระบบปฏิบัติการแบบโอเพนซอร์ส หรือแบบเปิด สำหรับกล้องดิจิทัล แต่พวกเขาก็เปลี่ยนทิศทางมายังโทรศัพท์มือถืออย่างรวดเร็ว

ในที่สุด Andy ก็ตัดสินใจทิ้ง Danger เพื่อมาทุ่มเทให้กับ Android อย่างเต็มตัวในปี 2004 และนี่คือการตัดสินใจที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล

Larry Page ซึ่งรู้จัก Andy มาก่อนแล้ว มองเห็นศักยภาพอันมหาศาลของโครงการนี้ เขาจึงไม่รอช้า ยื่นข้อเสนอขอซื้อ Android ทั้งๆ ที่ยังเป็นแค่โปรเจกต์เล็กๆ

Google ซื้อ Android ไปในปี 2005 ด้วยมูลค่าที่คาดกันว่าอยู่ที่ราวๆ 50 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเป็นเงินที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับที่ Microsoft ยอมจ่ายเพื่อซื้อ Danger ในราคาที่สูงกว่าถึง 10 เท่าในอีกไม่กี่ปีต่อมา

หากมองในระยะสั้น การอยู่กับ Danger ต่ออาจทำให้ Andy ได้เงินมากกว่า แต่ในระยะยาว การเดิมพันกับ Android คือการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อเข้ามาอยู่ในชายคาของ Google ปัญหาเรื่องเงินทุนก็หมดไป Andy และทีมงานจึงเดินหน้าพัฒนาระบบปฏิบัติการสำหรับโทรศัพท์ที่มีคีย์บอร์ดอย่างเต็มที่

แต่แล้วในปี 2007 การเปิดตัวของ iPhone ก็เข้ามาเปลี่ยนทุกอย่าง มันทำให้ Andy ต้องกลับมาคิดทบทวน และปรับทิศทางของ Android ทั้งหมดให้กลายเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับสมาร์ทโฟนจอสัมผัส

ความท้าทายคือ ในตอนนั้นยักษ์ใหญ่หลายเจ้าต่างก็อยากจะสร้างระบบปฏิบัติการของตัวเองขึ้นมา แต่ Android มีความได้เปรียบตรงที่พวกเขาเริ่มต้นพัฒนาก่อนใครไปหลายปีแล้ว

และเมื่อ Samsung Galaxy และ Google Nexus เลือกใช้ Android ในปี 2010 มันก็ส่งให้ Google กลายเป็นผู้นำในตลาด และผลักดันให้ Andy Rubin กลายเป็นหนึ่งในผู้บริหารที่ทรงอิทธิพลที่สุดในบริษัท

ณ จุดนั้น ทุกอย่างดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบสำหรับ Andy เขาได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเขาคือของจริง และ Android ก็ถูกยกให้เป็นการซื้อกิจการที่ยอดเยี่ยมที่สุดครั้งหนึ่งของ Google

แต่แล้วเรื่องกลับตาลปัตร ในเดือนตุลาคม 2014 Google กลับประกาศข่าวช็อกวงการว่า Andy Rubin กำลังจะลาออกจากบริษัท เพื่อไปเปิดสตาร์ทอัพฮาร์ดแวร์ของตัวเอง

การประกาศลาออกอย่างกะทันหันนี้สร้างความงุนงงให้กับทุกคน ไม่มีใครคาดคิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จถึงขีดสุด จะยอมทิ้งตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ไปง่ายๆ แบบนี้

คำถามมากมายเกิดขึ้น แต่ทั้ง Google และ Andy ต่างก็เงียบสนิทเกี่ยวกับเบื้องหลังการตัดสินใจครั้งนี้ จนกระทั่ง 4 ปีต่อมา ความจริงทั้งหมดก็ถูกเปิดเผยโดยหนังสือพิมพ์ New York Times

รายงานระบุว่า เหตุผลที่แท้จริงที่ Andy ต้องออกจาก Google เป็นเพราะมีพนักงานหญิงร้องเรียนว่า เขาได้ล่วงละเมิดทางเพศเธอ Google ทำการสืบสวนภายในและพบว่าข้อกล่าวหานั้นมีมูลความจริง

ผู้บริหารของ Google ตระหนักดีว่าพวกเขาไม่สามารถเก็บ Andy ไว้ในบริษัทได้อีกต่อไป แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็มีความสำคัญกับบริษัทมากเกินกว่าที่จะไล่ออกอย่างโจ่งแจ้ง

ทางออกของพวกเขาคือ การเสนอเงินก้อนโตถึง 90 ล้านดอลลาร์ เพื่อให้ Andy ยอมลาออกไปอย่างเงียบๆ และเพื่อเป็นการปิดปากไม่ให้เรื่องนี้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ

แน่นอนว่า Andy ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และยืนยันว่าการลาออกของเขาเป็นไปด้วยความสมัครใจ แต่เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป มันก็ได้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่

พนักงาน Google หลายหมื่นคนรู้สึกโกรธและผิดหวังกับการกระทำของบริษัท พวกเขารู้สึกว่า Google ควรจะไล่ Andy ออก และดำเนินคดีตามกฎหมาย ไม่ใช่การให้เงินก้อนโตแล้วปล่อยให้เรื่องเงียบหายไป

การประท้วงครั้งใหญ่นำไปสู่การฟ้องร้องที่ยืดเยื้อ สุดท้าย Google ต้องออกมาขอโทษ และยอมจ่ายเงินอีก 310 ล้านดอลลาร์ เพื่อลงทุนในมาตรการส่งเสริมความเท่าเทียมในองค์กร เป็นอันสิ้นสุดความสัมพันธ์ระหว่าง Google และ Andy Rubin อย่างเป็นทางการ

หลังจากออกจาก Google ชีวิตของ Andy ก็ไม่เคยกลับไปสู่จุดสูงสุดได้อีกเลย เขาพยายามก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Essential Products เพื่อสร้างสมาร์ทโฟนของตัวเอง

แม้โทรศัพท์ Essential Phone จะมีดีไซน์ที่สวยงามและนวัตกรรมที่น่าสนใจ แต่มันก็ไปไม่รอด เมื่อข่าวฉาวในอดีตของเขาถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีกครั้ง บริษัทจึงต้องปิดตัวลงในปี 2020

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังถูกภรรยาฟ้องร้อง โดยกล่าวหาว่าเขาหลอกลวงให้เธอเซ็นสัญญาก่อนแต่งงาน ซึ่งทำให้ชื่อเสียงของเขายิ่งดิ่งลงเหว

ทุกวันนี้ Andy Rubin ได้ถอนตัวออกจากทุกธุรกิจที่เขาเคยเกี่ยวข้อง และเงียบหายไปจากหน้าสื่อโดยสิ้นเชิง ด้วยทรัพย์สินที่ประเมินว่ามีอยู่ราว 350 ล้านดอลลาร์ เขาอาจไม่จำเป็นต้องกลับมาทำงานอีกเลยตลอดชีวิต

เรื่องราวของ Andy Rubin คือตัวอย่างคลาสสิกของคนที่มีทุกอย่าง แต่กลับไม่เหลืออะไรเลย จากวิศวกรอัจฉริยะ สู่ผู้สร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลก และจบลงด้วยการเป็นบุคคลที่ถูกสังคมตราหน้า

ไม่มีใครปฏิเสธความสามารถของเขาได้ แต่น่าเสียดายที่ความสำเร็จในหน้าที่การงาน กลับถูกบดบังด้วยเรื่องอื้อฉาวส่วนตัว จนชื่อที่ควรถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี กลับถูกจดจำในฐานะอื่น

ทุกวันนี้ เมื่อเราหยิบสมาร์ทโฟน Android ขึ้นมา น้อยคนนักที่จะนึกถึงชื่อของ Andy Rubin ระบบปฏิบัติการที่เขาสร้างขึ้นมานั้น ยิ่งใหญ่เกินกว่าตัวผู้สร้างไปแล้ว

หุ่นยนต์ Android ที่เขาสร้าง ยังคงอยู่ในมือของผู้คนนับพันล้านคน แต่ชื่อของผู้สร้างที่ชื่อ Andy กลับเลือนหายไปกับกาลเวลา ซึ่งนี่อาจเป็นบทสรุปที่น่าเศร้าที่สุด สำหรับชายผู้เคยถูกขนานนามว่า “บิดาแห่ง Android”

References: [nytimes, wired, techcrunch, theverge, fortune]


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube