US ตื่นแล้ว… แต่สายไปหรือเปล่า? ไขความลับ Rare Earths ทำไมจีนถึงกุมหัวใจเทคโนโลยีโลก

ท่ามกลางสงครามการค้าที่กำลังร้อนแรงจีนได้ประกาศ “กฎใหม่” ที่กำลังจะสั่นสะเทือนโลกเทคโนโลยี

กฎนี้ คือการจำกัดการส่งออกธาตุหายาก หรือ Rare Earth Elements จำนวน 12 ชนิด โดยจะมีผลในวันที่ 1 ธันวาคม ที่จะถึงนี้

ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเทคนิคไกลตัว แต่รายละเอียดของมันต้องบอกว่าน่าสนใจมาก โดยเฉพาะมันมีข่าวเกี่ยวข้องกับประเทศไทยโดยตรงที่นายกรัฐมนตรีไทยได้ไปเซ็น MOU เรื่อง Rare Earth กับทางฝั่งสหรัฐอเมริกา

กฎที่จะเกิดขึ้นนี้มีการกำหนดไว้ว่า ถ้าบริษัทไหนผลิตสินค้าที่มีส่วนประกอบของธาตุเหล่านี้ แม้เพียง 0.1% ต้องชี้แจงรายละเอียดห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด และต้องขอใบอนุญาตส่งออกจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือ CCP โดยตรง

ลองนึกภาพตามว่ามันจะวุ่นวายขนาดไหน ผลิตภัณฑ์หลายล้านอย่าง ตั้งแต่สมาร์ทโฟนจนถึงเครื่องบินรบ ต่างก็มีแร่เหล่านี้เป็นส่วนประกอบ

และปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือจีนแทบจะเป็นผู้ครองตลาดนี้แต่เพียงผู้เดียว มันหมายความว่า แทบไม่มีซัพพลายเออร์เจ้าอื่นในโลกให้หันไปซื้อแทนได้

นี่คือ “ไพ่” ที่จีนเลือกจะเปิดออกมาเล่นในสงครามการค้าครั้งนี้

คำถามคือจีนก้าวขึ้นมาครองอุตสาหกรรมนี้ได้อย่างไร? ทำไมเรื่องนี้ถึงทำให้มหาอำนาจอย่างอเมริกาและยุโรปต้องนั่งไม่ติด? และพวกเขาพอจะมีทางสู้บ้างหรือเปล่า?

ก่อนจะไปถึงเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ เราต้องเข้าใจก่อนว่า Rare Earth Elements มันคืออะไรกันแน่

เวลาเราพูดถึงธาตุหายาก นักเคมีจะหมายถึงกลุ่มธาตุโลหะ 17 ชนิดในตารางธาตุ ซึ่งมีคุณสมบัติทางเคมีที่คล้ายคลึงกันมาก

จุดที่น่าสนใจที่สุดคือ “ชื่อ” ของมัน แม้จะชื่อว่า “ธาตุหายาก” แต่ความจริงที่สวนทางกันก็คือ… พวกมันไม่ได้หายากขนาดนั้น

นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่า ธาตุหายากมีอยู่ในเปลือกโลกในปริมาณที่มากกว่าโลหะอื่นๆ ที่เราขุดกันเป็นล่ำเป็นสันเสียอีก อย่างเช่น copper หรือทองแดง

อ้าว… ถ้ามันไม่ได้หายาก แล้วปัญหาอยู่ตรงไหน?

ปัญหาคือ ธาตุหายากไม่เหมือนทองคำหรือเหล็ก ที่มักจะรวมตัวกันเป็น “แหล่งแร่” ก้อนใหญ่ๆ ให้เราขุดได้ง่ายๆ

แต่พวกมันมักจะ “กระจายตัว” ปนเปื้อนอยู่ในดินเหนียวและหินบางชนิด และการ “สกัด” พวกมันออกมานี่แหละครับ คือฝันร้ายของจริง

กระบวนการสกัดมันยุ่งยาก ต้องใช้สารเคมีเข้มข้น และที่สำคัญคือ มัน “ก่อมลพิษ” อย่างมหาศาล

ตัวอย่างเช่น Neodyenium ที่ใช้ทำแม่เหล็กกำลังสูง อาจเป็นโลหะที่ก่อมลพิษมากที่สุดในโลก ทั้งในการขุดและการแปรรูป กากแร่ที่เหลือมักจะมีสารกัมมันตภาพรังสีปนเปื้อนออกมาด้วย

โชคดีที่โลกเราไม่ได้ต้องการมันในปริมาณมหาศาล ในปี 2024 การผลิตแร่หายากทั่วโลกมีเพียงประมาณ 400,000 ตัน ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับผลผลิตทองแดง

เหตุผลก็เพราะ ตัวมันเองเดี่ยวๆ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรนัก แต่มันจะกลายเป็น “ซูเปอร์แร่” ทันที เมื่อเราเอามันไป “ผสม” กับวัสดุอื่น

Ed Conway จาก Sky News อธิบายภาพได้ชัดมาก เขาเรียกมันว่า “เครื่องเทศทางโลหะวิทยา”

ขณะที่คนจีนบางทีก็เรียกมันว่า “ผงชูรสอุตสาหกรรม”

คอนเซปต์คือ… เมื่อเติมมันลงไปในโลหะอื่น “แค่นิดเดียว” แต่ผลลัพธ์ที่ได้มัน “มหัศจรรย์”

การใช้งานหลักๆ ของมันคือการทำแม่เหล็ก และตัวเร่งปฏิกิริยา

แม่เหล็กกำลังสูงที่ทำจาก Neodyenium คือหัวใจของมอเตอร์ในรถยนต์ไฟฟ้า และกังหันลม สีสันที่สดใสบนหน้าจอสมาร์ทโฟนของเรา ก็มาจากธาตุอย่าง turbium หรือ Europium แม้แต่ระบบสั่นในมือถือ ก็ต้องใช้แม่เหล็กจากแร่หายาก

พวกมันจึงสำคัญสุดๆ กับเทคโนโลยีระดับไฮเอนด์ ทั้งเซมิคอนดักเตอร์ และเทคโนโลยีทางการทหาร เพื่อให้เห็นภาพ เครื่องบินรบ F-35 ที่ล้ำที่สุดของอเมริกาเพียงลำเดียว ต้องใช้ธาตุหายากเกือบ 500 กิโลกรัม

และนี่คือจุดที่เรื่องราวทั้งหมด กลับมาที่จีนเพราะจีนครองห่วงโซ่อุปทานนี้ทั้งหมดแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ตัวเลขนี้จะทำให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น ด้านการทำเหมือง จีนขุดแร่หายากประมาณ 60% ของทั้งโลก

แต่จุดตายที่แท้จริง อยู่ที่ “การแปรรูป” หรือการสกัดแร่ให้บริสุทธิ์ จีนถือครองตลาดการแปรรูป มากกว่า 90% ของทั้งโลก

และถ้าเจาะจงไปที่แร่บางตัว ตัวเลขนี้ก็พุ่งไปเกือบ 100%

พูดง่ายๆ คือ ต่อให้ประเทศไหนขุดแร่ได้เอง สุดท้ายคุณก็ต้องส่งไปให้จีนแปรรูปอยู่ดี

คำถามคือ… ทำไมถึงเป็นแบบนี้?

เหตุผลแรก… “เพราะโชคช่วย”จีนโชคดีที่มีปริมาณสำรองมหาศาล จากข้อมูลของ US Geological Survey จีนมีแหล่งแร่ที่ขุดได้เกือบ 50% ของโลก

นี่คือที่มาของวาทะอันโด่งดังในปี 1992 ของผู้นำจีนอย่าง เติ้ง เสี่ยวผิง ที่ประกาศว่า “The Middle East has oil, China has rare earths” ตะวันออกกลางมีน้ำมัน จีนมีแร่หายาก

แต่ต้องบอกว่าเหตุผลที่แท้จริง ที่ทำให้จีนครองตลาดได้ ไม่ใช่แค่เพราะเขามีของ แต่เป็นเพราะประเทศอื่นไม่เต็มใจที่จะยอมรับต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูป

ในขณะที่โลกตะวันตกเริ่มเข้มงวดกับกฎหมายสิ่งแวดล้อม จีนกลับมีกฎระเบียบที่หละหลวมอย่างเห็นได้ชัดในพื้นที่อุตสาหกรรม

เรื่องที่น่าเจ็บปวดสำหรับอเมริกา… ในยุค 1970 พวกเขาเคยเป็น “เจ้าพ่อ” อุตสาหกรรมแร่หายากของโลกมาก่อน เหมือง Molycorp ที่ Mountain Pass ใน California เคยยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

แต่พอถึงปลายยุค 1980 กระแสรักสิ่งแวดล้อมในอเมริกาเริ่มแรงขึ้น คนอเมริกันไม่ต้องการเห็นมลพิษ ไม่ต้องการเห็นกากกัมมันตภาพรังสีในสวนหลังบ้านตัวเอง

อเมริกาเลยเริ่มทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด… “Offshoring” หรือการย้ายฐานการผลิต พวกเขา “ย้าย” ส่วนที่สกปรกที่สุด คือการแปรรูป ไปให้จีนทำแทน

นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่มันคือ “เกมยาว” ที่จีนวางแผนไว้ จีนยอม “จ่ายราคา” ที่โลกตะวันตกไม่กล้าจ่าย นั่นคือการสังเวยสิ่งแวดล้อมในประเทศตัวเอง เพื่อแลกกับการผูกขาดอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21

พวกเขาอุดหนุนบริษัทของรัฐ ทุ่มตลาดด้วยแร่ราคาถูกมหาศาล เพื่อ “ฆ่า” คู่แข่ง จนในที่สุด บริษัทอย่าง Molycorp ของอเมริกาก็ต้องล้มละลายไป

มาถึงวันนี้… อเมริกา และ ยุโรป ตื่นแล้ว พวกเขาตระหนักแล้วว่า การฝากลมหายใจไว้ที่จีนนั้นอันตรายแค่ไหน

เมื่อมองแวบแรก ปัญหานี้ดูเหมือนแก้ได้ง่ายมาก อเมริกาก็แค่กลับไปขุดแร่ของตัวเองสิ ผ่อนคลายกฎหมายสิ่งแวดล้อมหน่อย ตลาดแร่หายากทั้งโลกมูลค่าแค่หลักหมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่มากเลยสำหรับอเมริกา

แต่เรื่องนี้… มันมองข้าม “อุปสรรค 2 ด่านใหญ่”

ด่านที่ 1: อุปสรรคทางการเมือง มันยากมาก ที่จะเห็นคนอเมริกันยุคนี้ “ยอมทน” กับมลพิษมหาศาลที่จำเป็นต้องเกิดขึ้น คนอเมริกันทั่วไป เขาไม่น่าจะยอมรับ “กากกัมมันตภาพรังสี” หรือ “น้ำเสียปนเปื้อนสารพิษ” ในพื้นที่บ้านเกิดตัวเอง เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมแร่หายาก

ด่านที่ 2: อุปสรรคทางเทคนิค นี่คือปัญหาที่ใหญ่กว่า… อุตสาหกรรมนี้มันก้าวหน้าไปไกลมาก นับตั้งแต่ที่อเมริกาเลิกทำไปในยุค 80

การแปรรูปแร่หายากในปัจจุบัน มันคือกระบวนการหลายขั้นตอนที่ซับซ้อนสุดๆ อเมริกาอาจจะเรียนรู้การ “กลั่น” ขั้นพื้นฐานได้เร็ว… แต่จีนเป็นประเทศเดียวในโลก ที่ทำ “การกลั่นขั้นสูงสุด” ได้

ตัวอย่างเช่น ชิปเซมิคอนดักเตอร์ที่ล้ำที่สุดของ Nvidia ต้องใช้วัสดุที่เรียกว่า “ultra pure dysprosium” ซึ่งทั้งหมดในโลกนี้ มาจากโรงงานเพียงแห่งเดียวใกล้ๆ Shanghai

อเมริกาไม่ได้แค่ขาดโรงงาน… แต่พวกเขา “ขาด Know-how” ยิ่งไปกว่านั้น อุตสาหกรรมแร่หายากของจีนมันเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานที่ใหญ่กว่า ตั้งแต่ มหาวิทยาลัยที่ปั้นวิศวกรด้านนี้ออกมาปีละหลายพันคน ไปจนถึงโรงงานผลิตสินค้าขั้นสุดท้ายอย่าง แบตเตอรี่ กังหัน และหุ่นยนต์ มันคือ “ระบบนิเวศ” ที่จีนใช้เวลา 30 ปีสร้างขึ้นมา

แน่นอน… มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อเมริกาก็กำลังพยายามหาทางอยู่ เช่นการที่ Pentagon เข้าไปถือหุ้นใน MP Materials บริษัทที่กลับมาเปิดเหมือง Mountain Pass อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ต้องการความเอาใจใส่อย่างต่อเนื่องจาก Washington ตลอดระยะเวลา 5 หรือ 10 ปี ซึ่งดูเหมือนจะไม่น่าเป็นไปได้ง่ายๆ

เรื่องนี้อาจจะเปลี่ยน… ถ้าจีนเล่นแรงด้วยการบังคับใช้กฎนี้อย่างเข้มงวดและคงไว้นานๆ แต่ถ้าข้อจำกัดนี้ “มาๆ หายๆ”… มีโอกาสสูงมาก ที่สุดท้ายทุกคนก็จะกลับไปตายรังเหมือนเดิม

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วครับ

ย้อนกลับไปในปี 2010 ตอนนั้นเกิดเหตุเรือชนกันใกล้หมู่เกาะข้อพิพาท Senkaku ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ตอนนั้นจีนโกรธมาก และ “สั่งห้าม” ส่งออกแร่หายากไปญี่ปุ่น

ราคาแร่หายากพุ่งกระฉูด ทั่วโลกตื่นตระหนก ตลาดตอบสนอง… เหมืองนอกจีนกลับมาเปิดชั่วคราว ญี่ปุ่นรีบไปลงทุนในบริษัทแร่ของออสเตรเลีย

แต่… พอสถานการณ์คลี่คลาย ทุกคนก็ค่อยๆ กลับไปซื้อของจากจีนเหมือนเดิม

เหตุผลมันเรียบง่ายมาก… “เพราะว่า… พวกเขาถูกที่สุด”

ดังนั้น การประกาศข้อจำกฎในวันที่ 1 ธันวาคม นี้ จึงเป็นหมากตาสำคัญ ที่จีนกำลังส่งสัญญาณบอกโลก… ว่า “ผงชูรสอุตสาหกรรม” ที่ทุกคนขาดไม่ได้ ขวดของมัน… อยู่ในมือของพวกเขาแล้วนั่นเองครับผม

References : [TLDR news global , usgs, reuters, spglobal, scientificamerican]


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube