Minimalism ที่เปลี่ยนโลก Jony Ive ชายผู้เปลี่ยน iPhone ให้ทำลาย Nokia BlackBerry ในชั่วข้ามคืน

เมื่อคุณหยิบ iPhone ขึ้นมาใช้งาน สัมผัสถึงความโค้งมนที่พอดีมือ การออกแบบที่เรียบง่ายแต่ดูดี คุณกำลังสัมผัสมรดกของชายคนหนึ่ง ที่ได้เข้ามาเปลี่ยนโลกเทคโนโลยีไปตลอดกาล

เขาคนนั้นคือ Jonathan Paul Ive หรือที่คนทั้งโลกเรียกกันติดปากว่า Jony Ive สุดยอดนักออกแบบผู้รังสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กันในชีวิตประจำวัน จนแทบนึกภาพไม่ออกว่าถ้าไม่มีมัน ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในครอบครัวที่อบอวลไปด้วยไอเดียสร้างสรรค์ พ่อของเขาไม่ใช่แค่คุณครูธรรมดา แต่เป็นช่างทำเครื่องเงินฝีมือฉกาจ ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดอย่างถึงที่สุด

ห้องทำงานของพ่อจึงกลายเป็นสนามเด็กเล่นของ Jony ที่ซึ่งพ่อลูกได้ใช้เวลาร่วมกันออกแบบและสร้างสรรค์สิ่งของต่างๆ นี่คือจุดเริ่มต้นที่ปลูกฝังความเป็นนักออกแบบให้กับเขา

เมื่อเข้าสู่ช่วงมัธยมปลาย Jony ก็รู้ตัวชัดเจนแล้วว่าเส้นทางของเขาคือ Industrial Design หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ เขาจึงเข้าเรียนที่ Newcastle Polytechnic ในปี 1985 หนึ่งในสถาบันด้านการออกแบบชั้นนำของอังกฤษ

ยุค 80s ถือเป็นยุคแห่งการออกแบบที่เน้นความฉูดฉาด สีสันจัดจ้าน มุมแหลมคม และรายละเอียดที่ดูจะเกินความจำเป็น แต่ Jony กลับสวนกระแส เขาหลงใหลในปรัชญาของ Dieter Rams นักออกแบบขั้นเทพของแบรนด์ Braun

หลักการ “Less but better” หรือ “น้อยแต่มากด้วยคุณภาพ” ของ Rams ได้กลายเป็นรากฐานความคิดในการออกแบบของ Jony ตั้งแต่แรกเริ่ม เขาเชื่อในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เรียบง่ายและใช้งานได้จริง

บทเรียนสำคัญครั้งแรกเกิดขึ้นในการประกวดออกแบบครั้งหนึ่ง เขาออกแบบโทรศัพท์ที่ดูล้ำเหมือนไมโครโฟนบางๆ แต่มันกลับทำให้คนไม่กล้าใช้ เพราะไม่แน่ใจว่าต้องถือหรือพูดใส่ตรงไหน

นั่นคือครั้งแรกที่ Jony ได้เรียนรู้ว่า ความสวยงามอย่างเดียวไม่พอ ผลิตภัณฑ์ที่ดีต้องเข้าใจได้ในทันทีโดยไม่ต้องคิด นี่คือบทเรียนที่จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต

จากเงินรางวัลที่ได้ Jony มีโอกาสเดินทางไปสหรัฐอเมริกา ที่นั่นเขาได้สัมผัสโลกการออกแบบที่แตกต่างจากอังกฤษโดยสิ้นเชิง ไอเดียใหม่ๆ ได้รับการยอมรับและความคิดสร้างสรรค์ได้รับการตอบแทนอย่างคุ้มค่า เขารู้ในใจทันทีว่า สักวันหนึ่งเขาต้องมาเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้

เมื่อกลับมาลอนดอน Jony เริ่มทำงานที่ Tangerine สตูดิโอออกแบบชื่อดัง จนกระทั่ง Robert Brunner หัวหน้าทีมออกแบบของ Apple ในขณะนั้น ได้ยื่นโอกาสครั้งสำคัญให้

Brunner เสนอให้ Tangerine รับโปรเจกต์ออกแบบผลิตภัณฑ์ต้นแบบ 4 ชิ้นให้ Apple หนึ่งในนั้นคือแท็บเล็ตที่ชื่อว่า “Macintosh Folio” และ Jony ก็คือคนที่ได้รับผิดชอบโปรเจกต์นี้

