เกิดอะไรขึ้นกับ Compaq? อดีตราชาแห่งวงการ PC ที่หายไป ชนะ IBM แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับตัวเอง

ถ้าเราย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ของวงการคอมพิวเตอร์ จะมีชื่อบริษัทหนึ่งที่เคยเฉิดฉายในวงการ แต่แล้วก็ดับแสงลงอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย ชื่อนั้นคือ Compaq

หลายคนในยุคนี้อาจไม่คุ้นเคยกับชื่อนี้ แต่สำหรับคนที่ทันยุค 90 นี่คือแบรนด์คอมพิวเตอร์อันดับหนึ่งในดวงใจของใครหลายคน

ลองนึกภาพตามนะครับ ในปี 1993 ถือเป็นจุดสูงสุดของ Compaq พวกเขาสามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 7,000 ล้านดอลลาร์ และทำกำไรได้มากถึง 867 ล้านดอลลาร์

ในขณะเดียวกัน คู่แข่งในตลาดกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก Apple ต้องดิ้นรนกับการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ส่วน Dell ก็กำลังขาดทุน และยักษ์ใหญ่อย่าง IBM ทำได้แค่ประคองตัวให้เท่าทุนเท่านั้น

มันชัดเจนว่า Compaq คือผู้ชนะ คือราชาแห่งวงการ PC ในยุคนั้นอย่างแท้จริง

แต่คำถามที่น่าสนใจที่สุดก็คือ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ที่ทำให้บริษัทที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ กลับค่อยๆ เลือนหายไป จนวันนี้เราแทบไม่ได้ยินชื่อของพวกเขาอีกเลย

เรื่องราวนี้คือบทเรียนทางธุรกิจคลาสสิก ที่มีครบทุกรสชาติ ทั้งความฝัน นวัตกรรม ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ความขัดแย้ง และการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์

เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปในปี 1982 ในยุคที่โลกของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ PC ยังเป็นเรื่องใหม่ และถูกครอบงำโดยบริษัทยักษ์ใหญ่เพียงรายเดียว นั่นคือ IBM

ณ เวลานั้น มีวิศวกรคอมพิวเตอร์ 3 คนจากบริษัท Texas Instruments ที่ชื่อว่า Rod Canion , Jim Harris และ Bill Murto

พวกเขามีความฝันที่ยิ่งใหญ่ แต่มีเงินทุนเริ่มต้นเพียงน้อยนิด แค่คนละ 1,000 ดอลลาร์เท่านั้น ว่ากันว่าไอเดียแรกของบริษัท ถูกร่างขึ้นมาบนแผ่นรองจานในร้านอาหารแห่งหนึ่ง

พวกเขามองเห็นช่องว่างขนาดใหญ่ในตลาดที่ IBM ทิ้งไว้ นั่นคือ “คอมพิวเตอร์แบบพกพา”

จริงอยู่ที่ตอนนั้น IBM PC คือมาตรฐานของวงการ แต่ข้อเสียใหญ่หลวงของมันคือขนาดที่ใหญ่โต เทอะทะ และไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปไหนมาไหนได้เลย

ทั้งสามคนจึงตัดสินใจก่อตั้งบริษัท Compaq Computer Corporation ขึ้นมา

เป้าหมายของพวกเขานั้นชัดเจนและท้าทายอย่างมาก นั่นคือการสร้างคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ “พกพาได้” และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องสามารถทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ทั้งหมดของ IBM PC ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

แต่การจะทำให้คอมพิวเตอร์ของตัวเองทำงานร่วมกับของ IBM ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะหัวใจสำคัญมันอยู่ที่ชิ้นส่วนที่เรียกว่า BIOS

BIOS คือซอฟต์แวร์พื้นฐานที่ควบคุมการทำงานของเครื่อง และ IBM ก็ถือสิทธิบัตรและลิขสิทธิ์โค้ดส่วนนี้เอาไว้

ถ้า Compaq ไปลอกโค้ดของ IBM มาตรงๆ พวกเขาจะถูกฟ้องร้องจนหมดตัวอย่างแน่นอน

ทีมวิศวกรของ Compaq จึงใช้วิธีการที่ชาญฉลาดและกลายเป็นตำนานในภายหลัง วิธีการนี้เรียกว่า “Clean Room Reverse Engineering”

ลองนึกภาพตามง่ายๆ นะครับ พวกเขาแบ่งทีมวิศวกรออกเป็น 2 ทีม ทีมแรกมีหน้าที่ศึกษาการทำงานของ BIOS ของ IBM อย่างละเอียด ว่ามันรับคำสั่งอะไรเข้ามา และส่งผลลัพธ์อะไรออกไป

จากนั้น ทีมแรกจะเขียน “คู่มือการทำงาน” นี้ออกมาเป็นเอกสารทางเทคนิค โดยห้ามคัดลอกโค้ดของ IBM แม้แต่บรรทัดเดียว

เอกสารนี้จะถูกส่งต่อไปให้ทีมที่สอง ซึ่งเป็นทีมวิศวกรที่ไม่เคยเห็นหรือสัมผัสโค้ด BIOS ของ IBM มาก่อนเลย หน้าที่ของทีมที่สองคือ อ่านคู่มือนี้ แล้วเขียนโค้ด BIOS ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดจากศูนย์

ด้วยวิธีนี้ Compaq จึงสามารถสร้าง BIOS ของตัวเองที่ทำงานได้เหมือนกับของ IBM ทุกประการ โดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์แม้แต่น้อย

นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ไม่ใช่แค่สำหรับ Compaq แต่สำหรับทั้งอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว เพราะมันได้เปิดประตูให้ผู้ผลิตรายอื่นๆ สามารถสร้างคอมพิวเตอร์ที่เข้ากันได้กับ IBM หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “IBM PC Clone”

ในปี 1983 พวกเขาได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์แรก นั่นคือ Compaq Portable

มันคือคอมพิวเตอร์พกพาเครื่องแรกที่ทำงานร่วมกับ IBM PC ได้อย่างสมบูรณ์ ถึงแม้มันจะหนักถึง 13 กิโลกรัม และมีขนาดพอๆ กับกระเป๋าเดินทางใบเล็ก แต่ในยุคนั้น มันคือการปฏิวัติ มันตอบโจทย์นักธุรกิจที่ต้องการทำงานได้ทุกที่

ผลลัพธ์คือความสำเร็จที่เกินความคาดหมาย ในปีแรกของการดำเนินงาน Compaq สร้างรายได้สูงถึง 111 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นตัวเลขสถิติที่ไม่เคยมีบริษัทสตาร์ทอัปใดในประวัติศาสตร์อเมริกาทำได้มาก่อน

ความสำเร็จของ Compaq ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น พวกเขาเติบโตอย่างก้าวกระโดดจนน่าตกใจ

เพียงไม่กี่ปี Compaq ก็สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ซึ่งถือเป็นการเข้าตลาดที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์สำหรับบริษัทที่เพิ่งก่อตั้ง

และในปี 1986 Compaq ก็ได้รับการจัดอันดับเข้าสู่ทำเนียบ Fortune 500 ซึ่งเป็นการเข้าสู่รายชื่อบริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ ที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นกัน

ความสำเร็จของ Compaq ในยุคแรก ไม่ได้มาจากโชคช่วย แต่มาจากรากฐานที่แข็งแกร่ง 3 ประการ

หนึ่งคือ นวัตกรรมที่นำหน้าตลาดเสมอ

Compaq ไม่ได้พอใจแค่การเป็นผู้ตาม ในปี 1986 ขณะที่ IBM ยังคงอุ้ยอ้ายกับเทคโนโลยีเก่า Compaq ได้สร้างปรากฏการณ์อีกครั้ง

พวกเขาเปิดตัว Compaq Deskpro 386 ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเครื่องแรกของโลกที่ใช้ชิปประมวลผล Intel 386 ที่ทรงพลังกว่าเดิมมาก

ที่สำคัญคือ พวกเขาเปิดตัวตัดหน้า IBM ไปถึง 1 ปีเต็ม นี่เป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า Compaq ไม่ใช่แค่ผู้ตาม แต่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีได้เช่นกัน

สองคือ ความรวดเร็วในการพัฒนาผลิตภัณฑ์

ในขณะที่ IBM มีกระบวนการภายในที่ซับซ้อนและเชื่องช้า ใช้เวลาราว 12-18 เดือนในการพัฒนาสินค้าแต่ละชิ้น

Compaq ใช้วิธีการที่เรียกว่า Concurrent Engineering คือให้ทุกแผนกที่เกี่ยวข้อง ทั้งวิศวกรรม การตลาด และการผลิต ทำงานไปพร้อมๆ กัน

แม้จะดูวุ่นวาย แต่พวกเขาสามารถลดเวลาพัฒนาผลิตภัณฑ์เหลือเพียง 6-9 เดือนเท่านั้น ในโลกเทคโนโลยี ใครเร็วกว่าคือผู้ชนะ

และสามคือ กลยุทธ์การจัดจำหน่ายที่เป็นเอกลักษณ์

ในยุคนั้น IBM มีทั้งทีมขายตรงของตัวเอง และขายผ่านร้านค้าปลีก ซึ่งมักจะเกิดความขัดแย้งกันเองในเรื่องผลประโยชน์และราคา

แต่ Compaq ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า จะขายผ่าน “ตัวแทนจำหน่าย” (Dealers/Resellers) เพียงช่องทางเดียวเท่านั้น

กลยุทธ์นี้สร้างความเชื่อมั่นให้กับร้านค้าปลีกอย่างมหาศาล พวกเขาทุ่มเทโปรโมตสินค้าของ Compaq อย่างเต็มที่ เพราะไม่ต้องกังวลว่าวันดีคืนดี Compaq จะมาตั้งร้านขายแข่งหรือขายตรงตัดราคา

Compaq ไม่ได้ประสบความสำเร็จแค่ในอเมริกา พวกเขาขยายธุรกิจไปยุโรปอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของ Eckhard Pfeiffer ผู้บริหารชาวเยอรมันที่เฉียบแหลม

Pfeiffer นำโมเดลตัวแทนจำหน่ายไปใช้และสร้างการเติบโตอย่างถล่มทลาย จนรายได้จากต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด

ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 Compaq คือสัญลักษณ์ของความสำเร็จ พวกเขาคือดาวรุ่งพุ่งแรงที่ท้าทายบัลลังก์ของยักษ์ใหญ่อย่าง IBM ได้อย่างสมศักดิ์ศรี

แต่ใครจะรู้ว่า พายุลูกใหญ่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ และมันกำลังจะพัดพาความรุ่งโรจน์ทั้งหมดนี้ให้สั่นสะเทือน

เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ทศวรรษ 1990 ฉากทัศน์ของอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่เคยเป็นจุดแข็งของ Compaq กลับกลายเป็นความท้าทายที่คอยทิ่มแทงพวกเขา

ปัจจัยแรกคือ อุตสาหกรรม PC เริ่มกลายเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity)

การที่ Compaq ได้บุกเบิกตลาด PC Clone เอาไว้ กลายเป็นดาบสองคมที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง เพราะตอนนี้มีผู้ผลิตรายใหม่ๆ เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด สามารถผลิตคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันได้ในราคาที่ “ถูกกว่ามาก”

ปัจจัยที่สองคือ การเกิดขึ้นของคู่แข่งที่น่ากลัว โดยเฉพาะบริษัทหน้าใหม่อย่าง Dell และ Gateway

Dell มาพร้อมกับโมเดลธุรกิจที่ปฏิวัติวงการ นั่นคือ “การขายตรง” (Direct Sales) โดยไม่ผ่านคนกลาง ลูกค้าสามารถสั่งประกอบคอมพิวเตอร์ตามสเปกที่ต้องการได้ทางโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ต

โมเดลนี้ทำให้ Dell มีต้นทุนที่ต่ำกว่า Compaq มหาศาล เพราะไม่ต้องแบ่งกำไรให้ตัวแทนจำหน่าย และยังสามารถจัดการสต็อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจัยที่สามคือ วิกฤตเศรษฐกิจ สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่ 1 ในปี 1990 นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก บริษัทต่างๆ เริ่มรัดเข็มขัดและลดงบประมาณด้านไอทีลง การแข่งขันด้านราคาจึงรุนแรงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

สถานการณ์เลวร้ายลงถึงขีดสุดในปี 1991 เมื่อ Compaq ประกาศผลกำไรไตรมาสที่ 2 ลดลงถึง 81% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ข่าวร้ายนี้ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทร่วงลงอย่างหนัก มูลค่าตลาดหายไปถึง 1,200 ล้านดอลลาร์ในวันเดียว

ภายในบริษัทเริ่มเกิดรอยร้าวครั้งใหญ่ Ben Rosen ประธานคณะกรรมการบริษัทและหนึ่งในนักลงทุนยุคแรก เริ่มไม่พอใจทิศทางของบริษัทอย่างรุนแรง

Rosen มองว่า Compaq จำเป็นต้องปรับตัวโดยด่วน และผลิต PC ราคาถูกออกมาสู้กับ Dell และคู่แข่งรายอื่นๆ

แต่ Rod Canion ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ในตอนนั้น กลับไม่เห็นด้วย เขายังคงยึดมั่นในคุณภาพและนวัตกรรม และมองว่าการลดราคาจะทำลายภาพลักษณ์แบรนด์ที่สร้างมากับมือ

Canion ยืนยันว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี เพื่อพัฒนา PC ราคาประหยัดที่ยังคงมาตรฐานคุณภาพของ Compaq แต่ Rosen ต้องการให้มันเกิดขึ้นภายใน 3 เดือน

ความขัดแย้งครั้งนี้ นำไปสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท…

ในเดือนตุลาคมปี 1991 หลังจากการประชุมคณะกรรมการที่ตึงเครียดและยาวนานถึง 15 ชั่วโมง Rod Canion หนึ่งในสามผู้ก่อตั้งบริษัท ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง CEO

นี่คือข่าวช็อกวงการในขณะนั้น ผู้ก่อตั้งที่เป็นผู้ที่ทำให้ Compaq กลายเป็นบริษัทเติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาสร้างมากับมือ

และคนที่ถูกเลือกให้เข้ามาแทนที่ก็คือ Eckhard Pfeiffer ผู้ที่เคยสร้างความสำเร็จอย่างถล่มทลายในยุโรปนั่นเอง

Pfeiffer กลับมาพร้อมกับวิสัยทัศน์ใหม่ เขาประกาศกร้าวว่า Compaq จะต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อเข้าสู่ตลาดมวลชน (Mass Market)

Pfeiffer เริ่มต้นการปฏิวัติโครงสร้างของบริษัทอย่างแท้จริง ในปี 1992 เขาสั่งลดราคาสินค้าทั้งหมด และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่พร้อมกันถึง 16 รายการ

รวมถึงคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะราคาประหยัดซีรีส์ ProLinea และแล็ปท็อปซีรีส์ Contura ราคาสินค้าบางรุ่นถูกลงกว่า 50%

กลยุทธ์นี้ได้ผลอย่างรวดเร็ว ยอดขายของ Compaq พุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในปี 1992 รายได้พุ่งขึ้นเป็น 4,100 ล้านดอลลาร์ และกำไรสุทธิก็เพิ่มขึ้นถึง 63%

Pfeiffer กลายเป็นฮีโร่คนใหม่ที่กอบกู้บริษัทจากวิกฤต

เมื่อพาบริษัทกลับมายืนได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง Pfeiffer ก็เริ่มมองการณ์ไกลกว่าเดิม เขาเชื่อว่าการเติบโตในตลาด PC เพียงอย่างเดียวไม่ยั่งยืนอีกต่อไป

วิสัยทัศน์ใหม่ของเขาคือการทำให้ Compaq เป็น “บริษัทคอมพิวเตอร์ระดับโลกที่ให้บริการครบวงจร” ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตกล่อง PC

นี่คือจุดเริ่มต้นของการซื้อกิจการครั้งสำคัญหลายต่อหลายครั้ง

ในปี 1997 Compaq ซื้อ Tandem Computers เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ที่มีความเสถียรสูง

และในปี 1998 การซื้อกิจการครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์วงการเทคโนโลยีในขณะนั้นก็เกิดขึ้น

Compaq ตัดสินใจทุ่มเงินมหาศาลถึง 9,600 ล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อ Digital Equipment Corporation หรือ DEC

DEC เป็นบริษัทคอมพิวเตอร์เก่าแก่ที่มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากมาย โดยเฉพาะในตลาดองค์กรและเซิร์ฟเวอร์ แถมยังเป็นเจ้าของ AltaVista หนึ่งใน Search Engine ที่ดีที่สุดในยุคแรกของอินเทอร์เน็ต

Pfeiffer หวังว่าการซื้อ DEC จะช่วยเปลี่ยน Compaq จากผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ให้กลายเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีครบวงจร และสามารถต่อกรกับ IBM ในตลาดองค์กรได้ในทันที

แต่การรวมบริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรและเทคโนโลยีที่แตกต่างกันสุดขั้วเข้าด้วยกัน กลับกลายเป็นฝันร้ายที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เขาคาดคิดไว้มาก

Compaq ต้องวุ่นวายกับการจัดการภายในที่ยุ่งเหยิง การปลดคนงาน และการรวมระบบที่เข้ากันไม่ได้

และในขณะที่ Compaq กำลังวุ่นวายกับการพยายามกลืน DEC ให้สำเร็จ Dell ซึ่งใช้โมเดลการขายตรงที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนต่ำ ก็ค่อยๆ แย่งส่วนแบ่งตลาดไปทีละนิด

จนกระทั่งในปี 1998 Dell ก็สามารถโค่น Compaq ลงจากบัลลังก์ และขึ้นเป็นผู้นำตลาด PC ในสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ

โมเดลการขายผ่านตัวแทนจำหน่ายที่เคยเป็นจุดแข็งของ Compaq บัดนี้ได้กลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้พวกเขาเคลื่อนตัวได้ช้าและมีต้นทุนสูงกว่าคู่แข่งอย่าง Dell อย่างสิ้นเชิง

การซื้อกิจการ DEC ล้มเหลวในการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างที่หวังไว้ มันกลับกลายเป็นภาระหนักอึ้งที่ฉุดรั้งบริษัทไว้

ในที่สุด เดือนเมษายนปี 1999 คณะกรรมการบริษัทก็หมดความอดทน Eckhard Pfeiffer ถูกตัดสินใจปลดออกจากตำแหน่ง CEO

ฮีโร่ที่เคยกอบกู้บริษัทในอดีต บัดนี้กลายเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าพาทิศทางบริษัทหลงทาง และทำการตัดสินใจซื้อกิจการที่ผิดพลาดครั้งใหญ่

บริษัทพยายามฟื้นฟูกิจการอีกครั้งภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Michael Capellas แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสายเกินไปแล้ว

Compaq ในตอนนั้นเปรียบเสมือนเรือยักษ์ที่เต็มไปด้วยรอยรั่วและกำลังสูญเสียทิศทางท่ามกลางคลื่นลมที่รุนแรงของสงครามราคาและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี

ในที่สุด ปี 2001 ทางออกสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็คือการควบรวมกิจการกับคู่แข่งที่เคยเป็นพันธมิตรกันมานานอย่าง Hewlett-Packard หรือ HP

ดีลนี้มีมูลค่าประมาณ 25,000 ล้านดอลลาร์ และเป็นการควบรวมกิจการที่เผชิญกับการต่อต้านอย่างหนัก โดยเฉพาะจากทายาทตระกูล Hewlett และนักวิเคราะห์หลายคนที่มองว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด

แต่สุดท้ายการควบรวมกิจการก็ประสบความสำเร็จในที่สุด

ภายใต้ชายคาของ HP แบรนด์ Compaq ที่เคยยิ่งใหญ่ก็ค่อยๆ ถูกลดบทบาทลง กลายเป็นเพียงชื่อที่ติดอยู่บนคอมพิวเตอร์ระดับล่างบางรุ่นเท่านั้น

จนกระทั่งในปี 2013 ชื่อของ Compaq ก็ได้หายไปจากตลาดอย่างเป็นทางการ ปิดฉากตำนานของหนึ่งในบริษัทที่เคยทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเทคโนโลยีลงอย่างสมบูรณ์

เรื่องราวของ Compaq ได้ทิ้งบทเรียนสำคัญไว้ให้กับโลกธุรกิจมากมาย

บทเรียนแรก การเป็นผู้บุกเบิกและผู้นำตลาด ไม่ได้การันตีความสำเร็จในระยะยาว

โลกเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ บริษัทที่ไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค ก็จะต้องถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่ว่าอดีตจะเคยยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม

บทเรียนที่สอง การยึดติดกับโมเดลธุรกิจที่เคยประสบความสำเร็จมากเกินไป อาจกลายเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด

Compaq ไม่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการขายให้ทันกับการมาของ Dell ได้ทันเวลา เพราะพวกเขากลัวที่จะสูญเสียความสัมพันธ์กับตัวแทนจำหน่ายที่เคยเป็นหัวใจของความสำเร็จในอดีต

และบทเรียนสุดท้าย การเติบโตผ่านการซื้อกิจการ (M&A) ต้องมาพร้อมกับความสามารถในการผสานรวมวัฒนธรรมและเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน

การซื้อกิจการ DEC ของ Compaq แสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงในองค์กรขนาดใหญ่ เงินอย่างเดียวไม่สามารถซื้อการหลอมรวมที่แท้จริงได้

แม้ในวันนี้ Compaq จะไม่ได้ดำรงอยู่ในฐานะบริษัทอิสระอีกต่อไป แต่มรดกที่บริษัทนี้ทิ้งไว้ยังคงมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์อย่างยิ่ง

Compaq คือบริษัทที่พิสูจน์ให้เห็นว่าบริษัทเล็กๆ ที่เริ่มต้นจากวิศวกร 3 คนและเงิน 3,000 ดอลลาร์ สามารถท้าทายยักษ์ใหญ่อย่าง IBM ได้ด้วยนวัตกรรมและกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด

และที่สำคัญที่สุด พวกเขาคือผู้ที่วางรากฐานให้กับมาตรฐาน “PC Compatible” ที่ทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้เหมือนในทุกวันนี้นั่นเองครับผม

References : [computerhistory, arstechnica, nytimes, hbr, wired]


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube