Crocodile of Wall Street กับข้อหาฟอกเงิน 4.5 พันล้านดอลลาร์ใน Bitcoin ที่ถูกขโมยจาก Bitfinex

คู่สามีภรรยาในวัย 30 ปีที่รู้จักกันในชื่อ crypto “Bonnie and Clyde” ได้รับความสนใจอย่างรวดเร็วหลังจากถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดเพื่อฟอกเงินเกือบ 120,000 bitcoin มูลค่า 4.5 พันล้านดอลลาร์จากการ แฮ็ก Bitfinex ในปี 2016

Ilya Lichtenstein ชาวรัสเซีย-อเมริกันที่มีชื่อเล่นว่า “Dutch” และภรรยาที่เกิดในสหรัฐฯ ของเขา Heather Morgan ถูกจับในแมนฮัตตันในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (Department of Justice (DOJ)) ซึ่งได้ทำการยึด bitcoin มูลค่า 3.6 พันล้านดอลลาร์

Morgan ผู้ซึ่งเรียกตัวเองว่า “Crocodile of Wall Street” แร็พบน TikTok ในชื่อ Razzlekhan และเป็นนักเขียนที่ Forbes ที่เคยเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับวิธีที่ธุรกิจสามารถป้องกันจากอาชญากรไซเบอร์ และยังทำงานเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ในปี 2019 Morgan เคยพูดที่นิวยอร์กในหัวข้อ “How to Social Engineer Your Way Into Anything”

บัญชี Twitter ของ Lichtenstein มีการโพสต์บ่อยครั้งเกี่ยวกับ Web3 และสกุลเงินดิจิทัล ในขณะที่ บัญชี LinkedIn ของ Lichtenstein ในวัย 34 ปีจบการศึกษาจาก Y Combinator ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพสตาร์ทอัพที่มีชื่อเสียงของ Silicon Valley

โดยมีรายงานว่าเขาได้สนับสนุนบริษัท startup ที่มีชื่อว่า MixRank ที่สร้างแอปติดตามลูกค้าของเขาในปี 2011 Morgan และ Lichtenstein ร่วมกันก่อตั้ง Endpass ซึ่งเป็น crypto wallet ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการฉ้อโกง

ทั้งคู่ถูกกล่าวหาว่าฟอกเงินมาจากไหน?

Bitfinex ซึ่งตั้งอยู่ในฮ่องกงกล่าวในเดือนสิงหาคม 2016 ว่าแฮ็กเกอร์ได้ขโมย 120,000 bitcoins ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 70 ล้านดอลลาร์ในขณะนั้น

ทางการ สหรัฐเชื่อว่าแฮ็กเกอร์ทำธุรกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาตมากกว่า 2,000 รายการ และส่ง Bitcoin ที่ไปยัง wallet ที่ Lichtenstein ถือครองในท้ายที่สุด โดยทางการสหรัฐไม่ได้กล่าวหาว่าทั้งคู่ทำการโจมตีโดยตรง

ทางการระบุว่ามีการโอน Bitcoin ประมาณ 25,000 เหรียญออกจากกระเป๋าเงินของ Lichtenstein บางส่วนไปยังบัญชีของเขาและภรรยาของเขา ส่วนที่เหลืออีก 94,000 ยังคงอยู่ใน wallet ที่ใช้หลังจากการแฮ็ก

การค้นพบเส้นทางที่ถูกกล่าวหา

หน่วยงานพิเศษที่มีหมายค้นสำหรับการเข้าถึงบัญชีออนไลน์ของทั้งคู่ได้ทำการดึงไฟล์จากบัญชีที่ Lichtenstein ใช้เก็บกุญแจส่วนตัว (Private Key) สำหรับ wallet ของเขา

การค้นหากุญแจเป็นขั้นตอนสำคัญ ซึ่งเป็นการเปิดเผยที่อยู่ของ wallet ของผู้รับ ซึ่งช่วยให้ผู้ตรวจสอบดำเนินแผนการฟอกเงิน ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถ กู้ คืน 94,000 bitcoin ได้สำเร็จ

DOJ กล่าวว่าทั้งคู่มีส่วนร่วมในการทำธุรกรรมสกุลเงินเสมือนหลายประเภทรวมถึงการซื้อ NFT แต่ดูเหมือนว่าบัญชี OpenSea ของพวกเขาจะถูกลบไปแล้ว

ทั้งคู่ถูกกล่าวหาว่า ฟอกเงินผ่าน bitcoin อย่างไร?

Lichtenstein และ Morgan ใช้วิธีการที่ซับซ้อนหลายอย่าง โดยทั้งคู่สร้างบัญชีปลอมและใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์อัตโนมัติเพื่อทำธุรกรรมหลายรายการ โดยฝากเงินกับการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน crypto หลายแห่งเพื่อให้ติดตามได้ยาก พวกเขายังใช้บัญชีที่อยู่ในสหรัฐฯ เพื่อให้กิจกรรมของพวกเขาดูเหมือนถูกกฎหมาย

Lichtenstein และ Morgan ใช้วิธีการที่ซับซ้อนหลายอย่าง เพื่อให้ดูเหมือนถุูกกฏหมาย (CR:Info9jatv)
Lichtenstein และ Morgan ใช้วิธีการที่ซับซ้อนหลายอย่าง เพื่อให้ดูเหมือนถุูกกฏหมาย (CR:Info9jatv)

ในคำสั่งฟ้องล่าสุดกล่าวหาว่าทั้งคู่พยายามปกปิดบทบาทของพวกเขาในการฟอก bitcoin โดยการสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่

Lichtenstein และ Morgan ใช้เวลาหนึ่งเดือนในยูเครนในปี 2019 อัยการกล่าว โดยที่กิจกรรมของพวกเขาบางครั้งดูเหมือนจะถอดแบบมาจากนิยายสายลับชื่อดัง ซึ่งทางการคิดว่าพวกเขากำลังเตรียมตัวสำหรับการใช้ชีวิตในรัสเซีย เนื่องจาก Morgan กำลังเรียนภาษาอยู่

การเข้าบุกค้นอพาร์ตเมนต์ในนิวยอร์กเมื่อวันที่ 5 มกราคม พบเงินสดมูลค่า 40,000 ดอลลาร์ มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากกว่า 50 ชิ้นหนังสือที่มีรอยร้าว 2 เล่ม และกระเป๋าที่มีป้ายแปลก ๆ ว่า “burner phone”

ทางการเชื่อว่าพวกเขาได้เข้าถึงบัญชีที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ของ Lichtenstein แล้ว ไฟล์ที่เข้ารหัสนั้นมีสเปรดชีตของบัญชีต่างๆ และกระเป๋าเงินเพิ่มเติมที่ทางการไม่สามารถยึดได้ตามกฎหมาย

“ไฟล์เหล่านี้หลายไฟล์รวมถึงรูปแบบต่างๆ ของคำว่า ‘สกปรก’ ในชื่อไฟล์ เช่น ‘dirty_wallet.dat'” คำฟ้องระบุ

การค้นพบอีกอย่างหนึ่งคือไฟล์ชื่อ “passport_ideas” ซึ่งเชื่อมโยงกับบัญชีผู้ขาย darknet ต่างๆ ที่เสนอขายหนังสือเดินทางหรือบัตรประจำตัวประชาชนปลอม

Lichtenstein และ Morgan เผชิญข้อหาสมรู้ร่วมคิดในการฟอกเงินและฉ้อโกงสหรัฐฯ โดยมีโทษจำคุกรวมกัน 25 ปี พวกเขาจะถูกควบคุมตัว  จนถึงการพิจารณาคดีในวันที่ 14 กุมภาพันธ์

เมื่อการฟอกเงิน จะง่ายยิ่งขึ้นในอนาคต

ผมว่าเรื่องนี้ค่อนข้างน่าสนใจ ที่แม้จะกระทำการแฮ็กไปนานแล้ว แต่สุดท้ายทาง DOJ ก็ยังสืบสวนสอบสวนกลับมาเอาผิดได้ แสดงว่า การใช้ bitcoin เพื่อการฟอกเงินมันก็มีช่องโหว่ในตัวมันเองเช่นเดียวกัน

แต่เทรนด์ที่เราจะเห็นเกิดขึ้นแน่ ๆ ในอนาคตแม้กระทั่งประเทศไทยเราเองก็คือ การนำเอาเงินผิดกฏหมาย ไม่ว่าจะเป็นจากการโกงกินชาติ ทุจริตคอร์รัปชั่น ยาเสพติด บ่อนออนไลน์ ต่าง ๆ จะสามารถแปลงร่างกลายเป็นเงินสะอาดได้ง่ายมากขึ้นผ่านเทคโนโลยีเหล่านี้อย่างแน่นอน

ซึ่งเมื่อก่อนมันอาจจะไม่ง่ายขนาดนี้ ที่จะแปลงเงินสกปรกด้วยวิธีการฟอกเงินแบบเก่า ๆ ที่อาจจะต้องใช้เวลาและต้นทุนที่สูง แต่การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีทำให้ต้นทุนในการฟอกเงินสกปรกเหล่านี้ลดลงไปอย่างมาก และ สามารถนำเงินสกปรกมาใช้ในชีวิตจริง ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้นเป็นอย่างมาก

สิ่งที่รัฐต้องตามให้ทันก็คือนวัตกรรมการฟอกเงินใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะเริ่มติดตามข้อมูลต่าง ๆ ยากมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งหากอยู่ในระบบการเงินแบบไร้ตัวกลางเช่น bitcoin ก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ในการปราบปรามเรื่องราวเหล่านี้ต้องมีการปฏิวัติระบบครั้้งใหญ่เลยก็ว่าได้ เพื่อให้ทันอาชญากรรมออนไลน์ที่เกิดขึ้น

เพราะหากทุกสิ่งทุกอย่างมันง่ายขึ้น กำแพงที่คอยกั้นไม่ให้คนไปทำผิด ทั้งเรื่องสีเทา เรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นต่าง ๆ มันก็จะพังทลายลงไป และเมื่อนั้นประเทศก็จะสูญเสียเงินจำนวนมหาศาลไปกับช่องทางเหล่านี้อีกมากมายในอนาคตนั่นเองครับผม

References : https://www.dailymail.co.uk/news/article-10493217/Self-proclaimed-Crocodile-Wall-Street-husband-granted-bail-set-3m-5m.html
https://fortune.com/2022/02/09/who-is-crocodile-of-wall-street-heather-morgan-bitcoin-hack-bitfinex/
https://markets.businessinsider.com/ilya-lichtenstein-morgan-heather-bitfinex-hack-money-laundering-tiktok-rapper-2022-2

ประวัติ Jho Low ตอนที่ 19 : The End of The Beginning

ณ กรุง วอชิงตัน ดี.ซี ในเดือนกรกฏาคมปี 2016 อัยการสูงสุดของสหรัฐอเมริกา Loretta Lynch ก้าวขึ้นไปที่ไมโครโฟนในห้องแถลงข่าว ในห้องแถลงข่าวที่สำนักงานกระทรวงยุติธรรม ครู่หนึ่งต่อมาเธอได้ประกาศยึดทรัพย์สินครั้งที่ใหญ่ที่สุดตลอดกาลครั้งหนึ่ง ในคดีฉ้อโกงครั้งประวัติศาสตร์ในประเทศมาเลเซีย

Lynch ได้อธิบายถึงการที่รัฐบาลสหรัฐกำลังพยายามยึดทรัพย์สินมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ที่ถูกซื้อมาโดยเงินที่ขโมยจากกองทุน 1MDB ซึ่งเป็นคดีคอร์รัปชั่นที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกไว้

“กระทรวงยุติธรรมสหรัฐจะไม่อนุญาตให้ใช้ระบบการเงินอเมริกันเป็นสื่อกลางในการทุจริต” Lynch กล่าว “เหล่าผู้ที่เกี่ยวข้องและสมรู้ร่วมคิดในการโกงครั้งประวัติศาสตร์นี้ สหรัฐจะไม่หยุดยั้งในความพยายามที่จะปฏิเสธพวกเขาถึงรายได้จากอาชญากรรมของพวกที่ได้ทำมา”

นี่คือการจับกุมผู้กระทำความผิดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ทีมอัยการสูงสุดของสหรัฐ ได้ร่วมมือกับ FBI ด้วยความระมัดระวัง ในการติดตามสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้

คดีนี้มีชื่อว่า “Jho Low” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ชื่อของ Low ถูกเรียกต่อสาธารณชนโดยหน่วยงานที่บังคับใช้กฏหมาย เช่นเดียวกับ Riza Aziz , Khadem Al Qubaisi และ Mohammed Al Husseiny รวมถึง Tarek Obaid

Tim Leissner ถูกเรียกว่า “Goldman Managing Director” ซึ่งแม้จะมีการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงจาก Goldman ในธุรกิจ 1MDB แต่สุดท้าย Leissner เองก็ไม่สามารถอยู่รอดได้จากหลักฐานการสนับสนุนแบบลับ ๆ ให้กับ Low ในการเปิดบัญชีในลักเซมเบิร์ก ซึ่งสุดท้ายเขาก็ได้ลาออกจากธนาคารในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2016

ในช่วงต้นปี 2017 สิงค์โปร์ได้สั่งห้าม Leissner จากอุตสาหกรรมการเงินเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับหน่วยงานกำกับดูแลอุตสหกรรมการเงิน (Financial Industry Regulatory Authority) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสหรัฐอเมริกาได้ห้ามเขาจากอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ของอเมริกา หลังจากที่เขาไม่ตอบสนองต่อการร้องขอเอกสารและข้อมูลอื่น ๆ อันเนื่องจากการที่เขาได้ลาออกจาก Goldman ไปแล้ว

ส่วนสิ่งทีน่าตกใจก็คือ นายกรัฐมนตรี Najib Razak ที่ถูกขนานนามว่า “Malaysian Official 1” ซึ่งในคดีที่อธิบายว่าเขาเป็นญาติของ Riza Aziz และดำรงตำแหน่งผู้มีอำนาจสูงสุดใน 1MDB และต่อมาภายหลังได้เพิ่ม Rosmah ภรรยาของ Najib เข้าไปในคดีเพิ่มเติมโดยถูกเรียกว่า “ภรรยาของ Malaysian Official 1”

ซึ่งการพาดพิงเรื่องดังกล่าวนั้น ทำให้ Najib ถึงกับตกใจกับสิ่งที่สหรัฐกำลังดำเนินการ นี่เป็นคดีแพ่งที่กำลังจะยึดทรัพย์สินของพวกเขา ส่วนตัวของ Jho Low เองนั้น ก็ได้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปที่อเมริกาทันที รวมถึงตัว Najib เองที่ได้ส่งผู้ช่วยรองนายกไปยังสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่นิวยอร์กในปีนั้นแทนตัวเขา

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้กล่าวว่า เงินจำนวนอย่างน้อย 3.5 พันล้านดอลลาร์ ได้หายไป และจากการประเมินนั้นพบว่าเงินอีกอย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์ นั้นได้หายไปภายใน 1 ปีหลังจากนั้น ซึ่งนั่นรวมถึง อสังหาริมทรัพย์ทั้งใน ลอสแองเจลลิส นิวยอร์ก และ ลอนดอนที่ Low ได้ซื้อไว้และโอนไปยัง Riza Aziz ลูกเลี้ยงของ Najib นั่นเอง

ทางการสหรัฐได้ยื่นฟ้องร้องคดีแพ่งเพิ่มเติมจำนวนมาก โดยมีเป้าหมายที่รายการทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากบริษัทผลิตภาพยตร์ Granite บ้านหลังงามมูลค่า 8 ล้านดอลลาร์ ที่ Low มอบให้นางแบบสาว Miranda Kerr รวมถึงงานศิลปะมูลค่ากว่า 13 ล้านดอลลาร์ ที่ Low มอบให้กับ Leonardo DiCaprio

แน่นอนว่า Jho Low เป็นจุดศูนย์กลางสำคัญของการสอบสวนเรื่องราวทั้งหมด แม้มันจะไม่ชัดเจนว่าคนอื่น ๆ จะเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น Riza Aziz , Al Qubaisi , Al Husseiny , Jasmine Loo ที่ปรึกษากฏหมาย แต่พวกเขาเหล่านี้ก็ถือเป็นเป้าหมายในการดำเนินการสอบสวนทางคดีอาญา

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ยังคงพิจารณาถึงบทบาทของ Leissner ต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งหมด แต่ต้องบอกว่า ในรอบเกือบทศวรรษนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์ทางการเงิน Hamburger Crisis ในปี 2008 นั้น มีพนักงานจาก Wall Street เพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่ถูกจองจำในคุก ส่วนที่เหลือก็รอดไปได้อีกตามเคย แม้จะทำให้เศรษฐกิจล่มสลาย ทำให้คนหลายล้านคนต้องตกงาน แต่เหล่านายธนาคารจาก Wall Street ก็แทบจะไม่ได้รับผลกรรมใด ๆ จากสิ่งที่พวกเขาสร้างมันขึ้นมา

วิกฤติการเงินในปี 2008 สุดท้ายเหล่านักการเงินใน Wall Street ก็รอดตัวอยู่ดี
วิกฤติการเงินในปี 2008 สุดท้ายเหล่านักการเงินใน Wall Street ก็รอดตัวอยู่ดี

ในวันที่ 27 มีนาคม ปี 2016 Yeo Jiawei พ่อมดทางการเงิน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกลไกทางการเงินที่ซับซ้อน และเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่สำคัญของ Low ที่ถูกทางการสิงคโปร์เฝ้าติดตามการกระทำต่าง ๆ ของเขา ซึ่งเขาพยายามปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวทั้งหมดนี้ แต่ดูเหมือนสุดท้าย เขาก็ต้องลงเอยที่คุก เช่นเดียวกัน

เช่นเดียวกับในสหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ได้ทำการเข้ายึดทรัพย์สินกว่า 177 ล้านดอลลาร์ ในบัญชีของ Jho Low และครอบครัวของเขา ทางการสิงคโปร์ได้ทำการเพิกถอนใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจธนาคารของ BSI เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ทศวรรษ ที่ประเทศสิงคโปร์ที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินของเอเชียมีการสั่งปิดธนาคาร

ส่วน Yak Yew Chee นายธนาคารส่วนตัวของครอบครัว Low นั้น หลังจากให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ก็ถูกตัดสินให้จำคุก 18 สัปดาห์ หลังจากมีการสารภาพว่าได้ทำการปลอมแปลงรายงานธุรกรรมที่มีความน่าสงสัย เขาได้รับเงินค่าส่วนแบ่งจากการยักยอกครั้งประวัติศาสตร์นี้ เพียงไม่กี่ล้านดอลลาร์เท่านั้น

สำนักงานอัยการสูงสุดของสวิตเซอร์แลนด์ ได้ทำการเปิดการสอบสวนทางอาญาในเรื่อง 1MDB โดยมุ่งเน้นไปที่บทบาทของ Low และ Qubaisi รวมถึงการสั่งปรับธนาคาร BSI กว่า 95 ล้านฟรังก์สวิส จากผลกำไรที่ได้มาซึ่งมิชอบ และหลังจากเปิดทำการมาเป็นเวลา 143 ปี ในที่สุด BSI ก็ปิดกิจการลงในปี 2017 โดยทรัพย์สินของ BSI ถูกโอนย้ายไปยังธนาคารสวิสอีกแห่งหนึ่ง ภายใต้คำสั่งจากทางการในที่สุด

ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2016 ตำรวจของอาบูดาบี ได้ทำการเข้าจับกุม Khadem Al Qubaisi ต้องบอกว่ามันเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในอ่าวเอมิเรตส์ สถานที่ที่การจัดการเรื่องที่สกปรก หรือทุจริตของชนชั้นสูงนั้นมักไม่ค่อยได้รับการเปิดเผย

แต่บทบาทของ Al Qubaisi ในเรื่องอื้อฉาวใน 1MDB นั้น ได้ถูกเปิดเผยให้โลกเห็นถึงความน่าอับอายมาสู่อาบูดาบี แม้เขาจะถูกไล่ออกจาก IPIC ไปตั้งแต่ปี 2015 แล้วก็ตาม แต่การถูกจับกุมถือเป็นเรื่องใหญ่มากในดินแดนแถบนี้

เจ้าหน้าที่จากอาบูดาบี และ 1MDB ยังคงเจรจาต่อรองว่าจะแยกแยะปัญหาหนี้สินที่เกิดขึ้นอย่างไร ความหวังจากจีนก็ช่วยได้ไม่มากนัก เมื่อประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ปฏิเสธที่จะลงนามในข้อตกลงบางส่วน เพราะไม่ต้องการมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ แม้จะช่วยให้มาเลเซียใกล้ชิดกับจีนมากยิ่งขึ้นก็ตาม

ถึงตอนนี้ ผู้ปกครองอาบูดาบีต้องการให้ความอับอายครั้งนี้จบลงโดยเร็วที่สุด IPIC ใช้เงินสำรอง 3.5 พันล้านดอลลาร์จ่ายออกไปโดยไม่ได้หวังว่า 1MDB นั้นจะสามารถชำระคืนหนี้ให้พวกเขาได้อีกแล้ว และมันได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ด่างพร้อยของกองทุนที่ดำเนินมากว่า 32 ปี ของมูลค่ากองทุนกว่า 70,000 ดอลลาร์ โดยชายสุดแสบที่ชื่อ Jho Low

ความพยายามของ Low ในการปกปิดขั้นตอนการทุจริตใน PetroSadui นั้นก็ล้มเหลวเช่นเดียวกัน ในเดือนพฤศจิกายนปี 2017 เจ้าชาย Turki ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทได้ถูกกักตัว หลังจากการขึ้นสู่อำนาจของผู้ปกครองคนใหม่ของซาอุดิอารเบีย ซึ่งการถูกริดรอนอำนาจของเจ้าชาย Turki เป็นการทำลายโอกาสที่จะกู้ชื่องเสียงกลับมาของ Low จนหมดสิ้นไปในที่สุด

ซึ่งในท้ายที่สุดเขาก็ทำได้เพียงแค่หนี และ พยายามหอบเงินส่วนที่เหลือออกไปได้ให้มากที่สุด และหนีไปใช้ชีวิต โดยไม่มีโอกาสได้ออกมาพบปะผู้คนในโลกภายนอกอีกต่อไปนั่นเอง เขาต้องลืมชีวิตมหาเศรษฐีที่เขาใช้มาหลายปี และเสพมันเหมือนยาเสพติด จนแยกไม่ออกระหว่างโลกแห่งความจริง และเรื่องราวโกหกที่เขาสร้างขึ้นมา

ส่วนนายรัฐมนตรี Najib เขาเริ่มทำราวกับว่า 1MDB นั้นไม่เคยมีอยู่จริง เขายกเลิกคณะกรรมการกองทุน และให้กระทรวงการคลังที่เขาเป็นหัวหน้ามาดูแลแทน ค่าใช้จ่ายของการทุจริตเหล่านี้นั้นส่งผลกระทบต่อประชาชนของประเทศมาเลเซียอีกหลายรุ่น

สุดท้ายเรื่องราวทั้งหมดก็กระทบกับประชาชนชาวมาเลเซียไปอีกหลายรุ่น
สุดท้ายเรื่องราวทั้งหมดก็กระทบกับประชาชนชาวมาเลเซียไปอีกหลายรุ่น

Moody’s ประเมินว่า รัฐบาลมาเลเซียต้องชำระหนี้กองทุนประมาณ 7.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเทียบเท่า 2.5% ของ GDP ประเทศมาเลเซีย นักลงทุนต่างชาติกังวัลกับเรื่องอื้อฉาว ส่งผลให้เงินริงกิตในประเทศมีมูลค่าลดลง 30% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในเวลาเพียงไม่กี่เดือน

หนี้ของกองทุนกว่าครึ่งนั้นอยู่ในรูปแบบเงินดอลลาร์ ซึ่งเงินริงกิตที่อ่อนกว่านั้นทำให้มีค่าใช้จ่ายมากขึ้นในการชำระหนี้เหล่านี้ แทนที่กองทุนอย่าง 1MDB นั้นจะสร้างงานใหม่ให้กับประชาชนชาวมาเลเซีย แต่มันกลับกลายเป็นภาระทางการเงินให้กับประเทศในอีกหลายสิบปีข้างหน้า ซึ่งสุดท้ายหนี้สินเหล่านี้ที่มาจากกองทุน 1MDB นั้น ก็จะกลายเป็นระเบิดเวลา ที่กำลังจะมาถึง และคอยกัดกร่อนทำลาย อนานคตของประชาชนชาวมาเลเซีย ในภายภาคหน้านั่นเองครับ

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ Jho Low จาก Blog Series ชุดนี้

ต้องบอกว่ามาเลเซียนั้นเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าอิจฉา ที่มีอาณาเขตติดกับเรา ที่เขาสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ยกระดับคุณภาพเศรษฐกิจ ให้ก้าวหน้าแซงประเทศไทย ไปได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

แน่นอนว่าปัจจัยสำคัญ คือการมีพรรคการเมืองที่เข้มแข็งอย่างพรรค UMNO และได้ผู้นำที่มีประสิทธิภาพมาตั้งแต่ยุคก่อตั้งประเทศ ทำให้พวกเขาสามารถที่จะพัฒนาบ้านเมืองให้ก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว และ การเมืองที่นิ่ง และมีเสถียรภาพ ทำให้พวกเขาไม่มีอุปสรรคใด ๆ เลยในการพัฒนาประเทศ ซึ่งตรงข้ามกับประเทศไทยเราที่มีปัญหาอุปสรรคทางการเมืองมาตลอดทศวรรษหลัง

แต่การเข้ามาของชายที่ชื่อ Jho Low มันทำให้มาเลเซียเปลียนไปได้ถึงขนาดนี้ ต้องบอกว่าเขาเป็นคนที่น่าทึ่ง ถ้านับความสามารถที่เขาสามารถทำการใหญ่ได้ถึงเพียงนี้ ด้วยตัวละครเพียงไม่กี่คน แต่สามารถสร้างประวัติศาสตร์การโกง ยักยอก ทรัพย์ของประเทศได้มากมายมหาศาลถึงเพียงนี้

Connection เป็นสิ่งสำคัญอย่างแรกที่เราได้เรียนรู้จาก Low เขาอาศัย Connection ที่เขาสร้างมาตั้งแต่เยาว์วัย ทำสิ่งที่เหลือเชื่อได้ ผ่านความสามารถและวาทะศิลป์ของเขาที่ทำให้คนที่เกี่ยวข้องต่างหลงเชื่อในคารมของเขา โดยคนเหล่านี้เป็นคนระดับมหาเศรษฐี หรือนักการเงินระดับท็อปของโลกแทบจะทั้งสิ้น

อีกส่วนหนึ่ง เราได้เห็นถึงด้านมืดของโลกการเงิน ความซับซ้อนของกลไกทางเงินที่เหล่า มหาเศรษฐี หรือ ผู้ที่ทำธุรกิจผิดกฏหมายใช้ในการฟอกเงินกัน และเราจะเห็นได้ว่ามันมีอยู่จริง และมันอยู่ในทั่วทุกมุมโลก ที่มีบริการเหล่านี้ให้ใช้ได้เหมือนกับมันเป็นสิ่งถูกต้อง

ซึ่งแน่นอนว่าโลกทุนนิยม ผลประโยชน์แอบแฝงต่าง ๆ ทั้งที่ถูกต้อง และไม่ถูกต้องนั้น เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ในการผลักดันเรื่องราวต่าง ๆ ตามที่เราได้เห็นใน Blog Series ชุดนี้ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เหล่า ธนาคารระดับโลก หรือ สถาบันการเงินระดับโลกเหล่านี้ ทำเรื่องราวเหล่านี้เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ที่ได้รับ ที่มันดูล่อตาล่อใจ และให้ผลตอบแทนที่มหาศาล

เพราฉะนั้น มันไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมเรายังเห็นแชร์ลูกโซ่ หรือ การหลอกการลงทุนต่าง ๆ ที่มาถึงประชาชนทั่วไป และพวกเขาเชื่อว่ามันสามารถทำได้จริง เพราะขนาดกองทุนระดับโลก หลายพันล้าน หลายหมื่นล้าน ที่เราได้เห็นใน Blog Series ชุดนี้ยังเห็นถึงความโลภ โดยไม่ได้วิเคราะห์ถึงพื้นฐานทางธุรกิจ และผลตอบแทนจากการลงทุนที่แท้จริงเสียด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะกระโจนเข้าหาโอกาสเหล่านี้ทันที เพราะผลประโยชน์ล้วน ๆ ทั้งบนโต๊ะ หรือ ใต้โต๊ะที่ได้รับจากตัว Jho Low นั่นเอง

สุดท้าย มันคือเรื่องราวของผลประโยชน์ มันคือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันของ สถาบัน กองทุน หรือ หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่กำลังแสวงหาวิธีการที่จะได้รับผลประโยชน์ที่สูงที่สุดจากโลกทุนนิยม ซึ่ง ชายที่ชื่อ Jho Low นั้นมองเห็นถึงช่องโหว่ตรงนี้ และเขาก็เป็นคนฉลาดพอที่จะทำให้โอกาสเหล่านี้ มาสร้างประโยชน์ให้กับตัวเขาและผู้ที่เกี่ยวข้องของเขาได้นั่นเอง

แต่ท้ายที่สุด ความจริงทุกอย่างมันก็ต้องปรากฏ เหมือนหลาย ๆ กรณีที่เกิดขึ้นบนโลกของเรา มันคือ รูปแบบ pattern เดิม ๆ แค่เปลี่ยนตัวละครตัวใหม่ เปลี่ยนสถานที่ ซึ่งโลกเรานั้นไม่เคยเรียนรู้ จากข้อผิดพลาดในอดีตที่ผ่านมาเลย และสุดท้าย เรื่องราวเหล่านนี้ ที่เกิดขึ้นเหมือนที่ Jho Low ทำมันก็คงจะเกิดขึ้นอีก ไม่ที่ใดก็ที่หนึ่งในโลกนี้ ในอนาคตอย่างแน่นอนครับผม

–> อ่านตอนพิเศษ : The Fall of Najib Razak

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Prologue *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

Image References : https://today.line.me/id/pc/article/Cypriot+bishop+denies+pushing+for+Jho+Low+to+get+EU+passport-99758E

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

PayPal Wars ตอนที่ 9 : Earth vs Palo Alto

SEPTEMBER 2001 — FEBRUARY 2002

เจ็ดสิบวัน หลังจากการโจมตีครั้งร้ายแรงที่สุดในนิวยอร์ก และ วอชิงตัน PayPal ได้ประกาศแผนที่ทำให้ทั้ง Wall Street และ Silicon Valley ตกใจ เมื่อ PayPal ได้ยื่นแสดงรายการข้อมูล กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนครั้งแรก หรือ IPO นั่นเอง

และแน่นอนว่าหลังการประกาศตัวครั้งนี้ของ PayPal ออกไปนั้น สื่อก็รุมถล่มแนวคิดนี้ของพวกเขาทันที และในบทความนึงที่ชื่อว่า “Earth to Palo Alto” ซึ่งได้ปรากฏในสื่อชื่อดังอย่าง “The Recorder” ที่เป็นสื่อด้านกฏหมาย ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

ซึ่งถูกเขียนโดย George Kraw ซึ่งเป็นนักกฏหมาย ชื่อดังในซิลิกอน วัลเลย์ โดยมีการแสดงความเห็นโจมตีความน่าเชื่อถือของรูปแบบธุรกิจ รวมถึงเหล่าทีมผู้บริหารของ PayPal:

“คุณจะทำอะไรกับบริษัทอายุเพียง 3 ปี ที่ยังไม่เคยสร้างกำไรได้เลยด้วยซ้ำ และบริการเหล่านี้อาจจะนำไปสู่การฟอกเงิน เหล่าผู้จัดการ และผู้ร่วมลงทุนที่อยู่เบื้องหลัง PayPal ต้องเปิดเผยตัวต่อสาธารณะ ที่พวกเขาคิดจะทดสอบเหล่านักลงทุนในวอลล์สตรีท และความไม่แน่นอนของตลาดการเงิน”

ซึ่งแน่นอนว่า Kraw และ สื่อในขณะนั้น ส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจรูปแบบธุรกิจของ PayPal ด้วยตัวเลขทางการเงินที่ดีขึ้นแสดงให้เห็นแนวโน้มชัดเจนว่าบริษัทกำลังจะทำกำไรได้ในไม่ช้า แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ในขณะนั้นเพิ่งผ่านฟองสบู่ดอทคอมแตกมาไม่นาน PayPal จึงยากที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดเหล่านี้ได้

และที่สำคัญเมื่อทางฝั่ง ebay ได้รับรู้ข่าวดังกล่าว ก็เป็นเดือดเป็นร้อนไม่แพ้กัน ซึ่งอาจจะปิดโอกาสที่จะทำให้ Billpoint เป็นผู้นำในตลาดชำระเงินออนไลน์ พวกเขาจึงต้องเริ่งทำอะไรซักอย่างโดยด่วน

เมื่อ PayPal กำลังจะเข้า IPO
เมื่อ PayPal กำลังจะเข้า IPO

ebay จึงได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ คือ “Checkout” ที่มีการ Link ไปยังฟอร์มการชำระเงินของ Billpoint ทันที ซึ่งหากผู้ขายไม่มีบัญชี Billpoint ก็จะมีหน้าจอที่กระตุ้นให้ผู้ซื้อติดต่อผู้ขายเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยบอกผู้ซื้อว่าเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข เป็นการบีบบังคับกลาย ๆ ให้ผู้ขายต้องไปใช้งาน Billpoint

ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อ PayPal โดยตรง ebay ได้กำหนดให้ checkout เป็นข้อบังคับสำหรับผู้ขายในอเมริกาทั้งหมด โดยกล่าวว่าจำเป็นต้องให้ประสบการณ์ผู้ซื้อที่ดีขึ้น และสอดคล้องกัน โดยเป็นการแทนที่ระบบเดิมที่สิทธิ์จะเป็นของผู้ขายในการควบคุมการประมูลและการชำระเงิน

Checkout เป็นการพยายามบังคับให้ผู้ซื้อกลับไปที่เว๊บไซต์ของ ebay และเป็นการเตะ PayPal ออกจากการมีส่วนร่วมในกระบวนการดังกล่าวนี้ ซึ่งจากตรงนั้น ebay สามารถใช้เว๊บไซต์ของตัวเองเพื่อชัดจูงให้ผู้ซื้อไปยัง Billpoint โดยไม่จำเป็นต้องเข้ามาที่ PayPal อีกต่อไปนั่นเอง

และเหมือนเคย ที่ Reid Hoffman พยายามเรียกร้องความยุติธรรมกับ ebay ที่ควรให้เป็นตลาดที่แข่งขันได้แบบสมบูรณ์ แต่ครั้งนี้ ebay จะไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกต่อไป และพยายามผลักดันนโยบายนี้แบบเต็มที่ โดยไม่สนใจ PayPal

และปัญหามันก็เกิด เพราะในคอมมิวนิตี้ของ ebay ในกระดานสนทนา ต่างเต็มไปด้วยความโกรธ เนื่องจากการบังคับใช้ของ ebay เหล่าพ่อค้าทั้งหลายไม่โอเค กับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ รวมถึงการปิดกั้น PayPal

มันเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 6 เดือนที่ ebay พยายามบังคับลูกค้าของพวกเขา ซึ่งการกระทำทุก ๆ ครั้งของ ebay นั้นผลก็คือเป็นการสร้างความผูกพันที่แน่นแฟ้นมากขึ้น ระหว่าง PayPal และเหล่าผู้ใช้งานผู้จงรักภักดีของพวกเขา และครั้งนี้ก็เช่นกัน ในที่สุด ebay ก็ต้องยอมถอน checkout ออกไปจากแพลตฟอร์มของพวกเขา

หลังจากนั้นไม่นาน สิ่งที่รอคอยของ PayPal ก็มาถึง เมื่อ PayPal สามารถทำกำไรได้ในที่สุด โดยเริ่มมีกำไรจากการดำเนินงาน 2.8 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งรายรับของ PayPal นั้นเพิ่มขึ้นจาก 30.2 ล้านเหรียญ ในไตรมาส 3 เป็น 40.1 ล้านเหรียญในไตรมาส 4 รวมถึงจำนวนผู้ใช้งานที่เติบโตอย่างน่าถึงไปสู่ 12.8 ล้านคน หลังจากดำเนินงานบริษัทมาได้เพียง 26 เดือนเท่านั้น

PayPal กลายเป็นธุรกิจที่สร้างกำไรได้จริง ๆ ลดการพึ่งพา ebay ลง เนื่องจากมีส่วนเสริมในธุรกิจอื่น ๆ อย่างเกมออนไลน์ เป็นบริษัทที่เรียกได้ว่ามีอัตราเติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ธุรกิจเลยก็ว่าได้

ซึ่งสถานการณ์เมื่อถึงตอนนั้น เป็นที่ชัดเจนต่อ Meg Whitman CEO ของ ebay แล้วว่า ผู้ใช้ในแพลตฟอร์มของ ebay เลือก PayPal มากกว่า Billpoint รวมถึงความเสี่ยงในการต่อสู้กับ PayPal อย่างต่อเนื่อง รวมถึงโอกาสที่จะดัน Billpoint นั้นไม่น่าจะมีทางเป็นไปได้อีกต่อไป

ในช่วงสิ้นปี 2001 Whitman ได้เขาไปพบกับ Thiel อย่างเงียบ ๆ พร้อมกับข้อเสนอเพื่อซื้อ PayPal โดยแสดงความจริงใจว่าจะทำการปิดบริการ Billpoint และให้ PayPal เป็นเพียงบริการหลักบริการเดียวใน ebay

Meg Whitman ตัดสินใจเจรจาขอซื้อ PayPal
Meg Whitman ตัดสินใจเจรจาขอซื้อ PayPal

Thiel ต้องใช้เวลาในช่วงสุดสัปดาห์ พิจารณาข้อเสนอดังกล่าวกับคณะกรรมการรวมถึง elon musk อย่างถี่ด้วน และเมื่อพิจารณาจากคาวมเสี่ยงหลาย ๆ ทางแล้วนั้น คณะกรรมการตัดสินใจยกเลิกข้อเสนอของ ebay เพื่อคงความเป็นอิสระของ PayPal ไว้ดังเดิม

ในกระบวนการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะชนนั้น เริ่มเกิดปัญหา เมื่อ CertCo บริษัทที่ปรึกษาด้านการชำระเงิน ได้ยื่นฟ้อง PayPal โดยกล่าวหาว่า โครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินหลักของ PayPal นั้น มีการละเมิดสิทธิบัตรของพวกเขา หลังจากนั้นไม่นาน บริษัทที่ชื่อ Tumbleweed Communications ได้อ้างเรื่องการละเมิดสิทธิบัตรของ PayPal เช่นเดียวกัน

แต่สุดท้ายทีมกฏหมายของ PayPal ก็ได้พยายามทำงานอย่างหนัก เพื่อจัดการปัญหาดังกล่าวได้สำเร็จ และในที่สุด PayPal ก็สามารถเข้าสู่กระบวนการทำ IPO ได้สำเร็จ โดยมีราคา IPO ที่ 13 เหรียญ และถูกกำหนดให้เริ่มซื้อขายในตลาด NASDAQ ภายใต้สัญลักษณ์ PYPL

และในวันแรกของการเปิดตัวต่อสาธารณชน ราคาหุ้นของ PayPal ก็พุ่งขึ้นไปสู่ราคา 18 เหรียญ ทุกฝ่ายต่างฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อความสำเร็จที่ร่วมฝ่าฟันกันมานาน ผ่านร้อนผ่านหนาว การเปลี่ยน CEO ถึง 3 คน และต่อสู้กับยักษ์ใหญ่อย่าง ebay ได้อย่างไม่เกรงกลัว จนในที่สุดสามารถที่จะพา PayPal เข้าสู่บริษัทมหาชนได้สำเร็จ ถือเป็นเรื่องราวที่สุดยอดมาก ๆ ของธุรกิจเล็ก ๆ อย่าง PayPal ที่ใช้เวลาไม่ถึง 3 ปีก้าวมาถึงจุดนี้ได้ เรื่องราวยังไม่จบเพียงแค่นี้นะครับ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อหลังจากพวกเขาสามารถนำพาบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อย โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 10 : To The Brink

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The New Recruit *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***