เกิดอะไรขึ้นกับ Palm? เรื่องราวการล่มสลายของยักษ์ใหญ่แห่งวงการ PDA ที่มาก่อนกาล

รู้หรือไม่ว่า ก่อนที่โลกจะมี iPhone และสมาร์ทโฟนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เคยมีบริษัทหนึ่งที่เกือบจะได้ครองโลกของอุปกรณ์พกพามาก่อน

บริษัทนั้นมีชื่อว่า Palm

เรื่องราวของ Palm เป็นเหมือนรถไฟเหาะ มีทั้งจุดสูงสุดที่น่าทึ่ง และจุดต่ำสุดที่น่าใจหาย มันเป็นเรื่องของการมีวิสัยทัศน์ที่มาก่อนกาล แต่กลับต้องพ่ายแพ้ในสงครามที่ตัวเองเป็นคนเริ่มต้น

และเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันกับชายผู้สร้าง iPod และนักบาสเกตบอลชื่อดังอย่าง Steph Curry อีกด้วย

แล้วเรื่องราวทั้งหมดนี้ มันเป็นมาอย่างไร?

ย้อนกลับไปในปี 1992 Jeff Hawkins นักประสาทวิทยาและผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ ได้ก่อตั้งบริษัท Palm ขึ้นมาพร้อมกับเพื่อนอีกสองสามคน

วิสัยทัศน์ของ Hawkins ในตอนนั้นชัดเจนมาก เขาเชื่อว่าอนาคตของการใช้คอมพิวเตอร์ไม่ได้อยู่บนโต๊ะทำงาน แต่อยู่ในมือของเรา

ในยุคนั้น อุปกรณ์พกพาที่ใกล้เคียงที่สุดคือสิ่งที่เรียกว่า PDA หรือ Personal Digital Assistant ซึ่งเปรียบเสมือนสมุดออร์แกไนเซอร์ดิจิทัล

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ Hawkins ไม่ได้มองว่าคู่แข่งของเขาคือบริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่

คู่แข่งที่แท้จริงของเขาคือ “กระดาษ”

เขาต้องการสร้างอุปกรณ์ที่จะมาแทนที่สมุดจด ปฏิทิน และสมุดแพลนเนอร์กระดาษที่ทุกคนพกติดตัวกันอยู่

Palm เริ่มต้นจากการเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ พวกเขาพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับ PDA ให้กับบริษัทอื่น หนึ่งในนั้นคือ Casio

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญครั้งแรกของพวกเขาคือซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า “Graffiti”

Graffiti คือนวัตกรรมที่ทำให้ผู้ใช้สามารถเขียนตัวอักษรด้วยลายมือลงบนหน้าจอ แล้วซอฟต์แวร์จะแปลงมันเป็นตัวพิมพ์ดิจิทัลได้ทันที

นี่คือสิ่งที่ปฏิวัติวิธีการป้อนข้อมูลในยุคนั้น และมันก็ทำให้ชื่อของ Palm เริ่มเป็นที่รู้จัก

ต่อมาในปี 1995 บริษัท US Robotics ได้เข้ามาซื้อกิจการ Palm และนี่คือจุดที่ทำให้ Palm ได้มีโอกาสสร้างฮาร์ดแวร์ของตัวเองเป็นครั้งแรก

ผลิตภัณฑ์ที่แจ้งเกิดให้กับพวกเขาอย่างแท้จริงคือ “Pilot 1000” และ “Pilot 5000”

ความสำเร็จของ Pilot ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันเกิดจากหลักการ 4 ข้อที่ Hawkins และทีมงานยึดมั่นมาตลอด

หนึ่งคือ ขนาดต้องเล็กพอที่จะใส่ในกระเป๋าเสื้อได้

สองคือ ราคาต้องจับต้องได้ ไม่เกิน 300 ดอลลาร์

สามคือ ต้องเชื่อมต่อและซิงค์ข้อมูลกับ PC ได้อย่างง่ายดาย

และสี่คือ ต้องใช้งานง่ายเหมือนหยิบกระดาษขึ้นมาจด

ด้วยหลักการ 4 ข้อนี้ ประกอบกับระบบปฏิบัติการ Palm OS ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อหน้าจอสัมผัสโดยเฉพาะ ทำให้อุปกรณ์ Pilot ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

Palm กลายเป็นผู้นำตลาด PDA อย่างไม่มีใครเทียบได้ พวกเขาครองส่วนแบ่งตลาดกว่าครึ่งหนึ่งของโลก และคำว่า “Palm Pilot” ก็กลายเป็นคำเรียกติดปากสำหรับอุปกรณ์ประเภทนี้ไปโดยปริยาย

ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่ในโลกธุรกิจ ไม่มีอะไรที่แน่นอน

ในปี 1997 บริษัท 3Com ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่กว่า ได้เข้ามาซื้อกิจการ US Robotics ทำให้ Palm ต้องเปลี่ยนเจ้าของอีกครั้ง

การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารและทิศทางของบริษัท ทำให้ Jeff Hawkins และทีมงานผู้ก่อตั้งดั้งเดิมตัดสินใจลาออก

พวกเขาออกไปตั้งบริษัทใหม่ชื่อว่า Handspring ซึ่งกลายมาเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Palm และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกันมาก

สถานการณ์เริ่มซับซ้อนขึ้น Palm ที่ไม่มีผู้ก่อตั้งอยู่แล้ว ต้องแข่งขันกับบริษัทใหม่ที่ก่อตั้งโดยคนของตัวเอง

ช่วงต้นยุค 2000 คือยุคฟองสบู่ดอทคอม บริษัทเทคโนโลยีมีมูลค่าสูงเกินจริง Palm เองก็เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และหุ้นของพวกเขาก็เคยพุ่งไปสูงถึง 95 ดอลลาร์ในวันแรก

แต่เมื่อฟองสบู่แตก มูลค่าของ Palm ก็ดิ่งลงเหว เหลือเพียงหุ้นละ 6 ดอลลาร์ ทำให้บริษัทตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะถูกซื้อกิจการ

Palm พยายามปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ พวกเขาแยกบริษัทออกเป็นสองส่วน คือส่วนฮาร์ดแวร์ และส่วนซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า PalmSource

จากนั้นในปี 2003 ทีมฮาร์ดแวร์ของ Palm ก็ได้ทำในสิ่งที่น่าสนใจ คือการกลับไปซื้อกิจการ Handspring ของเหล่าผู้ก่อตั้งเดิมและเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น PalmOne

ในช่วงเวลานี้เองที่ Palm ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดรุ่นหนึ่งของพวกเขา นั่นก็คือ “Treo”

Treo คือความพยายามที่จะรวมเอาความสามารถของ PDA และโทรศัพท์มือถือเข้าไว้ด้วยกัน มันมีทั้งคีย์บอร์ด กล้อง และสามารถโทรออกได้

มันคือการตอบสนองต่อคู่แข่งอย่าง BlackBerry ที่กำลังมาแรงในตลาดองค์กร และมันก็ทำได้ดีทีเดียว Treo กลายเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนยุคแรกๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย

Palm กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง พวกเขาซื้อสิทธิ์ในชื่อ Palm กลับคืนมา และเปลี่ยนชื่อบริษัทกลับเป็น “Palm” เหมือนเดิม

แต่แล้ว จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการมือถือก็ได้เกิดขึ้น

ในปี 2007 Apple ได้เปิดตัว “iPhone”

iPhone ไม่ได้เป็นแค่มือถืออีกเครื่องหนึ่ง แต่มันคือการปฏิวัติ มันมาพร้อมกับหน้าจอสัมผัสแบบคาปาซิทีฟที่ไม่ต้องใช้สไตลัส และระบบปฏิบัติการ iOS ที่ใช้งานง่ายและสวยงาม

มันได้เปลี่ยนนิยามของคำว่าสมาร์ทโฟนไปตลอดกาล

ในตอนแรก CEO ของ Palm ยังออกมาบอกว่าเขาไม่ได้กังวลกับ iPhone แต่ไม่นานพวกเขาก็รู้ว่านี่คือคลื่นสึนามิลูกใหญ่ที่กำลังจะซัดเข้าฝั่ง

Palm รู้ดีว่าพวกเขาต้องทำอะไรสักอย่าง และต้องทำอย่างรวดเร็ว

พวกเขาได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ คือการดึงตัว Jon Rubinstein อดีตผู้บริหารระดับสูงของ Apple ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ iPod ให้มาเป็น CEO คนใหม่

นี่คือไพ่ใบสุดท้ายของ Palm

ภายใต้การนำของ Rubinstein ทีมงาน Palm ได้ซุ่มพัฒนาอาวุธลับเพื่อมาต่อกรกับ iPhone

สิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมาคือระบบปฏิบัติการใหม่ที่ชื่อว่า “WebOS” และสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่ชื่อว่า “Palm Pre”

WebOS ในตอนนั้น ถือว่าล้ำหน้ากว่าทั้ง iOS และ Android มันมีระบบ Multitasking ที่ยอดเยี่ยม ผู้ใช้สามารถเปิดหลายแอปพร้อมกันและสลับไปมาได้อย่างราบรื่น

ส่วน Palm Pre ก็มีดีไซน์ที่สวยงามและฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากมาย มันคือความหวังทั้งหมดของบริษัท

เมื่อ Palm Pre เปิดตัวในปี 2009 มันได้รับคำชมจากนักวิจารณ์อย่างล้นหลาม หลายคนยกให้มันเป็น “iPhone Killer” ตัวจริง

ดูเหมือนว่า Palm กำลังจะกลับมาทวงบัลลังก์คืนได้สำเร็จ

แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้น

แม้ว่าผลิตภัณฑ์จะยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่ Palm ก็กำลังประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก พวกเขาใช้เงินไปมหาศาลกับการวิจัยและพัฒนา และยังต้องต่อสู้กับยักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ Google ที่มีสายป่านยาวกว่ามาก

ยอดขายของ Palm Pre ไม่ได้เปรี้ยงปร้างอย่างที่คาดหวังไว้ บริษัทเริ่มขาดทุนอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ก็ดูเหมือนจะสิ้นหวัง

ในที่สุด ปี 2010 HP บริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ ก็ได้ยื่นมือเข้ามาซื้อกิจการ Palm ไปด้วยมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์

นี่ดูเหมือนจะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ การได้อยู่ในอ้อมอกของบริษัทใหญ่อย่าง HP น่าจะทำให้ Palm มีทรัพยากรและความมั่นคงที่จะต่อสู้ในสงครามสมาร์ทโฟนต่อไปได้

แต่แล้ว HP ก็ได้ทำการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Palm

พวกเขาตัดสินใจที่จะ “ทิ้ง” ชื่อแบรนด์ Palm ออกไป

ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะออกมา จะใช้ชื่อแบรนด์ HP แทน นี่คือการทำลายการรับรู้แบรนด์และฐานแฟนคลับที่ Palm สั่งสมมาเกือบ 20 ปีจนหมดสิ้น

HP ได้เปิดตัวอุปกรณ์ WebOS รุ่นใหม่ ทั้งสมาร์ทโฟน Pre 3, Veer และแท็บเล็ตที่ชื่อว่า Touchpad

แต่ทุกอย่างก็สายเกินไป ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า ยอดขายย่ำแย่จนน่าใจหาย

และเพียงแค่ 16 เดือนหลังจากที่ซื้อ Palm เข้ามา HP ก็ได้ประกาศยุติการพัฒนาและผลิตอุปกรณ์ WebOS ทั้งหมด

มันคือจุดจบที่รวดเร็วและน่าใจหาย

HP ต้องนำแท็บเล็ต Touchpad ที่เหลืออยู่ในสต็อกมาขายเลหลังในราคาเพียง 99 ดอลลาร์ ซึ่งน่าขันที่มันกลับขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะผู้คนซื้อมันไปเพื่อแฮกและลงระบบปฏิบัติการ Android แทน

เรื่องราวของ Palm ได้ปิดฉากลงอย่างเป็นทางการ

ทรัพย์สินของ Palm ถูกแยกขายไปคนละทิศคนละทาง ระบบปฏิบัติการ WebOS ถูกขายให้กับ LG และทุกวันนี้มันก็ยังคงถูกใช้งานอยู่ในสมาร์ททีวีของ LG

ส่วนชื่อแบรนด์ Palm ก็ถูกขายให้กับบริษัทจีนอย่าง TCL ในเวลาต่อมา

และนี่คือจุดที่ Steph Curry เข้ามาเกี่ยวข้อง

ในปี 2018 TCL ได้พยายามชุบชีวิตแบรนด์ Palm ขึ้นมาใหม่ โดยเปิดตัวอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ทำหน้าที่เป็น “โทรศัพท์คู่หู” และได้ดึงตัว Steph Curry มาเป็นพรีเซนเตอร์

แต่มันก็เป็นเพียง Palm แค่ในชื่อเท่านั้น และก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด

เรื่องราวของ Palm คือกรณีศึกษาชั้นดีในโลกธุรกิจ

มันสอนให้เรารู้ว่า การมีนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดได้

Palm มีวิสัยทัศน์ที่มาก่อนกาล พวกเขาสร้างผลิตภัณฑ์ที่ปฏิวัติวงการ แต่กลับสะดุดล้มเพราะการบริหารจัดการภายใน การขาดสายป่านทางการเงิน และการตัดสินใจที่ผิดพลาดในจังหวะที่สำคัญที่สุด

จากบริษัทที่เกือบจะได้ครองโลกมือถือ Palm ได้กลายเป็นเพียงตำนานที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี

เป็นบทเรียนราคาแพงที่เตือนใจว่า ในโลกที่มีการแข่งขันสูง การก้าวพลาดเพียงครั้งเดียว ก็อาจหมายถึงการล่มสลายได้ทั้งบริษัท.

References : [wikipedia,theverge,arstechnica,cnet,engadget]


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube