มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นได้ตลอดเวลา บริษัทที่สร้างเครือข่ายทางสังคมในออนไลน์ได้สร้างแพล็ตฟอร์มเหล่านี้ขึ้นมาก็เพื่อเป็นวิธีการทำงาน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความต้องการ ความคิดและนวัตกรรม แนวคิดของเครือข่ายสังคมออนไลน์นั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่นอกเหนือจากชีวิตแบบปรกติของมนุษย์เราที่มีมาอย่างยาวนาน
เป็นเวลาหลายศตวรรษแล้วที่เราได้เห็นว่าเครือข่ายสังคมออนไลน์นั้น มีความเชื่อมโยงกับผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาทางวัฒนธรรมในมนุษย์ ซึ่งนี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ การทำความเข้าใจวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังเครือข่ายสังคมเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว เราก็จะต้องเข้าใจว่าทำไม Facebook ซึ่งกลายมาเป็นผู้นำของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่ถูกปลุกปั้นขึ้นมาจากหอพักที่มหาวิทยาลัย Harvard และสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนนับพันล้านคนทั่วโลก และยังช่วยรักษาความสัมพันธ์ที่มั่นคงให้กับเราทุกคนได้อย่างไร
Facebook และเว๊บไซต์ Social Media อื่น ๆ จะช่วยเชื่อมต่อคุณกับเพื่อนของคุณ ซึ่ง Facebook ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 2005 โดย Mark Zuckerberg เริ่มแรก Zuckerberg และเพื่อนของเขา ได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า “Facemash”
โดยเป็นการ hack ข้อมูลเพื่อดูดรูปภาพของทุกคนที่อาศัยอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย Harvard เข้ามา และได้ทำการสร้าง เว๊บไซต์ เปรียบเทียบหน้าของผู้หญิง แล้วให้โหวต ว่าใคร hot สุด โดยจะทำการสุ่ม หน้าของสาว ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วทำการคำนวนผ่าน algorithm ที่เค้าคิดขึ้น
ด้วยการขยายแนวคิดนี้ Zuckerberg ได้สร้างเว็บไซต์เพื่อทำหน้าที่เสมือน หนังสือรุ่น หรือ “thefacebook” ของมหาวิทยาลัยขึ้นมาก่อนเป็นอันดับแรก
แต่ในเว๊บไซต์ของ Facebook นั้นการเชื่อมโยงกันระหว่างเพื่อนนั้นทำง่าย ๆ เพียงแค่ขอเป็นเพื่อนกับใครบางคน ผู้รับต้องยอมรับคำเชิญนั้น แนวคิดนี้ใหม่มากเพราะมีเพียงไม่กี่ เว๊บไซต์ ในยุคนั้น ที่ช่วยในการสื่อสารประเภทนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ MySpace
Adam Hartung ผู้ที่ให้ข้อมูลกับ Forbs กล่าวว่า “ MySpace ถูกกำหนดเป้าหมายไปที่ผู้ใช้งานที่เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน และยังมีการทำการตลาดมาก่อน Facebook ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้น MySapce ได้สร้างความสนใจอย่างมหาศาล และสามารถสร้างมูลค่ามหาศาลได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเริ่มมีนักลงทุนสนใจเพิ่มมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ เครือข่ายสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง News Corp
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่เป็นต่อทุกอย่าง เว๊บไซต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาก่อน และมีทุนที่หนากว่าหลายเท่านัก ซึ่งการเข้ามาครอบครอง MySpace ของ News Corp นั้นได้พยายามปรับปรุง MySpace เพื่อเพิ่มกลุ่มผู้ใช้งานใน “ระดับมืออาชีพ” มากขึ้น เพื่อให้เป็นอนาคตของธุรกิจ ซึ่งนั่น เป็นหนึ่งในข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงเมื่อต้องมาแข่งขันกับ Facebook ที่ปล่อยให้ตลาดเป็นตัวตัดสินใจว่าธุรกิจควรจะไปในทิศทางใด
และอีกเหตุผลสำคัญที่ Facebook สามารถเอาชนะ MySpace ได้ ก็เป็นเพราะแนวคิดของ Facebook ที่อนุญาตให้ผู้คนในเว็บไซต์สามารถที่จะเชื่อมต่อความสัมพันธ์กันได้แบบอิสระ และตระหนักว่าเหล่าผู้ใช้งานอาจต้องการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาในเว็บไซต์ และสามารถเชื่อมต่อกับครอบครัวและเพื่อน ๆ ของพวกเขาได้
โลกของ Facebook จึงพยายามรักษาความสัมพันธ์และทำงานภายใต้ทฤษฏีของ Triadic Closures ซึ่งเป็นทฤษฏีที่ถูกตั้งขึ้นมาในยุคของ Social Network โดยความหมายก็คือ การที่คนสองคนจะมีความรู้สึกสนิทสนมกันมากขึ้น ถ้าหากว่าพวกเขามีเพื่อนคนเดียวกัน ซึ่งมีการทดลองจากมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียพบว่าผู้คนที่ใช้งาน Facebook มีโอกาสที่จะรับใครสักคนเป็นเพื่อนมากขึ้นถึง 80% ถ้าหากมีเพื่อนคนเดียวกันประมาณ 11 คน ทำให้อัตราการเติบโตของเว๊บไซต์ของ Facebook นั้นเร็วกว่า MySpace เป็นอย่างมาก
ซึ่งทฤษฏีนี้อาจกล่าวได้ว่า หากเรายิ่งมีเพื่อนร่วมกันมากก็ยิ่งพร้อมเปิดใจ ซึ่งถ้าหากคุณอยากชนะใจใครสักคน ให้ลองตีสนิทกับเพื่อนเขาดูก่อน แล้วให้เพื่อนช่วยเป็นคนกลางคอยแนะนำให้นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม MySpace ใช้แนวคิดตรงกันข้าม โดยไม่ปล่อยให้ผู้คนที่เกี่ยวข้องในระบบของพวกเขานั้นเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาได้ เพราะ myspace มองว่าเราแทบจะไม่เคยรู้จักกันจริง ๆ คนที่มีเพียงความสนใจร่วมกัน แต่ไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ โดยตรงกับเรา มีโอกาสน้อยที่จะปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันได้ ซึ่งส่วนนี้นี่เองที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ myspace นั้นเติบโตช้ากว่า facebook
Zuckerberg รู้ว่าสิ่งที่เขาคิดค้นขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่มีพลังอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงมีการอัพเดท Features ตลอดเวลา โดย Focus ส่วนที่ใช้ในการเชื่อมโยงผู้คน แม้แต่การแพร่กระจายของ Facebook จากฮาร์วาร์ดไปทั่วโลกก็เป็นเพราะการแพร่กระจายแบบปากต่อปาก ซึ่งเป็นประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ facebook ที่แทบจะไม่ต้องใช้เงินทำการตลาดใด ๆ เลยด้วยซ้ำ
Facebook ทำงานบนแนวคิดที่ว่าเมื่อคุณแนะนำตัวเองและโต้ตอบกับเพื่อน คุณจะสามารถ ‘คัดกรอง’ บุคคลนั้นได้หลังจาก ทำการค้นหาความสนใจและแนวความคิดของบุคคลนั้น ๆ ในโปรไฟล์ของบุคคลนั้น ซึ่งหากข้อมูลที่นำเสนอในโปรไฟล์แสดงความไม่ลงรอยกันกับบุคคลที่อ่านข้อมูล ผู้อ่านก็จะไม่สนใจและไม่ติดต่อกับบุคคลนั้น ๆ ในที่สุดนั่นเอง
และดูเหมือนบทเรียนในครั้งนี้ของ MySapce นั้น แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจธรรมชาติของเครือข่ายสังคมออนไลน์ของ Mark Zuckerberg ที่ทำให้เขาสามารถเลือกใช้วิธีบริหารจัดการบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ของเขาได้ก่อนนั่นเอง
และเนื่องจากการที่ Facebook นั้น ไม่มีกฎ ไม่มีแผนใด ๆ ไม่มีตลาด ไม่มีการพยากรณ์ล่วงหน้า ไม่พยายามฉลาดกว่าผู้ใช้เพื่อพิจารณาว่าพวกเขาไม่ควรทำอะไร ไม่มีอคติ ทางความคิดให้ซึ่งทำให้กลายเป็นข้อจำกัดได้ และมุ่งเน้นธุรกิจไปข้างหน้าได้ มันก็ทำให้เราได้เห็นภาพของ Facebook ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลกอย่างในทุกวันนี้ได้นั่นเองครับผม
References : https://blogs.cornell.edu/info2040/2017/09/15/the-science-behind-social-networking-and-why-myspace-lost-to-facebook/
https://www.forbes.com/sites/adamhartung/2011/01/14/why-facebook-beat-myspace/#645304b0147e
http://dujs.dartmouth.edu/2011/02/the-science-behind-social-networking/#.WbvxW2VeBo4
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA
Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
Geek Forever’s Podcast
“Open Your World With Technology“
AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning
Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