ทำไม Clubhouse ถึงตายเร็วกว่าเกิด? บทเรียนสำหรับสตาร์ทอัพยุคใหม่ จาก 4 พันล้านดอลลาร์ สู่ความเงียบงัน

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมแอปพลิเคชันที่เคยดังกระฉูดมีมูลค่ากว่าแสนล้านบาท ถึงกลับดิ่งลงเหว หายไปจากความสนใจของผู้คนได้ในเวลาไม่ถึงปี ?

เรื่องราวของ Clubhouse คือกรณีศึกษาที่น่าจดจำที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์วงการโซเชียลมีเดีย เป็นบทเรียนราคาแพงที่นักการตลาดและผู้ประกอบการทุกคน

ย้อนกลับไปในช่วงต้นปี 2021 ถ้าจะหาแอปโซเชียลที่เนื้อหอมที่สุดในโลก ชื่อของ Clubhouse คงนอนมาเป็นอันดับหนึ่งแบบไร้คู่แข่ง ด้วยมูลค่าบริษัทที่พุ่งทะยานไปถึง 4 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 1.4 แสนล้านบาท

แอปนี้มีผู้ใช้งานประจำมากกว่า 17 ล้านคน และกลายเป็นของที่ทุกคนถวิลหาที่จะต้องมีติดเครื่องไว้ เรียกได้ว่าเป็นดาวดวงใหม่ที่ถูกเสกขึ้นมาประดับวงการโซเชียลอย่างแท้จริง

ลองนึกภาพตาม บรรดาคนดังระดับโลกต่างพากันเข้ามาใช้พื้นที่นี้ไม่ว่าจะเป็น Elon Musk หรือ Mark Zuckerberg ที่มาเล่าเรื่อง Metaverse อย่างกระตือรือร้น หรือแม้กระทั่ง Oprah Winfrey ก็ยังมาแชร์เทคนิคการสัมภาษณ์ของเธอ

แต่แล้วเกิดอะไรขึ้น ? ทำไมสวรรค์ของ Clubhouse ถึงได้พังทลายลงมาอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้งานกว่า 80% หายวับไปกับตา จนกลายเป็นหนึ่งในความล้มเหลวที่สุดในประวัติศาสตร์ในแวดวงเทคโนโลยี

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากชายสองคน Paul Davison และ Rowan Seth ผู้ก่อตั้ง Clubhouse พวกเขามีไอเดียที่ โครตเจ๋งมาก ๆ คือการสร้างแพลตฟอร์มที่แตกต่างจาก Instagram และ TikTok โดยสิ้นเชิง

พวกเขาต้องการรังสรรค์พื้นที่ที่ใช้ “เสียง” เป็นตัวนำ ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องหน้าตาเหมือนตอนใช้ Zoom หรือโซเชียลอื่น ๆ แต่เน้นการเชื่อมต่อกันด้วยเสียงสด ๆ แบบเรียลไทม์

Clubhouse เปิดตัวในเดือนเมษายน 2020 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเหมาะเจาะมาก ๆ เพราะการระบาดของโควิด-19 เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ผู้คนทั่วโลกถูกกักตัวอยู่บ้านและโหยหาการเข้าสังคมในรูปแบบใหม่ ๆ

ความพิเศษของ Clubhouse คือระบบที่ต้องได้รับเชิญเท่านั้น (invite-only) ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนเป็นคลับลับเฉพาะกลุ่มที่ใคร ๆ ก็หมายปอง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเข้ามาเดินเล่นได้ง่าย ๆ

ความรู้สึกพิเศษนี้เองที่ทำให้แอปบูมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ปี 2020 เป็นปีแห่งการก่อร่างสร้างตัว ปี 2021 คือปีที่ Clubhouse ระเบิดฟอร์มอย่างเต็มที่

เพียงแค่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 เดือนเดียว Clubhouse ถูกดาวน์โหลดไปเกือบ 10 ล้านครั้งทั่วโลก ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความนิยมพุ่งกระฉูดก็คือการเข้ามาของเหล่าคนดังและผู้ทรงอิทธิพลในวงการต่าง ๆ

สิ่งที่ Instagram ทำกับรูปภาพ Clubhouse ก็กำลังทำสิ่งเดียวกันนั้นกับ “เสียง” การเติบโตที่บ้าคลั่งนี้ไปเข้าตานักลงทุนรายใหญ่อย่าง Andreessen Horowitz ที่ประเมินมูลค่าบริษัทไว้สูงลิ่ว