ถึงวันนำเสนอผลงานที่สำนักงานใหญ่ของ Apple ในขณะที่คนอื่นแค่เอาโมเดลใส่กล่องกระดาษธรรมดาๆ Jony กลับห่อผลงานของเขาอย่างพิถีพิถัน พร้อมแนบภาพสเก็ตช์และเสื้อยืดโลโก้บริษัทไปด้วย

ความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้ สร้างความประทับใจให้ Robert Brunner อย่างมาก และในตอนท้าย เขาได้พูดประโยคที่เปลี่ยนชีวิต Jony ว่า “ประตูที่นี่เปิดให้คุณเสมอ ลองคิดดู”

แม้โปรเจกต์ส่วนใหญ่จะไม่ได้ถูกสร้างเป็นผลิตภัณฑ์จริง แต่มันก็ได้ขีดโชคชะตาให้ Jony ตัดสินใจย้ายไปแคลิฟอร์เนีย และเข้าร่วมกับ Apple ในปี 1992 อย่างเป็นทางการ

ช่วงเวลานั้น Apple เพิ่งแยกทางกับบริษัทออกแบบเดิม และกำลังปลุกปั้นทีมออกแบบภายในของตัวเองขึ้นมา แต่ปัญหาใหญ่ที่รุมเร้าคือผลิตภัณฑ์ของ Apple ขาดเอกภาพโดยสิ้นเชิง

เครื่องพิมพ์ดูไม่เข้ากับคอมพิวเตอร์ จอภาพก็ดูแปลกแยกจากคีย์บอร์ด มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็น 4 บริษัทที่ต่างคนต่างทำ มากกว่าจะเป็นบริษัทเดียวกันที่มีทิศทางชัดเจน สถานการณ์ตอนนั้นมันเละเทะมาก

โครงการแรกของ Jony คือ “Newton Message Pad” รุ่นที่สอง ซึ่งรุ่นแรกนั้นล้มเหลว เพราะถูกเยาะเย้ยเรื่องการรู้จำลายมือที่แย่มากจนกลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ในวงการ

Jony รับความท้าทายนี้ เขาออกแบบฝาพับใหม่ ปากกาสไตลัสที่เด้งออกมาเมื่อกด ทุกอย่างให้ความรู้สึกพรีเมียม แต่เมื่อเปิดตัว แม้จะกวาดรางวัลด้านการออกแบบมามากมาย ผลิตภัณฑ์กลับล้มเหลวในตลาดอยู่ดี

เขารู้สึกผิดหวังและไร้พลัง เพราะในยุคนั้น วัฒนธรรมของ Apple ถูกขับเคลื่อนด้วยฝ่ายวิศวกรรม การออกแบบเป็นแค่สิ่งที่ต้องทำตามข้อจำกัดทางเทคโนโลยี ไม่ใช่การผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่

ต่อมากับโปรเจกต์ “20th Anniversary Mac” ที่ควรจะเป็นผลงานชิ้นเอก แต่กลับกลายเป็นหายนะอีกครั้ง Apple ตั้งราคามันสูงถึง 9,000 ดอลลาร์ จนไม่มีใครชายตามอง สุดท้ายต้องลดราคาเหลือแค่ 2,000 ดอลลาร์

ในขณะเดียวกัน บริษัท Apple เองก็กำลังดิ่งลงเหว ยอดขายตกต่ำ Windows 95 กำลังจะเอาชนะ Mac บริษัทกำลังจะหมดเงิน และ CEO ในตอนนั้นก็กำลังจะถูกไล่ออก

Jony รู้สึกว่า Apple ได้สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว เขากำลังจะตัดสินใจลาออกและกลับอังกฤษ แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

Steve Jobs กลับมาแล้ว

วันที่ 7 มกราคม 1997 ในงาน Mac Expo หลังจาก CEO คนเก่าประกาศลาออก Steve Jobs ก็ก้าวขึ้นมาบนเวที เขาไม่ได้พูดอะไรซับซ้อน แต่พูดตรงประเด็นว่า “ปัญหาของที่นี่คืออะไรน่ะเหรอ… มันคือผลิตภัณฑ์! ผลิตภัณฑ์มันห่วยแตก ไม่มีเสน่ห์อะไรเหลืออยู่เลย”

Jony ที่นั่งอยู่หลังห้องและกำลังคิดเรื่องลาออก ถึงกับต้องหยุดชะงัก เมื่อได้ยิน Jobs พูดต่อว่า “เป้าหมายของ Apple ไม่ใช่แค่การทำเงิน แต่คือการทำผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม”

วินาทีนั้นเอง Jony ตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ เขาไม่เคยได้ยินผู้นำคนไหนของ Apple พูดแบบนี้มาก่อน

Jobs ไม่รอช้า เขาลงมือผ่าตัดใหญ่ทันที ลดสายผลิตภัณฑ์จาก 40 เหลือแค่ 4 อย่าง และปิดโครงการที่ล้มเหลวทั้งหมด รวมถึง Newton ซึ่งเป็นผลงานชิ้นแรกๆ ของ Jony ด้วย

แต่แทนที่จะผิดหวัง Jony กลับเห็นแสงสว่างเป็นครั้งแรก เขาเห็นว่าการออกแบบกำลังจะกลายเป็นหัวใจของบริษัท ไม่ใช่วิศวกรรมอีกต่อไป

วันหนึ่ง Jobs เดินเข้ามาในสตูดิโอออกแบบ เขาได้เห็นไอเดียที่กล้าหาญ สดใหม่ และแตกต่างจากทุกสิ่งที่ Apple เคยทำ เขาประทับใจมาก และชี้ไปที่ Jony พร้อมกับพูดว่า “คุณ… คุณคือผู้นำทีมจากนี้ไป”

ช่วงเวลานั้นได้เปลี่ยนทุกอย่าง และ Jony ก็ได้เริ่มทำงานในโปรเจกต์ที่จะพลิกชะตาของ Apple ตลอดกาล นั่นคือ iMac

ก่อนหน้า iMac คอมพิวเตอร์คือกล่องสี่เหลี่ยมสีเบจที่แสนจะน่าเบื่อและซับซ้อน แต่ Jony ได้เปลี่ยนภาพลักษณ์นั้นไปโดยสิ้นเชิง เขาออกแบบคอมพิวเตอร์ที่ดูมีชีวิตชีวาและน่าตื่นเต้น

แทนที่จะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมทื่อๆ iMac กลับมีรูปทรงโค้งมนเป็นธรรมชาติ ตัวเครื่องทำจากพลาสติกโปร่งแสง ทำให้มองเห็นชิ้นส่วนภายในได้เป็นครั้งแรก มันคือการทำลายกำแพงระหว่างผู้ใช้กับเครื่องจักร

ด้านบนของเครื่อง เขายังใส่ที่จับเข้าไป ไม่ใช่เพื่อให้คนหิ้วไปมา แต่เพื่อให้รู้สึกเป็นมิตรและน่าสัมผัส iMac ไม่ใช่แค่การออกแบบที่เจ๋งมาก ๆ แต่มันคือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่โคตรเทพ

ภายใน 6 สัปดาห์ Apple ขาย iMac ไปได้กว่า 270,000 เครื่อง และสิ้นปีนั้นยอดขายก็พุ่งกระฉูดไปถึง 800,000 เครื่อง กลายเป็นคอมพิวเตอร์ที่ขายเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Apple

ความสำเร็จของ iMac ทำให้ Apple มีเงินทุนมากพอที่จะสยายปีกไปสู่อุตสาหกรรมอื่น และเป้าหมายต่อไปก็คือวงการเพลงดิจิทัล Steve Jobs ต้องการอุปกรณ์พกพาที่จะมาทำงานคู่กับโปรแกรม iTunes

Jony Ive และทีมงานจึงได้พัฒนานวัตกรรมชิ้นต่อไป นั่นคือ iPod เครื่องเล่น MP3 ที่จะมาปฏิวัติโลก การออกแบบของ iPod นั้นเรียบง่ายและโดดเด่นด้วย Scroll Wheel ที่ช่วยให้เลื่อนหาเพลงนับพันได้อย่างรวดเร็ว

แต่ที่เจ๋งไปกว่านั้นคือ Jony ไม่ได้ออกแบบแค่ตัวเครื่อง เขาออกแบบระบบนิเวศทั้งหมด รวมถึงหูฟังสีขาวอันเป็นเอกลักษณ์ ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ว่าใครก็ตามที่ใส่มัน คือผู้ใช้ iPod เปลี่ยนผู้คนให้กลายเป็นป้ายโฆษณาเดินได้

หลังจากนั้น การปฏิวัติครั้งสำคัญที่สุดก็มาถึง นั่นคือ iPhone ที่เปิดตัวในปี 2007 มันคือผลลัพธ์ของการทดลองนับร้อยครั้ง จนได้มาเป็นสมาร์ทโฟนหน้าจอกระจกสีดำ ที่มีเพียงปุ่มโฮมปุ่มเดียว มันเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมมือถือไปตลอดกาล

ความสำเร็จยังคงดำเนินต่อไปกับ iPad แท็บเล็ตที่ Jobs ใฝ่ฝันมาตลอด Jony และทีมงานได้สร้างสรรค์อุปกรณ์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการอ่านและความบันเทิง ด้วยดีไซน์ Unibody ที่ทำจากอะลูมิเนียมชิ้นเดียว ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ Apple ในเวลาต่อมา

iPad ประสบความสำเร็จยิ่งกว่า iPhone เสียอีก โดยขายได้ 1 ล้านเครื่องในเวลาไม่ถึงเดือน

แต่ Jony ไม่รู้เลยว่า iPad จะเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นสุดท้ายที่เขาได้ทำร่วมกับ Steve Jobs อย่างใกล้ชิด การจากไปของ Jobs ในปี 2011 ไม่ใช่แค่การสูญเสียผู้นำ แต่สำหรับ Jony มันคือการสูญเสียเพื่อนร่วมจิตวิญญาณที่ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันมากว่าทศวรรษ

แม้จะเจ็บปวดรวดร้าว Jony ยังคงนำทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์สำคัญชิ้นสุดท้ายที่ได้รับอิทธิพลจาก Jobs นั่นคือ Apple Watch อุปกรณ์ที่ไม่ได้เป็นแค่เทคโนโลยี แต่เป็นแฟชั่นและเครื่องมือติดตามสุขภาพส่วนบุคคล

แต่แล้วในปี 2019 หลังจากทำงานให้ Apple มาเกือบ 30 ปี Jony ก็ได้ตัดสินใจลาออกเพื่อไปเปิดสตูดิโอออกแบบของตัวเองในชื่อ LoveFrom เป็นการปิดฉากยุคทองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี

อิทธิพลของ Jony Ive นั้นแผ่ขยายไปไกลเกินกว่า Apple เขาได้กำหนดนิยามใหม่ให้กับการออกแบบผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีทั้งหมด สมาร์ทโฟนหน้าจอสัมผัส, แล็ปท็อปอะลูมิเนียมบางเฉียบ, หรือสมาร์ทวอทช์ ล้วนได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของเขาทั้งสิ้น

หลักการออกแบบของ Jony นั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง เขาเชื่อในการลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป จนเหลือแต่แก่นแท้ที่สำคัญที่สุด เขาเลือกใช้วัสดุเพื่อสื่อความหมาย และออกแบบเพื่อให้มนุษย์ใช้งานได้โดยไม่ต้องพยายาม

เขาไม่ได้ออกแบบแค่ผลิตภัณฑ์เดี่ยวๆ แต่คิดถึงประสบการณ์ทั้งหมดของผู้ใช้ ตั้งแต่การแกะกล่องไปจนถึงการใช้งานในชีวิตประจำวัน

เรื่องราวของ Jony Ive ไม่ใช่แค่เรื่องของผลิตภัณฑ์ที่สวยงาม แต่มันคือการเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อเทคโนโลยี เขาทำให้สิ่งที่เคยเย็นชาและซับซ้อน กลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงง่าย เป็นมิตร และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา

วันนี้ โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ AI ที่ทรงพลังแต่ยังมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ เราอาจต้องการใครสักคนที่จะมาทำสิ่งเดียวกับที่ Jony Ive เคยทำกับการประมวลผล นั่นคือการทำให้มันมีความเป็นมนุษย์

และด้วยข่าวล่าสุดที่ว่าบริษัทของเขากำลังร่วมมือกับ OpenAI เพื่อพัฒนาอุปกรณ์ AI รุ่นใหม่ เราอาจกำลังจะได้เห็นการปฏิวัติครั้งใหญ่อีกครั้งจากชายคนนี้ก็เป็นได้

เพราะมรดกที่แท้จริงของ Jonathan Ive คือการแสดงให้โลกเห็นว่า การออกแบบที่ดี ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่มันคือเรื่องของการทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น ง่ายขึ้น และมีความหมายมากขึ้นนั่นเอง

References: [en.wikipedia, re-thinkingthefuture, get2growth, playforthoughts, wallpaper]


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube