Digital Music War ตอนที่ 5 : Music Revolution

เมื่อถึงเดือน กรกฏาคม ปี 2000 ระหว่างที่จ๊อบส์กำลังเคี่ยวเข็ญลูกทีม ให้พัฒนาซอฟท์แวร์สำหรับบริหารจัดการเพลง Apple ก็ได้ทำการเข้าซื้อกิจการของ SoundJam และพาผู้ก่อตั้งมาทำงานที่ Apple เสียเลย เป็นการลดเวลาในการพัฒนาซอฟท์แวร์ตัวใหม่

จ๊อบส์ ได้ลงมาคลุกคลี คุมการทำงานด้วยตัวเอง เพื่อเปลี่ยน SoundJam ให้เป็นผลิตภัณฑ์ของ Apple ซอฟท์แวร์ตัวนี้ อัดแน่นไปด้วยโปรแกรมทำงานนานาชนิด จึงมีหลายหน้าต่าง ยุ่งเหยิงไปหมด จ๊อบส์สั่งการให้ทีมงานออกแบบใหม่หมด ให้ดูใช้งานง่ายขึ้น สนุกขึ้น แทนที่ จะต้องให้ผู้ใช้ระบุว่าต้องการค้นหาชื่อศิลปิน หรือ ชื่อเพลง หรือ ชื่ออัลบั้ม จ๊อบส์ ให้ปรับให้เหลือช่องค้นหาเพียงกล่องเดียวเท่านั้น ให้ใช้งานง่ายที่สุด ผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งคู่มือการใช้งาน และตั้งชื่อมันใหม่ว่า iTunes

การเปิดตัว iTunes ครั้งแรกต่อสาธารณะชน นั้นเกิดขึ้นในงาน Macworld เดือนมกราคม ปี 2001 มันเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ ดิจิตัลฮับ ของจ๊อบส์ และ ปล่อยให้ดาวน์โหลด ไปใช้งานได้ฟรี ๆ สำหรับผู้ใช้งาน Mac ทุกคน โดยใช้สโลแกน สั้น ๆ ง่าย ๆ ว่า “Rip. Mix. Burn.”

สว่น  iPod นั้นก็ได้เติบโตสวนทางกับ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างเครื่อง Mac ที่ยอดขายตกลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วง เดือน เมษายน – มิถุนายน ปี 2003 Apple สามารถขาย iPod ได้สูงถึง 340,000 เครื่อง มากกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 5 เท่า มันเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างที่ไม่เคยปรากฏใน Apple มาก่อนเลยก็ว่าได้

สำหรับบริษัทที่่ก่อนหน้านี้ รายรับเกือบทั้งหมดมาจากการขายคอมพิวเตอร์ จ๊อบส์ ได้ทำการโยกเงิน 75 ล้านดอลลาร์ ที่เดิมวางไว้สำหรับการโฆษณาสำหรับเครื่อง Mac โยกมาใช้สำหรับ iPod และที่สำคัญได้เริ่มหาคนชื่อเสียงมาใช้ผลิตภัณฑ์ iPod ซึ่งเป็นวิธีเลียนแบบความสำเร็จที่ Sony เคยทำสำเร็จมาแล้วกับ Walkman นั่นเอง

Apple หันมาใช้กลยุทธ์เดียวกับ Sony เคยทำกับ Walkman สำเร็จมาแล้ว
Apple หันมาใช้กลยุทธ์เดียวกับ Sony เคยทำกับ Walkman สำเร็จมาแล้ว

และจ๊อบส์ ก็ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครเคยคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น กับการรักษา ecosystem ของตัวเองมาตลอดที่จ๊อบส์ ทำกับ Apple ตลอดมา แต่ในปี 2003 ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดของ Apple ครั้งนึง นับตั้งแต่เริ่มต้นบริษัท Apple มาเลยก็ว่าได้

นั่นคือ iTunes version 2.0 ที่จะใช้ได้ทั้ง Mac และ Windows จ๊อบส์ นั้นเห็นตลาดที่ใหญ่โตของผู้ใช้งาน PC และตอนนี้ iPod มันจะไม่ถูกจำกัดแค่เพียงผู้ใช้งาน Mac อีกต่อไป iPod พร้อมจะเข้าไปเป็นสินค้าที่อยู่ในกระแสหลักแล้วด้วย iTunes บน Windows นั่นเอง

มันคือการปฏิวัติวงการดนตรีที่มีมาอย่างสิ้นเชิง เพียงแค่เดือนตุลาคมปี 2003 Apple ได้ส่วนแบ่งการตลาดของเครื่องเล่นดนตรีแบบดิจิตอลไป 70% และเมื่อถึงสิ้นปีสามารถขายเพลงในรูปแบบดิจิตอล ได้มากกว่า 25 ล้านเพลง มันคือจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมดนตรีของจริง

iTunes จุดเปลี่ยนของวงการเพลงดิจิตอลอย่างแท้จริง
iTunes จุดเปลี่ยนของวงการเพลงดิจิตอลอย่างแท้จริง

แต่ธุรกิจดาวน์โหลดเพลงมันแค่เพียงเริ่มต้น เพราะ 25 ล้านเพลงที่ถูกดาวน์โหลด มันก็มีค่าแค่เพียง 25 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสำหรับ Microsoft นั้นเป็นตัวเลขจิ๊บจ๊อยมาก ๆ 

ในปี 2004 iPod ขายดีมาก ๆ ช่วง 3 เดือนแรกของปี ยอดขายเพิ่มขึ้น 10 เท่าของปีก่อนหน้า ทำให้รายรับของ Apple เพิ่มขึ้น 17% จาก 2 พันล้านเหรียญ เป็น 2.35 พันล้านเหรียญ ซึ่ง iPod นั้นเป็นสินค้าที่ทำกำไรได้ง่ายดาย ส่วนร้าน iTunes ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และสามารถทำกำไรจากแต่ละเพลงที่ขายได้ 

ในเดือน มิถุนายน ปี 2004 iTunes ได้บุกไปยังยุโรป ทั้ง อังกฤษ เยอรมนี และ ฝรั่งเศษ มีการดาวน์โหลดอย่างมหาศาล และสามารถครองตำแหน่งผู้นำในตลาดเพลงดิจิตอลได้ในเวลาเพียงไม่กี่อาทิตย์ ทำให้ภาพรวมของ Appple ดีขึ้นทุก ๆ ทางเลยก็ว่าได้

แต่ Microsoft นั้นมักจะรู้ตัวช้าเหมือนทุก ๆ ครั้ง ซึ่ง iPod นั้นเต็มไปด้วยแรงดึงดูด ให้ผู้คนอยากได้มัน ด้วยคุณสมบัติที่พกพาได้ รูปลักษณ์ที่เท่ทันสมัย และใช้งานง่าย ล้วนเป็นเสน่ห์เกิดห้ามใจ และ iTunes ก็เปรียบเสมือนตู้เพลงออนไลน์ ซึ่งนับตั้งแต่ Microsoft สามารถเอาชนะ Apple ได้อย่างเบ็ดเสร็จในเดือน สิงหาคม 1995 ตอนเปิดตัว Windows 95 ไปทั่วโลก นี่เป็นครั้งแรกที่เหล่าผู้คนสังเกตเห็นพลังของ iPod สินค้าจาก Apple ที่ดูจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดึงดูดมากกว่า Microsoft ไปเสียแล้ว

จะเห็นได้ว่า เมื่อถึงตอนนี้ iPod , iTunes เป็นการผสานพลังกัน ที่ทำให้ Apple กลายมาเป็น Brand ที่น่าดึงดูดใจอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ มันไม่ใช่แค่สาวกคอมพิวเตอร์เพียงเท่านั้นอีกต่อไป มันได้กลายเป็น Brand ที่คนทั่วโลกต่างกำลังคลั่งไคล้ อยากเป็นเจ้าของ อยากได้เจ้า iPod เครื่องเล่น MP3 ที่ปฏิวัติ วงการเพลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งดูเหมือน Apple นั้นจะก้าวเข้าสู่ตลาดที่ใหญ่กว่ามาอย่าง Consumer ได้สำเร็จแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นต่อ แล้ว Microsoft ผู้รู้ตัวช้าทุกครั้ง จะพลิกเกม กลับมาได้อย่างไรในธุรกิจนี้ โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 6 : Play for Sure

 

Walkman กับการปฏิวัติการฟังเพลงเมื่อ 40 ปีที่แล้ว

โลกได้เปลี่ยนแปลงอีกครั้งในวันที่ 1 กรกฎาคม 1979 : วันที่ Sony เปิดตัว Walkman TPS-L2 เครื่องเล่นเพลงแบบพกพาเป็นครั้งแรก ที่จะปฏิวัติวิธีการที่เราฟังเพลงในแบบที่ไม่มีอุปกรณ์อื่นเคยทำได้มาก่อน  Walkman ทำให้รูปแบบของการฟังเพลงแบบพกพาเข้าสู่ยุคใหม่ของการฟังเพลงเมื่อ 40 ปีที่แล้วนั่นเอง

40 ปีต่อมา และ ตอนนี้ Walkmans ไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป  แต่การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจเพลง ทำให้ Walkman ที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเราหลาย ๆ คนนั้น ทำให้เรายังคิดถึงเจ้าเครื่องเล่นเพลงตัวนี้อยู่ตลอดมา

แม้ในปัจจุบัน เราจะไม่ใช้ Cassette หรือ CD อีกต่อไป อุปกรณ์พกพาเกือบทุกเครื่องที่เราพกพาสามารถเล่นเพลง รวมถึงจัดเก็บเพลงนับพันและสตรีมมิ่งอีกนับหมื่นเพลงจากอินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลาในโลก แต่ความคิดทั้งหมดของการฟังเพลงแบบส่วนตัว – ที่เราสามารถฟังเพลงโปรดของเราได้ทุกที่นั้น มีการเริ่มต้นมาตั้งแต่ยุคของ Walkman

Walkman นั้นได้รับการออกแบบมาสำหรับเพลงเป็นหลัก มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่เรียบง่าย: ตามประวัติภาพถ่ายของ Sony อุปกรณ์รุ่นแรก ๆ นั้นได้ถูกเยาะเย้ยจากสื่อต่าง ๆ  เนื่องจากการขาดความสามารถในการบันทึกเทป ซึ่งความจริงแล้วมันแทบจะไม่จำเป็นต้องใช้คุณสมบัตินี้ด้วยซ้ำเมื่อทำการวางขายจริง และ Walkman ยังมีแจ็คหูฟังขนาด 3.5 มม. สองตัว ช่วยให้คุณฟังกับเพื่อนแทนลำโพงได้นั่นเอง

Walkman ได้มีการพัฒนารุ่นต่อ ๆ ไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมารวมถึงรุ่นซีดี “Discman” และเครื่องเล่น MiniDisc (MD) รวมถึงอุปกรณ์เครื่องเล่น MP3 แบบพกพาที่ทันสมัยซึ่ง Sony ยังคงขายอยู่ในปัจจุบัน 

ซึ่งเมื่อ 40 ปีที่แล้วการเกิดขึ้นของ Walkman ได้ปฏิวัติการฟังเพลงซึ่งมีผลต่อทั้งดนตรีและเทคโนโลยีที่ถือได้ว่าได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตมนุษย์เราครั้งสำคัญครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้

ปัญหาบริษัทญี่ปุ่นกับการก้าวผ่านยุค Analog

ปัญหาใหญ่ของบริษัทจากญี่ปุ่นคือ การที่พวกเขาส่วนใหญ่เติบโตมาในยุค Analog  เราจึงได้เห็นถึงความถดถอยของบริษัทญี่ปุ่นเรื่อยมา นับตั้งแต่มีการก้าวผ่านมาเป็นยุคของดิจิตอล

และการแจ้งเกิดจากบริษัทจากเกาหลี ไม่ว่าจะเป็น Samsung , LG ที่ปรับตัวเข้าสู่ยุค Digital ได้อย่างรวดเร็วกว่าอย่างชัดเจน หรือแม้กระทั่งบริษัทในจีนเองก็ตาม ที่มาพร้อมกับการทำราคาที่ต่ำกว่าแบรนด์ญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก และคุณภาพก็ไม่ได้ด้อยเหมือนในอดีต

Sony เป็น Brand ที่อดีตเคยยิ่งใหญ่มาก ทุกผลิตภัณฑ์สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทั่วโลก เรื่อง Design แม้กระทั่ง Apple เองยังเคยยอมรับว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากบริษัท Sony เสียด้วยซ้ำ

น่าเสียดาย Walkman ที่ตอนนั้นกลายเป็นกระแสไปทั่วโลก แต่ดันปรับตัวไม่ทันในยุคดิจิตอล แม้ Sony จะปล่อยเครื่องเล่น MiniDisc (MD) ออกมา แต่ก็ดูเหมือนจะใช้งานได้ยุ่งยากเกินไปไม่ถูกจริตผู้บริโภค และในที่สุดก็พ่ายแพ้ให้กับ iPod ของ Apple เป็นการ สิ้นสุดยุคอารยธรรม Walkman ไปในที่สุด

References : 
https://www.theverge.com/circuitbreaker/2019/7/1/20677636/sony-walkman-anniversary-tps-l2-cassette-music-player-portable-mp3-evolution

ประวัติ Steve Jobs ผู้สร้าง iPod ตอนที่ 12 : GoodBye iPod

iPod มันกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ ยิ่งพวกที่คลั่งเรื่องดีไซน์ และ เหล่าสาวกของ apple ต่างหลงรัก iPod กันทั้งนั้น และ มันเริ่มแพร่ขยายลัทธิ ของ iPod กระจายไปทั่วโลก มันทำให้ iPod เป็น ไอคอน แห่งการฉีกกฏเกณฑ์ ต่าง ๆ ที่มีมาทั้งในเรื่องวิศวกรรม รวมถึง ศิลปะด้านการดีไซน์ และเพียงไม่นานก็กระโดดเข้าไปกินเรียบส่วนแบ่งการตลาดถึง 70% ของเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาทั่วโลก

มีคนเปรียบเทียบ iPod ว่าเป็น walkman แห่งศตวรรษที่ 21 เป็น walkman แห่งยุคดิจิตอล เป็น walkman ที่ Sony นั้นลืมนึกถึง และเป็นสิ่งที่สื่อมวลชนกล่าวขวัญถึงอย่าแพร่หลายทั่วโลก

เปรียบได้กับ walkman แห่งศตวรรษที่ 21
เปรียบได้กับ walkman แห่งศตวรรษที่ 21

จ๊อบส์ เริ่ม ปรับให้มีการขายเพลงผ่าน iTunes Store เพื่อแบ่งส่วนแบ่งให้กับศิลปิน และค่ายเพลง เนื่องจากขณะนั้น มีการดาวน์โหลดเพลงที่ละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นจำนวนมาก แล้วมาใช้งานกับ iPod 

เมื่อ iPod เริ่มกระจายไปยังตลาดต่าง ๆ ทั่วโลก จ๊อบส์ จึงต้องตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการสร้าง iTunes ในเวอร์ชั่น Windows เพื่อให้เหล่าสาวกของ Microsoft ที่มีจำนวนมหาศาลในขณะนั้น สามารถใช้งานร่วมกับ iPod ได้ เป็นการทลายกำแพง ครั้งสำคัญที่กั้น iPod ไว้กับ Macintosh

iTunes Store เพื่อแก้ปัญหาเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์เพลงและแบ่งส่วนแบ่งให้ค่ายเพลงและศิลปินอย่างเป็นธรรม
iTunes Store เพื่อแก้ปัญหาเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์เพลงและแบ่งส่วนแบ่งให้ค่ายเพลงและศิลปินอย่างเป็นธรรม

ในตลาดเครื่องเล่น MP3 แบบพกพานั้น หลังจากการมาของ iPod ทำให้คู่แข่งต่างๆ  เริ่มล้มลุกคลุกคลาน ไม่สามารถที่จะมาต่อกรกับ iPod ของ apple ได้เลย โดย apple ยังคงเดินหน้าสร้างนวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง มีการออก iPod รุ่นใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ iPod Shuffle , iPod Nano , iPod Video ไปจนถึง iPod Touch  และ ธุรกิจเพลงกลายเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจ apple มากยิ่งขึ้น

จ๊อบส์ ได้พยายามสร้างนวัตกรรมใหม่ให้ iPod มาทุก ๆ ปี โดยมีหลากหลายรุ่นมาก
จ๊อบส์ ได้พยายามสร้างนวัตกรรมใหม่ให้ iPod มาทุก ๆ ปี โดยมีหลากหลายรุ่นมาก

ในเดือนมกราคม 2007 ยอดขาย iPod ทำรายได้ถึงครึ่งหนึ่งของรายได้รวมบริษัท และยังทำให้ แบรนด์ apple เปล่งรัศมีและมีอนาคต ที่สดใสมากยิ่งขึ้น แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ iTunes Store ซึ่งขายได้ถึง 1 ล้านเพลงหลังเปิดตัวได้เพียง 6 วัน ในเดือนเมษายน 2003 และมียอดขายในปีแรกสูงถึง 70 ล้านเพลง เดือนกุมภาพันธ์ 2006 iTunes Store ขายเพลงที่ 1,000 ล้าน  ส่วนเพลงที่ 10,000 ล้านนั้นขายออกไปในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2010

จะเห็นได้ว่า ความสำเร็จของ iPod นั้นมันส่งต่อเนื่องมายัง iTunes Store และยังให้ประโยชน์ ที่ลุ่มลึกกว่านั้น ปี 2011 โลกมีธุรกิจใหม่ที่สำคัญเกี่ยวกับการชำระเงิน online ซึ่งตอนนั้นคนเริ่มเชื่อใน brand apple ผ่าน iTunes Store เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อ iTunes Store กลายร่างมาเป็น App Store และเริ่มจำหน่ายวีดีโอ แอพพ์ และเปิดรับสมาชิก ก็สามารถเพิ่มยอดลูกค้าที่ active ได้ถึง 225 ล้านคนภายในเดือนมิถุนายน 2011 ซึ่งช่วยให้ apple นั้นอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมรับมือในยุค ดิจิตอล e-commerce ได้ต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะพวกเขาสามารถคุม ecosystem ทั้งหมดไว้ได้ จึงสามารถสร้างรายได้จากหลายส่วนจาก ecosystem ทั้งหมดนี้

จาก iTunes Store ที่ขายเพลงพัฒนามาจนเป็น App Store สำหรับ iPhone ในที่สุด
จาก iTunes Store ที่ขายเพลงพัฒนามาจนเป็น App Store สำหรับ iPhone ในที่สุด

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ iPod อุปกรณ์ที่ใช้การบูรณาการ แนวตั้งระหว่าง ซอฟต์แวร์ (iTunes) เข้ากับ ตัว iPod (ฮาร์ดแวร์) ที่เป็นกุญแจดอกสำคัญที่ไขความสำเร็จให้กับ Apple มันเป็นตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ชั้นเยี่ยมยอดที่ประสบความสำเร็จในการเอาชนะคู่แข่งได้แบบเบ็ดเสร็จมาแล้ว และเจ้า iPod นี่แหละครับที่เป็นตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ชั้นยอดที่ว่านั้น ผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนบริษัท Apple จากบริษัทคอมพิวเตอร์ ไปสู่บริษัท consumer product และกลับมายิ่งใหญ่ได้สำเร็จอีกครั้งหนึ่ง

Goodbye iPod

หลังจากการกำเนิดของ iPhone ในปี 2007 นั้น ก็ทำให้ ยอดขายของ iPod เริ่มลดลงไปเรื่อย ๆ เพราะตัว iPhone นั้นมีคุณสมบัติ เป็นเครื่องฟังเพลง MP3 แบบพกพาได้ในตัวเหมือน iPod อยู่แล้ว 

เพราะฉะนั้น คนที่มี iPhone อยู่แล้วนั้น ก็มักจะไม่ได้ซื้อ iPod อีกต่อไป มันทำให้ตลาดของ iPod ค่อย ๆ หดตัวลงไปเรื่อย ๆ และถูกแทนที่ด้วย iPhone

และในวันที 27 กรกฏาคม 2017 นั้น apple ก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า จะทำการเลิกผลิต iPod Nano และ iPod Shuffle  โดยจะเหลือไว้เพียง iPod Touch เท่านั้น ถือเป็นการสิ้นสุดยุคของ iPod อย่างเป็นทางการ

แล้วเราได้อะไรจากการสร้าง iPod จาก Blog Series ชุดนี้

เหตุผลที่สำคัญอย่างนึงเลยที่ผมเลือก ส่วนของการสร้าง iPod มาถ่ายทอดลงใน Blog ชุดนี้ นั้น ก็เนื่องมาจาก มันคือ การเริ่มต้นยุคใหม่ของ จ๊อบส์ โดยการเข้ามาคุม Apple ในคำรบที่สองนั้น แทบจะติดลบด้วยซ้ำ ตอนที่ จ๊อบส์ เข้ามากู้วิกฤตินั้น สถานการณ์ของ apple แทบจะเป็นซากปรักหักพัง เป็นบริษัทที่รอวันล้มละลายเท่านั้น แต่ จ๊อบส์ สามารถพลิก Apple กลับมาได้ โดยใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ด้วยนวัตกรรมที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่ล้วน ๆ 

และสิ่งสำคัญที่จ๊อบส์ทำมาตลอดในช่วงดังกล่าว คือ การโฟกัส ซึ่ง เขาโฟกัส ในสิ่งที่ทำ การสร้าง iPod นั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งทางด้านวิศวกรรม และ การออกแบบมากมาย แต่จ๊อบส์ เชื่อมั่นว่า ทีมของเขาจะทำได้ เขาทำให้ทีมของเขาทำสิ่งที่ใครในโลก ไม่คิดว่าจะทำได้  iPod มันจึงกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่วิเศษที่สุด มันเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมดนตรีได้เลยด้วยซ้ำ และมันเป็นการพลิกโฉมของ Apple เข้าสู่ยุคใหม่อย่างที่เห็นในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน

และเพราะ ipod นี่เอง ที่ทำให้ จ๊อบส์ กล้าที่จะสร้าง iPhone หรือ iPad ตามมาได้ เพราะเขาสามารถทำเรื่องที่เหลือเชื่อ ด้วยทีมที่มีความพร้อมขนาดนี้ได้แล้ว มันทำให้จ๊อบส์ กล้าที่จะทำอะไรแหกกฏ ที่เคยมีมา ลองจินตนาการกลับไปทั้งยุคของเครื่องเล่น MP3 ก่อน ที่ iPod จะออก หรือ มือถือ ก่อนที่ iPhone จะออกมา

จ๊อบส์ ทำในสิ่งที่ ไม่มีใครคิดว่าจะทำได้ทั้งนั้น เพราะมันแตกต่าง มันไม่เหมือนใคร และมันเป็น DNA ของการ Think Different ที่เป็น DNA หลักของ Apple เลยก็ว่าได้ เมื่อจ๊อบส์ พร้อมจะลุย ลูกทีมของเขาก็พร้อมจะสู้กับจ๊อบส์ ไม่ว่าอุปสรรค จะยาก หรือ ท้าทายมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยกลัว

Think Different เป็น DNA ของ apple โดยการนำของจ๊อบส์
Think Different เป็น DNA ของ apple โดยการนำของจ๊อบส์

วันนึง เราอาจจะได้เห็น นวัตกรรมที่ พลิกโลก ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เราบ้างก็เป็นได้ อยากให้ blog Series ชุดนี้เป็นแรงบรรดาลใจ ให้กับ ผู้ที่กำลังสร้างสรรค์ผลงานใด ๆ ก็ตาม ที่ยังท้อแท้อยู่ ก็ ดูสิ่งที่จ๊อบส์ ทำกับ iPod เป็นตัวอย่าง ว่าการโฟกัสในสิ่งที่ทำ และเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ แม้จะดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เกินความสามารถ แต่หากสุดท้าย มีความตั้งใจ และมีทีมงานที่พร้อมจะร่วมสู้ มันก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่เหมือนที่จ๊อบส์และทีมงานสร้าง iPod ขึ้นมาได้นั่นเอง

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Second Coming  *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

Movie Review : เพื่อนที่ระลึก

Featured Video Play Icon

Review

สำหรับผลงานหนังผีไทยที่ชื่นชอบมากที่สุดอยู่ในลำดับต้น ๆ คือ ลัดดาแลนด์ ของผู้กำกับ มากความสามารถอย่าง จิม โสภณ ศักดาพิศิษฎ์ การกลับมากำกับอีกครั้งกับหนังผีอย่าง The Promise หรือ เพื่อนที่ระลึกในชื่อไทย จึงทำให้ผมติดตามข่าวคราวมาตลอดกับหนังเรื่องนี้

โดยเฉพาะ trailer ที่ออกมาน่าดึงดูดให้ไปชมในโรงภาพยนต์อย่างยิ่ง มีการนำบทไปผูกกับเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจ เมื่อปี 2540 ทำให้หนังเกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก และแถมยังมาในนาม GDH ซึ่งไม่ค่อยสร้างหนังที่ทำให้ผิดหวังซักเท่าไหร่

ก่อนที่จะได้เข้าไปชมจริง ผมติดตามกระแสใน social network มีทั้งด้านบวก และ ด้านลบ ถ้ามองด้วยใจเป็นกลางจริง ๆ จะออกไปในแนวทางลบเสียมากกว่า ผมจึงเริ่มลังเลที่จะเข้าไปดูในโรงดีหรือไม่ ประกอบกับหนังผี แฟนผม ไม่เคยสนใจอยู่แล้ว จะไปดูคนเดียวก็ดูน่ากลัวเกินไป

แต่ก็ถือเป็นโชคดี ที่พ่อและแม่ มาจากต่างจังหวัดพอดี ผมจึงชวนท่านทั้งสองไปดูเป็นเพื่อน เพราะช่วงหลัง เริ่ม พา พ่อกับแม่ เข้าโรงหนังมากขึ้น หลังจากที่ท่านไม่ได้เข้าโรงหนังมาเป็นเวลานาน

เรื่องนี้ผมให้คนที่แบกทั้งเรื่องคือ บี น้ำทิพย์ ตัวจริง ที่รับบท บุ๋ม อดีตเด็กสาวที่ครอบครัวถูกวิกฤต เศรษฐกิจในช่วงปี 2540 เล่นงาน ทำให้ต้องเปลี่ยนสภาพจากครอบครัวเศรษฐี กลายเป็น เป็นครอบครัวที่แทบจะล้มละลาย ซึ่งในช่วงแรกนั้น มีการผูกเรื่องกับเหตุการณ์ปี 2540 ได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ รวมถึง location ในการใช้ตึกร้างที่สาธร ที่เปรียบเหมือน มรดกของความล่มสลายของประเทศไทยช่วงปี 40 ที่ยังมีให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบัน ทำให้คน ระลึกถึงเหตุการณ์ในยุคนั้นได้อย่างดี

หนังเรื่องนี้ได้พาเราย้อนไปยังช่วงปี 40 ยุคที่ เรายังใช้ pager เพื่อส่งข้อความหากัน รวมถึง วัฒนธรรม walkman ที่ค่อนข้างบูมในช่วงขณะนั้นพอดี ช่วงต้นของเรื่องดำเนินไปได้อย่างน่าสนใจ และมีความสมเหตุสมผลของบท ซึ่งทำให้ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้คงเป็นอีกผลงานมาสเตอร์พีซ ของ คุณ จิม อีกแน่ ๆ

แต่กลับกันเลย หลังจากหนังดำเนินไปถึงช่วงปัจจุบันนั้น ที่บุ๋ม ได้กลับมาตั้งหลักตั้งตัวได้ และมีลูกสาว 1 คน ที่รับบทโดย ลิลลี่ จาก the face season 2 ซึ่งน่าจะเข้าขากันได้กับ บี น้ำทิพย์ เนื่องจาก บี เป็น mentor ของ ลิลลี่ใน face season 2 เองด้วย โดยทางลิลลี่นั้นรับบทเป็น เบลล์ ลูกสาวของ บุ๋ม ที่กลายมาเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สาว ที่สามารถผ่านวิกฤตมาได้

จากจุดแข็งจากการที่เคยร่วมงานมาก่อน ของ บี กับ ลิลลี่ แต่กลับกลายมาทำให้ลิลลี่ เป็นจุดอ่อนของหนังเรื่องนี้อย่างชัดเจน ถ้ามองอย่างเป็นกลางเราจะเห็นความห่างชั้นทางการแสดงที่มากเกินไประหว่าง บี กับ ลิลลี่ มันจึงทำให้ดูไม่สมดุล ในการแสดงที่ต้องเข้าบทกัน จึงรู้สึกขัดใจกับการแสดงของน้อง ลิลลี่ เป็นอย่างมาก อาจจะเป็นเพราะน้องยังใหม่ในการแสดงหนัง แต่น่าจะเป็นการเลือกตัวละครที่พลาดของผู้กำกับ ทำให้หนังขาดอรรถรส บางอย่างไป และทำให้บี ต้องแบกหนังเรื่องนี้อยู่แทบจะคนเดียวทั้งเรื่อง

สำหรับเรื่องผี ต้องยอมรับว่า ฉากที่ทำให้กระตุก นั้นก็ทำได้ตามมาตรฐานของ คุณ จิม คล้าย  ๆ กับ ลัดดาแลนด์ คือ เรารู้ล่วงหน้าว่าจะเป็นฉากแนวกระตุกผี ไม่ได้มาแบบเซอร์ไพรซ์แต่อย่างใด แต่ก็ทำให้คนดูต้องกดดันกับฉากนั้น ๆ ได้อยู่ดี ทั้งที่รู้ว่าฉากนี้ผีออกแน่นอน แม้จะไม่เป็นตัวตนแบบชัดเจนให้เราเห็น แต่ก็ถือว่าสอบผ่านในเรื่องความน่ากลัวของผี ได้อย่างดีเยี่ยม

ส่วนภาพรวมของบทนั้น ต้องเรียนตามตรงว่าเรื่องนี้สอบตกเป็นอย่างมาก คือไม่ได้ในระดับมาตรฐานของ GDH เลย ทำเป็นเหมือนหนังผีดาด ๆ ทั่วไปมากกว่า บทค่อนข้างไม่ลงตัว หนังพยายามลากการแสดงของคุณบีไปเรื่อย ๆ และสุดท้ายก็พยายามจบแบบงง ๆ ซึ่งมันควรจะดีกว่านี้ตามมาตรฐานของ GDH ซึ่งหลายคนก็ได้พูดถึงประเด็นนี้กันอย่างกว้างขวางในสื่อ social media

สุดท้ายต้องบอกตามตรงเลยว่า ผม ค่อนข้างผิดหวังกับหนังเรื่องนี้ คือตั้งความหวังกับหนังเรื่องนี้ไว้สูง แต่ก็ต้องมาผิดหวังในหลาย ๆ ส่วนที่ทำมาได้ไม่ลงตัว หลัก ๆ เลยคือบทของหนังคือ ไม่สมกับเป็น GDH ทำเลย แต่ถ้าหวังจะดูฉากกระตุก ผีออกมาให้ตกใจ อันนี้ก็พอดูได้ ก็ไม่ได้ถึงกับน่าเกลียดแต่อย่างใด ขนาดพ่อผมดูเรื่องนี้ยังหลับได้ ก็น่าจะรู้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นยังไง และมั่นใจว่าคงทำรายได้ ไม่ถล่มทลาย เหมือนหนังเรื่องอื่นๆ  ของ GDH อย่างแน่นอน

เก็บตกจากหนัง

  • บี น้ำทิพย์ ที่รับ บทบุ๋ม นั้น แทบจะแบกหนังไว้คนเดียวทั้งเรื่อง
  • Location ของหนังที่ถ่ายทำนั้นถือว่าน้อยไปหน่อย มีอยู่ไม่กี่ฉาก
  • ผมมองว่าการให้ลิลลี่ มารับบท เบลล์ นั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดพลาดย่างยิ่ง น้องไม่เหมาะกับบทนี้เลย
  • ภาพรวมของบทหนัง ไม่ผ่านมาตรฐานที่ GDH เคยสร้างมา

คะแนน

6/10

สรุป
“ถ้าไม่ได้หวังอะไรมาก ก็ดูไปเถอะ เป็นแค่หนังผีมาตรฐานกลาง ๆ เรื่องนึงเท่านั้น”