แต่ใครจะไปคิดว่าความสำเร็จที่ดูเหมือนจะฉุดไม่อยู่นี้ กำลังจะกลายเป็นเพียงความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา…

ในช่วงที่ทุกคนต้องอยู่บ้าน Clubhouse คือคำตอบที่ใช่ที่สุด จำนวนผู้ใช้เพิ่มจากหลักพันในเดือนพฤษภาคม 2020 กลายเป็น 600,000 คนในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน เป็นการเติบโตที่โหดมาก

แต่เมื่อสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ความสำคัญของ Clubhouse ก็เริ่มหมดไปสำหรับหลายคน มันไม่ต่างอะไรกับของเล่นชิ้นใหม่ที่พอเบื่อแล้วก็โยนทิ้ง

จากการสำรวจพบว่า ผู้ใช้กว่า 88% เลิกเล่น Clubhouse เพราะมองว่ามันเป็นแค่กระแสชั่วคราวในช่วงระบาดเท่านั้น แต่เบื้องหลังความล่มสลายนี้ มันมีอะไรที่ลึกลับซับซ้อนยิ่งกว่านั้น

ปัญหาใหญ่ข้อแรกคือการที่ Clubhouse ดูเหมือนจะเทิดทูนเหล่าอินฟลูเอนเซอร์และคนดังมากเกินไป จนละเลยผู้ใช้งานทั่วไป บรรยากาศในแอปให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคลับของชนชั้นสูง ที่คนธรรมดาแทบไม่มีสิทธิ์เข้าถึง

บางคนถึงกับเอาบัตรเชิญไปขายในราคาหลายหมื่นบาท ทำให้คนทั่วไปที่อยากลองใช้รู้สึกยี้ และมองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระในขณะที่คนดังกลับเติบโตและกอบโกยบนแพลตฟอร์มนี้

เมื่อ Elon Musk เปิดห้องสนทนา แฟนคลับของเขาก็แห่กันเข้ามาจนแอปแทบแตก เขาดึงดูดผู้ฟังได้ทันที 5,000 คน ซึ่งเกินขีดจำกัดที่แอปจะรับไหวในตอนนั้น

ไม่ใช่แค่คนในวงการเทคฯ เท่านั้น แม้แต่ตำนานฮิปฮอปอย่าง MC Hammer หรือแร็ปเปอร์อย่าง 21 Savage ก็เข้ามาใช้พื้นที่นี้สร้างแบรนด์และเชื่อมต่อกับแฟนคลับ มันกลายเป็นเวทีของคนดังโดยสมบูรณ์

แม้ช่วงแรกมันจะเจ๋งมาก ๆ ที่ได้ฟังคนดังพูดสด ๆ แต่ไม่นานผู้ใช้ทั่วไปก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นพลเมืองชั้นสอง พวกเขาเข้าถึงห้องสนทนาที่น่าสนใจได้ยาก เพราะระบบจะดันแต่ห้องของคนดังขึ้นมา

การต้องทนฟังบทสนทนายาว ๆ ที่ไม่มีการตัดต่อเป็นเรื่องที่น่าเบื่อเกินไปสำหรับคนส่วนใหญ่ มันไม่สามารถดึงความสนใจไว้ได้นานพอ ก่อนที่พวกเขาจะสลับไปเช็ก Instagram หรือ Twitter แทน

ในขณะที่แพลตฟอร์มอื่นมีคอนเทนต์ที่ผ่านการตัดต่อมาอย่างดี แต่ Clubhouse ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ การสร้างบทสนทนาสดหนึ่งชั่วโมงให้น่าสนใจตลอดเวลาเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ

ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ Clubhouse ไม่มีฟีเจอร์บันทึกการสนทนาในช่วงแรก ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดเป็นอย่างยิ่ง

ลองนึกภาพตาม คุณกำลังฟังเรื่องสุดมันอยู่ดี ๆ แต่มีสายสำคัญเข้า หรือต้องไปทำธุระด่วน พอกลับมาอีกที บทสนทนาส่วนสำคัญก็หายไปหมดสิ้นไม่สามารถย้อนกลับไปฟังได้อีก

ในทางกลับกัน Twitter Spaces คู่แข่งที่มาทีหลัง กลับมีฟีเจอร์นี้ให้ใช้ตั้งแต่วันแรก Clubhouse เพิ่งจะมาเพิ่มปุ่มบันทึกในเดือนตุลาคม 2021 ซึ่งมันก็สายไปเสียแล้ว

ไม่ใช่แค่ฟีเจอร์บันทึกที่ขาดไป แต่คุณสมบัติพื้นฐานอื่น ๆ ก็ไม่มีเช่นกัน ผู้ใช้แชร์รูปหรือวิดีโอไม่ได้ ส่งข้อความส่วนตัวก็ไม่ได้ โพสต์สเตตัสก็ไม่ได้ มีแค่ห้องเสียงเพียว ๆ ซึ่งมันไม่เพียงพอที่จะฉุดรั้งผู้ใช้ไว้ได้อีกต่อไป

ยิ่งไปกว่านั้น Clubhouse ยังกลายเป็นแหล่งรวมของคำพูดแสดงความเกลียดชัง การเหยียดเชื้อชาติ เหยียดเพศ และการคุกคามต่าง ๆ นานาจนฉาวโฉ่ไปทั่ว

มีห้องสนทนาที่ตั้งชื่อแบบล้ำเส้น เช่น “ผู้หญิงผิวดำบนเตียงห่วยจริงหรือ?” ที่มีคนเข้าร่วมกว่า 4,000 คน และโจมตีกันอย่างเปิดเผย สะท้อนถึงวัฒนธรรมที่เป็นพิษและขาดการควบคุมดูแลที่ดีเพียงพอ

ปัญหานักต้มตุ๋นที่เข้ามาสร้างห้องล่อลวงผู้คนด้วยแผนรวยเร็ว หรือการปลอมตัวเป็นคนดังก็แพร่ระบาดไปทั่ว ปัญหาเหล่านี้รุมเร้าจนแพลตฟอร์มที่เคยได้รับความนิยมกลับเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว

อิทธิพลที่ Clubhouse เคยมีต่อโลกโซเชียลได้สูญสิ้นไปในเวลาเพียงไม่กี่เดือน Twitter Spaces ที่เปิดตัวตามมา สามารถแซงหน้าไปได้อย่างไม่เห็นฝุ่น เครือข่ายเดิมที่แข็งแกร่งของ Twitter นั้น มีพลังมากเกินกว่าที่ Clubhouse จะต่อกรด้วยได้

เดือนเมษายน 2023 Clubhouse ประกาศปลดพนักงานออกถึง 50% ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าสถานการณ์ของบริษัทเริ่มแย่ ผู้ก่อตั้งหวังว่าทีมที่เล็กลงจะช่วยให้ขยับตัวได้เร็วขึ้น

แต่คำถามคือ จะมีการกลับมาของ Clubhouse อีกครั้งหรือไม่? อนาคตของแอปที่เคยรุ่งเรืองนี้ยังคงมืดมนและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

บทเรียนสำคัญจากการ “ขึ้นสุดลงสุด” ของ Clubhouse มีหลายประการที่น่าขบคิด

อย่างแรก การเติบโตที่เร็วเกินไปอาจเป็นยาพิษ ผู้ก่อตั้งเองยอมรับว่าพวกเขาโตเร็วเกินไปจนระบบและทีมงานไม่สามารถรองรับได้ทัน

อย่างที่สอง การพึ่งพากระแสชั่วคราวเป็นความเสี่ยงมหันต์ Clubhouse เกิดจากความต้องการในช่วงโควิด แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ความต้องการนั้นก็ลดฮวบลง

อย่างที่สาม การให้ความสำคัญกับอินฟลูเอนเซอร์มากเกินไป คือการถีบส่งผู้ใช้ทั่วไป ความรู้สึกของการเป็นพลเมืองชั้นสองทำให้ไม่มีใครอยากอยู่ต่อ

และสุดท้าย การขาดคุณสมบัติพื้นฐานและการแก้ปัญหาที่ล่าช้าเกินไป คือการขีดชะตาชีวิตของตัวเองให้ดับสนิท ในสมรภูมิที่การแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดในโลก

Clubhouse คือตัวอย่างชั้นดีของแอปที่มาเร็วไปเร็วแม้จะมีแนวคิดที่โครตเทพ และได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำ แต่ความล้มเหลวในการปรับตัวและแก้ปัญหาพื้นฐานให้ทันท่วงที ก็ทำให้พวกเขาต้องสูญสิ้นทุกสิ่งไปในที่สุด

เรื่องราวนี้คือบทเรียนราคาแพงที่ถูกขีดเขียนไว้ในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี ว่าไอเดียที่เจ๋งเพียงอย่างเดียว ไม่เคยเพียงพอที่จะการันตีความสำเร็จในโลกธุรกิจที่โหดเหี้ยมใบนี้ได้เลย

References: [justanotherpm, wikipedia, marketrealist, scmp]


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube