โดยที่ทั้ง 3 คนมารู้จักกันในการทำงานที่บริษัท Paypal และมีความคิดไปในทางเดียวกัน พวกเขาจึงระดมทุนได้จากเหล่า venture capital ซึ่งได้เงินลงทุนตั้งต้นมา 11.5 ล้านเหรียญ จากกองทุน Sequoia Capital ของมหาเศรษฐี Don Valentine ผู้เคยสร้างชื่อมาแล้วกับบริษัทหลายๆแห่งไม่ว่าจะเป็น Apple, Yahoo, Oracle Corporation, Cisco รวมถึงบริษัทเกมอย่าง Electronic Arts
Youtube จดทะเบียนเป็นบริษัทและมีโดเมนเนมว่า www.youtube.com ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2005 มีสำนักงานใหญ่อยู่บนชั้นสองของร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆในเมือง San Mateo, California และคลิปวีดีโอแรกที่ถูกอัพโหลดขึ้นเว็บไซด์ครั้งแรกเป็นของ Jawed โดยใช้ชื่อว่า “Me at the zoo”
ในปีเดียวกันนั้นเอง คลิปวีดีโอที่แตะหลักล้าน Views เป็นครั้งแรกเป็นคลิปโฆษณาของ Nike โดยใช้นักฟุตบอลชื่อดังอย่างโรนัลดินโญ่มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมกับการสนับสนุนเงินอีก 3.5 ล้านเหรียญของ Sequoia Capital ทำให้บริษัทใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่ง Google นั้นเห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Youtube จนต้องสร้างบริการ Google Video เข้ามาร่วมแข่งขัน
Youtube นั้นได้พัฒนาเทคโนโลยีของการเล่นวีดีโอ ที่สามารถอัดเก็บไว้ได้และนำมานำเล่นได้ใหม่ โดยจะใช้พื้นฐานของการโปรแกรม Macromedia’s Flash Player และใช้โปรแกรมบันทึกวิดีโอแบบ Sorenson Spark H.263 อีกทั้งเทคโนโลยีนี้ยังทำให้ Youtube สามารถใช้วิดีโอเล่นภาพและเสียงได้อย่างมีคุณภาพเทียบเคียงได้กับวิดีโอที่เล่นอยู่ที่บ้านและสามารถนำกลับมาเล่นซ้ำได้เหมือนกับ Windows Media Player, Realplayer หรือ Quicktime Player ของ Apple
จากการขับเคลื่อนโดยวิศวกรที่ถือเป็น DNA หลักของ google เลยก็ว่าได้ ทำให้ google นั้นสามารถมองได้ไกลกว่า และด้วยความที่อายุพนักงานเฉลี่ยนั้นยังน้อย ทำให้สามารถขับเคลื่่อนองค์กรได้อย่างรวดเร็ว ต่างจาก Microsoft ที่เป็นองค์กรใหญ่เทอะทะ การขับเคลื่อนในเรื่องต่าง ๆ ก็ดูจะช้าเหมือนเต่าคลาน
แต่เมื่อเริ่มยิ่งใหญ่จนเกินตัว ปัญหามันก็เกิดจากการที่สามารถครองตลาดได้แบบเบ็ดเสร็จ เพราะมีการตรวจสอบพบว่า google นั้นได้ทำการลดอันดับผลการค้นหาของเว๊บไซต์เปรียบเทียบราคาสินค้าชื่อดังอย่าง Foundem
ซึ่ง google ได้พยายามลดอันดับของ Foundem ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วโฆษณาผลิตภัณฑ์ของตัวเองแทน ซึ่งทางสหภาพยุโรปได้เริ่มรวบรวมข้อมูลเพื่อสืบสวนเรื่องดังกล่าว ซึ่งจะเข้าข่ายกรณีการต่อต้านการผูกขาดทางการค้า แบบเดียวกับที่ Microsoft เคยโดนมาแล้ว ซึ่งมันเป็นการฉายภาพซ้ำของความยิ่งใหญ่ของธุรกิจ หากมันเป็นความยิ่งใหญ่ที่เกินตัวสุดท้ายผลเสียก็จะตกกลับมาอยู่ที่บริษัทแบบเดียวกับที่ Microsoft เคยเจอนั่นเอง
แม้ Microsoft เองจะยังมีกำไรมหาศาล แต่เป็นกำไรที่ได้มาจากการผูกขาดในโปรแกรม Windows และ ชุด office เพียงเท่านั้น ซึ่งรวมแล้วยังมากกว่า 100% ของกำไรทั้งหมด สาเหตุเพราะต้องไปชดเชยความเสียหายจากการขาดทุนอย่างมโหฬารในธุรกิจออนไลน์ของ Microsoft นั่นเอง
google นั้นยังมอง Microsoft เหมือนในอดีต นั่นคือ เป็นภัยคุกคาม และได้ทวีความรุนแรงจนกลายเป็นศัตรูเลยก็ว่าได้ google นั้นรู้สึกรำคาญใจที่ Microsoft พยายามที่จะใช้วิธีสกปรกด้วยวิธีการใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการฟ้องร้อง หรือ การใช้กฏระเบียบต่าง ๆ มาเล่นงาน google
โดยเมื่อเทียบระหว่าง apple กับ Microsoft ฝั่งของ apple นั้นแทบจะไม่เคยต่อสู้กับคู่แข่งในเรื่องกฏระเบียบ หรือ กฏหมายยิบย่อย แต่เน้นไปที่การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่ามาแข่งขัน เพื่อให้ผู้บริโภคพิสูจน์ว่าสินค้าของ apple นั้นเจ๋งจริง
แต่ Microsoft เนื่องจากไม่สามารถไล่ตาม google ในตลาดออนไลน์ได้ทันง่าย ๆ จึงเลือกใช้วิธีต่อสู้ด้วยวิธีทางกฏหมาย ในศาล ไม่ว่าจะเป็นในอเมริกาเอง หรือ ศาลระหว่างประเทศ เพื่อให้ได้ชัยชนะมา ซึ่งมันเป็นเรื่องง่ายกว่าการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่ามาแข่งกับ google นั่นเอง เนื่องจาก Microsoft มีเงินทุนมหาศาลพร้อมที่จะทุ่มเต็มที่กับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว
ถึงตอนนี้เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า google นั้นได้ออกนำ Microsoft ในธุรกิจออนไลน์ไปไกลแสนไกลแล้ว Microsoft จึงเลือกใช้วิธีอื่น ๆ เพื่อจะเป็นการเตะตัดขา google ให้ชะลอการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฏหมาย เรื่องการผูกขาด รวมถึงกฏระเบียบต่าง ๆ เป็นหลัก เพราะตอนนี้ ถ้าเรื่องของธุรกิจออนไลน์ นั้น Microsoft ได้พ่ายแพ้ ให้กับ google เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเองครับ จะเกิดจุดเปลี่ยนอะไรต่อจากนี้หรือไม่ระหว่างศึกของสองยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีอย่าง google และ Microsoft โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม
ซึ่งเทคโนโลยีนี้นี่เองได้ทำให้ Youtube สามารถใช้วิดีโอเล่นภาพและเสียงได้อย่างมีคุณภาพเทียบเคียงได้กับวิดีโอที่เล่นอยู่ที่บ้านและสามารถนำกลับมาเล่นซ้ำได้เหมือนกับ Windows Media Player, Realplayer หรือ Quicktime Player ของ Apple