เมื่อญี่ปุ่นกำลังตายอย่างช้าๆ 260% หนี้ VS GDP กับวิกฤตหนี้ที่อาจสั่นคลอนเศรษฐกิจโลก

เคยมีช่วงเวลาหนึ่งที่ญี่ปุ่นเป็นที่เทิดทูนของโลก แต่ใครจะคิดว่าประเทศแห่งเทคโนโลยีล้ำยุคและรถยนต์คุณภาพสูง จะกลายเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมสั่นคลอนเศรษฐกิจโลก

แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นระยะยาว 30 และ 40 ปี พุ่งทะยานไปสู่ระดับสูงที่สุดในประวัติศาสตร์

ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดา มันเป็นสัญญาณเตือนว่า นักลงทุนทั่วโลกเริ่มสูญเสียความเชื่อมั่น ในประเทศที่มีหนี้มากกว่า 260% ของ GDP

ย้อนกลับไปในยุคทอง หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นสร้างสิ่งที่เรียกว่า “Japanese Economic Miracle” เศรษฐกิจเติบโต 7% ทุกปีตั้งแต่ปี 1955 ถึง 1990

แต่แล้วทุกอย่างก็เละเทะในทศวรรษ 1990 เมื่อฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นแตกสลาย ราคาบ้านลดฮวบ 50% อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ดิ่งลงเหว 85% และ ตลาดหุ้น Nikkei ดิ่งลงกว่า 75%

ญี่ปุ่นเข้าสู่ยุค “Lost Decades” ทศวรรษที่สูญสิ้นทุกสิ่ง การเติบโตและเงินเฟ้อเกือบเป็นศูนย์เป็นเวลากว่า 30 ปี เป็นช่วงที่เจ็บปวดรวดร้าวสำหรับประเทศที่เคยเป็นที่เชิดหน้าชูตาของโลก

Bank of Japan หรือ BOJ ตัดสินใจปรับนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ลดอัตราดอกเบียใกล้ศูนย์ และเริ่มซื้อพันธบัตรรัฐบาลมูลค่าหลายพันล้านเยน

นี่คือการ “พิมพ์เงิน” อย่างแท้จริง เพราะโดยพื้นฐานแล้วคือการสร้างเงินขึ้นมาใหม่ แล้วให้รัฐบาลนำไปใช้จ่ายกับปัญหาเศรษฐกิจ

หลังวิกฤตการเงิน 2008 BOJ ยังเริ่มซื้อหนี้ของบริษัทด้วย ซึ่งหมายความว่าพวกเขากำลังให้เงินกับบริษัทญี่ปุ่นโดยตรง เทคนิคที่โครตเทพจนธนาคารกลางตะวันตกถึงกับต้องเลียนแบบ

หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า BOJ เป็นผู้บุกเบิกเทคนิค Quantitative Easing (QE) ที่ Federal Reserve และ European Central Bank เอาไปใช้กันอย่างแพร่หลายภายหลัง

แต่โชคร้ายที่นโยบายเหล่านี้ไม่สามารถดึงญี่ปุ่นออกจากหลุมดำได้ ทั้งการเติบโตและเงินเฟ้อยังคงติดหล่มใกล้ศูนย์ ในขณะที่ภาระหนี้ของรัฐบาลพุ่งกระฉูดไปมากกว่า 260% ของ GDP

ต้นปี 2022 เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อปัญหาเงินเฟ้อจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนและปัญหา Supply Chain ผลักดันอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นสูงกว่า 2% เป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ

สำหรับผู้กำหนดนโยบายญี่ปุ่น พวกเขาเห็นโอกาสทองที่จะนำเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ ด้วยการกระตุ้นให้เกิด “mild wage-price spiral” ซึ่งเป็นวัฏจักรการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างและราคาสินค้าเป็นวงจรต่อเนื่องกัน

แผนการฟังดูเข้าท่ามาก ให้คนงานเรียกร้องค่าจ้างที่สูงขึ้นเมื่อเผชิญกับราคาสินค้าที่แพงขึ้น ซึ่งจะสร้างอำนาจซื้อและความต้องการที่มากขึ้น เงินเฟ้อเล็กน้อยจะขับเคลื่อนให้คนใช้จ่ายแทนการออม

และแล้วมันก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอย ในปี 2024 การเติบโตของค่าจ้างเฉลี่ยในบริษัทใหญ่ขึ้นไปถึงเหนือ 5% ระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 1991 สหภาพแรงงาน Rengo เปิดเผยว่าบริษัทญี่ปุ่นตกลงเพิ่มค่าจ้างเฉลี่ย 5.1% ในปี 2024

ผู้กำหนดนโยบายมองโลกในแง่ดีว่า เมื่อเงินเฟ้อกลายเป็นอย่างงี้ต่อไป พวกเขาจะสามารถปรับนโยบายการเงินและการคลังให้เป็นปกติได้ BOJ จะไม่ต้องซื้อหนี้อย่างต่อเนื่องอีกต่อไป

ปรากฏว่าการเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจที่มีปัญหามา 30 ปี ไปสู่เศรษฐกิจ “ปกติ” เป็นเรื่องที่เหมือนการเข็นครกขึ้นภูเขา

วงจร mild wage-price spiral ที่ผู้กำหนดนโยบายต้องการให้เป็น กลับกลายเป็นรุนแรงขึ้น เงินเฟ้อยังคงอยู่เหนือเป้าหมาย 2% ของ BOJ ตั้งแต่ปี 2022 ในเดือนเมษายน 2025 เงินเฟ้อหลักพุ่งไปถึง 3.6% ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 3.5%

สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ผู้บริโภคญี่ปุ่นที่คุ้นเคยกับราคาสินค้าที่ค่อนข้าง stable มา 30 ปี ตอบสนองอย่างรุนแรงต่อการขึ้นราคา โดยเฉพาะข้าว ทำให้เกิดแรงกดดันให้รัฐบาลลดภาษีการบริโภค

เงินเฟ้อนี้บังคับให้ BOJ เพิ่มอัตราดอกเบี้ยจากติดลบมาเป็น 0.5% ระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 2008 ฟังดูไม่สูง แต่เพราะกองหนี้ของญี่ปุ่นมีขนาดมหึมา แม้การเพิ่มขึ้นเล็กน้อยก็ทำให้ต้นทุนการชำระหนี้พุ่งทะยานเป็นอย่างมาก

ขณะนี้ญี่ปุ่นคาดว่าจะใช้จ่าย 32 ล้านล้านเยนสำหรับการชำระหนี้ในปีหน้า คิดเป็น 5% ของ GDP ซึ่งมากกว่าประเทศอื่นๆ เกือบทั้งหมด เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาอื่นที่ใช้แค่ 1-2% ของ GDP

นายกรัฐมนตรี Shigeru Ishiba ได้เตือนผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่า “สถานการณ์การคลังของญี่ปุ่นแย่กว่ากรีซในช่วงวิกฤตหนี้ยุโรป”

แล้วสถานการณ์ก็เลวร้ายลงไปอีกในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อเกิดการขายพันธบัตรญี่ปุ่นอย่างรุนแรงผลักดันต้นทุนการกู้ยืมระยะยาวไปสู่ระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน

การประมูลพันธบัตร 20 ปีเมื่อไม่กี่วันก่อนกลายเป็นหายนะ รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามขายพันธบัตรให้นักลงทุน แต่กลับพบว่าไม่มีใครอยากซื้อจริงๆ อัตราส่วน bid-to-cover ลดลงไปสู่ระดับที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่ปี 2012

แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมนักลงทุนถึงหนีพันธบัตรญี่ปุ่น?

ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ หลังจากที่ Moody’s ลดอันดับเครดิตอเมริกาจาก Aaa ลงมาเป็น Aa1

ผลตอบแทนพันธบัตรของประเทศอื่นๆ มักจะตามพันธบัตรสหรัฐฯ ทำให้ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และยุโรป มีการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการกู้ยืมในเวลาเดียวกัน

แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ ตลาดเริ่มไม่เชื่อว่าญี่ปุ่นสามารถรับภาระหนี้เพิ่มเติมได้ กองหนี้ขนาดมหึมา การเติบโตที่อ่อนแอ GDP หดตัว 0.2% ในไตรมาสแรกของปี 2025

ตลาดไม่ไว้ใจ Ishiba ว่าเขามีต้นทุนทางการเมืองที่มากพอในการบังคับใช้ระเบียบวินัยทางการคลังที่จำเป็น ประเทศกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากหลายทิศทาง

ประชาชนต้องการให้รัฐบาลลดภาษีเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพ แต่การลดภาษีจะทำให้รายได้รัฐบาลลดลง และต้องออกหนี้เพิ่มมากขึ้น

BOJ ติดอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากกลับไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลอีกครั้ง มันจะเป็นการยอมรับว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจไม่เคยกลับสู่ภาวะปกติได้

แต่หากปล่อยให้อัตราดอกเบียสูงขึ้นต่อไป ต้นทุนการชำระหนี้ของรัฐบาลจะพุ่งสูงขึ้นไปอีก และอาจทำให้เกิดวิกฤตหนี้ที่แท้จริง

สิ่งที่สะพรึงกลัวมากขึ้นไปอีกคือผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ญี่ปุ่นเป็นแหล่งเงินทุนต้นทุนต่ำสำหรับนักลงทุนทั่วโลกผ่าน “Yen Carry Trade”

นักลงทุนกู้เงินในสกุลเยนที่มีดอกเบียต่ำ แล้วนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในประเทศอื่น การประมาณการชี้ให้เห็นว่ามีเงินหลายล้านล้านดอลลาร์ที่ถูกนำไปใช้ทั่วโลกผ่านกลยุทธ์นี้

เมื่ออัตราดอกเบียญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น การ Carry Trade นี้จะไม่คุ้มค่าอีกต่อไป เงินทุนจะเริ่มไหลกลับญี่ปุ่น ทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินทั่วโลก

บริษัทประกันชีวิตของญี่ปุ่นที่จัดการสินทรัพย์มากกว่า 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ กำลังเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุน จากที่เคยซื้อพันธบัตรต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้ขายแทน

สำหรับสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ญี่ปุ่นถือพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 1.13 ล้านล้านดอลลาร์ หากนักลงทุนญี่ปุ่นเริ่มขายพันธบัตรสหรัฐฯ เพื่อนำเงินกลับประเทศ ผลกระทบต่อตลาดพันธบัตรอเมริกาจะรุนแรงมาก

สถานการณ์นี้ยังเสี่ยงที่จะสร้างปัญหาในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ Donald Trump การกลับสู่นโยบายการเงินที่หย่อนยานจะส่งผลให้เงินเยนอ่อนค่าลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ Trump เคยบ่นในอดีต

ตัวเลขล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังแย่ GDP หดตัว 0.2% ในไตรมาสแรกของปี 2025 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และหดตัว 0.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน

Trump ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% สำหรับรถยนต์ญี่ปุ่น และ 10% สำหรับสินค้าอื่นๆ และขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีตอบโต้ 24% หากไม่บรรลุข้อตกลงภายในกรกฎาคม

ประเด็นสำคัญคือ ญี่ปุ่นไม่เหมือนกรีซ ญี่ปุ่นมีสกุลเงินของตัวเองและครอบครองสินทรัพย์ต่างประเทศมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ รวมถึงพันธบัตรสหรัฐฯ 1.13 ล้านล้านดอลลาร์ และยังเป็นผู้ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมมูลค่าสูง

แต่ปัญหาคือ เงินเยนได้อ่อนค่าลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และแม้จะมีการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 40 ปีของญี่ปุ่นยังคงต่ำกว่าพันธบัตร 30 ปีของสหรัฐฯ ที่เกือบแตะ 5%

BOJ ต้องเลือกระหว่างสองทางที่ยากลำบากเท่ากัน ทางเลือกแรกคือไว้ใจให้ Ishiba จัดการกับปัญหาการคลัง ซึ่งหมายถึงการปล่อยให้อัตราดอกเบียสูงขึ้นต่อไป และเสี่ยงต่อการเกิดวิกฤตหนี้ที่แท้จริง

ทางเลือกที่สองคือเริ่มซื้อหนี้รัฐบาลใหม่ เพื่อบรรเทาแรงกดดัน แต่ก็ยอมรับว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจไม่เคยกลับสู่ภาวะปกติได้ และยังเสี่ยงที่จะทำให้เงินเยนอ่อนค่าลงมากขึ้น

ในระยะสั้น รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาลดการออกพันธบัตรระยะยาวเพื่อบรรเทาแรงกดดันในตลาด แต่นี่เป็นเพียงการแก้ปัญหาชั่วคราว เพราะจำนวนหนี้รวมของประเทศยังคงเพิ่มขึ้นอยู่

นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นไม่ใช่แค่เรื่องภายในประเทศ แต่เป็นสัญญาณเตือนว่ายุคของการกู้ยืมต้นทุนต่ำกำลังจะจบแล้ว และแม้แต่ผู้กู้ที่ปลอดภัยที่สุดก็ไม่สามารถรอดพ้นได้

สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในญี่ปุ่นคือ ผู้ประท้วงเริ่มมารวมตัวกันนอกกระทรวงการคลัง เป็นสิ่งที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศที่มีวัฒนธรรมการเมืองที่สงบ

เป็นเวลาหลายปีที่ญี่ปุ่นจัดการกับแรงกดดันทางการเมืองด้วยการใช้จ่ายของรัฐ เงินอุดหนุน และโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ช่วยหลีกเลี่ยงการต่อต้านแบบที่เห็นในประเทศร่ำรวยอื่นๆ

สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากกรณีญี่ปุ่นคือ การพึ่งพานโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลายเป็นเวลานานเกินไป สามารถสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่าปัญหาเดิมได้

การ “พิมพ์เงิน” และการออกหนี้อย่างไม่มีขีดจำกัดไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาว มันเป็นเพียงการเลื่อนปัญหาไปสู่อนาคต จนกระทั่งมันกลายเป็นภูเขาที่ไม่สามารถปีนขึ้นไปได้

สำหรับประเทศอื่นๆ ที่มีหนี้สูง รวมถึงสหรัฐอเมริกา สิ่งที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นควรเป็นบทเรียน เมื่อตลาดเริ่มสูญเสียความเชื่อมั่นในความสามารถของรัฐบาลในการชำระหนี้ การเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง

ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับช่วงเวลาสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของประเทศ หากสามารถจัดการวิกฤตนี้ได้สำเร็จ อาจจะเป็นการเริ่มต้นใหม่ของเศรษฐกิจญี่ปุ่น แต่หากล้มเหลว ผลกระทบจะลุกลามไปยังเศรษฐกิจโลกทั้งหมด

นี่คือเหตุผลที่เราทุกคนควรติดตามสถานการณ์ในญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นที่นั่นไม่ใช่แค่เรื่องของประเทศเดียว แต่เป็นเรื่องที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในทศวรรษหน้า

วิกฤตหนี้ญี่ปุ่นที่เรากำลังเห็นอยู่นี้ เป็นมากกว่าแค่ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศเดียว มันเป็นสัญญาณเตือนว่า ยุคของการกู้ยืมต้นทุนต่ำและการพึ่งพานโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากเกินไปกำลังจะจบลง

จากประเทศที่เคยเป็นปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ ไปสู่ประเทศที่ติดกับดักหนี้และเงินเฟ้อ ญี่ปุ่นแสดงให้เห็นว่าแม้แต่เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดก็สามารถประสบปัญหาได้ หากไม่มีการปฏิรูปโครงสร้างที่แท้จริง

การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นสู่ระดับประวัติศาสตร์ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นเสียงเตือนจากตลาดว่า ความอดทนของนักลงทุนมีขีดจำกัด

ในท้ายที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจโลก ที่จะบังคับให้ประเทศต่างๆ ทบทวนนโยบายการเงินและการคลังของตนเอง และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่ความรับผิดชอบทางการคลังจะกลับมามีความสำคัญอีกครั้ง

มันเป็นคำเตือนว่า ในโลกของเศรษฐกิจและการเงิน ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรี ๆ และการเลื่อนปัญหาด้วยการพิมพ์เงินและออกหนี้ จะต้องมีวันที่ต้องจ่ายคืนในราคาที่แสบสันกว่าเดิมหลายเท่านั่นเองครับผม

References: [reuters, imf, deloitte, nippon, ig, invezz, wolfstreet, bloomberg]


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube