Ring Fit Adventure กับนวัตกรรมที่ไม่เคยหยุดนิ่งของ Nintendo

ถ้าถามว่าบริษัทเกมที่มีการสร้างนวัตกรรมในการเล่นเกมในรอบหลายปีที่ผ่านมา ก็ต้องบอกว่า Nintendo นั้นเป็นบริษัทแนวหน้าในวงการเกม ที่พยายามสรรค์สร้างสิ่งใหม่ ให้กับวงการเกมได้ เซอร์ไพรซ์อยู่สม่ำเสมอ

เราจะเห็นได้จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แม้คู่แข่งในอุตสาหกรรมเกมจะพยายามใช้เทคโนโลยีมานำ พยายามทำอะไรล้ำ ๆ กราฟฟิก ระดับสูง สเปคของเครื่องที่สูงขึ้นเรือย ๆ ไม่ว่าจะเป็น Microsoft Xbox หรือ Sony Playstation

แต่สิ่งเหล่านี้บางครั้งมันก็ไม่ได้ทำให้การเล่นเกมสนุกขึ้นแต่อย่างใด เราจะเห็นได้จากบางเกมที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล ด้วยกราฟฟิก อลังการงานสร้าง ใช้ทีมงานมากมายหลายร้อยชีวิต แต่เกมของพวกเขาไม่สามารถครองใจนักเล่นเกมได้ เพราะเกม ก็ คือการเล่นเพื่อความสนุกบันเทิง แต่การอัดสิ่งต่าง ๆ เข้าไปมากเกินบางครั้งมันก็ทำให้อรรถรสในการเล่มเกมนั้นตกไป

แต่มีบริษัทเดียวในวงการเกมที่มองว่าเกมคือสิ่งบันเทิง คือความสนุกสนาน และสรรค์สร้างนวัตกรรมให้เล่นเกมสนุกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ มาตลอด ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทนั้นคือ Nintendo

พวกเขาเข้าใจจริง ๆ ว่านักเล่นเกมต้องการอะไร อะไรที่ทำให้นักเล่นเกมสนุกกับมัน รวมถึงการเปิดให้คนกลุ่มอื่น ๆ เข้ามาจอยกับเกม มาสนุกสนาน มาคลายเครียด ด้วยนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ Nintendo ได้สรรค์สร้างขึ้นมา

ซึ่งก่อนหน้านี้ เราก็เคยได้เห็นปรากฏการณ์อย่าง เครื่อง WII ที่มียอดขายถล่มทลายทั่วโลก โดยที่ Xbox และ Playstation ได้แต่มองตาปริบ ๆ มาแล้ว

และ หลังจากการออกเครื่องเกมส์ใหม่อย่าง Nintendo Switch ก็ได้ทยอยออกเกมที่ ทำให้ผู้เล่นได้สนุกกับเกมได้เหมือนในอดีต เราจะเห็นได้ว่า กราฟฟิกของ Switch นั้นแทบจะย้อนเวลากลับไปในเครื่องคอนโซลยุคก่อนหน้าด้วยซ้ำ

แต่ความสนุกของเกม รวมถึง ไอเดียในการนำเครื่องเกมมาประยุกต์ใช้กับสิ่งต่าง ๆ มากมาย ด้วยเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ที่ Nintendo นั้นคิดมาอย่างดีแล้ว ว่าจะสามารถนำเครื่อง Switch มาต่อยอดให้เล่นสนุกขึ้นได้อย่างไร ตัวอย่าง Nintendo Labo ที่เราเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ก็แสดงให้เห็นความคิดสร้างสรรค์ของ Nintendo ในการออกแบบสิ่งที่เรียกว่าเกม

และล่าสุด Ring Fit Adventure มันได้ทลายกรอบเดิม ๆ ของการเล่นเกม เพราะมันคือการผสมผสานการออกกำลังกายไปกับการเล่นเกม ได้อย่างลงตัวมาก ๆ การ Design Ring Fit มาก็เพื่อเจาะตลาดคนรักสุขภาพที่ต้องการออกกำลังกายและอาจจะไม่มีเวลามากนัก

การสร้างเป็นเกมจึงถือเป็นจุดดึงดูดที่น่าสนใจให้ตลาดกลุ่มนี้ หันมาจับเครื่อง Switch ของ Nintendo และ enjoy ไปกับความสนุกรวมถึงการได้ดูแลสุขภาพผ่านเจ้าอุปกรณ์ตัวใหม่ที่ Nintendo คิดค้นขึ้นมานี้

ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับบริษัทอย่าง Nintendo ที่ได้แสดงให้เห็นอีกครั้งว่า พวกเขาสนใจแค่ความสนุก และไอเดียใหม่ ๆ ของการเล่นเกมเท่านั้น พวกเขาไม่ได้สนใจสิ่งที่ Xbox หรือ Playstation กำลังเดินไปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงต่าง ๆ เลย เพราะพวกเขาแค่ต้องการให้ผู้เล่นเกมของ Nintendo นั้นได้สนุกกับการเล่นเกมก็เพียงพอแล้วนั่นเอง

References : http://images.nintendolife.com/202562d9d044c/switch-ringfitadventure-lifestylephoto-01-copy.900x.jpg

Digital Music War ตอนที่ 4 : Digital Home

ต้องบอกว่า Microsoft นั้นเติบโตมากับผลิตภัณฑ์ที่เป็น Software ล้วน ๆ ไม่ว่าจะเป็น Windows หรือ Microsoft Office ที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักคอยผลิตเงินให้กับ Microsoft ในขณะนั้น แต่อย่างไรก็ดี Microsoft นั้นก็ตระหนักถึงความสำคัญของการเข้าถึงผู้บริโภคด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ 

ในขณะที่ iPod ได้ทำการออกวางตลาดกลายเป็นสินค้ายอดฮิตไปแล้วนั้น แต่ทางฝั่ง Microsoft ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้สนใจมากนัก เหล่าผู้บริหารต่างมองว่า การดาวน์โหลดเพลงแบบดิจิตอล ที่ Apple กำลังจะทำนั้น เป็นเรื่องเล็กน้อยในธุรกิจของบริษัทดนตรีที่มียอดขาย CD ต่อปี ราว ๆ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในขณะนั้น

ซึ่งรูปแบบแนวคิดนั้น จะคล้ายคลึงกับ Apple แต่ Focus ไปที่ความบันเทิงในบ้านใน Concept ข อง ดิจิตอลโฮม โดยจะเชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกันผ่าน Software ของ Microsoft และตอนนั้น Microsoft ได้เปิดตลาดเครื่องเกมส์อย่าง Xbox ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยในปี 1998 วิศวกร 3 คนจากทีม DirectX ของไมโครซอฟท์ ได้แก่ Kevin Bachus, Seamus Blackley, Ted Hase และผู้นำทีม DirectX ในเวลานั้นอย่าง Otto Berkes ร่วมทีมกันเพื่อทำการแกะแล็ปท็อปยี่ห้อ Dell เพื่อสร้างตัวต้นแบบของเกมคอนโซลที่มีพื้นฐานซอฟต์แวร์เป็นซอฟต์แวร์จากไมโครซอฟท์

โดยทีมนี้หวังว่าจะสามารถสร้างเกมคอนโซลที่สามารถมีอาร์ดแวร์มาตรฐานเทียบเท่ากับเกมคอนโซลตัวถัดไปจาก Sony อย่าง Playstation 2 ซึ่งพวกเขาได้ดึงนักพัฒนาบางส่วนไปจากการพัฒนาเกมบน Windows

Microsoft ต้องการสร้างเครื่องเกมส์ให้ได้มาตรฐานเดียวกับ Playstation 2 ของ Sony
Microsoft ต้องการสร้างเครื่องเกมส์ให้ได้มาตรฐานเดียวกับ Playstation 2 ของ Sony

โดยหลังจากทำการประกอบเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ทีมนี้ได้เข้าไปพบกับ Ed Fries ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายธุรกิจเกมของ Microsoft ณ เวลานั้น เพื่อนำเสนอ “DirectX Box” ตัวต้นแบบ ซึ่งเป็นเกมคอนโซลที่มีพื้นฐานมาจากเทคโนโลยี DirectX ซึ่งพัฒนาโดยกลุ่มของ Berkes โดยหลังจากได้เห็นผลิตภัณฑ์แล้ว Fries จึงได้ตัดสินใจสนับสนุนไอเดียของทีมที่จะสร้างเกมคอนโซลที่มีพื้นฐานมาจาก Microsoft DirectX

ระหว่างการพัฒนา ชื่อเดิมของเกมคอนโซลเครื่องนี้อย่าง DirectX Box ถูกย่อให้เหลือเพียง “Xbox” ทั้งนี้ฝ่ายการตลาดของ Microsoft ไม่ได้ชอบชื่อนี้และพยายามเสนอชื่ออื่นขึ้นมาทดแทน ระหว่างการทดสอบในวงจำกัด ชื่อ “Xbox” นั้นเป็นหนึ่งในรายการชื่อที่เป็นไปได้ที่จะแสดงให้เห็นว่าชื่อนี้จะไม่เป็นที่นิยมต่อผู้บริโภค แต่อย่างไรก็ตามภายหลังการทดสอบกลับพบว่าชื่อ “Xbox ” นั้นเป็นที่ต้องการมากกว่าชื่ออื่น ๆ ทำให้ชื่อ “Xbox”กลายเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของผลิตภัณฑ์นี้

ในยุคที่เรียกได้ว่าเครื่องเล่นเกมส์ PlayStation ครองตลาดได้อย่างเหนียวแน่น Microsoft ก็ปล่อย Xbox ออกมาท้าชนกับทาง Sony ที่เป็นเจ้าตลาดในขณะนั้น  โดยได้เปิดตัวเครื่อง Xbox  อย่างเป็นทางการในปี 2002 ซึ่งถ้าเราเทียบด้านประสิทธิภาพนั้นถือว่ามีความใกล้เคียงกับ PS2 แต่เรื่องยอดขายนั้นกลับสู้เจ้าตลาดอย่าง Sony ไม่ได้เลย

บิลล์ เกตส์ เปิดตัว Microsoft Xbox รุ่นแรก ลุยสู่ธุรกิจบันเทิงแบบดิจิตอลเต็มตัว
บิลล์ เกตส์ เปิดตัว Microsoft Xbox รุ่นแรก ลุยสู่ธุรกิจบันเทิงแบบดิจิตอลเต็มตัว

Microsoft นั้นยอมขายเครื่องแบบขาดทุนด้วยซ้ำ แล้วมาเอากำไรจากค่าธรรมเนียมของผู้จำหน่ายเกมส์แทน ซึ่งคล้าย ๆ กับ Sony ที่การขายฮาร์ดแวร์ในธุรกิจเครื่องเล่นวีดีโอเกมนั้นจะขาดทุนอย่างแน่นอน เพราะกำไรมันอยู่ที่ Sofware ต่างหาก 

มันเป็นการวางกลยุทธ์ของทั้ง เกตส์ และ บอลเมอร์ ที่มีการวางให้ Microsoft มีการเข้าถึงผู้บริโภคผ่านอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีของ PC ซึ่ง เป็นการมองที่ขาดมาก เพราะ โลกนี้มีผู้บริโภคมากกว่าธุรกิจที่ Microsoft กำลัง Focus อยู่ และตลาดของผู้บริโภคเป็นตลาดที่ใหญ่โตมหาศาลกว่าตลาดธุรกิจมาก และทำการนำร่องโดยยอมขาดทุนหลายพันล้านดอลลาร์ด้วย XBox

ทั้งเกตส์และ บอลเมอร์นั้น มองไปที่ตลาดที่เป็นการผสานการทำงานกัน ระหว่าง Hardware และ Software ที่อยู่รอบ ๆ บ้าน ซึ่ง Microsoft มองไปที่ใจกลางห้องนั่งเล่นของทุกบ้าน ต้องมี Service และ บริการของ Microsoft เป็นศูนย์กลาง คล้าย ๆ กับ แนวคิด ดิจิตอลฮับ ของ Apple นั่นเอง แต่ Microsoft นั้นจะโฟกัสไปที่ความบันเทิงภายในห้องนั่งเล่นมากกว่า ผ่านการนำร่องด้วย XBox

เมื่อเข้าสู่ยุคปี 2000 เราจะเห็นได้ว่า แนวคิดของ Microsoft และ Apple นั้นเริ่มเข้ามาคล้ายคลึงกันในเรื่องการปฏิวัติความบันเทิงแบบดิจิตอล โดย Apple นั้นเลือกดนตรี สร้าง iPod ขึ้นมาเพื่อเป็นสินค้า Consumer Product ส่วน Microsoft นั้นจะเน้นความบันเทิงภายในบ้านใน Concept ของ Digital Home และได้เลือกสร้างเครื่องเล่นวีดีโอเกมส์อย่าง Xbox ขึ้นมา แน่นอนว่ามันต้องมีการ Conflict เกิดขึ้นระหว่างสองยักษ์ใหญ่อย่างแน่นอน เพราะความคล้ายคลึงกันของวิสัยทัศน์ใหม่ในยุคหลังปี 2000 แล้วการปะทะกันจริง ๆ มันจะเกิดขึ้นตอนไหน เพราะต่างฝ่าย ต่างมองไปที่สินค้า Consumer Product เหมือน ๆ กัน โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 5 : Music Revolution