เคยสงสัยกันไหมว่า ก่อนที่เราจะมี Facebook ให้ไถฟีด, มี Instagram ให้อวดรูปสวยๆ หรือมี TikTok ให้ดูคลิปสนุกๆ ผู้คนบนโลกอินเทอร์เน็ตในยุคแรก เขาไปรวมตัวกันอยู่ที่ไหน?
คำตอบคือ พวกเขามี “มหานคร” เป็นของตัวเอง..
มหานครดิจิทัลที่เคยคึกคักและยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งบนโลกอินเทอร์เน็ต สถานที่แห่งนั้นมีชื่อว่า GeoCities
เรื่องราวของ GeoCities ไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ของเว็บไซต์เก่าๆ แต่มันคือบทเรียนชั้นดีที่สะท้อนวัฏจักรการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของเทคโนโลยี ที่ยังคงเป็นจริงจนถึงทุกวันนี้
ย้อนกลับไปในยุค 90s อินเทอร์เน็ตยังเป็นดินแดนที่ค่อนข้างลึกลับ การจะมี “เว็บไซต์” เป็นของตัวเองสักเว็บ ถือเป็นเรื่องของโปรแกรมเมอร์ หรือคนที่มีความรู้ทางเทคนิคสูงเท่านั้น คนทั่วไปทำได้แค่นั่งมองตาปริบๆ
แต่แล้ว ชายชื่อ David Bohnett ก็มองเห็นโอกาสที่แตกต่างออกไป เขามีวิสัยทัศน์ว่าอินเทอร์เน็ตไม่ควรเป็นแค่แหล่งข้อมูลที่น่าเบื่อ แต่ควรจะเป็นพื้นที่ให้ผู้คนได้มาเชื่อมต่อกัน สร้างชุมชน และแบ่งปันสิ่งที่ตัวเองรัก
แนวคิดนี้เอง คือจุดกำเนิดของ GeoCities ในปี 1994 พูดง่ายๆ ก็คือ GeoCities เสนอเครื่องมือและพื้นที่ “ฟรี” ให้ใครก็ได้ สามารถสร้างโฮมเพจหรือเว็บเพจส่วนตัวของตัวเองขึ้นมา โดยแทบไม่ต้องรู้เรื่องการเขียนโค้ด HTML ที่แสนวุ่นวายเลย
ลองนึกภาพตามว่ามันเหมือนกับการได้ที่ดินเปล่ามาฟรีๆ พร้อมกับอุปกรณ์สร้างบ้านแบบสำเร็จรูป ใครอยากสร้างบ้านหน้าตาแบบไหน ก็ทำได้ตามใจชอบ
แต่สิ่งที่ทำให้ GeoCities พิเศษกว่าใคร คือแนวคิดการจัดระเบียบเว็บไซต์ต่างๆ ให้กลายเป็น “เมือง” หรือ “ย่าน” ตามความสนใจ
ถ้าคุณเป็นคอหนัง คุณก็ไปตั้งบ้านอยู่ในย่าน “Hollywood”
ถ้าคุณคลั่งไคล้เทคโนโลยี ก็ไปปักหลักที่ “SiliconValley”
ถ้าคุณเป็นสายปรัชญา ชอบเรื่องการศึกษา ก็ต้องไปที่ย่าน “Athens”
หรือถ้าคุณเป็นแฟนพันธุ์แท้วัฒนธรรมญี่ปุ่น ก็ต้องไปที่ “Tokyo”
แต่ละย่านจะมีเหมือนผู้ใหญ่บ้าน คอยดูแลและจัดกิจกรรม ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนจริงๆ ไม่ใช่แค่หน้าเว็บที่ลอยอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนโลกไซเบอร์
เอกลักษณ์ที่น่าจดจำของเว็บใน GeoCities ที่คนรุ่นใหม่อาจจะนึกภาพไม่ออก คือการเปิดพื้นที่ในการแสดงตัวตนแบบจัดเต็ม
พื้นหลังเว็บที่เป็นลวดลายซ้ำๆ สีสันแสบตา, ข้อความวิ่งได้กะพริบไปมา, รูปภาพเคลื่อนไหวสกุล GIF ที่มีอยู่ทุกอณูของหน้าเว็บ, ตัวนับเลขผู้เข้าชมที่เจ้าของเว็บภาคภูมิใจ และที่ขาดไม่ได้คือเสียงเพลง MIDI ที่บรรเลงขึ้นมาอัตโนมัติทันทีที่เปิดหน้าเว็บ
ถ้ามองด้วยสายตาของนักออกแบบเว็บสมัยนี้ อาจจะรู้สึกว่ามันรกและดูไม่โปรเฟสชันนัลเลยสักนิด แต่ในยุคนั้น นี่คือสุดยอดแห่งความคิดสร้างสรรค์ และเป็นการประกาศตัวตนว่า “นี่คือพื้นที่ของฉัน”
GeoCities เติบโตอย่างก้าวกระโดด กลายเป็นเว็บที่มียอดผู้เข้าชมสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในช่วงพีคสุดๆ มีผู้ใช้งานมากกว่า 38 ล้านคน และมีเว็บเพจส่วนตัวถูกสร้างขึ้นมากกว่า 7 ล้านหน้า
มหานครดิจิทัลแห่งนี้ ได้กลายเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตยุคบุกเบิกอย่างแท้จริง
แต่มันคือช่วงเวลาก่อนที่พายุลูกใหญ่จะพัดเข้ามา..
เมื่อมีของดี แน่นอนว่ายักษ์ใหญ่ก็ย่อมต้องชายตามอง
เดือนมกราคม ปี 1999 ท่ามกลางกระแสฟองสบู่ดอทคอมที่กำลังร้อนแรง Yahoo หนึ่งในผู้เล่นที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอินเทอร์เน็ตขณะนั้น ได้ประกาศข่าวใหญ่สะเทือนวงการ
Yahoo เข้าซื้อกิจการ GeoCities ด้วยมูลค่าสูงถึง 3.57 พันล้านดอลลาร์ ดีลนี้ถือเป็นหนึ่งในการซื้อกิจการครั้งประวัติศาสตร์ และเป็นสัญญาณว่า GeoCities ได้เดินทางมาถึงจุดสูงสุดแล้ว
แต่ใครจะไปคิดว่า จุดสูงสุดนั้น กลับเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลาย ภายใต้การบริหารของเจ้าของใหม่ หลายสิ่งหลายอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป
Yahoo เริ่มปรับเปลี่ยนนโยบาย โดยเฉพาะข้อตกลงการใช้งานที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่า Yahoo กำลังจะเข้ามาอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของเนื้อหาที่พวกเขาเป็นคนสร้างขึ้นมากับมือ จากบ้านที่เคยอยู่อย่างสบายใจ เริ่มมีคนนอกเข้ามาวุ่นวาย
ไม่เพียงเท่านั้น Yahoo ยังเริ่มนำโฆษณาเข้าไปติดบนหน้าเว็บของผู้ใช้ ซึ่งสำหรับหลายๆ คน มันคือการบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวที่พวกเขารักและหวงแหน
ในขณะที่ปัญหาภายในกำลังคุกรุ่น โลกภายนอกก็หมุนไปเร็วกว่าที่คิด เทรนด์ใหม่ที่เรียกว่า “เว็บ 2.0” กำลังมาแรง แพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่ใช้งานง่ายและดูทันสมัยกว่าเริ่มเกิดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ไม่ว่าจะเป็น Blogger, WordPress หรือคู่แข่งสำคัญอย่าง MySpace
แพลตฟอร์มเหล่านี้ไม่ได้มีแค่หน้าเว็บนิ่งๆ แต่เน้นการมีปฏิสัมพันธ์ที่ง่ายและรวดเร็วกว่า
ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตรุ่นใหม่ไม่ได้อยากสร้างบ้านที่ต้องคอยทาสีใหม่ทั้งหลังทุกครั้งที่อยากจะอัปเดต แต่พวกเขาต้องการพื้นที่ที่สามารถโพสต์ข้อความสั้นๆ หรือแชร์รูปภาพได้ทันที
สไตล์การออกแบบเว็บแบบเก่าของ GeoCities ที่เคยดูเท่ ก็เริ่มกลายเป็นของที่ดูเชยและล้าสมัยในสายตาคนส่วนใหญ่ มหานครที่เคยคึกคัก เริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอย ผู้คนเริ่มอพยพย้ายออกไปยังเมืองใหม่ที่น่าตื่นเต้นกว่า
เว็บเพจจำนวนมากถูกทิ้งร้าง ไม่มีใครเข้ามาอัปเดตนานนับปี กลายเป็น “บ้านร้าง” อยู่บนโลกออนไลน์
Yahoo พยายามที่จะปรับปรุงและฟื้นฟู GeoCities อยู่หลายครั้ง แต่ก็เหมือนกับการพยายามปรับปรุงรถม้ารุ่นเก่าให้วิ่งแข่งกับรถสปอร์ต มันสายเกินไปแล้ว
รายได้ไม่เข้าเป้า ในขณะที่ต้นทุนในการดูแลรักษาสูงขึ้นเรื่อยๆ สุดท้าย GeoCities ก็กลายเป็นภาระทางการเงินที่ Yahoo ไม่พร้อมจะแบกรับอีกต่อไป
และแล้ว วันที่ทุกคนไม่อยากให้มาถึงก็มาถึง วันที่ 23 เมษายน 2009 Yahoo ได้ประกาศข่าวร้ายอย่างเป็นทางการ GeoCities จะปิดให้บริการอย่างถาวรในวันที่ 26 ตุลาคม ปีเดียวกัน
นี่ไม่ใช่แค่การปิดเว็บ แต่เป็นการประกาศทุบมหานครทั้งเมืองทิ้ง ผู้ใช้งานมีเวลาไม่กี่เดือนในการเข้าไปเก็บข้าวของ หรือดาวน์โหลดข้อมูลเว็บไซต์ของตัวเองออกมา หากไม่ทำเช่นนั้น ข้อมูล เรื่องราว และความทรงจำทั้งหมดที่อยู่ในนั้น จะหายไปจากโลกนี้.. ตลอดกาล
ข่าวการปิดตัวของ GeoCities สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วชุมชนนักท่องอินเทอร์เน็ตยุคเก่า มันเปรียบเหมือนการที่รัฐบาลประกาศจะทุบพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ขนาดมหึมาที่เก็บผลงานศิลปะของผู้คนนับล้านชิ้นทิ้ง
ผลงานเหล่านั้นอาจไม่ได้เลอเลิศทางศิลปะ แต่มันคือบันทึกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ไม่สามารถประเมินค่าได้
วินาทีนั้นเอง ปฏิบัติการกู้ภัยทางดิจิทัลครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ก็ได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อเห็นว่าประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ตชิ้นสำคัญกำลังจะถูกลบหายไป กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่านักอนุรักษ์ดิจิทัลก็ไม่สามารถอยู่นิ่งเฉยได้
กลุ่มอาสาสมัครที่ใช้ชื่อว่า “Archive Team” ได้ลุกขึ้นมาเป็นหัวหอกในภารกิจนี้ พวกเขาเริ่มต้นโปรเจกต์ “GeoCities Special Collection” โดยมีเป้าหมายที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ นั่นคือการดาวน์โหลดและสำรองข้อมูลเว็บไซต์จาก GeoCities ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่เซิร์ฟเวอร์จะถูกปิด
พวกเขาต้องแข่งกับเวลา พัฒนาเครื่องมือพิเศษเพื่อดูดข้อมูลเว็บนับล้านออกมา แม้จะเจอกับอุปสรรคทางเทคนิคมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้
อีกหนึ่งฮีโร่ในเรื่องนี้คือ Internet Archive องค์กรไม่แสวงหากำไรผู้ทำหน้าที่เปรียบเสมือน “ห้องสมุดแห่งอินเทอร์เน็ต” ก็ได้พยายามบันทึกหน้าเว็บของ GeoCities ผ่านบริการ Wayback Machine ของพวกเขา
แม้จะมีความพยายามจากหลายฝ่าย แต่ด้วยข้อจำกัดมหาศาลทั้งด้านเวลาและทรัพยากร ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือทุกชีวิตในมหานครแห่งนี้ไว้ได้
มีการประเมินกันว่า มีเว็บไซต์เพียงประมาณ 1 ใน 3 ของ GeoCities ทั้งหมดเท่านั้นที่ถูกบันทึกไว้ได้ทัน ส่วนที่เหลืออีกนับล้านเว็บ ก็ได้สูญสลายหายไปกับกาลเวลาอย่างถาวร
การล่มสลายของ GeoCities ได้ทิ้งมรดกและบทเรียนสำคัญไว้ให้กับคนรุ่นหลัง มันทำให้ผู้คนเริ่มตระหนักถึงความเปราะบางของข้อมูลดิจิทัล
เรามักจะคิดว่าสิ่งที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตจะคงอยู่ตลอดไป แต่ความจริงแล้วมันสามารถหายวับไปได้ในพริบตา หากบริษัทที่ให้บริการตัดสินใจปิดตัวลง
บทเรียนนี้ยังส่งผลมาถึงปัจจุบัน ที่เราฝากชีวิตและความทรงจำไว้กับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่ราย รูปถ่าย วิดีโอ ข้อความสำคัญ อาจไม่ได้อยู่กับเราตลอดไปอย่างที่คิด
มองย้อนกลับไป GeoCities อาจเป็นแพลตฟอร์มที่ดูเก่าและมีข้อจำกัดมากมาย แต่มันมีความงดงามในแบบของตัวเอง มันคือยุคสมัยที่ผู้คนธรรมดาสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ด้วยความหลงใหลอย่างบริสุทธิ์ใจ
เป็นยุคที่อินเทอร์เน็ตคือพื้นที่แห่งการแสดงออก ไม่ใช่พื้นที่ที่ถูกควบคุมโดยอัลกอริทึมเพื่อผลกำไร
แม้ GeoCities จะกลายเป็น “เมืองร้างดิจิทัล” ไปแล้ว แต่วิญญาณของมันยังคงหล่อหลอมโลกอินเทอร์เน็ตที่เราใช้กันอยู่ในทุกวันนี้
และมันยังคงทิ้งคำถามสำคัญไว้ให้เราได้ขบคิดว่าในวันที่เราฝากทุกความทรงจำไว้บนโลกออนไลน์ เราได้เตรียมแผนสำรองไว้แล้วหรือยัง หากวันหนึ่ง “เมือง” ที่เราอาศัยอยู่ ประกาศปิดตัวลง.. โดยไม่ให้เราได้ทันตั้งตัว
References : [wikipedia,wired,theatlantic,archive,archiveteam]
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA
Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
Geek Forever’s Podcast
“Open Your World With Technology“
AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning
Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