ทำไม Apple ถึงเกลียด Nvidia? หายนะชิปมรณะ ที่เปลี่ยนศัตรูให้เป็นคู่แค้นตลอดกาล

ลองจินตนาการถึงโลกอีกใบ…

โลกที่ MacBook ดีไซน์หรูหราของ Apple ถูกขับเคลื่อนด้วยขุมพลังกราฟิกและ AI ที่ดีที่สุดในโลกจาก Nvidia

หรือโลกที่ iPhone ในมือของเรา มีชิป GPU จาก Nvidia อยู่ข้างใน ทำให้มันกลายเป็นเครื่องเล่นเกมพกพาที่ทรงพลังที่สุด

โลกใบนี้เกือบจะเกิดขึ้นจริง…

Apple และ Nvidia สองบริษัทยักษ์ใหญ่แห่ง Silicon Valley ความจริงแล้วควรจะเป็นพันธมิตรโดยธรรมชาติ ที่จะมาจับมือกันครองอุตสาหกรรม

แต่ในความเป็นจริง ทั้งคู่กลับกลายเป็นคู่ปรับที่ขมขื่น อยู่ในภาวะสงครามเย็นกันมานานกว่าทศวรรษ

มันเกิดอะไรขึ้น?

ความสัมพันธ์ที่เคยดูสดใส กลับพังทลายลง จนกลายเป็นหนึ่งในการ “หย่าร้าง” ที่โด่งดังและร้าวลึกที่สุดในประวัติศาสตร์วงการเทคโนโลยีได้อย่างไร

ต้องบอกว่าเรื่องราวของ Apple และ Nvidia มันเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนกว่าข้อพิพาททางธุรกิจทั่วไป

แต่มันคือละครน้ำเน่าชั้นดี ที่ขับเคลื่อนด้วยความผิดพลาดในการผลิตระดับจุลภาค ที่สร้างความเสียหายหลายร้อยล้านดอลลาร์

การปะทะกันของสองบริษัทที่มี ego สูงที่สุดในอุตสาหกรรม

และการหักหลัง… ที่บีบให้ Apple ต้องเริ่มต้นภารกิจยาวนานนับสิบปี เพื่อทวงคืนการควบคุมโชคชะตาของตัวเอง ภารกิจที่ท้ายที่สุด นำไปสู่การกำเนิดของ Apple Silicon และเปลี่ยนโฉมหน้าวงการคอมพิวเตอร์ไปตลอดกาล

และเพื่อที่จะเข้าใจการเลิกรา เราต้องย้อนกลับไปดูตอนที่พวกเขารักกันก่อน

ในช่วงต้นยุค 2000 ตลาดคอมพิวเตอร์ PC อยู่ในยุคที่แตกต่างจากปัจจุบัน Apple กำลังอยู่ในช่วง “การ comeback ครั้งยิ่งใหญ่” นำโดย Steve Jobs ที่เพิ่งกลับมาบริหารบริษัท

แต่โจทย์ใหญ่ของ Jobs คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ระดับ “Pro” ของเขา จะแข่งขันในตลาดได้อย่างไร ถ้าประสิทธิภาพกราฟิกยังสู้คู่แข่งไม่ได้

ในยุคนั้น ชิปกราฟิกแบบ Onboard หรือที่เรียกว่า Integrated Graphics ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก Intel ขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพที่ต่ำมาก

มันคือ “คอขวด” ตัวจริง ที่ทำให้เครื่อง Mac ไม่สามารถทำงานหนักๆ ที่กลุ่มลูกค้าหลักของ Apple ต้องการได้

กลุ่มลูกค้าเหล่านี้คือ มืออาชีพสายครีเอทีฟ ไม่ว่าจะเป็น นักตัดต่อวิดีโอ นักปั้นโมเดล 3D และนักออกแบบ

Apple ต้องการพันธมิตรที่เป็น “ของจริง” ด้านกราฟิก และนั่นคือเวลาที่ Nvidia ก้าวเข้ามา

ในฐานะผู้คิดค้น GPU หรือ Graphics Processing Unit ซึ่งก็คือหน่วยประมวลผลกราฟิก Nvidia คือราชาแห่งกราฟฟิกที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มต้นในปี 2001 เมื่อ Apple นำชิป GeForce 2 MX ของ Nvidia มาใส่ใน Power Mac G4

Steve Jobs ถึงกับเคยประกาศบนเวทีที่โตเกียวด้วยตัวเองว่า ทั้งสองบริษัทมีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม

แต่ช่วงเวลาที่ถือเป็น “ยุคทอง” ที่แท้จริง คือระหว่างปี 2006 ถึง 2008 เครื่อง Mac ที่ทรงพลังและมีราคาแพงที่สุดของ Apple ในยุคนั้น ต่างใช้ GPU ระดับท็อปของ Nvidia อย่างภาคภูมิใจ

สิ่งนี้ตอกย้ำสถานะความเป็น “Pro” ของผลิตภัณฑ์ Apple

ตัวอย่างเช่น MacBook Pro รุ่นปี 2007 และ 2008 ที่มาพร้อมกับ GPU สุดแกร่งอย่าง Nvidia GeForce 8600MGT

นี่คือจุดขายหลักในยุคนั้น บทวิจารณ์ต่างยกย่องว่ามันคือการ์ดจอโน้ตบุ๊กที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาด มันมอบพลังให้เหล่ามืออาชีพใช้รันโปรแกรมหนักๆ หรือแม้กระทั่งแอบไปบูต Windows ผ่าน Boot Camp เพื่อเล่นเกมระดับสูงได้สบาย ๆ

ความสัมพันธ์นี้พุ่งสู่จุดสูงสุด ในช่วงปลายปี 2008 กับการเปิดตัว Unibody MacBook Pro ที่ปฏิวัติวงการ ซึ่งเครื่องนี้มาพร้อมนวัตกรรมล้ำสมัย นั่นคือระบบ GPU คู่

อธิบายง่ายๆ คือ มันมี GPU สองตัวในเครื่องเดียว เวลาใช้งานทั่วไป มันจะใช้ชิปออนบอร์ด Nvidia GeForce 9400M เพื่อประหยัดพลังงาน

แต่เมื่อไหร่ที่ต้องการพลัง… แค่คลิกเดียว… เครื่องจะสลับไปใช้การ์ดจอแยกตัวแรงอย่าง GeForce 9600M GT ทันที ความแตกต่างด้านประสิทธิภาพนั้นมหาศาลมาก

การทดสอบในโลกจริง พบว่า 9600M GT เร็วกว่าชิปออนบอร์ดตัวน้องของมัน ตั้งแต่ 121% จนถึง 286%

สื่อทรงอิทธิพลในยุคนั้นต่างเฉลิมฉลองการก้าวกระโดดครั้งนี้ ตอกย้ำชื่อเสียงของ MacBook Pro ในฐานะ “ผลิตภัณฑ์สำหรับมืออาชีพ” ตัวจริง

ยุคทองนี้… มันไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์แบบซัพพลายเออร์ทั่วไป แต่มันคือความจำเป็นเชิงกลยุทธ์สำหรับ Apple

อัตลักษณ์ความเป็น “Pro” ทั้งหมดของ Apple ถูกสร้างขึ้นบนคำคุยโวว่าจะส่งมอบประสิทธิภาพระดับสุดยอด

หากไม่มี GPU อันทรงพลังของ Nvidia เครื่อง Mac ที่แพงที่สุดของ Apple ก็จะไม่ต่างอะไรจากคอมพิวเตอร์ทั่วไป ที่ไม่สามารถทำงานหนักได้จริง

ความพึ่งพาที่ลึกซึ้งนี้เอง… ที่กำลังจะกลายเป็นการหักหลังที่เจ็บปวด และนำไปสู่หายนะครั้งใหญ่

ภายใต้ความสำเร็จที่สวยหรู… “ระเบิดเวลา” ลูกเล็กๆ กำลังเดินเครื่อง มันคือข้อบกพร่องระดับจุลภาค ที่กำลังรอวันระเบิดความสัมพันธ์นี้ให้แหลกละเอียด

วิกฤตครั้งนี้ ถูกเรียกขานในเวลาต่อมาว่า “Bumpgate”

ศูนย์กลางของปัญหาอยู่ที่ GPU สำหรับโน้ตบุ๊กตระกูลหนึ่งของ Nvidia โดยเฉพาะชิปรหัส G84 และ G86

ชิปเหล่านี้ ถูกใช้ในแล็ปท็อปหลายล้านเครื่องทั่วโลก ไม่ใช่แค่ Apple แต่รวมถึง Dell และ HP ด้วย

ปัญหา… มันไม่ได้อยู่ที่ตัวแผ่นซิลิคอน แต่อยู่ที่ “แพ็คเกจ” หรือวัสดุที่ใช้ห่อหุ้มชิป ในการเชื่อมตัวชิป GPU เข้ากับแผงวงจรหลัก ผู้ผลิตจะใช้ “เม็ดบัดกรี” ทรงกลมขนาดจิ๋ว ที่ในวงการเรียกว่า Bumps

ปัญหาคือ “สูตรวัสดุ” ที่ Nvidia เลือกใช้ทำไอ้เจ้าเม็ดบัดกรีจิ๋วๆ เหล่านี้ และวัสดุที่อยู่รอบๆ มัน มีข้อบกพร่อง

ซึ่งธรรมชาติของแล็ปท็อป ต้องทนต่อ “ความเครียดจากความร้อน” ตลอดเวลา เดี๋ยวก็ร้อนจัดตอนเราใช้งานหนักๆ เดี๋ยวก็เย็นลงตอนเราปิดเครื่อง… มันคือการ “ขยายตัว” และ “หดตัว” ซ้ำไปซ้ำมา

วัสดุที่ Nvidia ใช้ มันทนไม่ไหว ผลก็คือ “รอยร้าวระดับจุลภาค” เริ่มเกิดขึ้นในเม็ดบัดกรีทีละน้อยๆ

ผลลัพธ์ที่ผู้ใช้ตาดำๆ ต้องเจอ ก็คือ “ฝันร้ายด้านกราฟิก” อาการจะเริ่มจากภาพกระตุก จอเป็นเส้น และท้ายที่สุด… จอดำสนิท

MacBook Pro ราคาเฉียดแสน กลายเป็น “ที่ทับกระดาษราคาแพง” ไปในทันที

หายนะครั้งนี้มันใหญ่หลวงมาก

ในเดือนกรกฎาคม 2008 Nvidia ต้องออกมายอมรับปัญหาต่อสาธารณะ และกันเงินก้อนแรกราว 150 ถึง 200 ล้านดอลลาร์ เพื่อเตรียมชดใช้ค่าเสียหาย

แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น… สุดท้ายแล้ว Nvidia ต้องจ่ายเงินที่เกี่ยวข้องกับชิปหายนะครั้งนี้ไปมากถึง 450 ล้านดอลลาร์ ในปี 2010

สำหรับ Apple นี่คือหายนะของแบรนด์

แบรนด์ของพวกเขาถูกสร้างขึ้นบน “คุณภาพ” และ “ความน่าเชื่อถือ”

แต่ตอนนี้… แล็ปท็อปรุ่นเรือธง กำลังพังพินาศในอัตราที่น่าตกใจ

Apple ถูกบังคับให้ออก “โครงการขยายการรับประกัน” ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอายและแพงมหาศาล พวกเขาต้องเสนอเปลี่ยน “ลอจิกบอร์ด” หรือเมนบอร์ดทั้งแผงให้ฟรีๆ นานถึงสี่ปีหลังการซื้อ

ค่าซ่อมต่อเครื่องในตอนนั้นก็หลายร้อยดอลลาร์… ซึ่งเป็นภาระทางการเงินที่หนักหน่วง

แต่สำหรับ Steve Jobs ความเสียหายที่แท้จริง มันไม่ใช่เรื่องเงิน

มันคือ “การหักหลัง”

จากคำบอกเล่าของอดีตพนักงาน Apple บริษัทโกรธจัดที่ Nvidia ปฏิเสธที่จะชดเชยค่าใช้จ่ายในการเรียกคืนสินค้าทั้งหมดให้พวกเขา

มีรายงานว่า Nvidia มองว่า Apple เป็นลูกค้ารายเล็ก ที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากนัก

หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือ Nvidia ยอมจ่ายเงินชดเชยให้ Dell หลังจากที่ Dell ขู่ว่าจะเลิกทำธุรกิจด้วยทั้งหมด

นี่คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยัง Apple ว่า “คุณไม่ใช่คนสำคัญอันดับแรก”

วินาทีนั้นเอง… ความไว้วางใจที่เคยมี มันแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ

ผลิตภัณฑ์ที่บกพร่องของ Nvidia และการจัดการวิกฤตที่ตามมา มันทำลายแบรนด์ Apple ทำให้พวกเขาเสียเงินมหาศาล

และที่สำคัญ มันทำลาย “ความเชื่อใจ” พื้นฐานที่ต้องมีในการทำธุรกิจระดับนี้

การหย่าร้าง… จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป

แต่ถ้าเราคิดว่า Bumpgate คือ “สาเหตุ” ของการเลิกรา เราอาจกำลังมองข้าม “รากเหง้า” ที่แท้จริงไป

ปัญหาที่แท้จริงมันลึกกว่านั้น…

มันคือการปะทะกันของ “ปรัชญา” ที่เข้ากันไม่ได้โดยสิ้นเชิง มันคือการปะทะกันของสองยักษ์ใหญ่ผู้มี ego สูงที่สุดใน Silicon Valley นั่นคือ Steve Jobs และ Jensen Huang

โลกทัศน์ของ Steve Jobs ทั้งหมด ถูกสร้างขึ้นบนหลักการเดียว นั่นคือ “การควบคุมเบ็ดเสร็จ”

กลยุทธ์ของเขาที่เรียกว่า Vertical Integration อธิบายง่ายๆ คือ Apple ต้องเป็นเจ้าของและควบคุมทุกส่วนที่สำคัญของประสบการณ์ผู้ใช้ ตั้งแต่ซิลิคอนที่ออกแบบเองข้างใน… ระบบปฏิบัติการที่มันรัน… ไปจนถึงร้านค้าปลีกที่ขายมัน

Jobs เชื่อว่าผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อทุกชิ้นส่วนถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกันอย่างสมบูรณ์แบบเท่านั้น

ปรัชญานี้… มันลามไปถึงซัพพลายเออร์ด้วย

Jobs ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวด เขาจะผลักดันคู่ค้าจนถึงขีดสุด เขามองโลกเป็นแค่สองสี ขาวกับดำ…

คุณไม่เป็น “อัจฉริยะ” คุณก็เป็น “ไอ้โง่”

ในโลกของเขา ซัพพลายเออร์มีหน้าที่เป็นแค่ “ฟันเฟืองที่ว่านอนสอนง่าย” ในเครื่องจักรที่เขาสร้าง… ไม่ใช่ “พาร์ทเนอร์” ที่มี “วาระซ่อนเร้น” ของตัวเอง

ในขณะที่ Jensen Huang ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Nvidia … เขามีวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกันคนละขั้ว เป้าหมายของ Huang ไม่เคยเป็นแค่การ “ขายชิ้นส่วน”

เป้าหมายของเขาคือการสร้าง Nvidia ให้เป็น “แพลตฟอร์ม” ที่ทรงพลัง ที่จะครองโลกเทคโนโลยี และผลงานชิ้นเอกของเขาคือ “CUDA”

ในช่วงต้นยุค 2000 Huang เดิมพันเงินกว่าพันล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ตัวนี้

CUDA คือสิ่งที่มา “ปลดล็อค” พลังการประมวลผลแบบขนานอันมหาศาลของ GPU ให้ทำอย่างอื่นได้ นอกจากการเล่นเกม

มันคือการเปลี่ยน GPU ให้เป็น “เครื่องยนต์” สำหรับการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ และในเวลาต่อมา… “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI

มันสร้าง “ระบบนิเวศ” ที่ทรงพลัง ที่ “ล็อค” ให้นักพัฒนาต้องผูกติดอยู่กับฮาร์ดแวร์ของ Nvidia

และที่สำคัญ… ไม่เหมือน Jobs ที่อยากให้ซัพพลายเออร์ “ไร้ตัวตน” … Huang กลับหมกมุ่นกับการ “สร้างแบรนด์” Nvidia และ GeForce ให้เป็นชื่อที่ทุกบ้านต้องรู้จัก

เขาอยากให้คนเดินเข้าร้าน แล้วถามหา “PC ที่มี Nvidia Inside”

ปรัชญาของทั้งคู่… มันกำลังมุ่งหน้าสู่การปะทะกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ Jobs ต้องการชิปที่ “ออกแบบมาเพื่อฉันโดยเฉพาะ” ที่ต้องประหยัดไฟ ต้องคุมความร้อนได้ตามมาตรฐานเป๊ะๆ ของเขา

ในขณะที่ Huang กำลังมุ่งมั่นกับกลยุทธ์แพลตฟอร์มที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เขาไม่เต็มใจที่จะทุ่มทรัพยากรวิศวกรที่เก่งที่สุด มานั่งทำชิป “กำไรน้อย” ให้กับลูกค้าที่ “เรื่องเยอะ” อย่าง Apple

แถมเอาเข้าจริง… Apple ไม่เคยติด Top 10 ลูกค้าที่ทำรายได้สูงสุดให้ Nvidia เลยด้วยซ้ำ

ความสัมพันธ์นี้… มันพังทลายในระดับพื้นฐาน มานานก่อนที่ชิปตัวแรกจะพังเสียอีก

Bumpgate ไม่ใช่ “สาเหตุ” ของการหย่าร้าง… มันเป็นแค่ “ตัวเร่งปฏิกิริยา” ที่ทำให้ความแตกต่างที่เข้ากันไม่ได้นี้ ถูกเปิดโปงออกมา

ผลกระทบจาก Bumpgate มันรวดเร็วและเด็ดขาด

เอกสารการหย่าร้างถูกเซ็น… และ Apple ก็เริ่มต้นกระบวนการ “ลบ” Nvidia ออกจากอนาคตของพวกเขาอย่างเป็นระบบ

หลังจากมีความพยายามสั้นๆ ที่ลือกันว่า “เต็มไปด้วยปัญหา” ในการกลับไปใช้ Nvidia อีกครั้งในปี 2012 Apple ก็ตัดสินใจ “ย้ายค่าย” ถาวร ไปหาคู่แข่งตลอดกาลของ Nvidia นั่นคือ AMD

ผลิตภัณฑ์แรกที่เป็นเหมือน “คำประกาศ” อย่างเป็นทางการถึงยุคใหม่นี้ ก็คือ Mac Pro ปี 2013 รุ่นที่หน้าตาเหมือน “ถังขยะ” นั่นเอง

รุ่นนั้นประกาศตัวชัดเจนว่าใช้การ์ดจอ AMD FirePro ระดับโปร สองตัว… ชัดเจนว่า ยุคของ Nvidia มันจบลงแล้ว

จากนั้นเป็นต้นมา… เครื่องระดับไฮเอนด์ของ Apple ทั้งหมด ก็พึ่งพา AMD สำหรับการ์ดจอแยกมาโดยตลอด

แต่การเปลี่ยนซัพพลายเออร์ มันเป็นแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

ผลกระทบที่แท้จริง… ผลกระทบระยะยาวจากบาดแผลของ Bumpgate… มันคือการตอกย้ำคำ ๆ หนึ่งลงไปใน DNA ของ Apple

“Never Again.” … “จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก”

จะไม่มีวัน… ที่แผนงานผลิตภัณฑ์… ชื่อเสียงของแบรนด์… และผลกำไรของบริษัท… จะต้องถูกจับเป็น “ตัวประกัน” โดยซัพพลายเออร์ภายนอกที่ไว้ใจไม่ได้อีกต่อไป

ทางเดียวที่จะ “ควบคุม” ได้… คือ “สร้างมันขึ้นมาเอง”

เมล็ดพันธุ์แห่งการปฏิวัติครั้งนี้… มันถูกหว่านไว้ก่อนที่วิกฤตจะเกิดด้วยซ้ำ ในเดือนเมษายน 2008… ไม่กี่เดือนก่อนที่ Nvidia จะออกมายอมรับเรื่อง Bumpgate…

Apple ได้ทำการเข้าซื้อกิจการครั้งสำคัญอย่างเงียบๆ… พวกเขาซื้อบริษัทออกแบบชิปชื่อ PA Semi ในราคา 278 ล้านดอลลาร์

การเคลื่อนไหวครั้งนี้… ซึ่งแทบไม่มีใครสังเกตเห็นในตอนนั้น… มันคือก้าวแรกบนการเดินทางนานนับสิบปีของ Apple สู่ความเป็นอิสระทางซิลิคอน

และ Bumpgate ก็คือ “เหตุผลชั้นดี” และ “ความเร่งด่วน” ที่มาเร่งให้แผนนี้ต้องเดินหน้าเร็วขึ้น

ทีมงานจาก PA Semi นี่แหละ ที่เป็นแกนหลักของแผนกออกแบบชิปภายในของ Apple ผลงานชิ้นแรกของพวกเขาคือชิป “A4” ที่เปิดตัวใน iPad รุ่นแรกในปี 2010

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “A-series” ชิปมือถือที่ออกแบบเอง ซึ่งกลายเป็น “มาตรฐานทองคำ” ด้านประสิทธิภาพอย่างรวดเร็ว

เป็นเวลา 10 ปีเต็ม… ที่ Apple ซุ่มฝึกปรือวิชาการออกแบบชิปของตัวเองใน iPhone และ iPad และ “ฉากสุดท้าย” ก็มาถึง… ในเดือนพฤศจิกายน 2020… กับการเปิดตัวชิป “M1”

System on a Chip ที่ Apple ออกแบบเองตัวแรกสำหรับ Mac นี่คือจุดสูงสุดของกลยุทธ์ที่เกิดจากเถ้าถ่านของปี 2008

การที่ Apple สามารถรวม CPU, GPU และหน่วยความจำ ไว้ในแพ็คเกจเดียวที่มีประสิทธิภาพสูง… มันคือการบรรลุ “ประสิทธิภาพต่อวัตต์” ในระดับที่ไม่มีผู้ผลิต PC รายไหนในโลกเทียบได้

ชิป M1 ไม่ใช่แค่ “ความมหัศจรรย์ทางเทคนิค” แต่มันคือ “การแก้แค้นขั้นสูงสุด”

มันคือ “คำประกาศอิสรภาพ” ครั้งสุดท้าย ที่รับประกันว่า Apple จะไม่ต้องตกอยู่ภายใต้ความเมตตา… หรือความล้มเหลว… ของซัพพลายเออร์หน้าไหนอีกต่อไป

แต่เรื่องราวมันมีสองด้านเสมอ…

การ “เดินออกจาก” Apple… ก็อาจจะเป็น “การตัดสินใจที่ฉลาดที่สุด” ที่ Nvidia เคยทำมาก็ได้

ในมุมของ Nvidia… Apple คือลูกค้าที่ “ปวดหัว” และ “เรื่องเยอะ” มากๆ พวกเขายืนกรานจะเอาแต่ “ดีไซน์เฉพาะ”… กดดันเรื่อง “กำไร” จนบางเฉียบ… และที่สำคัญคือ “ยอดซื้อน้อย”

วิสัยทัศน์ของ Jensen Huang มุ่งไปที่ “รางวัลที่ใหญ่กว่า” มาก นั่นคือการสร้าง “แพลตฟอร์มแนวนอน” ที่จะครองทั้งอุตสาหกรรม

การทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ไปกับระบบนิเวศของ “CUDA” และการยึดครองตลาดเกมมิ่งบน Windows ที่ใหญ่โตมโหฬาร…

มันคือการเดิมพันระยะยาวที่ทำกำไรได้มากกว่าการแบ่งทรัพยากรวิศวกรที่เก่งที่สุด มาปวดหัวกับลูกค้าจอมจู้จี้อย่าง Apple

และเมื่อมองย้อนกลับไป… กลยุทธ์นี้ของ Nvidia ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

พวกเขาไม่ได้แค่ชนะในตลาดเกม… พวกเขากลายเป็น “ราชา” แห่งยุค AI ที่แท้จริง

แพลตฟอร์ม CUDA ที่พวกเขาเดิมพันไว้ ได้กลายเป็น “มาตรฐานอุตสาหกรรม” ที่ขาดไม่ได้… โมเดล AI ที่เราใช้กันทุกวันนี้ ล้วนถูก “เทรน” หรือฝึกฝนบน GPU ของ Nvidia ทั้งสิ้น

มันผลักดันให้มูลค่าบริษัทของพวกเขาพุ่งทะยาน จนกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกได้สำเร็จ

ในขณะเดียวกัน… ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา… การตัดสินใจของ Apple ที่จะทิ้ง Nvidia และหันไปหา AMD… มันก็สร้าง “ข้อเสียเปรียบ” ให้กับผู้ใช้งานระดับโปรของพวกเขาเอง

เพราะการที่ไปผูกกับ AMD… มันหมายความว่า… ระบบนิเวศของ Mac ถูก “ตัดขาด” จาก CUDA

ในโลกความเป็นจริง… โปรแกรมทำงานระดับมืออาชีพที่สำคัญๆ… ไม่ว่าจะเป็นงาน 3D Rendering… งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์… หรือ งาน Machine Learning… ต่างก็ถูก “ปรับแต่ง” ให้ทำงานบน CUDA ได้ดีที่สุด

นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “ช่องว่าง CUDA”

มันหมายความว่า… ตลอดหลายปีที่ผ่านมา… คนที่ใช้ Mac แม้จะใช้การ์ดจอ AMD ที่แพงที่สุด… ก็มักจะได้ “ประสิทธิภาพที่ด้อยกว่า” เมื่อเทียบกับคนใช้ PC Windows ที่ใช้การ์ดจอ Nvidia ในระดับราคาใกล้เคียงกัน

ท้ายที่สุดแล้ว… การแยกทางครั้งนี้… มันอาจจะเป็นสิ่งที่ “หลีกเลี่ยงไม่ได้” จริงๆ

มันถูกขับเคลื่อนโดย “DNA ขององค์กร” ที่เข้ากันไม่ได้โดยสิ้นเชิงของยักษ์ใหญ่ทั้งสอง

“ความบ้าคลั่ง” ในการควบคุมทุกอย่างแบบแนวดิ่งของ Apple… มันไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกับ “ความทะเยอทะยาน” ในการสร้าง “แพลตฟอร์มสากล” ของ Nvidia ได้เลย

การหย่าร้างครั้งนี้… แม้มันจะเจ็บปวด… แต่มันก็ “บังคับ” ให้ทั้งสองบริษัทต้อง “ตอกย้ำ” ปรัชญาหลักของตัวเองให้ถึงที่สุด

สำหรับ Nvidia… มันหมายถึงการมุ่งเน้นไปที่ตลาด PC และ Data Center อย่างเต็มที่… ปล่อยให้ CUDA เติบโต จนกลายเป็นรากฐานของการปฏิวัติ AI ในปัจจุบัน

สำหรับ Apple… “บาดแผล” จากการพึ่งพาซัพพลายเออร์… ได้กลายเป็น “เชื้อเพลิง” ชั้นดี… ในการสร้าง “กองทัพออกแบบชิป” ของตัวเอง

ซึ่งทุกวันนี้… มันได้กลายเป็น “ความได้เปรียบในการแข่งขัน” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด… ที่ทำให้พวกเขาสามารถผสานรวมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้ในระดับที่…

ไม่มีคู่แข่งหน้าไหน… สามารถลอกเลียนแบบได้เลย

References : [arstechnica, macworld, appleinsider, forbes, techcrunch, wired]


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube