ประวัติ Peter Thiel สุดยอดนักลงทุนแห่ง Silicon Valley

Peter Thiel นั้นเกิดที่ประเทศเยอรมนี ที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต และหลังจากใช้ชีวิตในประเทศบ้านเกิดอย่างเยอรมนีได้เพียง 1 ปี เขาก็ต้องถูกพ่อแม่หอบหิ้วย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา และเนื่องจากสาเหตุหลักที่พ่อเขานั้นเป็นวิศวกรเคมี ทำให้เขาต้องย้ายตามพ่อไปอยู่ที่ แอฟริกา อยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งทำให้เขาต้องย้ายโรงเรียนบ่อยถึง 7 ครั้งในช่วงวัยเยาว์

ในขณะที่เด็กคนอื่น ๆ กำลังสนุกสนานกับการใช้ชีวิตในวันเด็ก เขาต้องมีการปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่อยู่ตลอดเวลาในช่วงแรกของชีวิต จนในที่สุด ครอบครัวของเขาก้ได้ย้ายมาลงหลักปักฐานที่สหรัฐอเมริกาอย่างถาวรเมื่อเขามีอายุครบ 10 ขวบในรัฐแคลิฟอร์เนีย

หลังจากจบการศึกษาในชั้นมัธยมที่อเมริกา เขาก็ได้เข้าศึกษาต่อปริญญาตรี ในสาขา ปรัชญา และศึกษาต่อในระดับปริญญาโทในด้านนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Stanford University 

ชีวิตของ Thiel นั้นผ่านงานมาอย่างโชกโชน ทั้งงานด้านเสมียนในศาลฏีกา งานด้านกฏหมายในสำนักงาน  Sullivan & Cromwell ในเมืองนิวยอร์ก และเริ่มหันมาสนใจเรื่องการเงิน โดยย้ายมาทำงานเป็นนักเทรดอนุพันธ์ทางการเงิน เครื่องมือทางการเงินรูปแบบใหม่ ที่ Credit Suisse แต่เหมือนกับเป็นการค้นหาชีวิตว่าเขาชอบทำอะไรกันแน่ ทั้งที่ผ่านงานมาหลายรูปแบบ แต่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตอบโจทย์กับชีวิตเขาเลยด้วยซ้ำ

ในวัย 30 ปี เขาได้ตัดสินใจเดินทางกลับมายังแคลิฟอร์เนีย ในขณะนั้น อินเตอร์เน็ตกำลังเติบโตอย่างบ้าคลั่ง เริ่มมีบริการต่าง ๆ ขึ้นไปออนไลน์บนอินเตอร์เน็ตจำนวนมาก ทำให้ Thiel เห็นถึง Trend ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับยุคของอินเตอร์เน็ต

Thiel จึงตัดสินใจครั้งสำคัญว่าจะตกขบวนเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตครั้งนี้ไม่ได้ สิ่งที่เขาตามหามานาน แสนนาน ก็คือเจ้าอินเตอร์เน็ตนี่เอง เขาจึงได้ระดมทุนจากเพื่อน ๆ และครวบครัวและญาติพี่น้อง ได้เงินมากว่า 1 ล้านเหรียญเพื่อเป็นทุนตั้งต้นในการก่อตั้ง Thiel Capital Management บริษัทที่จะเน้นการลงทุนด้านบริการที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต

Thiel ได้ทดลองกับโครงการต่าง ๆ มากมาย ที่จะทำประโยชน์หรือหารายได้ผ่านอินเตอร์เน็ต แต่ผ่านไป 2 ปีแทบจะไม่มีโครงการไหนสำเร็จเลยเสียด้วยซ้ำ ในปี 1999 เขากับเพื่อนจึงได้ตัดสินใจเปิดบริษัทซอฟต์แวร์ในชื่อ Confinity ขึ้น โดยผลิตภัณฑ์แรกที่ทำการพัฒนาขึ้นมาชื่อว่า Fieldlink ซึ่งเป็นนวัตกรรมการชำระเงินผ่านเครื่อง Palm Pilot 

FieldLink นวัตกรรมการชำระเงินผ่านเครื่อง Palm
FieldLink นวัตกรรมการชำระเงินผ่านเครื่อง Palm

และในปีเดียวกันนั้นเองที่เขาเริ่มเห็นตลาดบางอย่างของการชำระเงินในรูปแบบออนไลน์ ซึ่งในยุคนั้นการชำระด้วย Credit Card นั้นแทบจะเป็นบริการหลักที่ใช้ในการชำระเงินแบบออนไลน์สำหรับชาวอเมริกัน Thiel อยากสร้างทางเลือกอื่นให้กับผู้บริโภค

เขามองไปที่ Digital Wallet ที่จะเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค ซึ่งต้องเป็นบริการที่มีความปลอดภัยมีการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อไม่ให้โดนโจรกรรมได้ง่าย และเขาก็ได้สร้างบริการ paypal ขึ้นมาได้สำเร็จในที่สุด 

และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ก็ได้เกิดคู่แข่งที่สำคัญ สตาร์ทอัพ หน้าใหม่ ที่นำโดย Elon Musk ที่ได้เปิดบริการอย่าง X.com เข้ามาแข่งกับ paypal โดยตรง มันเป็นสงครามที่ดุเดือด ใครที่เป็นฝ่ายชนะ จะได้เขียนประวัติศาสตร์การปฏวัติอุตสาหกรรมทางด้านการเงินแต่เพียงผู้เดียว

ความได้เปรียบของ paypal ของ Thiel  คือ paypal นั้นได้ติดตั้งในเว๊บไวต์ประมูลชื่อดังอย่าง ebay ได้แล้วในขณะนั้น แต่ Musk ที่ชอบการแข่งขันอยู่แล้วก็ ดำเนินกลยุทธ์ทุกวิธีเพื่อไม่ยอมแพ้ เขาแทบจะทำงาน 24 ชม.ต่อวันในช่วงเวลาดังกล่าว

แต่พวกเขาก็แข่งกันได้เพียงไม่นาน เพราะขืนแข่งต่อไปดูเหมือน จะตายกันไปข้างหนึ่งก่อน ในปี 2000 พวกเขาหันมารวมพลังกัน ตอนนั้น paypal ของ Peter Thiel ดูเหมือนเงินใกล้จะหมดแล้วด้วยซ้ำ ส่วน Musk นั้นยังมีเงินให้ผลาญอีกมากมาย 

ดังนั้น Musk จึงเป็นฝ่าย ถือไพ่เหนือกว่าในดีล นี้ เขากลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และ ขอคง x.com ไว้ตามเดิม และยังได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนเพิ่มอีกกว่า 100 ล้านเหรียญ จากกลุ่มลงทุนด้านการเงิน

แต่ปัญหาใหญ่ในการรวมบริษัท ก็คือ วัฒนธรรมที่แตกต่าง แม้กระทั่ง เทคโนโลยีที่แทบจะต่างกันคนละขั้ว confinity นั้นใช้ open source อย่างลินุกซ์ ส่วน x.com ของ Musk ขับเคลื่อนโดย Windows Server ซึ่งความแตกหักนี้ทำให้ Peter Thiel ขอลาออก และ ทิ้งให้ Musk บริหารบริษัท ในซากปรักหักพังนี้ต่อ

X.com รวมกับ Paypal เป็นบริการเดียว

ปัญหาใหญ่อีกอย่างก็คือ เมื่อผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือน X.com จะไม่สามารถรองรับการเติบโตดังกล่าวได้ ทำให้ไซต์ ล่มอยู่บ่อย ๆ ซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องดีเลยสำหรับบริการทางด้านการเงินที่ลูกค้าตั้งความหวังไว้สูง

และมันได้เกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจครั้งประวัติศาสตร์ของซิลิกอน วัลเลย์ ขึ้น เมื่อเหล่าพนักงาน X.com กลุ่มหนึ่งได้รวมกลุ่มกันเพื่อคิดหาวิธีที่จะให้ Musk ออกไป และตัดสินใจลงมือลับหลัง ในตอนที่ Musk  กำลังเดินทางไปฮันนีมูน ซึ่งเมื่อ Musk รู้ก็ได้รีบขึ้นเครื่องกลับมาทันที

แม้จะพยายามตอบโต้กลับในช่วงแรก ๆ ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าเหล่ากรรมการได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว และดูเหมือน Musk ก็จะยอมรับกับสิ่งที่เกิดแต่โดยดี และพร้อมที่จะยอมถอยเพื่อให้บริษัทก้าวไปข้างหน้า ได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง

และมันทำให้อิทธิพลของ Musk ต่อ X.com นั้นลดลงไปอย่างรวดเร็ว ในเดือน มิถุนายน ปี 2001 X.com ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็น paypal.com แทน และ Peter Thiel กลับมาเป็น CEO ของบริษัทอีกครั้ง

และสุดท้ายก็เป็น Peter Thiel ที่นำพา paypal เข้าสู่ตลาดหุ้นได้สำเร็จในปี 2002 และถูกซื้อกิจการโดย ebay ในมูลค่ากว่า 1.5 พันล้านเหรียญ

หลังจากได้เงินมหาศาลจากการขาย paypal ให้กับ ebay เขาก็ได้เริ่มก่อตั้ง Clarium Captial Managment โดยเน้นการลงทุนใน ตลาดเงิน ตลาดทุน รวมถึงสินค้า commodities และประสบความสำเร็จอย่างสูง

จากนั้นเขาก็ได้หันมาตั้ง Palantir  ซึ่งเป็นบริษัทด้าน Cyber Security ขนาดใหญ่ ที่ CIA ให้การสนับสนุนกว่า 20 พันล้านเหรียญ โดยมีเป้าหมายเป็นบริษัที่จะให้บริการทำเหมืองข้อมูล ซึ่งจะใช้เป็นเทคโนโลยีด้านข่าวกรองและสอดส่อง คอยตรวจสอบและติดตามการฉ้อโกง

Palantir แม้จะไม่มีข่าวออกมามากนักเหมือน startup รายอื่น  ๆ แต่ตอนนี้ ได้เติบโตจนกลายมาเป็น Startup อันดับ 3 ของอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และไม่ได้มีเพียงลูกค้าเฉพาะภาครัฐเพียงเท่านั้น ยังให้บริการกับบริษัทเอกชนใหญ่ ๆ ใน Fortune 500 อีกด้วย

ความสำเร็จของ Peter Thiel ที่เป็นที่กล่าวถึงมากที่สุดคงเป็นเรื่องการเป็น Angel Investor ให้กับ facebook บริการ Social Network หน้าใหม่ในปี 2004 โดยเขาลงทุนก้อนแรกให้ facebook ไปกว่า 500,000 เหรียญ เพื่อแลกกับหุ้น 10.2% ในบริษัท และกลายมาเป็นหนึ่งในกรรมการบริษัทในที่สุด

Thiel ลงทุนในธุรกิจเกิดใหม่มากมาย หนึ่งในนั้นคือ Facebook ที่เขาเป็นคนให้เงินทุนก้อนแรก
Thiel ลงทุนในธุรกิจเกิดใหม่มากมาย หนึ่งในนั้นคือ Facebook ที่เขาเป็นคนให้เงินทุนก้อนแรก

และเมื่อ facebook สามารถเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ในปี 2012 นั้น ทำให้ facebook มีมูลค่าพุ่งสูงไปถึงกว่า 100,000 ล้านเหรียญ Thiel จึงได้ทำการเทขายหุ้นไปเกือบหมด ทำให้เขาก้าวเข้าไปติด 400 อันดับเศรษฐีของอเมริกาจากนิตยสาร Forbes ไปในที่สุด ด้วยทรัพย์สินในตอนนั้นกว่า 1,800 ล้านเหรียญ ซึ่งการรวยอย่างก้าวกระโดดนั้น น่าจะเกิดจากผลตอบแทนจากเม็ดเงินลงทุนก้อนแรกใน facebook ยุคตั้งไข่เพียง 500,000 เหรียญนั่นเอง

ประวัติการก่อตั้ง Linkedin Social Network สำหรับมืออาชีพ

Linkedin นั้นถูกก่อตั้งโดย Reid Hoffman ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่ม Founder Paypal ผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญในวงการดอทคอมของสหรัฐอเมริกาหลังยุคฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000 เป็นต้นมา

โดย Reid Hoffman นั้น เป็นคนที่ไม่ได้จบมาทางด้าน computer science โดยตรงแต่มีความชอบในเรื่องของ game มาตั้งแต่เด็ก ๆ โดยส่วนตัวนั้นของชอบ game แนว RPG  แต่เนื่องจากการที่ได้มาพบกับ Peter Thiel โดยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันที่ มหาวิทยาลัย Standford ก็ทำให้ Reid Hoffman หันเหชีวิตเข้ามาสู่การทำงานทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

ชีวิตการทำงานของเค้านั้นเริ่มต้นที่ apple computer โดยงานแรกที่เขาได้ทำนั้นเป็นการสร้าง eWorldซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานทางด้าน software ที่ใช้ทำงานที่เป็น social network แรก ๆ ของ apple ในยุคนั้นแต่ไม่ค่อย boom เท่าไหร่ และสุดท้ายได้ขายไปให้กับ AOL ในที่สุด

หลังจากออกจาก apple นั้นเขาก็ได้สร้าง online dating website ชื่อ socialnet.com ก่อนที่จะมามีปัญหากับผู้ร่วมทุนในภายหลังและได้ออกมา ซึ่งในช่วงนั้นทาง Peter Thiel นั้นได้เริ่มสร้างระบบ Payment Online ที่ชื่อ Confinity และเนื่องจากเขารู้จักกับ Peter Thiel อยู่แล้วนั้นจึงได้รับการชักชวนให้มาทำงานกับ Confinity

ในช่วงนั้นก็ได้มีการแข่งขันกันระหว่าง X.com ที่ถูกสร้างโดย Elon Musk และ Confinity ที่ก่อตั้งโดย Peter Thiel ซึ่งมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง และเป็นช่วงปลายก่อนที่จะเกิดฟองสบู่ดอทคอมแตกในยุคปี 2000

ซึ่งต่อมา Peter Thiel และ Elon Musk ก็ได้ตัดสินใจร่วมมือกันแทนที่จะแข่งกัน และรวมตัวกันใหม่ภายใต้ชื่อ Paypal.com และทำให้ทั้งคู่รอดพ้นยุคฟองสบู่ดอมคอมของสหรัฐอเมริกามาได้อย่างหวุดหวิด

Reid Hoffman นั้นถือเป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกขานในวงการเทคโนโลยีสหรัฐว่าเป็นกลุ่ม Paypal Mafia ซึ่งมีบทบาทที่สำคัญหลังจากยุคฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000  ซึ่งหลังจากตัดสินใจขาย Paypal ให้กับ Ebay ในช่วงปี 2002 แล้วนั้น ( มูลค่าประมาณ 1.5 พันล้านเหรียญ) ก็ทำให้เขาได้รับส่วนแบ่งเป็นจำนวนมากพอที่จะมาตั้งบริษัทใหม่ที่ใจเขาต้องการคือ Linkedin

Reid Hoffman เพื่อนสนิทของ Peter Thiel ที่ถูกมองเป็นหนึ่งใน paypal mafia
Reid Hoffman เพื่อนสนิทของ Peter Thiel ที่ถูกมองเป็นหนึ่งใน paypal mafia

เนื่องจากเป็นคนที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เมื่อทำการสร้าง Linkedin ซึ่งเขาให้สโลแกนของ Linkedin คือ Online social network for Professional ก็ถือได้ว่าเป็นจุดแตกต่างจาก social network อื่น ๆ ในสมัยนั้น โดยเน้นกลุ่มไปที่ลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนทำงานแทน จึงได้รับผลตอบรับจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก และทำให้สามารถขยายกิจการได้อย่างรวดเร็ว

โดยจุดประสงค์หลักของ Linkedin คือ อนุญาตให้ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนแล้ว สามารถสร้างรายการที่ติดต่อของผู้คนที่พวกเขารู้จักและเชื่อถือในการทำธุรกิจ ซึ่งผู้คนในรายการนี้เรียกว่า “Connections” โดยผู้ใช้สามารถเชิญใครก็ได้ (ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ลิงกต์อินหรือไม่ก็ตาม) เข้ามาเป็น connectionของพวกเขา ซึ่งประโยชน์ของ Connection เหล่านี้ ก็เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้รายการอันนี้ในการหางานหรือหาผู้ร่วมงานได้แบบง่าย ๆ นั่นเอง

โดย Linkedin มีรูปแบบการทำรายได้จากสามทางคือ การโฆษณา , Premium Subscribtion และ  Hiring solution for company ซึ่งก็คือรูปแบบการหาเงินจากบริษัทจัดหางานแบบเก่า แต่ linkedin แตกต่างตรงมีส่วนของการเป็น social network ทำให้แตกต่างจาก web หางานแบบเดิม ๆ ที่แข่งขันกันในตลาดอยู่ทำให้ได้ผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มคนทำงานทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน

ในช่วงปี 2008 เขาก็ได้ตัดสินใจปล่อยงานบริหารบริษัทให้กับ Jeff Weiner ที่ได้ย้ายมาจาก Yahoo เพื่อเข้ารับตำแหน่ง CEO ต่อจากเขา และ เขาก็เริ่มเข้าไปตั้งบริษัทด้านการลงทุนในบริษัทด้านเทคโนโนยี  คือ GreylockPartner ในปี 2009 เพื่อลงทุนในบริษัทเกิดใหม่เช่นเจริญรอยตามอดีตเพื่อนร่วมงานของเขาที่ paypal อย่าง peter thiel 

และในที่สุดในปี 2016 Microsoft ก็ได้ประกาศซื้อหุ้นของ LinkedIn  ด้วยมูลค่าสูงถึง 26.2 พันล้านเหรียญ  ซึ่งแน่นอนว่าเหตุผลที่ไมโครซอฟท์ทุ่มเม็ดเงินก้อนใหญ่มหาศาลขนาดนี้ ก็เพราะจำนวนผู้ใช้งานของ LinkedIn ซึ่งมีมากถึง 433 ล้านรายแล้วในขณะนั้น อีกทั้งยังมี Data มหาศาลของผู้ใช้งาน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ใช้ที่เป็นมืออาชีพที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับธุรกิจหลักของ Microsoft นั่นเอง

ซึ่งดีลดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากบอร์ดบริหารทั้งสองฝั่ง โดย Jeff Weiner จะดำรงตำแหน่ง CEO ของ LinkedIn ต่อไป แล้วทำงานรายงานตรงต่อ Satya Nadella ซีอีโอของไมโครซอฟท์

Linkedin ที่สุดท้ายได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ Microsoft
Linkedin ที่สุดท้ายได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ Microsoft

และจากเรื่องราวประสบการณ์ต่างๆ เหล่านี้ของ Reid Hoffman ที่ทำให้เขาได้กลายมาเป็นวิทยากรคอยสอนคนรุ่นใหม่ๆ ให้ตามโลกแห่งธุรกิจให้ทัน โดยในบทสัมภาษณ์หนึ่งเขาเคยได้กล่าวไว้ว่า “Hard work isn’t enough. And more work is never the real answer,” การขยันมากๆ นั้นไม่เพียงพอ และการทำงานหนักๆ นั้นก็ไม่ใช่คำตอบเช่นกัน

ซึ่งก็เปรียบเทียบเหมือนกับการที่คนพยายามขับรถขึ้นเนินสูงชัน แต่ไม่สามารถขึ้นได้ทั้งๆ ที่พยายามหลายรอบโดยที่ไม่เปลี่ยนวิธีการเลย ซึ่ง Reid Hoffman บอกว่าทุกๆครั้งที่เราทำอะไรพลาด เราก็ควรจะพยายามหาข้อแก้ไขที่คิดว่ามีประสิทธิภาพสูงสุด ใช้แรงน้อยที่สุด โดยให้คิดเสมอว่าแรงที่เราใช้นั้นมันเป็นสิ่งล้ำค่ามาก ๆ นั่นเองครับ

โดยในปัจจุบัน Reid Hoffman มีทรัพย์สินมากถึง 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.2 แสนล้านบาท และอยู่ในอันดับที่ 159 ของผู้ที่รวยที่สุดในโลกตามการจัดอันดับจาก Forbes

References : 
https://www.wikipedia.org/
https://about.linkedin.com/

Paypal Mafia ตอนที่ 10 : Reid Hoffman

Reid Hoffman นั้นเป็นเด็กที่คลั่งไคล้ในการเล่นวีดีโอเกมส์ มาตั้งแต่ยังเยาว์วัย สิ่งที่เขาเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นไม่เกี่ยวกับโลก digital เลยด้วยซ้ำ ซึ่งนั้นก็คือวิชาปรัชญา แต่เนื่องจากเขามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ชื่นชอบเรื่องคอมพิวเตอร์มากทำให้เขาได้ซีมซับเอาเรื่องเทคโนโลยีต่าง ๆ มาจากเพื่อนสนิทของเขานั่นเอง และทำให้ Reid หันเหชีวิตมาสนใจ และทำงานด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

งานแรกที่เขาทำเกี่ยวกับเทคโนโลยีนั้นเริ่มต้นที่ Apple Computer ในยุคที่ Apple เป็นเพียงบริษัทคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งเริ่มตั้งไข่เพียงเท่านั้น เขาไม่ได้ชอบงานที่นี่มากนัก เขาจึงตัดสินใจลาออก

หลังจากนั้นเขาก็ได้สร้างเว๊บไซต์ ที่ช่วยในการหาคู่คือ socialnet.com ก่อนที่เขาจะมีปัญหากับผู้ร่วมทุน จนทำให้เขาต้องลาออกอีกครั้งจากบริษัทที่ตัวเองสร้างขึ้นมา แต่เขาก็ไม่หยุดแค่นั้น เพราะเขามั่นใจแล้วว่าจะเดินในทางสายเทคโนโลยีอย่างแน่นอน

Socialnet.com บริการแรกที่ Reid นั้นได้สร้างขึ้นมา
Socialnet.com บริการแรกที่ Reid นั้นได้สร้างขึ้นมา

เขาได้มาร่วมงานในบริษัท Online Payment โดยการชักชวนของ Peter Thiel ซึ่งเป็น classmate ที่ Standford และได้ตั้งบริษัทConfinity สร้างบริการชำระเงินเพื่อปฏิรูปการชำระเงินออนไลน์ในชื่อ Paypal และในช่วงนั้นก็เป็นช่วงก่อนที่ฟองสบู่ดอทคอมกำลังจะแตกในยุคปี 2000

เขากับ Peter Thiel ได้จับมือร่วมกับ Elon Musk ที่เป็นคู่แข่งในการสร้างบริการเดียวกันอย่าง X.com ในช่วงก่อนหน้า ซึ่งที่ Paypal นั้นเขาได้รับตำแหน่ง COO (Chief Operating Officer) ดูแลงานสำคัญหลาย ๆ อย่าง ที่่ทำให้ Paypal สามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เขาเป็นหนึ่งใน Keyman ของ Paypal ที่พาบริษัทให้รอดพ้นยุคฟองสบู่มาได้อย่างหวุดหวิด ซึ่งหลังจากผ่านวิกฤติดอทคอมมา เพียงไม่นาน Paypal ก็ถูกขายให้กับ Ebay ทำให้เขามีเงินทุนในการสร้างฝันของเขาให้เป็นจริงได้ ซึ่งก็คือ LinkedIn นี่เอง

เนื่องจากเป็นคนที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เมื่อทำการสร้าง Linkedin ซึ่งเขาให้สโลแกนของ Linkedin คือ Online social network for Professional ก็ถือได้ว่าเป็นจุดแตกต่างจาก social network อื่น ๆ ในสมัยนั้น โดยเน้นกลุ่มไปที่ลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนทำงานแทน จึงได้รับผลตอบรับจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก และทำให้สามารถขยายกิจการได้อย่างรวดเร็ว

LinkedIn Social Network สำหรับมืออาชีพ ผลงานชิ้นโบว์แดงของ Reid Hoffman
LinkedIn Social Network สำหรับมืออาชีพ ผลงานชิ้นโบว์แดงของ Reid Hoffman

โดยมี รูปแบบการทำรายได้จากสามทางคือ การโฆษณา , Premium Subscribtion และ  Hiring solution for company ซึ่งก็คือรูปแบบการหาเงินจากบริษัทจัดหางานแบบเก่า แต่ linkedin แตกต่างตรงมีส่วนของการเป็น social network ทำให้แตกต่างจาก web หางานแบบเดิม ๆ ที่แข่งขันกันในตลาดอยู่ทำให้ได้ผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มคนทำงานทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน

ในช่วงปี 2008 เขาก็ได้ตัดสินใจปล่อยงานบริหารบริษัทให้กับ Jeff Weiner ที่ได้ย้ายมาจาก Yahoo เพื่อเข้ารับตำแหน่ง CEO ต่อจากเขา และ เขาก็เริ่มเข้าไปตั้งบริษัทด้านการลงทุนในบริษัทด้านเทคโนโนยี  คือ GreylockPartner ในปี 2009 เพื่อลงทุนในบริษัทเกิดใหม่เช่นเจริญรอยตามอดีตเพื่อนร่วมงานของเขาที่ paypal อย่าง peter thiel ซึ่งจะทำให้กลุ่ม Paypal Mafia นั้นน่าจะมีบทบาทที่สำคัญกับบริษัทดอมคอมของอเมริการในอนาคตต่อจากนี้ไปนั่นเอง

–> อ่านตอนที่ 11 : Max Levchin

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Jawed Karim *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

ประวัติ Elon Musk ตอนที่ 7 : Joining the Mafia

หลังจากขาย Zip2 ให้กับ คอมแพค ได้สำเร็จ มัสก์ ก็กลายเป็นเศรษฐีย่อม ๆ ทันที มันเป็นความสำเร็จในการทำธุรกิจครั้งแรก มันมาด้วยช่วงจังหวะ และโอกาสที่เหมาะสม สำหรับเขาเป็นอย่างมากสำหรับธุรกิจแรกอย่าง Zip2 แต่ตอนนี้เขากำลังมองหาธุรกิจใหม่ ที่เป็นอุตสาหกรรมที่มีเงินมหาศาล ซึ่งธุรกิจนั้นก็คือ ธนาคาร ซึ่งมัสก์มองว่า เหล่าพวกนายธนาคารทังหลายนั้น รวย แต่ โง่ !!!

แล้วแนวคิดเรื่องการตั้งธนาคารบนอินเตอร์เน็ต มันมาจากไหน? ก็ต้องบอกว่า มัสก์นั้นเคยฝึกงานที่ ธนาคารโนวาสโกเทีย ซึ่งในตอนนั้น เขาได้สะดุดถึงโอกาสทางธุรกิจ แต่เขาก็พยายามบอกเรื่องดังกล่าวกับเหล่าผู้บริหารแต่ไม่มีใครสนใจความคิดเขา 

แต่มันเริ่มตกผลึกจริง ๆ จัง ๆ ก็ตอนที่มัสก์ นั้นไปฝึกงานที่สถานบันวิจัย Pinnacle Research ในปี 1995 ที่ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ ระดับ อัจฉริยะอยู่เต็มไปหมด มัสก์ พยายามที่จะนำเสนอ ไอเดียการชำระเงินในระบบออนไลน์ผ่าน internet 

Pinnacle Research ที่เต็มไปด้วยนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ
Pinnacle Research ที่เต็มไปด้วยนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ

แต่ตอนนั้น แทบจะไม่มีใครมาสนับสนุนแนวความคิดนี้ ความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ใครจะบ้ามาจ่ายเงินผ่าน internet เงินดิจิตอล มันเป็นความเพ้อฝัน ซึ่งในตอนนั้น amazon.com ก็เริ่มที่จะให้ชำระเงินได้ผ่านออนไลน์ แต่ การแจ้งบัตรเครดิตนั้นก็ยังผ่านระบบโทรศัพท์อยู่ดี ยังไม่มีใครกล้าที่จะให้ข้อมูลบัตรเครดิตไปยังโลกออนไลน์

แต่ความคิดของมัสก์ นั้นไปไกลมาก เขาถึงขั้นที่จะสร้างสถาบันการเงินแบบออนไลน์เลยด้วยซ้ำ มีบริการทุกอย่างครอบคลุมเหมือนกับธนาคารสาขาปรกตินั่นเอง แต่ปัญหาใหญ่ของแนวคิดมัสก์ คือ กฏระเบียบต่าง ๆ ที่คอยควบคุมวงการการเงินและธนาคารของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่โบราณคร่ำครึ

แต่มันไม่ได้ทำให้มัสก์ ย่อท้อแต่อย่างใด ในช่วงเดียวกับที่ขาย Zip2 นั้นเขาก็ได้เตรียมเปิดบริษัททางด้านการเงินใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว และชักชวนเพื่อนร่วมงานที่ Zip2 รวมถึงเพื่อนสมัยฝึกงานในธนาคารโนวาสโกเทีย มาร่วมกันสร้างบริษัท X.com 

แถมยังได้บุคคลที่มีประสบการณ์ด้านการเงินอย่าง แฮร์ริส ฟริคเคอร์ และ คริสโตเฟอร์ เพย์น ที่นำความรู้เรื่องกลไกในโลกธนาคารมาให้กับ X.com ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่มองเห็นอย่างเดียวกันคือ การต้องปฏิวัติอุตสาหกรรมธนาคาร ที่มีมากว่าหลายร้อยปี โดยใช้ อินเตอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์ให้จงได้

X.com บริการที่จะมาปฏิวัติวงการการเงิน
X.com บริการที่จะมาปฏิวัติวงการการเงิน

แต่การเริ่มต้นก็ไม่ได้หอมหวนอย่างที่คิด เพราะเพียงแค่ 5 เดือนแรก มัสก์ กับ ฟริคเคอร์ ก็เริ่มมีปัญหากัน ฟริคเคอร์ต้องการยึดอำนาจใน X.com และต้องการเป็น CEO และคนอย่างมัสก์ ก็ไม่เคยยอมใครอยู่แล้ว ทำให้ทั้งสองแตกหักกันอย่างรวดเร็ว ฟริคเคอร์ คนที่สำคัญมีความรู้ด้านโลกการเงินต้องเดินจากไป

ปัญหาใหญ่ของ X.com มันอยู่ที่ข้อกฏหมาย ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้ X.com ได้เกิด แต่มัสก์ ก็ได้ว่าจ้างทีมงานมืออาชีพ เพิ่มขึ้น รวมถึงเร่งเหล่าทีมวิศวกรให้พัฒนาซอฟท์แวร์ให้เส็ดเร็วที่สุด

และในไม่กี่สัปดาห์ X.com เวอร์ชั่นแรก ก็พร้อมปล่อยออกไปให้โลกได้ยลโฉมเสียที รวมถึงข้อกฏหมายต่าง  ๆ มัสก์ก็ได้ว่าจ้างเหล่านักกฏหมายมืออาชีพ มาจัดการได้อย่างเรียบร้อย และมันก็พร้อมออนไลน์ครั้งแรกในช่วงเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้าในปี 1999

และเพื่อให้ลูกค้าเข้ามาใช้งานมากที่สุด มัสก์ นั้นได้จัดโปรโมชั่น เต็มที่เพื่อ โปรโมต X.com ให้ติดตลาดเร็วที่สุด เขาแจกเงิน 20 เหรียญ เพียงแค่คนสมัครมาใช้บริการ รวมถึงแจกอีก 10 เหรียญเพียงแค่แนะนำต่อให้คนรู้จักได้ใช้

เรียกได้ว่า บริการ X.com มันเป็นการปฏิวัติวงการการเงินของอเมริกาเลยก็ว่าได้ เขากำจัดค่าธรรมเนียม ที่เดิมต้องจ่ายให้การทำธุรกรรมต่าง ๆ ออกไปทั้งสิ้น เพื่อดึงดูดใจคนให้มาใช้งานให้มากที่สุด 

นวัตกรรมที่เด่นที่สุดของ X.com คือ การจ่ายเงินแบบบุคคลต่อบุคคล ซึ่งทำได้เพียงง่ายได้เพีงแค่ใส่ email ของผู้ที่ต้องการส่งเงินไปในเว๊บไซต์ และสามารถทำได้โดยการคลิกเมาส์เพียงไม่กี่ครั้ง เงินก็ไปถึงคนที่คุณรักได้แล้ว

แต่แค่เพียงไม่นาน ก็เกิดคู่แข่งที่สำคัญ สตาร์ทอัพ หน้าใหม่ที่ชื่อ Confinity ที่นำโดย ปีเตอร์ ธีล ที่ได้เปิดบริการอย่าง paypal เข้ามาแข่งกับ X.com โดยตรง มันเป็นสงครามที่ดุเดือด ใครที่เป็นฝ่ายชนะ จะได้เขียนประวัติศาสตร์การปฏวัติอุตสาหกรรมทางด้านการเงินแต่เพียงผู้เดียว

ปีเตอร์ ธีล ที่สร้าง paypal มาเป็นคู่แข่ง x.com ของมัสก์โดยตรง
ปีเตอร์ ธีล ที่สร้าง paypal มาเป็นคู่แข่ง x.com ของมัสก์โดยตรง

