Wow signal ปริศนาสัญญาณลับจากนอกโลกที่กำลังเข้าใกล้จุดคลี่คลาย

ในที่สุดก็มีคนที่ระบุว่าอะไรน่าจะเป็นที่มาของ “Wow! Signal” สัญญาณจากนอกโลกที่ยังคงเป็นปริศนาจาก SETI (การค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงปัญญานอกโลก) ที่ได้ทุนหลักจากองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (NASA) และทำให้นักดาราศาสตร์ต่างงงงวยนับตั้งแต่การค้นพบมัน

Wow! Signal เป็นสัญญาณนอกโลกที่มีความยาว 72 วินาทีที่ทรงพลังที่รับโดยกล้องโทรทรรศน์บิ๊กเอียร์ในปี 1977

นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถระบุแหล่งที่มาของมัน คำว่า Wow ไม่ใช่ชื่อความหมายของการถอดรหัส แต่หากเป็นเพียงคำที่ ดร.เจอร์รี อาร์. เอฮ์แมน นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน เขียนกำกับไว้เพื่อแสดงความตื่นเต้นในตอนนั้นเท่านั้นต่อมาคำว่า Wow จึงถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเรียกของสัญญาณนี้

ตามรายงานของ นิตยสาร Astronomy นักดาราศาสตร์สมัครเล่น Alberto Caballero ได้ติดตามสัญญาณกลับไปยังดาวที่มีลักษณะใกล้เคียงกับดวงอาทิตย์ของเราอย่างใกล้ชิดซึ่งเป็นการค้นพบที่ทำให้เกิดแสงสว่างใหม่ ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เป็นจุดเด่นของการวิจัย SETI มานานหลายทศวรรษ

ดาวดวงนี้ระบุโดย Caballero ซึ่งเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ออกตามล่าหาแหล่งที่มาของสัญญาณหลังจากค้นพบมัน ปัญหาคือดูเหมือนว่าจะไม่มีดาวคล้ายดวงอาทิตย์อยู่ในบริเวณที่ Wow! Signal จะมีต้นกำเนิดอยู่

โชคดีที่งานวิจัยของ Caballero อาศัยมุมมองที่อัปเดตมากขึ้นของจักรวาลดังนั้นเขาจึงมีทรัพยากรและข้อมูลในการตรวจสอบมากกว่าที่นักดาราศาสตร์ทำเมื่อหลายสิบปีก่อน

โดยตั้งแต่ปี 2013 หอสังเกตการณ์อวกาศ Gaia ของ European Space Agency ได้ทำการรวบรวมแผนที่ 3 มิติของกาแลคซี และมีการจัดทำรายการดาว 1.3 พันล้านดวงแล้ว

แผนที่ Gaia มีรายละเอียดมากกว่าที่นักดาราศาสตร์ใช้ในการตามล่า Wow! Signal ต้นกำเนิดของสัญญาณในอดีต และ Caballero สามารถระบุดาวคล้ายดวงอาทิตย์ในกลุ่มดาวซาจิทาเรียสได้ ซึ่งสัญญาณนั้นดูเหมือนจะมาจากที่นั่น

ต้องบอกว่าหลังจากความซบเซาในเรื่องสัญญาณดังกล่าวมาหลายปี การค้นพบครั้งนี้ถือว่ามันเป็นก้าวสำคัญของ Wow! Signal ที่กำลังเข้าไปใกล้ในอีกระดับหนึ่ง ในสิ่งที่นักดาราศาสตร์กำลังค้นหามาหลายสิบปี ในเรื่องของแหล่งที่มาของมันนั่นเองครับผม

References : https://astronomy.com/news/2020/11/sun-like-star-identified-as-the-potential-source-of-the-wow-signal
https://artsandsciences.osu.edu/news/did-ohio-state-really-detect-alien-signal-0

นักวิทยาศาสตร์กำลังใช้ดวงจันทร์เป็นกระจกเงายักษ์เพื่อค้นหาเอเลี่ยน

นักดาราศาสตร์มีเคล็ดลับใหม่ในการตามล่าหาดาวเคราะห์นอกระบบที่อาศัยอยู่ได้และใช้ดวงจันทร์เป็นกระจกเงาขนาดมหึมา เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก

โดยทั่วไป NASA และ ESA นักวิทยาศาสตร์ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลกับแสงจับภาพที่สะท้อนออกมาจากดวงจันทร์หลังจากที่มันได้เดินทางผ่านชั้นบรรยากาศของโลก 

จากการศึกษาภาพสะท้อนของบรรยากาศที่อยู่อาศัยของโลกเรา นักวิทยาศาสตร์สงสัยว่าพวกเขาสามารถค้นหารูปแบบทางเคมีเดียวกันในดาวเคราะห์นอกระบบที่อยู่ห่างไกลซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ของสิ่งมีชีวิตต่างดาว

โดยปกติแล้วเมื่อนักวิทยาศาสตร์ใช้คำว่าดาวเคราะห์นอกระบบ “คล้ายโลก” พวกเขาหมายถึงโลกที่มีขนาดใกล้เคียงกับของเราและระยะทางที่เหมาะสมจากดาวฤกษ์ เพื่อให้มีอุณหภูมิที่อาศัยอยู่ได้ แต่มันยากกว่ามากที่จะบอกได้ว่าดาวเคราะห์นอกระบบเหล่านี้มีชั้นบรรยากาศหรือไม่

“หนึ่งในเป้าหมายหลักของ NASA คือการระบุดาวเคราะห์ที่สามารถสนับสนุนในการใช้ชีวิตเหมือนในโลกของเราได้” นักวิทยาศาสตร์ Allison Youngblood กล่าวในการแถลงข่าว “แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นดาวเคราะห์ที่อาศัยอยู่ได้หรือไม่มีคนอาศัยอยู่ ถ้าเราเจอดาวเคราะห์เหล่านี้”

นั่นเป็นเหตุผลที่การศึกษาของ Youngblood ซึ่งตีพิมพ์เมื่อวันพฤหัสบดีใน The Astronomical Journal จึงมีความสำคัญมาก

การศึกษานี้วัดปริมาณโอโซนในชั้นบรรยากาศของโลก การสังเกตเห็นรูปแบบทางเคมีเดียวกันที่เล็ดลอดออกมาจากดาวเคราะห์นอกระบบจะชี้ให้เห็นว่าอาจมีบรรยากาศที่อุดมด้วยออกซิเจนและมีการปิดกั้นรังสียูวีเช่นเดียวกับของโลกเรานั่นเอง

References : https://www.space.com/hubble-astronomers-moon-mirror-study-earth.html
https://in.mashable.com/science/5050/there-might-be-an-ancient-alien-city-on-the-dark-side-of-the-moon