รอยร้าวใน Facebook กับอนาคตของ Platform Social Network อันดับ 1

หลังจากข่าวการลาออกจากบริษัทของสองผู้ก่อตั้ง instragram อย่าง Kevin Systrom (CeO) และ Mike Krieger (CTO) ถือว่าเป็นข่าวใหญ่ของวงการ Social network เลยก็ว่าได้

จาก user ผู้ใช้งานเพียง 35 ล้านคนก่อนขายให้ facebook จนมาถึงวันนี้ instragram เติบโตจนเป็น platform social ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกไปแล้วมีผู้ใช้งานสูงถึงกว่า 1000 ล้านคน และจากพนักงาน 13 คนในยุคแรกเริ่ม ตอนนี้ได้กลายเป็นกว่าพันคน กระจายอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก

Instragram Co Founder

FILE PHOTO: Instagram founders Mike Krieger (L) and Kevin Systrom 

ถ้ามองในแง่ธุรกิจนั้น การเข้าซื้อ instragram เพียง 1 พันล้านเหรียญในปี 2012 ต้องถือว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของวิสัยทัศน์ของ Mark Zuckerberg เลยก็ว่าได้ ที่ซื้อมาได้ในราคาถูกเพียงแค่นี้ แต่อย่าลืมว่าการที่ instragram สามารถเติบโตได้เร็วขนาดนี้ ก็ต้องพึ่ง infrastructure พื้นฐานของ facebook ที่วางไว้อย่างดีทำให้สามรถ scale ให้ user ระดับพันล้านคนใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา

แต่หลังจากนโยบายที่เริ่มหารายได้กับ instragram นั้น ก็ทำให้ความ cool ของ instragram ตกลงไปกว่าเดิมมาก เนื่องจากมี model การหาเงินแบบเดียวกับ facebook คือ อาศัยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้เพื่อไปขายโฆษณา ซึ่ง การลาออกของ 2 ผู้ก่อตั้ง ก็ต้องมาคอยดูกันต่อไปว่า ก้าวต่อไปของ instragram จะเป็นอย่างไรหลังจากยุคผู้ก่อตั้งได้ออกไป

แรกเริ่มของการควบรวมกิจการกับ instragram นั้น Mark Zuckerberg ก็ไม่ได้มาก้าวก่ายการทำงานของ 2 ผู้ก่อตั้งซักเท่าไหร่ แต่เมื่อถึงเวลา Mark ก็ต้องหา model ธุรกิจเพื่อหารายได้คืน จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของ instragram ซึ่งก็เป็นไปได้ที่จะไปกระทบกับความรู้สึกของ 2 ผู้ก่อตั้ง ที่ในตอนนี้อาจจะไม่มีอำนาจเด็ดขาดเหมือนเดิมอีกต่อไป ซึ่งก็คงเริ่มจะไม่พอใจตั้งแต่กรณีของ ข้อมูลหลุดใน case ของ Cambridge Analytica ซึ่งทำให้ facebook เสียหายอย่างหนัก และส่งผลต่อ Brand Instragram ด้วยเนื่องจากเป็น Brand ลูกของ Facebook เพราะยังไงฐานข้อมูลต่าง ๆ ก็คงมีการ share กันอยู่แล้วระหว่าง facebook กับ instragram

ถึงแม้ทั้ง 2 ผู้ก่อตั้ง instragram จะกล่าวว่า เป็นการจากกันด้วยดีกับ facebook แต่สื่อหลายๆ  สื่อก็พยายามขุดคุ้ย ถึงปัญหาระหว่าง Mark Zuckerberg , Sheryl Sandberg กับ เหล่าผู้ก่อตั้งของบริษัทที่ถูก take over มาทั้ง instragram , whatsapp หรือแม้กระทั่ง occulus เอง

ตอนนี้ เหล่าผู้ก่อตั้ง brand ลูกทั้งหลายของ facebook ก็ต่างทยอยลาออกกันไปเกือบหมดแล้ว ซึ่งน่าจะมีปัญหาอะไรบางอย่างระหว่างกลุ่มผู้ก่อตั้งเหล่านี้กับ ทาง facebook อย่างแน่นอน โดยเฉพาะ ประเด็นในเรื่องข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ซึ่งเป็นเรื่อง sensitive อย่างมาก

การมาเปิดเผยกับสื่อล่าสุดของ Brian Acton ผู้ร่วมก่อตั้ง WhatsApp ที่ลาออกไปตั้งแต่เมื่อกันยายน ปี 2017 น่าจะเฉลยทุกอย่างได้อย่างดี ถึง ความเผด็จการของ Mark Zuckerberg

Brian Acton Whatsapp Co-Founder

Brian Acton Whatsapp Co-Founder

WhatsApp เดิมนั้น ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวกับลูกค้าเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งตรงข้ามกับ facebook อย่างสิ้นเชิง ที่ขายข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า เป็นรายได้หลักของบริษัท ซึ่ Acton นั้นได้เคยเสนอ model ธุรกิจเรื่อง การจำกัดการส่งข้อความกับ ผู้ใช้แทน และ เรียกเก็บเงินหากผู้ใช้มีการใช้งานเยอะ แทนที่การนำข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าไปหารายได้แบบที่ facebook ทำ

แต่แนวคิดนี้โดนปฏิเสธโดยสิ้นเชิงจากทั้ง Mark Zuckerberg รวมถึง Sherlyn Sandberg ซีโอโอ ของ Facebook โดยอ้างการ scale up ของธุรกิจที่เป็นไปได้ยากใน model แบบนี้ จนกระทั่งในปี 2016 นั้น ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ Acton ลาออก คือการแอบเปลี่ยน นโยบายความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ซึ่งคิดว่าส่วนนี้หลาย ๆ คนไม่ได้สนใจที่จะอ่านมันอยู่แล้ว ตอน install program ซึ่งการปรับเปลี่ยนนี้ ทำให้ facebook สามารถที่จะนำโมเดลของการโฆษณา ตามข้อมูลของผู้ใช้ได้แบบเดียวกับ facebook

ถ้าวิเคราะห์กันให้ดี platfrom chat กับ platform social นั้น มีข้อมูลที่แตกต่างกันสิ้นเชิง ในข้อมูล chat นั้นเรามีข้อมุลที่ Sensitive ที่เราใช้คุยกับคนที่เราไว้ใจอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเรื่องการเจ็บป่วยร้ายแรง หรือ เรื่องทางการเงิน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ ค่อนข้าง sensitive กว่าข้อมูลที่เราเผยแพร่ไปใน social เพราะมันเป็นการ chat แบบบุคคล ต่อ บุคคล ซึ่งหาก whatsapp เอาข้อมูลการ chat เหล่านี้ มาหากินต้องถือได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียวสำหรับผู้ใช้งาน

อาจจะมีผลทำให้ผู้ใช้งานหนีไปใช้ platform อื่นที่ปลอดภัยกว่าเลยก็ได้ เนื่องจากการเสียข้อมูลที่ sensitive เหล่านี้ไปให้ facebook ทำการวิเคราะห์นั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ เช่น เราอาจจะ chat กับพ่อแม่ แต่ไม่อยากบอกใครคนอื่นว่าเราตรวจเจอมะเร็ง แล้วอยู่ดี ๆ โฆษณา ศูนย์รักษามะเร็งโผล่มาใน app chat มันคงไม่น่าจะ happy เท่าไหร่สำหรับผู้ใช้งานใน app chat

หลังจากนี้ เราก็ต้องมาดูกันต่อไป ว่า facebook จะทำการรักษาระดับของความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน กับ model ธุรกิจของตัวเองอย่างไร เพราะดูจากท่าทีในช่วงหลัง ๆ facebook นั้นค่อนข้างเน้นไปทางการเติบโตทางรายได้อย่างชัดเจน ไม่ค่อยแคร์กับผู้ใช้งานซักเท่าไหร่ แม้ล่าสุด จะมาประกาศล้างบาง feed ใหม่โดยอ้างว่าทำให้ประสบการณ์ผู้ใช้งานดีขึ้น แต่หากดูรายได้ที่เติบโตอย่างสูงในไตรมาส ล่าสุด นั้นมันก้เฉลยแล้วว่า สิ่งที่ facebook ทำคือ บีบให้เหล่า publisher หรือ brand ไปจ่ายตังค์ลงโฆษณา เพิ่มขึ้นนั่นเอง และประสบการณ์ของ user ก็ไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด โฆษณายังมีมากเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง และนับวัน จะมีมากยิ่งขึ้น ในหลาย ๆ ส่วนที่ facebook ทำ ไมว่าจะเป็น stories , live , video , group , marketplace ทุกส่วนล้วนแต่ทำเงินให้ facebook ทั้งสิ้น

แต่เมื่อมันมากเกินไป หากถึงจุดหนึ่ง ที่มี startup รายเล็ก ๆ ซักรายที่มาปฏิวัติวงการ social ได้แบบที่ Mark เคยทำไว้ มันก็มีโอกาสเหมือนกัน ทีคนจะย้ายหนี facebook ไปเล่น platform อื่น เลยก็ได้ เพราะความ cool ของ facebook ในอดีต ตอนนี้มันได้ตายจากไปแล้ว เหลือเพียงแค่บริษัท ที่คอยหากินจากข้อมูลผู้ใช้งานเพียงอย่างเดียว

ถ้า Facebook ทำ Search Engine?

ต้องบอกว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจเลยทีเดียว ถ้าวันนึง facebook เกิดสร้าง search engine แบบที่ google ทำล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น สงครามการชิงเค้กของตลาดโฆษณา online นับถึงวันนี้ ก็ต้องบอกว่าดุเดือดเป็นอย่างมาก มีเพียงไม่กี่ platform หลักที่สามารถโกยรายได้จากโฆษณา online ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลิตภัณฑ์ของ facebook และ google แทบจะกินส่วนแบ่งการตลาดไปเกือบทั้งหมดเลยก็ว่าได้

ลองมาไล่ดูขุมกำลังหลักของทั้งสองบริษัทในตลาดโฆษณา online

1.Facebook

  • facebook social network + messenger
  • instragram

2.Google

  • google search
  • youtube

ศึกครั้งแรกระหว่าง google vs facebook

facebook และ google นั้นเคยประมือกันมาแล้วในศึก social network ที่ google ได้ส่งบริการ google+ เข้ามาแข่ง ซึ่งก็ต้องบอกว่าพ่ายแพ้ไปอย่างหมดรูป แทบจะไม่เหลือคนใช้บริการ google+ แล้วในตอนนี้ และคิดว่าไม่น่าจะสร้างรายได้ให้ google ได้อีกต่อไป ซึ่ง ต้องยอมรับว่า social network นั้น facebook แข็งแกร่งจริง ๆ มี features หลัก ๆ ที่โดนใจผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้ไม่หนีไปไหน แม้ว่าเกือบจะเพลี่ยงพล้ำในตอนแรกที่ google+ เปิดบริการ video call hangout แต่ facebook ก็ได้กองหนุนจากพี่ใหญ่อย่าง microsoft ที่ส่ง skype มาช่วยเหลือ facebook ได้ทันเวลา

Google Plus ที่ Google ส่งมาท้าทาย Facebook

Google Plus ที่ Google ส่งมาท้าทาย Facebook

ทำให้สามารถตีโต้กลับได้ไม่เสียฐานผู้ใช้ไปเท่าที่ควรหลังจากการเปิดตัวของ google+ จนสามารถกลับมาชนะอย่างเด็ดขาดได้อีกครั้ง และการเติบโตของ user ของ facebook นั้นก็เติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ จบแทบจะครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จ และทยอยแบ่งเค้กของตลาดโฆษณา online จาก google search ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของ google  มาเรื่อย ๆ

แม้มูลค่าตลาดจะสูงขึ้นก็ตาม ทำให้ต่างฝ่ายต่างเติบโต แต่ถ้ามองวิเคราะห์กันจริง ๆ แล้วนั้นจะพบว่า facebook เป็น platform ที่มาแย่งส่วนแบ่งของ google ขึ้นเรื่อย ๆ และออกบริการที่เสริม ที่เห็นชัดเจนว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ google เช่น facebook video และ facebook live ซึ่งมาแย่งฐานผู้ใช้งานจาก youtube โดยตรง

สงคราม search engine ระหว่าง google vs bing

ถ้าไม่นับในจีนนั้นต้องบอกว่าคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับ google มากที่สุดก็คงจะเป็น bing จาก Microsoft ที่เป็นบริษัททุนหนา สามารถทุ่มทุนในการสร้างบริการ bing ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทำให้ google นั้นพบศึกทั้งสองทาง ถ้ามองดี ๆ จะพบว่า microsoft และ facebook นั้นมี connection ที่เหนียวแน่นกันตั้งแต่ที่ microsoft เข้ามาถือหุ้น facebook ในช่วงแรกของการตั้ง facebook

สงคราม Search Engine ระหว่าง Google และ Bing

สงคราม Search Engine ระหว่าง Google และ Bing

ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นแผนการที่สุดยอดของ bill gates จริง ๆ ที่ใช้ facebook มาช่วยตัดกำลัง google ทำให้พบศึกสองทาง แต่อย่างไรก็ตามถ้าพูดถึงเรื่อง search engine แล้วนั้นต้องยอมรับว่า technology ของ google ก้าวไปไกลพอสมควร และทิ้งห่าง bing ไปค่อนข้างไกล ดูได้จากส่วนแบ่งการตลาดที่ google search แทบจะกินส่วนแบ่งกว่า 75% ของตลาด search engine รวม ซึ่งกินเค้กของตลาดโฆษณา online ในส่วนของ search engine แทบจะเบ็ดเสร็จ

ถ้า facebook เข้าสู่สงคราม search engine?

ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่เดาใจยากว่า facebook กำลังคิดจะทำอะไรต่อไปในอนาคต แต่ถ้าเราวิเคราะห์ถึงข้อมูลที่ facebook มีในมือนั้นต้องบอกว่าน่าสนใจไม่ใช่น้อยทั้งข้อมูลทางด้าน social, พฤติกรรมของ user ความชอบต่าง ๆ ของ user ในระบบ , ข้อมูลจากเหล่า publisher และ blogger รวมถึง page ต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อ โลก online เป็นอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่ง รวมถึงการสร้าง facebook instant article ที่ facebook ได้นำเอาข้อมูล text ต่าง ๆ ที่เหล่า blogger หรือ publisher ได้ส่งไป publish ใน facebook instant article นั้น ก็ถือเป็นข้อมูลที่สำคัญต่อการ index หากจะทำ search engine ขึ้นมาจริง ๆ ก็ถือว่า facebook มีข้อมูลเริ่มต้นมากพอสมควร

Instant Article บริการที่ facebook ส่งมาเพื่อเก็บข้อมูล

Instant Article บริการที่ facebook ส่งมาเพื่อเก็บข้อมูล

ต่างจาก bing ที่ต้องเริ่มจาก 0 ทำให้กว่าจะเข้าสู่ตลาดให้ผู้ใช้ยอมรับนั้นเป็นสิ่งที่ยากพอสมควร แตกต่างจาก facebook ที่มีข้อมูลในมือมหาศาล และหากทำ search engine นั้นจะทำให้เพิ่มจุดแข็งด้าน social ที่ google นั้นแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ ซึ่งอาจจะทำให้ผลการค้นหานั้นตรงความต้องการเรามากกว่าที่ google ทำก็อาจจะเป็นไปได้

ถ้ามองในเรื่องบุคคลากรนั้น ก็ต้องบอกว่า facebook มีไม่ได้ด้อยไปกว่าที่ google มีเลย และตอนนี้ถ้าพูดถึงความ cool ในการเข้าทำงานนั้น ก็ต้องบอกว่า facebook เป็นต่อ google อยู่ เพราะ google ในขณะนี้นั้น องค์กรเริ่มใหญ่เทอะทะ คล้าย ๆ กับ microsoft ในอดีต จะเห็นได้ว่าแม้ google จะมี product ที่หลากหลายก็จริง

แต่รายได้หลักก็มากจาก search engine แทบจะทั้งสิ้น แม้จะมีการ R&D ที่แข็งแกร่ง แต่ product ใหม่ ๆ ของ google ก็ยังไม่สามารถที่จะทำเงินได้ รวมถึง technology ชี้เป็นชี้ตายอย่าง AI นั้นก็คิดว่าทั้งสองมีบุคลากรที่มีความสามารถใกล้เคียงกัน ก็ต้องคอยดูว่า หาก facebook ทำ search engine ขึ้นมาจริง ๆ นั้น google จะตอบโต้อย่างไร แต่ที่แน่ ๆ นั้นต้องบอกว่า google ต้องเหนื่อยอย่างแน่นอน หาก facebook จะเข้าสู่ธุรกิจ search engine ขึ้นมาจริง ๆ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

Robots replacing Humans.The Evolution of Robots

ปัจจุบันหุ่นยนต์หรือ AI เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์เราเป็นอย่างมาก โดยเป็นการเข้ามาแทกซึมวิถีชิวิตประจำวันของเราอย่างไม่รู้ตัว ทั้งการช่วยเหลืองานที่บ้าน รวมถึงการช่วยเหลือในการใช้ชีวิตประจำวันหลาย ๆ อย่างของเราก็มีการเปลี่ยนไป ซึ่งข้อได้เปรียบสำคัญของหุ่นยนต์หรือ AI คือทำงานโดยอัติโนมัติ และไม่มีการเหน็ดเหนื่อย และไม่มีภาวะทางด้านอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ช่วยมนุษย์เราให้ใช้ชีวิตได้อย่างง่ายขึ้น

หลาย ๆ ธุรกิจ หลาย ๆ องค์กร เริ่มมีการใช้ AI ในการสร้างความแตกต่างทางด้านธุรกิจ อย่างการเปิดตัว SIRI ของ apple  นั้นก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการนำ AI เข้ามาช่วยเหลือ รวมถึงเพิ่มบทบาทต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน เพราะมีการผูกกับมือถือ ซึ่งเราใช้ติดตัวอยู่เป็นประจำวันอยู่แล้ว ซึ่งต่างจากเมื่อก่อน ที่เราจะเห็นหุ่นยนต์ ในงาน scale ใหญ่ ๆ เช่น อุตสาหกรรม รถยนต์ การต่อเรือ หรือ หลาย ๆ อุตสาหกรรม ที่ใช้ robots ในการผลิต เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์

และเนื่องจากในยุคของ Information Revolution เป็นปัจจัยเร่งให้ AI เริ่มฉลาดขึ้น เพราะส่วนหนึ่งของ AI นั้นผ่านการ training จากข้อมูลมหาศาลในปัจจุบัน ที่เราใช้กันอยู่ องค์กรใหญ่ ๆ อย่าง facebook , google หรือ apple นั้นล้วนแล้วแต่ใช้ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อช่วยพัฒนา AI ให้มีความฉลาดได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นโดยการอาศัยการเก็บข้อมูลจากผู้ใช้ทั่วโลก

เราเคยสงสัยกันหรือไม่ว่าทำไม facebook หรือ google นั้นรู้ใจเรา หรือ เดาใจได้ ว่าเรากำลังต้องการอะไร หรือ ต้องการจะซื้ออะไร ซึ่งนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของความฉลาดจาก AI ที่อาศัยข้อมูลของเราไปวิเคราะห์ และทำนายความต้องการของเรา เราอาจจะมองได้สองมุม คือ อย่างแรกอาจจะเป็นตัวช่วยเราในการตัดสินใจต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น แต่ะ หากมองในแง่ร้าย นั้นก็คือภัยคุกคามความเป็นส่วนตัวของเราเหมือนกัน เพราะ ข้อมูลของเราทุกอย่างนั้นถุกนำไปวิเคราะห์ผ่าน AI  ซึ่งบางข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลที่เป็นข้อมูลที่ sensitve มาก ๆ อย่างข้อมูลการ chat ซึ่งเรานั้นแทบจะไม่มีความลับใด ๆ ในการ chat กับคนที่เราไว้ใจ

แต่เราจะไว้ใจ platform ที่เราใช้ได้หรือไม่  ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม facebook ถึงได้ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้อ whatsapp ทั้งที่เป็นบริษัทที่ยังไม่สามารถทำกำไรได้ด้วยซ้ำ  ซึ่งเราอาจจะเล่น social เพื่อแสดงตัวตนอีกอย่างหนึ่งเพื่อให้เพื่อนๆ ได้รับรู้ อาจะโชว์แต่ข้อมูลที่ดี ๆ เรื่องร้าย ๆ เราก็คงไม่เอามาลง social กันหรอก แต่ต่างจากข้อมูล chat ที่เป็นข้อมูลทุกอย่างของเราเลยก็ว่าได้ แล้วเราจะไว้ใจ platform ต่าง ๆ เหล่านี้ได้อย่างไรว่าไม่นำข้อมูลเหล่านี้ไปหาประโยชน์ เนื่องจากเค้าก็ต้องใช้เงินมากมาย เพื่อให้ได้ข้อมูลเหล่านี้ไป

แล้วในยุคต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้ อะไรจะเกิดขึ้นกับเรา ยิ่งข้อมูลมากมายมหาศาลถูกนำไปประมวลผลอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ AI ฉลาดจนสามารถเก่งกว่ามนุษย์ได้ ซึ่งจะกระทบกับตำแหน่งการงานของหลายอาชีพอย่างแน่นอนในเร็ววันนี้ โดยเฉพาะอาชีพที่อาศัยการเรียนรู้และจดจำ เพื่อมาวิเคราะห์ ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับ AI  ที่ส่วนนึงนั้นใช้ Machine Learning ในการเรียนรู้และจดจำ เพื่อให้สามารถคิดได้เหมือนกับมนุษย์ หรือใกล้เคียงกับมนุษย์เรามากที่สุด เราคงไม่ได้เห็น robots แบบในหนังที่เป็นหุ่นยนต์จริง ๆ มาทดแทนมนุษย์ แต่ จะเป็น AI ที่ใช้มันสมองมาทดแทนการทำงานของมนุษย์แทน

ปัจจุบันเราเริ่มเห็นการพัฒนาการที่น่าสนใจในหลาย ๆ Labs ที่วิจัยเกี่ยวกับหุ่นยนต์หรือ AI

โครงการ Robonaut เป็นงานวิจัยเทคโนโลยีหุ่นยนต์บนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ตั้งแต่ปีพ. ศ. 2555   โดยขณะที่ Robonaut 2 (R2) กำลังดำเนินการผ่านการทดสอบบนวงโคจร  ทีมงาน Robonaut ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยให้การทดสอบหุ่นยนต์บนวงโคจรสามารถทำงานได้เต็มรูปแบบ

โดยใช้หุ่นยนต์ตัวเดียวกันกับที่ Johnson Space Center โดยเป้าหมายของงานนี้คือการสร้างแพลตฟอร์มการวิจัยหุ่นยนต์ที่มีคุณลักษณะครบถ้วนบนสถานี ISS เพื่อเพิ่มระดับความพร้อมด้านเทคโนโลยีของเทคโนโลยีที่จะช่วยในภารกิจสำรวจในอนาคตอันใกล้นี้

ข้อดีอย่างหนึ่งของการออกแบบรูปทรงให้เหมือนมนุษย์คือ Robonaut สามารถใช้งานง่าย ๆ ซ้ำ ๆ หรือ เข้าสู่สถานที่ที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่ต่างๆเช่นสถานีอวกาศนานาชาติ เนื่องจาก R2 กำลังเข้าใกล้ความชำนาญของมนุษย์ในงานต่างๆที่อยู่ในอวกาศ เช่นการเปลี่ยนตัวกรองอากาศซึ่งสามารถทำได้โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนการออกแบบที่มีอยู่เดิมเลยด้วยซ้ำ

ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งก็คือในระหว่างภารกิจของหุ่นยนต์ R2 สามารถจะนำชุดเครื่องมือสำหรับภารกิจ precursor เช่นการตั้งค่าและการตรวจสอบทางธรณีวิทยา ไม่เพียง แต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องมือประเภทนี้เท่านั้น แต่ยังช่วยตัดความจำเป็นในการเชื่อมต่อกับหุ่นยนต์แบบพิเศษได้อีกด้วย

สำหรับบทบาทในวงการแพทย์นั้นต้องยอมรับว่าหุ่นยนต์เริ่มเข้ามามีบทบาทอย่างมากแล้วในปัจจุบัน โดยเฉพาะหุ่นยนต์ผ่าตัดซึ่งเป็นงานที่ใช้ความแม่นยำสูงมาก ๆ ศัลยแพทย์ที่เก่งๆ  นั้นต้องใช้ประสบการณ์ยาวนานในการผ่าตัด ซึ่งปัญหาที่พบคือพอประสบการณ์ยิ่งมาก ก็จะยิ่งเริ่มแก่ตัวลง และความนิ่งต่าง ๆ ก็จะลดลง ทำให้ผ่าตัดในงานที่ละเอียดมาก ๆ ไม่ค่อยได้ และประสิทธิภาพในการผ่าตัดก็ลดลงไป โดยเฉพาะงานที่ใช้ความละเอียดสูงอย่างการผ่าตัดหัวใจ หรือ ผ่าตัดสมอง เพราะมีโอกาสผิดพลาดได้น้อยมาก ๆ 

ซึ่งการเข้ามาของหุ่นยนต์ผ่าตัดนั้น ค่อนข้างทำได้มีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะทุกอย่างผ่านการคำนวณมาอย่างดี สามารถเข้าไปในชิ้นส่วนของร่างกายที่เป็นข้อจำกัดของมนุษย์ได้มากกว่า เพราะอาศัยการคำนวณ เช่น ในช่องที่เล็ก ๆ ที่คนไม่สามารถเข้าถึงได้นั้น แต่ไม่ได้เป็นปัญหากับหุ่นยนต์แต่อย่างใด รวมถึงการพัฒนาของกล้องความละเอียดสูงในปัจจุบัน สามารถทำให้หุ่นยนต์ที่ใช้ผ่าตัดสามารถวิเคราะห์ได้ละเอียดเพิ่มยิ่งขึ้น ซึ่งก็ทำให้ลดสาเหตุการเสียชีวิตจากการผ่าตัดได้มากยิ่งขึ้น

ในวงการ logistics ก็เช่นเดียวกัน ปัญหาใหญ่ของวงการ logistics คือเรื่องต้นทุนแฝง ที่มีอยู่จำนวนมาก ส่วนใหญ่แล้วมาจากโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ แต่ละที่ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อต้นทุนทางด้าน logistics ซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon ก็ได้เริ่มนำ drone เข้ามาช่วยขนส่งสินค้าผ่าน service Amazon PrimeAir ซึ่งสามารถที่จะการันตีเวลาในการขนส่งได้ในเวลาเพียง 30 นาที โดยการใช้ drone ขนส่งผ่านทางอากาศแทน ซึ่งหากนำมาใช้กันอย่างกว้างขวางจริง ๆ นั้นก็ต้องเรียกว่าเป็นการปฏิวัติระบบขนส่งในยุคใหม่เลยก็ว่าได้

สำหรับในวงการทหารนั้น ต้องบอกว่าเทคโนโลยีของ robots นั้นได้รุดหน้าไปเป็นอย่างมากในขณะนี้ ซึ่งนำโดย อเมริกา ที่หลาย ๆ labs ต่างนำเสนอ solution สำหรับการทหาร ตัวอย่างดังรูปข้างบนคือ  Foster-Miller SWORDS  ที่เริ่มใช้จริงในสงครามอิรักตั้งแต่ปี 2550  ซึ่งใช้ในการช่วยเหลือทหารในแนวหน้า โดยสามารถบรรจุอาวุธ เพื่อทำลายศัตรูได้ และสามารถจัดการได้แบบอัตโนมัติ ซึ่งในไม่ช้านี้เราจะอาจจะได้เห็นสงครามที่เป็นรูปแบบของ robots จริง ๆ เหมือนในหนังก็อาจจะเป็นไปได้

หรือว่าจะเป็น robots รุ่นคุณปู่อย่าง ASIMO จาก Honda ที่ในขณะนี้ได้พัฒนาความสามารถเพิ่มขึ้นหลายอย่างมาก สามารถรับรู้ การเคลื่อนที่ ท่าทาง รวมถึงสภาพแวดล้อมรอบข้าง และสามารถทำให้โต้ตอบกับมนุษย์จริงๆ  ได้แล้ว ซึ่งอาจจะเป็นต้นแบบของหุ่นยนต์ผู้ช่วยที่จะมีบทบาทสำคัญต่อสังคมสูงอายุของญี่ปุ่นในอนาคตอันใกล้นี้

สำหรับในโรงงานอุตสาหกรรมนั้น เราคงจะได้เห็นหุ่นยนต์เข้ามามีบทบาทนานแล้วในวงจรการผลิตสินค้าต่าง ๆ ที่สามารถทำได้ดีกว่ามนุษย์ และสามารถทำงานได้ 24 ชั่วโมงไม่มีหยุดพัก  แต่สำหรับ Baxter นั้นสามารถรองรับกับงานได้หลากหลายมากกว่า รวมถึงปริมาณที่ผลิตใน scale ที่ต่ำก็สามารถทำได้ ซึ่งมีความสามารถหลากหลายตั้งแต่ โหลดสาย การพ่นเครื่องบรรจุภัณฑ์ต่างๆ  รวมถึงการจัดการวัสดุ ซึ่งสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า

ต้องบอกว่าน่าทึ่งมาก ๆ สำหรับ video ใหม่ล่าสุดจาก Boston Dynamics ที่ได้ปล่อยหุ่นยนต์ตัวใหม่ออกมา ต้องถือว่าเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของวงการหุ่นยนต์เลยก็ว่าได้ เราอาจจะเคยเห็นแค่ในนวนิยาย sci-fi ตอนนี้มันเริ่มคล้ายมนุษย์จริง ๆ เข้าไปทุกที การกระโดดท่า backflips นั้นต้องถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียวกับการพัฒนาเทคโนโลยีของหุ่นยนต์ในขณะนี้ มันอยู่ในจุดที่เราทุกคนต้องเริมกังวลแล้วแหละ ว่าอนาคตของหุ่นยนต์จะไปในทางไหน

จาก video เราได้เห็นถึงพัฒนาการของหุ่นยนต์สี่ขา ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่มีความซับซ้อนสูงมาก และพัฒนาขึ้นมายากมาก แต่สำหรับ DARPA Legged Squad Support System (LS3) รุ่นล่าสุดนั้น แสดงให้เห็นว่าหุ่นยนต์ที่มีขาเทียมแบบกึ่งอิสระนั้นสามารถเคลื่อนที่ได้สูง และในเส้นทางที่ซับซ้อนได้มากขึ้น และสามารถรองรับน้ำหนักในการขนย้ายกว่า 400 ปอนด์ ซึ่งสามารถเข้าไปปฏิบัติงานในประเทศ ที่มีสมรภูมิ ที่ยากต่อการเข้าถึงได้ ซึ่งช่วยลดการสูญเสียของทหารได้ในการรบในบริเวณที่เสียเปรียบ

แม้กระทั่งกีฬาที่ใช้ความว่องไวสูงอย่าง ปิงปอง นั้น เราจะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีทางด้านแขนหุ่นในปัจจุบันได้พัฒนาไปมากขนาดไหน จาก video KUKA Robot นั้นคงแค่สื่อให้เห็นถึงความเร็วในการทำงานของแขนหุ่นมากกว่า ที่จะนำมาใช้ในการแข่ง ปิงปอง จริง ๆ ที่คิดว่าคงไม่มีใครกล้าจะลงทุนซื้ออย่างแน่นอน แต่ถ้ามองถึงการผลิตในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่นั้นความเร็วที่เป็นต่อในการผลิต ก็สามารถทำให้ได้เปรียบคู่แข่งได้ และอาจจะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างศักยภาพในการแข่งขันในตลาดได้

ในปีที่แล้วข่าวใหญ่ของวงการเกมส์โกะ โลกคือ ภาพของการพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของ lee sedol มือโกะ อันดับต้น ๆ ของโลกในการประลองกับ AI อย่าง Alphago ซึ่ง ถือว่าเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญของ AI ที่มาเล่นในเกมส์ที่ซับซ้อนมาก ๆ อย่างเกมส์โกะ  ซึ่งต้องใช้การประมวลผลทางความคิดอย่างซับซ้อนเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับ AI ในเกมส์กระดานเดิมๆ  อย่าง หมากรุก หรือ หมากฮอส ซึ่ง Alphago นั้นได้พัฒนาขีดความสามารถในการเรียนรู้ และการตัดสินใจ ที่ก้าวขีดจำกัดของมนุษย์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สุดท้ายนี้เราได้มีโอกาสเห็นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง google พัฒนารถไร้คนขับมานานมากแล้ว ซึ่งตอนนี้คิดว่าเทคโนโลยีที่มีอยู่พร้อมสำหรับการที่จะนำไปใช้จริง อย่างที่บริษัทอย่าง Tesla ได้ทำมาแล้ว และประสบความสำเร็จอย่างสูง ในอดีตเราก็คงไม่เคยคิดว่า รถจะสามารถขับเองได้แบบอัตโนมัติ เหมือนในหนัง ซึ่งปัจจุบันถือว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่แปลกแต่อย่างใดสำหรับการมีรถที่ขับเคลื่อนได้แบบอัตโนมัติ เพราะข้อมูลจำนวนมหาศาล ตัวอย่างของ google คือ ข้อมูลจาก google map ที่มีจำนวนมหาศาลมีผู้ใช้งานอยู่ทั่วโลกนั้น ซึ่งก็ถูก google นำมาใช้ในการวิเคราะห์ เพื่อให้ AI ได้ทำการเรียนรู้ และนำมาพัฒนาเป็นรถยนต์ไร้คนขับอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้เราอาจจะได้เห็นรถขับเคลื่อนเองอัติโนมัติในหลาย ๆ งาน เช่น บริการด้านแท็กซี่ อาจจะไม่จำเป็นต้องพึ่งพามนุษย์ในการขับรถให้ AI คงไม่มีการส่งรถหรือปฏิเสธผู้โดยสาร ให้ปวดใจอีกต่อไป หรือ งานด้านการขนส่งอื่น ๆ ที่ไม่ต้องพึ่งพาคนขับรถอีกต่อไป ทั้งขนสินค้า หรือ ขนคน ก็ใช้ระบบอัติโนมัติทั้งหมด  รวมถึงสุดท้ายแล้วมนุษย์เราทุกคนอาจจะไม่ต้องขับรถเองกันแล้วก็ได้ และอาจจะมีความปลอดภัยกว่าการขับเอง เพราะมั่นใจได้อย่างนึงว่า AI ไม่มีการเมาแล้วขับอย่างแน่นอน

References : 

  1.      https://robonaut.jsc.nasa.gov/R2/
  2.      http://www.popularmechanics.com/technology/gadgets/a2804/4258963
  3.      https://qz.com/639952/googles-ai-won-the-game-go-by-defying-millennia-of-basic-human-instinct/

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

Facebook ซื้อ Whatsapp 16,000 ล้านเหรียญ : เมื่อบริษัท software มูลค่าสูงกว่า hardware ไปแล้ว

ฟังข่าวนี้ตอนแรกแอบตกใจกับมูลค่าของ Deal ที่ facebook ซื้อ whatsapp สูงถึง 16 ,000 ล้านเหรียญ คือ งงกับมูลค่าของ whatsapp มากที่ทำไมถึงสูงขนาดนี้เพราะไม่เห็น model การทำรายได้ของ whatsapp ที่ชัดเจนที่จะมาคืนทุนได้เลย เพราะปัจจุบันจะคิดค่าบริการรายปีอยู่ที่ 1 us แล้วเมื่อดูทางเจ้าของแล้วตามข่าวคือ concept หลักของเค้าคือ No Ads, No Games ,  No Gimmicks ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตัวสร้างรายได้ล้วน ๆ อย่างที่ LINE ได้ทำและประสบความสำเร็จ

 

whats-app-no-ads-no-games-no-gimmicks

 

โดยส่วนตัวไม่แน่ใจว่าทาง Facebook คิดอะไรกับ deal ครั้งนี้ซึ่งถ้าเทียบกับ Deal ในอดีตจะสังเกตว่าถ้าเทียบกับที่ได้ซื้อ instragram นั้น ผมมองว่า instragram ควรมีราคาสูงกว่านี้ถ้าเทียบกับ whatsapp ซึ่งมองดี ๆ นี่กลายเป็นซื้อ instragram ในราคาโครตถูก ซึ่งถ้ามองในเรื่องของ Branding นี่ผมคิดว่าตัว instragram ดูจะทรงพลังอยู่มากและมีโอกาสที่จะหารายได้ในอนาคต มีรูปแบบ business model ที่น่าจะชัดเจนกว่าตัว whatsapp ซึ่งมองเป็นแค่โปรแกรม chat ธรรมดายังไม่เห็นรูปแบบของ business model ที่ชัดเจนเท่าไหร่ ยิ่ง concept หลักที่ทำให้ user ใช้มากคือ มีความเสถียรค่อนข้างสูง ไม่มีโฆษณา ไม่มีเกมส์ ซึ่งทำให้ user เลือก whatsapp ซึ่งน่าคิดว่า ในอนาคตจะเป็นอย่างไรแล้ว user จะหนีไปใช้ตัวอื่นหรือไม่หากมีการโฆษณาเข้ามาเกี่ยวข้องกับ chat application อย่าง whatsapp

whatsapp_biggest_tech_acqusition

คราวนี้เรามาลองมอง deal ในอดีตในช่วง 2-3 ปีหลังจะพบว่ามูลค่าของตลาดบริษัท software นั้นมีมูลค่าสูงกว่าตลาด hardware มาก ๆ ซึ่ง deal ของ whatsapp นี้ก็ถือว่าเป็น deal มูลค่าสูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา สูงกว่าการซื้อกิจการ motorolla ซึ่ง google ได้ทำการซื้อไปเสียอีก ข่าวที่ออกมาบอกว่า whatsapp นั้นมีพนักงานเพียงแค่ประมาณ 32 คนซึ่งถ้าเทียบกับบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง blackberry , motorolla ซึ่งมีพนักงานเป็นหมื่น ๆ คน แต่ value ของบริษัทยังไม่เทียบเท่า whatsapp ที่มีพนักงานเพียงเท่านี้  แต่ผมคิดว่า deal นี้ก็ยังถือว่า ดีกว่าการซื้อ snapchat ซึ่งน่าะเป็นเพียงกระแสเพียงชั่วคราวมากกว่า whatsapp ซึ่งน่าจะดูกันยาว ๆ ได้ว่าอนาคตน่าจะพอมี business model ที่คืนทุนให้ facebook ได้มากกว่า  ซึ่งคิดว่าพี่ mark suckerberg แกคงมีแผนในใจแล้วถึงได้ทุ่มทุนขนาดนี้

WhatsApp-Extraordinary-User-Growth-in-4-Years

จากรูปข้างบน เมื่อเรามามองถึงอัตราการเติบโตของ users ก็ค่อนข้างน่าตกใจว่า 4 ปีแรกนั้น whatsapp นั้นออกตัวได้ดีกว่าตัวเจ้าของใหม่ (facebook) เสียอีกซึ่งถือว่าดีสุดในบรรดา social network ต่าง ๆ  ซึ่งตัวเลขพวกนี้คงเป็นตัวที่ทำให้ facebook นั้นได้ทุ่มทุนขนาดนี้แล้วค่อยมาหารูปแบบ business model ในภายหลัง คือพวกเราก็คงมองกันไม่ค่อยออกว่าอนาคตมันจะเป็นอย่างไร เหมือนกับที่ google ทุ่มทุนซื้อ youtube ในอดีตตอนนั้นกว่า 1.6 พันล้านเหรียญ ซึ่งถือว่ามากในขณะนั้น แต่ตอนนี้คนก็คงไม่ต้องสงสัยกันแล้ว ซึ่งมองว่า google มองเกมส์ขาดมากในตอนนั้นที่รีบซื้อ youtube เข้ามา ซึ่งถ้าตีมูลค่าตอนนีyoutube นี่คงทะลุ 2 หมื่นล้านเหรียญแน่ ๆ ซึ่งหากวิเคราะห์จริง ๆ เราก็พอมองเห็นใน อนาคตนี้ บริษัทด้านซอฟแวร์ จะมีมูลค้าที่สูงกว่า hardware แน่ ๆ และจะเป็นผู้ takeover กิจการของบริษัท hardware ทั้งหลายแทน โดยเฉพาะพวกที่เล่นกับ data ข้อมูลผู้ใช้งานซึ่งตีมูลค่าได้มหาศาล