ความได้เปรียบของ paypal ของปีเตอร์ ธีล คือ paypal นั้นได้ติดตั้งในเว๊บไวต์ประมูลชื่อดังอย่าง ebay ได้แล้วในขณะนั้น แต่มัสก์ที่ชอบการแข่งขันอยู่แล้วก็ ดำเนินกลยุทธ์ทุกวิธีเพื่อไม่ยอมแพ้ เขาแทบจะทำงาน 24 ชม.ต่อวันในช่วงเวลาดังกล่าว

แต่พวกเขาก็แข่งกันได้เพียงไม่นาน เพราะขืนแข่งต่อไปดูเหมือน จะตายกันไปข้างหนึ่งก่อน ในปี 2000 พวกเขาหันมารวมพลังกัน ตอนนั้น paypal ของปีเตอร์ ธีล ดูเหมือนเงินใกล้จะหมดแล้วด้วยซ้ำ ส่วนมัสก์นั้นยังมีเงินให้ผลาญอีกมากมาย 

ดังนั้น มัสก์ จึงเป็นฝ่าย ถือไพ่เหนือกว่าในดีล นี้ เขากลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และ ขอคง x.com ไว้ตามเดิม และยังได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนเพิ่มอีกกว่า 100 ล้านเหรียญ จากกลุ่มลงทุนด้านการเงิน

รวมกันเป็นหนึ่งเหลือเพียง x.com ในช่วงแรกของการควบรวม
รวมกันเป็นหนึ่งเหลือเพียง x.com ในช่วงแรกของการควบรวม

แต่ปัญหาใหญ่ในการรวมบริษัท ก็คือ วัฒนธรรมที่แตกต่าง แม้กระทั่ง เทคโนโลยีที่แทบจะต่างกันคนละขั้ว confinity นั้นใช้ open source อย่างลินุกซ์ ส่วน x.com ของมัสก์ ขับเคลื่อนโดย Windows Server ซึ่งความแตกหักนี้ทำให้ ปีเตอร์ ธีล ขอลาออก และ ทิ้งให้มัสก์ บริหารบริษัท ในซากปรักหักพังนี้ต่อ

ปัญหาใหญ๋อีกอย่างก็คือ เมื่อผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือน X.com จะไม่สามารถรองรับการเติบโตดังกล่าวได้ ทำให้ไซต์ ล่มอยู่บ่อย ๆ ซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องดีเลยสำหรับบริการทางด้านการเงินที่ลูกค้าตั้งความหวังไว้สูง

และมันได้เกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจครั้งประวัติศาสตร์ของซิลิกอน วัลเลย์ ขึ้น เมื่อเหล่าพนักงาน X.com กลุ่มหนึ่งได้รวมกลุ่มกันเพื่อคิดหาวิธีที่จะให้มัสก์ออกไป และตัดสินใจลงมือลับหลัง ในตอนที่มัสก์ กำลังเดินทางไปฮันนีมูน ซึ่งเมื่อมัสก์ รู้ก็ได้รีบขึ้นเครื่องกลับมาทันที

แม้จะพยายามตอบโต้กลับในช่วงแรก ๆ ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าเหล่ากรรมการได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว และดูเหมือนมัสก์ก็จะยอมรับกับสิ่งที่เกิดแต่โดยดี และพร้อมที่จะยอมถอยเพื่อให้บริษัทก้าวไปข้างหน้า ได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง

และมันทำให้อิทธิพลของมัสก์ต่อ X.com นั้นลดลงไปอย่างรวดเร็ว ในเดือน มิถุนายน ปี 2001 X.com ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็น paypal.com แทน และ ปีเตอร์ ธีล กลับมาเป็น CEO ของบริษัทอีกครั้ง

สุดท้าย ปีเตอร์ ธีล กลับมาเป็น CEO อีกครั้งและดัน Paypal กลับมา
สุดท้าย ปีเตอร์ ธีล กลับมาเป็น CEO อีกครั้งและดัน Paypal กลับมา

แต่มัสก์ นั้นโตขึ้นอีกขั้นแล้ว เขาอดทนกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดี เขายอมรับบทบามที่จะเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทและลงทุนต่อในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของ paypal และที่สำคัญเขาสนับสนุน ปีเตอร์ ธีล เต็มที่ในการขึ้นเป็น CEO ของบริษัท

และในที่สุด ผลตอบแทนของความพยายามครั้งที่ 2 ในการปฏิวัติวงการการเงินสหรัฐอเมริกาก็สัมฤทธิ์ผล ใน เดือนกรกฏาคม ปี 2002 ebay ได้เสนอซื้อ paypal ที่ 1,500 ล้านเหรียญ มัสก์ และคณะกรรมการจึงตกลงรับข้อเสนอ

สุดท้ายยักษ์ใหญ่อย่าง ebay ยื่นข้อเสนอซื้อ paypal ในที่สุด
สุดท้ายยักษ์ใหญ่อย่าง ebay ยื่นข้อเสนอซื้อ paypal ในที่สุด

ซึ่งดีลนี้ทำให้มัสก์กลายเป็นมหาเศรษฐีเต็มตัวเสียที เขาได้ส่วนแบ่งไปกว่า 250 ล้านเหรีญ และเงินจำนวนนี้ มันถึงเวลาที่เขาต้องล่าฝันต่อไป ฝันที่เค้าจะเปลี่ยนโลกอีกครั้ง แต่คราวนี้มันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด เท่าที่เขาเคยทำมา ฝันต่อไปของมัสก์ คืออะไร โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 8 : I don’t Need These Russians

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Sand Hill Road *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ประวัติ Reid Hoffman ผู้ก่อตั้ง Linkedin

ถ้าพูดถึง Linkedin นั้นก็คงจะต้องกล่าวถึง Reid Hoffman ผู้ก่อตั้งชื่อดัง ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่ม Founder Paypal ผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญในวงการดอทคอมของสหรัฐอเมริกาหลังยุคฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000

สำหรับประวัติของ Reid Hoffman นั้นเป็นคนที่ไม่ได้จบมาทางด้าน computer science โดยตรงแต่มีความชอบในเรื่องของ game มาตั้งแต่เด็ก ๆ โดยส่วนตัวนั้นของชอบ game แนว RPG  แต่เนื่องจากการที่ได้มาพบกับ Peter Thiel โดยเป็น classmate ที่ Standford นั้นก็ทำให้ Reid Hoffman หันเหชีวิตเข้ามาสู่การทำงานทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

ได้เจอ peter thiel ทำให้หันเหชีวิตมาสนใจ computer science

ได้เจอ peter thiel ทำให้หันเหชีวิตมาสนใจ computer science

ชีวิตการทำงานของเค้านั้นเริ่มต้นที่ apple computer โดยงานแรกที่เขาได้ทำนั้นเป็นการสร้าง eWorld ซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานทางด้าน software ที่ใช้ทำงานที่เป็น social network แรก ๆ ของ apple ในยุคนั้นแต่ไม่ค่อย boom เท่าไหร่ และสุดท้ายได้ขายไปให้กับ AOL ในที่สุด

หลังจากออกจาก apple นั้นเขาก็ได้สร้าง online dating website ชื่อ socialnet.com ก่อนที่จะมามีปัญหากับผู้ร่วมทุนในภายหลังและได้ออกมา ซึ่งในช่วงนั้นทาง Peter Thiel นั้นได้เริ่มสร้างระบบ Payment Online ที่ชื่อ Confinity และเนื่องจากเขารู้จักกับ Peter Thiel อยู่แล้วนั้นจึงได้รับการชักชวนให้มาทำงานกับ Confinity

ในช่วงนั้นก็ได้มีการแข่งขันกันระหว่าง X.com ที่ถูกสร้างโดย Elon Musk และ Confinity ที่ก่อตั้งโดย Peter Thiel ซึ่งมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง และเป็นช่วงปลายก่อนที่จะเกิดฟองสบู่ดอทคอมแตกในยุคปี 2000 ซึ่งต่อมา Peter Thiel และ Elon Musk ก็ได้ตัดสินใจร่วมมือกันแทนที่จะแข่งกัน และรวมตัวกันใหม่ภายใต้ชื่อ Paypal.com และทำให้ทั้งคู่รอดพ้นยุคฟองสบู่ดอมคอมของสหรัฐอเมริกามาได้อย่างหวุดหวิด

ร่วม x.com ของ elon musk

ร่วม x.com ของ elon musk

Reid Hoffman นั้นถือเป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกขานในวงการเทคโนโลยีสหรัฐว่าเป็นกลุ่ม Paypal Mafia ซึ่งมีบทบาทที่สำคัญหลังจากยุคฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000  ซึ่งหลังจากตัดสินใจขาย Paypal ให้กับ Ebay ในช่วงปี 2002 แล้วนั้น ( มูลค่าประมาณ 1.5 พันล้านเหรียญ) ก็ทำให้เขาได้รับส่วนแบ่งเป็นจำนวนมากพอที่จะมาตั้งบริษัทใหม่ที่ใจเขาต้องการคือ Linkedin

เนื่องจากเป็นคนที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เมื่อทำการสร้าง Linkedin ซึ่งเขาให้สโลแกนของ Linkedin คือ Online social network for Professional ก็ถือได้ว่าเป็นจุดแตกต่างจาก social network อื่น ๆ ในสมัยนั้น โดยเน้นกลุ่มไปที่ลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนทำงานแทน จึงได้รับผลตอบรับจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก และทำให้สามารถขยายกิจการได้อย่างรวดเร็ว

โดยมี รูปแบบการทำรายได้จากสามทางคือ การโฆษณา , Premium Subscribtion และ  Hiring solution for company ซึ่งก็คือรูปแบบการหาเงินจากบริษัทจัดหางานแบบเก่า แต่ linkedin แตกต่างตรงมีส่วนของการเป็น social network ทำให้แตกต่างจาก web หางานแบบเดิม ๆ ที่แข่งขันกันในตลาดอยู่ทำให้ได้ผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มคนทำงานทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน

ถึงจุดอิ่มตัวให้  Jeff Weiner จาก yahoo มาดูแล linkedin ต่อ

ถึงจุดอิ่มตัวให้ Jeff Weiner จาก yahoo มาดูแล linkedin ต่อ

ในช่วงปี 2008 เขาก็ได้ตัดสินใจปล่อยงานบริหารบริษัทให้กับ Jeff Weiner ที่ได้ย้ายมาจาก Yahoo เพื่อเข้ารับตำแหน่ง CEO ต่อจากเขา และ เขาก็เริ่มเข้าไปตั้งบริษัทด้านการลงทุนในบริษัทด้านเทคโนโนยี  คือ GreylockPartner ในปี 2009 เพื่อลงทุนในบริษัทเกิดใหม่เช่นเจริญรอยตามอดีตเพื่อนร่วมงานของเขาที่ paypal อย่าง peter thiel ซึ่งจะทำให้กลุ่ม Paypal Mafia นั้นน่าจะมีบทบาทที่สำคัญกับบริษัทดอมคอมของอเมริการในอนาคตต่อจากนี้ไปนั่นเอง

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol