Geek Forever

ด.ดล Blog

Open Your World with Technology. เปิดโลกใบใหม่ของคุณ ด้วยเรื่องราวของเทคโนโลยี ( Business x Technology x Inspirational Stories )

HOME

  • ABOUT ME
  • BECOME A SUPPORTER
  • CONTACT
  • EDITORS ‘ PICKS
  • PODCAST

Categories

  • Advertorial
  • AI & Robot
  • Bitcoin
  • Blockchain
  • Blog Series
  • Books
  • Business
  • Cars
  • Case Study
  • COVID-19
  • Deep Learning
  • Digital Music War
  • Documentary
  • Entertainment
  • Entrepreneurship
  • Failed Startup
  • Football Product
  • Games
  • Geek China
  • Geek Daily
  • Geek Life
  • Geek Monday
  • Geek Story
  • Geek Talk
  • Healthcare
  • Home & Garden
  • Investment
  • JT 8704
  • Life of Pine
  • Lifestyle
  • Machine Learning
  • Marketing
  • Movies
  • Paypal Mafia
  • PodCast
  • Political
  • Popular Blog
  • Products
  • Programming
  • Recommendations
  • Review
  • Sci & Tech
  • Search War
  • Self Help
  • Series
  • Smartphone War
  • Sport
  • Startup
  • Story
  • The Story
  • Tokyo in the Rain
  • Trading
  • Travel
  • World War III
  • ประวัติ Bill Gates
  • ประวัติ Bitcoin
  • ประวัติ Elon Musk
  • ประวัติ Google
  • ประวัติ iPod
  • ประวัติ Jack Ma
  • ประวัติ Jeff Bezos
  • ประวัติ Jho Low
  • ประวัติ mark zuckerberg
  • ประวัติ MBS
  • ประวัติ Netflix
  • ประวัติ Netscape
  • ประวัติ Reed Hastings
  • ประวัติ Reid Hoffman
  • ประวัติ Steve Jobs
  • ประวัติ Tim Cook
  • ประวัติ Twitter
  • ประวัติ Youtube
  • แบบบ้านสวย

Archives

  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • May 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017
  • October 2017
  • September 2017
  • August 2017
  • July 2017
  • June 2017
  • May 2017
  • April 2017
  • March 2017
  • February 2017
  • September 2016
  • June 2016
  • April 2016
  • March 2016
  • February 2016
  • January 2016
  • December 2015
  • October 2015
  • September 2015
  • May 2015
  • April 2015
  • March 2015
  • February 2015
  • December 2014
  • November 2014
  • October 2014
  • September 2014
  • August 2014
  • April 2014
  • March 2014
  • February 2014
  • January 2014

Meta

  • Log in
  • Entries feed
  • Comments feed
  • WordPress.org

Tag Archives: thefacebook

ประวัติ mark zuckerberg ตอนที่ 13 : I’m CEO Bitch (The End)

By tharadhol in Books, Investment, Marketing, Sci & Tech, Startup, Story December 3, 2018

ในที่สุดการเรียนของ เอดูอาร์โด ก็สิ้นสุดลงเสียที กับช่วงเวลาในฮาร์วาร์ด เป็นช่วงเวลาที่พิเศษที่สุดของเขา ไม่ว่าจะประสบพบเจอเรื่องราวๆ  ต่าง ๆ มากมายทั้งในด้านดี และ ด้านร้าย ๆ ก็ตาม มันถึงเวลาที่เขาต้องย้ายออกจากสถานทีแห่งนี้เสียที ที่ฮาร์วาร์ด ที่ ๆ เขาร่วมสร้างเครือข่ายสังคมออนไลน์ เครือข่ายที่ปฏิวัติเสรีภาพ การแสดงออก รวมถึงเชื่อมต่อ ทุกคนทั่วทั้งโลกมาไว้ด้วยกันบนหน้าจอคอมพิวเตอร์

ซึ่งแน่นอน สิ่งสำคัญประการหนึ่งคือ มันถึงเวลาเสียทีที่เค้าต้องดำเนินการฟ้องร้องทางกฏหมาย เพื่อไล่ล่าความชอบธรรม ที่ตัวเค้าเป็นส่วนหนึ่งของผู้สร้าง facebook กลับมา ทั้งหมดจะไม่ใช่เรื่องของเขากับมาร์ค เพียงสองคนอีกต่อไปแล้ว

ซึ่งเวลานี้เค้าก็ได้มานั่งคิดทบทวนตัวเอง ว่าบางทีนั้น สิ่งที่มาร์ค ทำกับ เขาอาจจะเป็นความจำเป็นในเรื่องธุรกิจเท่านั้น มันก็มีส่วนนึงที่เค้าผิด ที่พยายามอายัดบัญชี  ซึ่งเหล่านี้ทำให้มันเป็นเรื่องยุ่งยากในการหาทางร่วมทุนกับเหล่านักลงทุนมากยิ่งขึ้น  แต่ยังไง เขาก็เชื่อด้วยหัวใจเต็มเปี่ยม ว่าเขานั้นเป็นส่วนหนึ่งของ facebook ตั้งแต่เริ่มต้น เขาเป็นคนลงเงินทุนตั้งต้น ของ facebook ทั้งหมด จนก่อร่างสร้างตัวมาได้จนถึงวันนี้ ซึ่งเขาก็ควรที่จะได้รับสิ่งที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาที่ตกลงไว้ตั้งแต่แรก

ต่อสู้ด้วยการพึ่งพาศาลสถิตยุตธรรมเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม

ต่อสู้ด้วยการพึ่งพาศาลสถิตยุตธรรมเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม

ถึงตอนนี้นั้น ความเห็นที่เหมือนกันเพียงอย่างเดียวของทั้งสอง คือ ต่อไปนี้ เรื่องของ facebook นั้นมันไม่ใช่เรื่องของความสัมพันธ์ของเพื่อน อีกต่อ ไปแล้ว มันคือธุรกิจ เขาจะตามเอาสิ่งที่เขาควรได้รับกลับมาทั้งหมด ต้องพึ่งศาลสถิตยุติธรรม เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับเขา

ส่วนมาร์คนั้น แน่นอน หลังจากไล่ ฌอน ปาร์กเกอร์ ออกไปพ้นชายคา facebook แล้วนั้น จะเห็นได้ว่าทุกคนต่างประสบชะตากรรมเดียวกันไม่ต่างจาก เอดูอาร์โด หรือ พี่น้อง winklevoss อะไรที่เป็นภัยคุกคาม กับ facebook  ที่เปรียบเสมือนลูกในไส้ ของมาร์ค  จำเป็นต้องถูกจัดการไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะสุดท้ายแล้วนั้น สิ่งเดียวที่มีความหมายที่สุดต่อมาร์ค ในตอนนี้ คือ facebook มันคือผลงานการสรรค์สร้าง โดย มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กนั่นเอง

I'm CEO Bitch

I’m CEO Bitch

ไม่ว่าจะอย่างไร มาร์ค ไม่มีวันที่จะให้อะไรมาขัดขวาง facebook ได้โดยเด็ดขาด เพราะเขาคือ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก “I’m CEO Bitch” นั่นเอง

ผลสรุปสุดท้ายของตัวละครแต่ละคนใน Series มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก I’m CEO Bitch

ฌอน ปาร์กเกอร์

ฌอน ปาร์เกอร์ มาคุม founder fund ของ peter thiel

ฌอน ปาร์เกอร์ มาคุม founder fund ของ peter thiel

หลังจากถูกมาร์ค ไล่ออกจาก facebook เค้าก็ยังมีบทบาทอยู่ใน ซิลิกอน วัลเลย์ โดยได้ร่วมกับ ปีเตอร์ ธีล ในการก่อตั้ง Founder Fund กองทุนสำหรับ สตาร์อัพ เพื่อหา สตาร์ทอัพ หน้าใหม่ๆ  เหมือนที่ ปีเตอร์ ธีล ทำได้ในการลงทุนกับ facebook 500,000 เหรียญ จนตอนนี้ มูลค่ากลายเป็นกว่า หมื่นล้านเหรียญ ในปัจจุบัน

สองพี่น้อง Winklevoss และ divya narendra

สามสหาย ได้ส่วนแบ่งเป็นที่น่าพอใจจาก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก

สามสหาย ได้ส่วนแบ่งเป็นที่น่าพอใจจาก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก

ทั้งสามทำการดำเนินคดีกับ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก และคดีดำเนินมายาวนานเรื่อยมา จนถึง ปี 2008 ซึ่งได้ข้อสรุปสุดท้าย แม้จะไม่มีการเปิดเผยในชั้นศาลก็ตาม  แต่มีการายงานจากสื่อว่า ทั้งสามนั้นได้รับเงินไปประมาณ 65 ล้านเหรียญ แม้จำนวนเงินจะมากอยู่ก็ตามในตอนปี 2008 แต่หากมาดูมูลค่า ของ facebook ในปัจจุบัน นั้นเป็นตัวเลขที่น้อยมาก  ๆ

ได้ทำตามความฝันอีกสิ่งหนึ่งคือการได้ไปเล่นโอลิมปิคที่ ปักกิ่ง

ได้ทำตามความฝันอีกสิ่งหนึ่งคือการได้ไปเล่นโอลิมปิคที่ ปักกิ่ง

เพราะปัจจุบัน มูลค่าของ facebook นั้นพุ่งขึ้นไประดับ แสนล้านเหรียญ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนในด้านกีฬาเรือพาย นั้น สองพี่น้อง winklevoss ได้เป็นตัวแทนของทีมเรือพายสหรัฐอเมริกา เข้าร่วมแข่งขันในกีฬา โอลิมปิก 2008 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน  โดยแข่งได้อันดับ 6 ในประเภทการแข่งขัน ฝีพายคู่ชาย

เอดูอาร์โด เซเวอริน

เอดูอาร์โด ซัลเวอริน ได้รับเครดิตกลับมาอีกครั้ง

เอดูอาร์โด ซัลเวอริน ได้รับเครดิตกลับมาอีกครั้ง

สำหรับ เอดูอาร์โด หลังจากจบจากฮาร์วาร์ด ก็ทำการเริ่มดำเนินการฟ้องร้อง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก และ facebook โดยที่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดข้อสรุปเกี่ยวกับ คดีดังกล่าว และมีคดีที่ มาร์ค ฟ้องกลับเอดูอาร์ด้วย ซึ่งมีการต่อสู้ในชั้นศาลอย่างยาวนาน

จนกระทั่งในเดือน มกราคม ปี 2009 ชื่อ ของเอดูอาร์โด เซเวอริน นั้นได้กลับมาถูกบรรจุ ในตำแหน่ง Co-Founder หรือ ผู้ร่วมก่อตั้ง facebook ในเว๊บไซต์ facebook อย่างเป็นทางการอีกครั้ง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าการต่อสู้คดีนั้น เอดูอาร์โด สามารถเอาชนะในเรื่องการคืนเครดิต การเป็นผู้ร่วมก่อตั้งให้เขาได้สำเร็จ แต่เรื่องของส่วนแบ่งหรือหุ้นส่วนใด ๆ นั้นยังไม่ได้รับการเปิดเผย แต่คิดว่าน่าจะมีมูลค่าที่สูง ซึ่งน่าจะมีการเจรจาไกล่เกลี่ยกันได้สำเร็จ เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาของ facebook ในระยะยาว

ย้า่ยมาใช้ชีวิตในสิงคโปร์ และแต่งงานกับนางงามชาวสิงคโปร์

ย้า่ยมาใช้ชีวิตในสิงคโปร์ และแต่งงานกับนางงามชาวสิงคโปร์

ส่วนสถานะความเป็นเพื่อนกับมาร์ค นั้น ยังไม่ได้รับการยืนยันใด ๆ ว่าทั้งคู่ กลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือ ไม่ และ ล่าสุดนั้น เอดูอาร์โด ได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศสิงค์โปร์ เพื่อลงทุนในธุรกิจ สตาร์ท อัพที่มีโอกาสเติบโต เนื่องจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น กำลังเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนจากฝั่งอเมริกา  และ ได้แต่งงานกับนางงามชาวสิงค์โปร์ และย้ายมาใช้ชีวิตที่สิงค์โปร์ในที่สุด

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก และ facebook

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก CEO บริหาร facebook มาจนถึงปัจจุบัน

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก CEO บริหาร facebook มาจนถึงปัจจุบัน

สำหรับ facebook นั้นก็มีการเติบโตด้านผู้ใช้งานขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงในปี 2007 เรื่องไปถึงหูของ google ซึ่งต้องการที่จะ take over facebook แต่อย่าที่รู้กันก่อนหน้านี้ ศัตรูคู่ฉกาจของ google อย่าง microsoft ไม่ยอมอย่างแน่นอน เพราะตอนนั้นกำลังขับเคี่ยวกันในหลายตลาด ทั้ง search engine , email ,  document tool ซึ่ง social เป็นเรื่องใหม่ที่ microsoft ไม่ยอมให้ google มายึดไปอีกแน่นอน

ไมโครซอฟท์ จึงทำเรื่อง surprise อย่างยิ่งด้วยการลงทุน ซื้อหุ้นเพียง 1.6% ด้วยเม็ดเงินสูงถึง 240 ล้านเหรียญ ทำให้มูลค่าของ facebook พุ่งขึ้นไปสูงถึง 15,000 ล้านเหรียญ ซึ่ง ตอนนั้น บริษัท ยังแทบจะไม่มีรายได้เข้ามามากมายเหมือนในปัจจุบัน แต่เป็นการเตะตัดขา google เพื่อไม่ให้มา take over facebook เพียงเท่านั้น

microsoft ต้องเตะตัดขา google ที่พยายาม take over facebook

microsoft ต้องเตะตัดขา google ที่พยายาม take over facebook

จนในปัจจุบัน กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน internet อย่างเต็มตัว take over บริษัท มากมายไม่ว่าจะเป็น instragram , whatsapp หรือ occulus จนผู้ใช้เติบโตไปถึงกว่า 1,000 ล้านคน อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน เป็นการเดินทางจากจุดเล็ก ๆ ในหอพักที่ ฮาร์วาร์ด จนตอนนี้ ทำให้มาร์ค กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านดอลล่าร์ ที่อายุน้อยที่สุด ซึ่งเป็นการสร้างฐานะมาด้วยตัวเอง ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์

แนวคิดที่ได้จาก Blog Series มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก I’m CEO Bitch

ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตาม และ comment ให้กำลังใจ กับการเขียน series ชุดนี้  ตอนแรกก็ไม่คิดว่ามันจะยืดยาวได้ถึงเพียงนี้ แต่เรื่องเป็นเรื่องธุรกิจที่สนุกจริง ๆ การเกิดขึ้นของ startup เล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในมหาลัย ฮาร์วาร์ด จนเติบใหญ่มาเป็น facebook ที่ยิ่งใหญ่อย่างปัจจุบัน ผ่านเรื่องราวอะไรมามากมาย

โดยส่วนตัวนั้น มาร์ค นั้นเป็นคนหนึ่ง ที่โฟกัส กับสิ่งที่ทำมาตั้งแต่เริ่ม ผมไม่ได้มองว่า มาร์ค เป็นคนที่เลวร้ายอะไรเลย ผมมองเรื่องที่เกิดทั้งหมดนั้น เป็นเพราะมาร์ค ต้องการนำพาธุรกิจไปข้างหน้า เพื่อพิสูจน์ความสามารถของเขา และเขารักในสิ่งที่เขาทำมาก รักเหมือนลูก ใครมาขวางทาง ไมว่าจะด้วยเหตุผลกลใด ก็ตาม นั้น มาร์ค ก็พร้อมที่จะลุยเต็มที่เพื่อขจัดสิ่งที่ขัดขวางเหล่านั้น เพื่อให้ facebook เติบโตมาจนได้ถึงวันนี้ ซึ่งมันพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่มาร์ค ทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างยิ่ง

ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร กับการมีปัญหากับเพื่อนในการทำธุรกิจ ซึ่งผมคิดว่าในโลกนี้ มีปัญหาแนว ๆ นี้อยู่มากมาย โดยเฉพาะ การทำธุรกิจกับเพื่อน ที่ตอนลำบากนั้นพร้อมจะสู้ด้วยกัน และมักจะมองไม่ค่อยเห็นปัญหา แต่พอตอนรวยขึ้นมามักจะมีโอกาสที่จะแตกคอกันเสมอ ซึ่ง มันไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกแต่อย่างใด ในสิ่งที่เกิดขึ้นกับ facebook เพราะผลสรุปสุดท้าย ทุกคนก็ตกลงกันได้ด้วยดี แม้จะจบที่ชั้นศาลก็ตาม แต่ ดู facebook ตอนนี้สิกลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ของโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ลองมองมุมกลับกัน หากมาร์ค ปล่อยให้ เอดูอาร์โด เข้ามาวางอำนาจในบริษัท มาอายัดบัญชี แล้วเกิดปัญหาขึ้นมากับ facebook จนคนย้ายหนีไป platform อื่นคงไม่มี facebook บริษัทที่ยิ่งใหญ่ในโลกอินเตอร์เน็ตมาจนถึงทุกวันนี้อย่างแน่นอน

ส่วนเรื่อง idea เริ่มต้นนั้น แม้มาร์ค ไม่ได้คิดเองมาตั้งแต่แรก แต่ผมว่ามันก็เป็นเรื่องของธุรกิจ ที่คนคิด คนแรกไม่ได้ประสบความเร็จเสมอไป แต่เป็นคนที่ลงมือทำต่างหาก คนที่ลงมือทำด้วยความตั้งใจ โฟกัสในสิ่งที่ทำแบบที่มาร์คเป็น นั้น เราก็เห็นผลแล้วว่ามาร์ค ประสบความเร็จเพียงใดจากเริ่มต้น แล้วโฟกัสในสิ่งที่ทำเป็นอย่างมาก จนมาเป็นเศรษฐีอายุน้อยที่สุดของอเมริกา ที่สร้างตัวมาด้วยตัวเอง ไม่ใช่รับมรดกตกทอดมาจากต้นตระกูลแต่อย่างใด

ผมว่า เรื่องนี้เป็นแรงบรรดาลใจ ให้หลายๆ  ท่านได้ ในการที่เราจะลุกขึ้นมาสร้างสรรค์ อะไรก็ตาม มันต้องเริ่มต้นทำ และทำทันที เพราะการมัวแต่คิด ๆ  แล้วไม่ได้ทำซักที นั้นก็ไม่รู้ว่าจะประสบความสำเร็จได้เมื่อไหร่ และที่สำคัญคือการโฟกัสในสิ่งที่เราทำ หากเราทุ่มเทให้กับมัน เหมือนที่มาร์คทำกับ facebook  ผมคิดว่าก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้เหมือนที่มาร์คทำ แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่าที่มาร์คทำก็ตาม รวมถึงแรงบรรดาลใจให้เหล่าสตาร์ทอัพ และ ผู้ประกอบการหน้าใหม่ของประเทศไทย

blockdit เครือข่ายสังคม online มาแรงของประเทศไทย

blockdit เครือข่ายสังคม online มาแรงของประเทศไทย

ยกตัวอย่าง blockdit ที่แห่งนี้ ที่ ๆ เปิดโอกาสให้ทุกท่านได้มาแสดงฝีมือในการเขียน เป็นสังคมใหม่ แม้จะมาแข่ง facebook ก็ตาม แต่ผมเชื่อว่า คนไทยก็ทำได้ไม่แพ้สิ่งที่มาร์ค เคยทำไว้กับ facebook และ blockdit กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าคนไทยก็ทำได้ และผมเชื่อว่า วันหนึ่ง blockdit นั้นจะประสบความสำเร็จทั้่งในเรื่องธุรกิจ และ จำนวนผู้ใช้งาน จนเป็นที่กล่าวถึงให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ เหมือนที่เราได้เรียนรู้จาก blog series นี้อย่างแน่นอน

–> อ่านตอนพิเศษ (Special) : The Social War

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : Facemash (The Beginning) *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุดรวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol

ประวัติ mark zuckerberg ตอนที่ 11 : Relationship Status

By tharadhol in Books, Investment, Marketing, Programming, Sci & Tech, Startup, Story December 3, 2018

เผลอไปเพียงแป๊บเดียว สมาชิกของ facebook ก็เพิ่มจำนวนขึ้นจากหนึ่งล้านกลายเป็นสองล้านคนอย่างรวดเร็วด้วยอัตราเร่งที่ทุกคนตกใจ และกำลังมุ่งหน้าสู่ 3 ล้านในเร็ว ๆ นี้ ตอนนี้ facebook ไม่ใช่แค่เป็น website น้องใหม่ในตลาด social network อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้กำลังเป็นเครือข่ายสังคมที่ทุกคนทั่วอเมริกากำลังพูดถึง กำลังแพร่ระบาดเหมือนไวรัส ไปยังมหาลัยต่าง ๆ ทั่วอเมริการกว่า 500 แห่ง สื่อเริ่มทำข่าวการเติบโตที่น่าทึ่งของ facebook มีการตามล่า มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เพื่อมาสัมภาษณ์ทางทีวี หนังสือพิมต่างประโคมข่าว การแจ้งเกิดของ เว๊บไซต์ social network น้องใหม่ตัวนี้

แต่อย่าไรก็ตามนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ร่วมก่อตั้งทั้ง 2 ระหว่าง มาร์ค กับ เอดูอาร์โด นั้น แทบไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันเลย มีแต่โทรศัพท์จากทนาย ที่มาร้องขอคำขอแปลก ๆ เช่น รายชื่อผู้ติดต่อในนิวยอร์ค ที่ เอดูอาร์โด ได้ไปหาสปอนเซอร์ ในช่วงก่อนหน้านี้ หรือ รายชื่อ ของธุรกิจ ที่มีโอกาสที่จะลงโฆษณากับ facebook ที่ เอดูอาร์โด เคยติดต่อไว้

เริ่มตะหงิด ๆ ใจอีกครั้ง

เริ่มตะหงิด ๆ ใจอีกครั้ง

ดูแล้วเอดูอาร์โด จะเหินห่างจากทีมงานที่ ซิลิกอน วัลเลย์ อย่างมาก สำหรับในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา  และในที่สุดก็มีการติดต่อมาจากมาร์ค จนได้ ที่ขอให้เอดูอาร์โด เดินทางมาที่ ซิลิกอน วัลเลย์ ซึ่งจะมีการประชุมธุรกิจที่สำคัญบางอย่าง เกี่ยวข้องกับ การว่าจ้างพนักงานใหม่ ที่เอดูอาร์โด จำเป็นทำการฝึกงานให้

ซึ่งในเมล์นั้น มีข้อความหลายอย่าง ที่ทำให้ เอดูอาร์โด รู้สึกตะหงิด ๆ ใจอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง นักลงทุนใหญ่อย่าง เซคัวเอีย แคปปิตอล กองทุน VC ที่ใหญ่ที่สุดใน ซิลิกอน วัลเลย์ ที่บริหารโดยคู่ปรับ เก่าของฌอน อย่าง ไมเคิล มอริตซ์

ไมเคิล มัวริตซ์ ที่จ้องจะลงทุนใน facebook ให้ได้

ไมเคิล มัวริตซ์ ที่จ้องจะลงทุนใน facebook ให้ได้

รวมถึงยังมีบริษัทสื่อ อย่าง ดอน เกรแฮม ซีอีโอ ของ วอชิงตัน โพสต์ ก็ให้ความสนใจในการร่วมลงทุน กับ facebook เช่นเดียวกัน  ซึ่งตอนนี้ เหล่า VC ทั่วทั้ง ซิลิกอนวัลเลย์ ทั้งเล็กใหญ่ นั้นต่างมารุมตอม เพื่อรอโอกาสในการลงทุนกับ facebook โดยที่ไม่อยากตกขบวนนี้ กันทั้งหมด เรียกว่าตอนนี้ facebook นั้นเป็นต่ออยู่อย่างมาก เนื้อหอมจนสามารถเลือกผู้ที่จะร่วมลงทุนได้เอง

ดอน เกรแฮม ceo วอชิงตันโพสต์ ก็สนใจจะลงทุนกับมาร์ค

ดอน เกรแฮม ceo วอชิงตันโพสต์ ก็สนใจจะลงทุนกับมาร์ค

แต่ที่เอดูอาร์โดนั้น รู้สึกประหลาดใจที่สุด น่าจะเป็น เรื่องที่มาร์คแจ้งมาว่า ทางตัว มาร์ค , ฌอน และ ดัสติน  นั้นกำลังจะขายหุ้นออกไปประมาณคนละ 2 ล้านดอลลาร์ นี่เป็นจุดที่น่าจะสะกิดใจ เอดูอาร์โดที่สุด เค้าคิดว่า ทำไมในรายละเอียดของเค้าที่ได้เซ็นต์ไปนั้นไม่สามารถขายหุ้นของตัวเองได้ในเร็ว ๆ นี้อย่างที่มาร์ค , ฌอน และ ดัสติน กำลังจะทำได้อย่างแน่นอน

แล้วเอกสารที่เค้าเซ็นต์ไปในรอบที่แล้วนั้น มันไม่ใช่รูปแบบเดียวกับที่มาร์ค , ฌอน รวมถึง ดัสติน ได้เซ็นต์ไปหรือ?  และที่ไม่แฟร์ที่สุดคือ ทำไม ฌอน ที่มาหลังสุด ถึงสามารถทำเงินจาก facebook ได้แล้วถึง 2 ล้านเหรียญทั้งที่มาร่วมงานกับ facebook จริง ๆ จัง ๆ เพียงแค่ 3-4 เดือนเพียงเท่านั้น มันต้องมีอะไรที่ผิดปรกติอย่างแน่นอน

Relationship Status

มันเป็นวันที่ เอดูอาร์โด จะจดจำไปตลอดชีวิตเลยก็ว่าได้ กับการได้เห็นเอกสารที่ทางทนาย ได้ส่งให้ ในขณะเดินเข้ามาที่ ออฟฟิส ใหม่ของ facebook

นี่เป็นสำนักงานใหม่ ที่เป็นบริษัทจริง ๆ ครั้งแรกของ facebook ตั้งอยู่ใจกลาง ย่านธุรกิจของ พาโล อัลโต โต๊ะทำงานถูกสั่งซื้่อใหม่เอี่ยมทั้่งหมด ไม่มี โต๊ะเก่า ๆ ที่ซื้อมือสองจาก เครกลิสต์ อีกต่อไป

ออฟฟิสใหม่ที่ทำให้บริษัทเป็นมือถาชีพมายิ่งขึ้น

ออฟฟิสใหม่ที่ทำให้บริษัทเป็นมือถาชีพมายิ่งขึ้น

แถมยังมีการตกแต่งอย่างหรูหรา มีทั้งภาพกราฟิตี้ ที่ให้ศิลปินท้องถิ่น วาดให้เป็นจุดเด่นของ ออฟฟิสแห่งนี้

ทนายคนใหม่ ที่อยู่ระหว่าง เอดูอาร์โด และ มาร์ค ซึ่งก็เหมือน ทุก ๆครั้ง มาร์ค แทบจะไม่สนใจอะไร นั่งอยู่แต่หน้าจอคอม เขียนแต่โค้ด เพื่อกลบเกลื่อนทุกสิ่ง

ซึ่งหลังจากเอดูอาร์โด ได้อ่าน เนื้อหาในเอกสารต่าง ๆ  มันไม่เกี่ยวอะไรกับที่มาร์คอ้างเลย ที่บอกให้มาเรื่องประชุมธุรกิจ หรือ การเทรนพนักงานใหม่ อะไรทั้งสิ้น

มันคือการหักหลัง มันคือการลอบทำร้าย กันชัด ๆ เอดูอาร์โด ต้องใช้เวลาหลายนาทีในการทำความเข้าใจเอกสารทั้งหมด

ทำให้เค้าได้รู้ตัวว่า เค้ากำลังโดนหยามอย่างที่สุด มันเหมือน ถูกยิงเข้าที่กลางอกไม่มีผิด มันไม่สามารถบรรยายอะไรได้เลย กับความรู้สึกเช่นนี้ เขาเสียท่า เสียรู้ เขาควรจะรู้ตัวก่อนหน้านี้ซะอีก มันเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง

แต่เค้าเพียงไม่คิดว่า มันจะมาจาก มาร์ค มาจากเพื่อนสนิท เขาแทบจะเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของมาร์ค ตอนที่อยู่ ฮาร์วาร์ด ร่วมกันต่อสู้ฝ่าฟัน มาทุกอย่างตั้งแต่เริ่ม

มันคือการทรยศชัด ๆ ทรยศต่อความไว้ใจของเพื่อน มาร์คทรยศเขา ทำลายเขา และชัดเจนว่า ต้องการเอาทุกสิ่งไปทั้งหมด ทุกอย่างมันชัดเจนในเอกสารทั้งหมดที่อยู่ในมือเขานั่นแหละ

มีการเพิ่มหุ้นสามัญ จำนวน 19 ล้านหุ้น หลังจากนั้นมีการออกหุ้น อีกจำนวนถึงกว่า 20 ล้านหุ้น  และมีการอนุมัติ ให้มีการจัดสรรหุ้นมเพิ่มเติมให้กับ มาร์ค 3.3 ล้านหุ้นให้กับมาร์ค ส่วน ฌอน และ ดัสติน คนละ 2 ล้านหุ้น

ปรับเปลี่ยนสัดส่วนผู้ถือหุ้นหากมีนักลงทุนใหม่เรื่อย ๆ จนสัดส่วนของเอดูอาร์โด ลดลงเรื่อย ๆ

ปรับเปลี่ยนสัดส่วนผู้ถือหุ้นหากมีนักลงทุนใหม่เรื่อย ๆ จนสัดส่วนของเอดูอาร์โด ลดลงเรื่อย ๆ  (ภาพตัวอย่าง)

ซึ่งทำให้ตอนนี้ เอดูอาร์ดา เหลือหุ้นแทบจะไม่ถึง 10% และหากมีการกระทำอย่างงี้ต่อไปอีกโดยการออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่ไปเรื่อย ๆ สัดส่วนหุ้นของเขาจะถูกลดจนแทบจะเหลือ 0%  ซึ่งแน่นอน ต่อจากนี้ไปเขาไม่เซ็นต์อะไรทั้งสิ้น ไม่ ๆ  ๆ ๆ คำเดียวเท่านั้น และ ประกาศก้องให้มาร์ค กับทุกคนใน office นี้รู้ว่า เค้าจะมาเอาคืน ไม่ใช่ เพียงแค่ 30% แต่จะกลับมาเอาคืนทั้งหมดที่มาร์คทำไว้อย่างเจ็บแสบอย่างแน่นอน

ถ้าใครยังจำตอนแรก ๆ ที่เปิด thefacebook เราจะเห็นได้ว่า features สำคัญที่สุดของ thefacebook ที่เป็นจุดสำคัญในการแจ้งเกิดเลย ก็ คือ Relationship Status ที่เหมือน ป้ายห้อยคอ บอกสถานะ ว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร เป็นการขับเคลื่อนชีวิตในมหาลัย

จากเพื่อนกลายเป็นศัตรูในที่สุด

จากเพื่อนกลายเป็นศัตรูในที่สุด

แต่ตอนนี้ Relationship Status ระหว่าง ผู้ก่อตั้งทั้งสอง ระหว่าง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก อัจฉริยะ ด้านคอมพิวเตอร์ กับ เอดูอาร์โด ซาวาริน ผู้ซึ่งเหมือนเป็นคนลงทุนก่อร่าง สร้าง thefacebook มาตั้งแต่วันแรก ๆ แต่วันนี้ เค้าถูกเพื่อนที่เค้าคิดว่าเป็นเพื่อนรัก ทรยศ ไม่ว่ามาร์ค จะไปปรึกษาใคร มาก็ตาม แต่สุดท้ายการตัดสินใจสุดท้ายที่ทำอย่างงี้กับ เอดูอาร์โด ก็คือ มาร์ค อยู่ดี

ตอนนี้ Relationship Status ของทั้งคู่ได้เปลี่ยนจากคำว่า Friend เป็น Enemy หรือศัตรูอย่างแท้จริงแล้ว บทสรุปสุดท้ายของเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 12 : From God to Devil

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : Facemash (The Beginning) *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol

ประวัติ mark zuckerberg ตอนที่ 8 : Friend or Enemy?

By tharadhol in Books, Business, Investment, Marketing, Programming, Sci & Tech, Startup, Story December 3, 2018

อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนก่อนหน้า ที่ตอนนี้สถานะของ เอดูอาร์โด ใน thefacebook เริ่มจะสั่นคลอน เมื่อ ฌอน เข้าไปร่วมทีมกับมาร์ค ที่ซิลิกอน วัลเลย์ เพื่อจะพา thefacebook ก้าวข้ามไปอีกขั้นหนึ่งให้ได้ จากบริษัทที่เริ่มต้นในหอพักของ มหาลัย ฮาร์วาร์ด ตอนนี้ thefacebook กำลังเป็นที่หมายตาของนักลงทุนทั่วซิลิกอนวัลเลย์ ที่ต้องการที่จะเข้ามาร่วมลงทุน

เรียกได้ว่าตอนนี้ thefacebook เป็นบริษัทเนื้อหอมที่ดึงดูดนักลงทุนจำนวนมากที่กำลังได้กลิ่นเงิน ที่ thefacebook จะเจริญรอยตามความสำเร็จของบริษัทรุ่นพี่ อย่าง yahoo หรือ google ทำได้

thefacebook กำลังเนื้อหอมดึงดูดนักลงทุน

thefacebook กำลังเนื้อหอมดึงดูดนักลงทุน

ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับ ฌอน ในการพามาร์ค ไปหานักลงทุนเหล่านี้ เพราะความกว้างขวางของ ตัว ฌอน เอง และประสบการณ์ที่แสนเจ็บช้ำจากบริษัทก่อนหน้าอย่าง napster และ plexo นั้น ทำให้ ฌอน มีประสบการณ์ในการให้คำปรึกษามาร์ค เพื่อเลือกบริษัทลงทุนที่ถูกต้อง และต้องปกป้องตัวเอง ไม่ให้โดนถีบจากบริษัทที่สร้างมาด้วยมือตัวเองอีกครั้ง

เอดูอาร์โด นั้นก็เริ่มรู้สึกตะหงิดใจ หลังจากที่รู้ว่า ฌอนได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษามาร์ค เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มาร์ค เริ่มสาธยายถึงการได้ไปปาร์ตี้เพื่อนัดพบเหล่านักลงทุนที่สนใจ thefacebook เป็นจำนวนมาก และอยากให้ เอดูอาร์โดนั้นรีบทิ้งนิวยอร์ค แล้วกลับมาที่ ซิลิกอน วัลเลย์โดยด่วน

ปาร์ตี้ พบเหล่านักลงทุนเป็นเรื่องปรกติใน silicon valley

ปาร์ตี้ พบเหล่านักลงทุนเป็นเรื่องปรกติใน silicon valley

แม้ความเป็นจริงแล้ว เอดูอาร์โด จะลาออกจากฝึกงานตั้งแต่ไม่กี่วันแรก เพื่อทุ่มเทในการหาโฆษณา เพื่อมาลง thefacebook เพื่อมาช่วยพยุงรายจ่าย ที่จะเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วมาก ๆ ของ thefacebook

เอดูอาร์โด ยังมองว่าตัวเองเป็น CFO ของ thefacebook และดูแลเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจของ thefacebook อยู่ แต่ดูแล้วฝั่งมาร์คนั้น มองสิ่งที่ เอดูอาร์โดทำเป็นเรื่องที่ไร้สาระไปเสียแล้ว เพราะเม็ดเงินที่ ซิลิกอน วัลเลย์ ที่ได้พูดคุยกับเหล่านักลงทุนจำนวนมากนั้น ทำให้มาร์ค เห็นศักยภาพที่ thefacebook นั้นจะกลายเป็นบริษัทพันล้านเหรียญได้อย่างแน่นอน

เมื่อเพื่อนรักเริ่มแตกคอ

เราเริ่มได้เห็นรอยร้าว ระหว่างทั้งสองเริ่มเกิดขึ้น ทั้งสองเริ่มมีความคิดต่างกันในการนำพา thefacebook ไปข้างหน้า มันไม่ใช่เพราะฌอน เพียงอย่างเดียว แต่ดูเหมือน เอดูอาร์โด นั้นก็จะยึดมั่นในสัดส่วนที่ตัวเองถือหุ้น 30% รวมถึง การรับมอบตำแหน่งให้ดูแลเรื่องธุรกิจ ตามที่ได้ตกลงไว้เมื่อก่อตั้ง thefacebook ครั้งแรกที่ ฮาร์วาร์ด

เอดูอาร์โด เริ่มไม่พอใจที่มาร์ค ที่ให้ฌอน นัดแนะ ไปพบเหล่านักลงทุนต่าง ๆ โดยไม่มีเขาอยู่ด้วย เพราะเขาเป็นผู้ดูแลเรื่องธุรกิจของ thefacebook ตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งบริษัท ซึ่งเอดูอาร์โด มองว่าต้องยึดมั่นตรงนั้น หากต้องการทำธุรกิจร่วมกัน แล้วที่สำคัญ ฌอนนั้นเป็นแค่ที่ปรึกษา ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับบริษัทเลยด้วยซ้ำ และมาร์ค ก็ควรจะทำหน้าที่ของตัวเองคือดูแลส่วนของเทคโนโลยี หรือ การพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ  แทน และให้ตัวเขานั้นจัดการเรื่องธุรกิจทั้งหมด

จุดแตกหัก

หลังจากเริ่มที่จะคุยกันไม่รู้เรื่องนั้น และด้วยความโมโห ที่มาร์ค ไม่สนใจในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ที่นิวยอร์ก เลย จึงได้เริ่มเขียนจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่ง เพื่อยืนยันในสิทธิ์ทุกอย่างของเขา ใน thefacebook โดยชี้ให้มาร์คเห็นว่าเขานั้น เป็นผู้ทำหน้าที่หลักด้านธุรกิจของบริษัท และถือหุ้นอยู่ 30% ของบริษัท

เขาต้องทำทุกอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้มาร์คได้ยอมรับความจริงในข้อนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้มาร์คไปรับข้อเสนอทางการเงินจากนักลงทุน ที่ไม่ได้รับการยินยอมจากเขา และยืนยันในสิ่งที่เขากำลังทำที่นิวยอร์ก นั้นเป็นเรื่องเหมาะสม

มาร์คต้องการให้เอดูอาร์โด ย้ายมาซิลิกอน วัลเลย์ โดยด่วนที่สุด

มาร์คต้องการให้เอดูอาร์โด ย้ายมาซิลิกอน วัลเลย์ โดยด่วนที่สุด

แต่หลังจากที่มาร์คได้รับจดหมายจาก เอดูอาร์โดนั้น  ก็ยังยืนยันจะให้ เอดูอาร์โด ย้ายมาที่ซิลิกอน วัลเลย์ โดยด่วนที่สุด และเริ่มเล่าเรื่องที่ได้ไปพบนักลงทุนที่น่าสนใจ ที่จะให้เงินก้อนสำหรับ thefacebook เพื่อให้รองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วแบบนี้ต่อไปได้ เขายืนยันว่า thefacebook ต้องการเงินก้อนนั้นโดยด่วน เพราะกำลังเข้าสู่ภาวะที่เงินใกล้จะหมดเต็มทีแล้ว และไม่สามารถที่จะรองรับการเติบโตได้อีกต่อไป เนื่องจากยิ่งขยาย ก็ต้องใช้เงินทุนเพิ่ม ต้องจ้างคนเพิ่มเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ให้ได้ ต้องหาเงินทุนโดยด่วน

ฝั่งเอดูอาร์โด เมื่อได้รับ message กลับมาอย่างงี้นั้น ก็มองว่า มาร์ค ไม่ได้สนใจประเด็นที่เขาต้องการจะสื่อ เลย โดยเฉพาะเรื่องการพบปะกับนักลงทุนเพื่อคุยเรื่องธุรกิจโดยไม่มีเขา

ซึ่งมันถึงเวลาแล้วที่ เอดูอาร์โด ต้องทำอะไรซักอย่าง โดยสามวันหลังจากการคุยครั้งล่าสุด ที่ตกลงกันไม่ได้ ด้วยความโมโห จึงได้ทำอะไรที่ไม่ยั้งคิด คือการอายัดบัญชีทั้งหมด รวมถึงยกเลิกเช็คทั้งหมดของ thefacebook ที่มาร์ค ใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจที่ ซิลิกอน วัลเลย์

เอดูอาร์โด ต้องทำอะไรซักอย่างให้มาร์คกลับมาสนใจ

เอดูอาร์โด ต้องทำอะไรซักอย่างให้มาร์คกลับมาสนใจ

แม้เขาจะรู้ว่านี่มันเริ่มที่จะล้ำเส้น แต่ มันต้องทำเพื่อให้มาร์ค ได้รับรู้ว่า เค้าเป็นคนออกเงินทุนหลัก มาร์ค และทีม ที่สามารถอยู่ได้ใน ซิลิกอน วัลเลย์ นั้นเพราะเงินของเขาแทบจะทั้งสิ้น  แต่สิ่งที่ เอดูอาร์โด ลืมคิดไปคือ การที่ทำอย่างงี้ มันเสี่ยงต่อสถานะ ที่ thefacebook ที่จะถูก shutdown ได้หากไม่มีเงินมาจ่ายค่า server รวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในบริษัท มันเป็นการนำพาบริษัทไปสู่จุดเสี่ยงโดยใช่เหตุ การที่ thefacebook down เพียงแค่ไม่กี่นาที ก็มีผลต่อ user ที่จะหนีไปใช้ระบบอื่นได้ เหมือนที่ friendster เคยโดนมาแล้ว

thefacebook มีความเสี่ยงที่จะหยุดทำงาน

thefacebook มีความเสี่ยงที่จะหยุดทำงาน

สถานการณ์ตอนนี้ของ thefacebook ถือว่าล่อแหลมมาก ทุกอย่างมันกดดันหมด จำนวนผู้ใช้งานก็โตขึ้นเรื่อย ๆ แถมเงินที่มีก็เริ่มร่อยหรอลงไปทุกที ไม่ต้องฝันถึงรายได้ที่ตอนนี้ยังไม่มีการหารายได้ที่ชัดเจน มีสิ่งเดียวที่ทำได้คือการหานักลงทุนมาเข้าร่วมลงทุน เพื่อทำ thefacebook ให้มันเดินต่อไปได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างผู้ก่อตั้งทั้งสอง มันคงถึงจุดแตกหักแล้วจริง ๆ สำหรับ มาร์ค และ เอดูอาร์โด การไม่คุยกันให้เคลียร์ รวมถึงการตัดสินใจที่ ไม่ได้คิดให้รอบคอบของ เอดูอาร์โด ครั้งนี้แหละ เป็นจุดสำคัญที่ ทำให้มาร์ค นั้นเปลี่ยนไป มันคงถึงเวลาแล้วที่ มาร์ค จะต้องนำพา thefacebook ก้าวข้ามต่อไปด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องมีเอดูอาร์โด อีกต่อไปแล้ว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกับ thefacebook ในช่วงเวลาที่บีบคั้นเช่นนี้ มาร์คจะนำพาบริษัทไปทางไหน ฌอนจะได้ผลประโยชน์อะไรจากการตัดสินใจครั้งนี้ โปรดติดตามตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 9 : Facebook, Inc.

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : Facemash (The Beginning) *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol

ประวัติ mark zuckerberg ตอนที่ 6 : Silicon Valley Effect

By tharadhol in Books, Business, Investment, Marketing, Programming, Sci & Tech, Startup, Story December 3, 2018

ก่อนจะปิดเทอมภาคฤดูร้อนในอีก สองถึง สามสัปดาห์ข้างหน้า ตอนนี้ ทีมงาน thefacebook ต้องทำงานตัวเป็นเกลียว จนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน รวมถึงต้องขาดเรียนในบางวิชา เพราะตอนนี้ thefacebook กำลังเติบโตอย่างพุ่งกระฉูด จนหยุดไม่อยู่แล้ว และมันเติบโตเร็วมาก ๆ จากกระแสปากต่อปาก ในมหาลัยทั่ว สหรัฐอเมริกา

จำนวนผู้ใช้งานตอนนี้นั้น พุ่งไปแตะ ที่ 150,000 คนแล้ว โดยกระจายไปกว่า 30 มหาลัยทั่วสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการคำนวนไว้ว่า จะถึง 100 มหาลัย เมื่อหมดฤดูร้อนที่จะถึงนี้ ทางทีมจึงต้องมีการขยายทีมงานอย่างเร่งด่วน มีการรับโปรแกรมเมอร์เพิ่มขึ้นมาจากชมรมคอมพิวเตอร์ของ ฮาร์วาร์ด เพราะใครก็อยากร่วมงานกับ thefacebook จึงได้มือดีเข้ามาช่วยงานอีกสองถึงสามคน

thefacebook เริ่มกระจายไปในมหาลัยทั่วอเมริกาแล้ว

thefacebook เริ่มกระจายไปในมหาลัยทั่วอเมริกาแล้ว

แถมข่าวของ facebook ดังถึงขนาดว่า มีนักลงทุนหลายราย มาด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ในมหาลัย เพื่อตามหาตัวมาร์ค เพื่อจะลงทุน ใน thefacebook ซึ่งตอนนั้น มีข้อเสนอตัวเลขถึง 7 หลักเลยทีเดียว แต่ก็ยังไม่มีข้อเสนออะไรที่ชัดเจนมากนัก แต่ เอดูอาร์โด ก็เริ่มเห็นมูลค่าของ thefacebook ที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จึงพร้อมที่จะลงทุนเพิ่มขึ้นไปอีก โดยเงินส่วนใหญ่นั้นทั้งที่จ้าง programmer หรือ ค่า server ต่าง ๆ ก็มาจาก เอดูอาร์โด เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะรู้อยู่ว่ามาร์ค นั้นแทบจะไม่มีเงิน

VC เริ่มเข้าหา มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เพื่อขอร่วมลงทุน

VC เริ่มเข้าหา มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เพื่อขอร่วมลงทุน

และ thefacebook ก็เริ่มปรับรูปแบบให้เป็นบริษัทที่ชัดเจนมากยิ่ง มีการจดทะเบียนบริษัทใหม่ใน ฟลอริด้า ซึ่งเป็นที่อยู่ของครอบครัว เอดูอาร์โด และทำการจัดสรรปันส่วนหุ้นใหม่ โดย มาร์คลดลงเหลือ 65% และแบ่งให้ ดัสติน มอสโกวิทช์ 5% ส่วนสัดส่วนของ เอดูอาร์โด นั้นยังคงเดิมที่ 30%

และแม้เอดูอาร์โด จะไม่ค่อยสนับสนุนแผนการที่มาร์ค จะพาทีมงานไปบุกซิลิกอน วัลเลย์ ซักเท่าไหร่ แต่ ทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว มาร์ค จองบ้านเช่าใกล้ มหาลัยสแตนฟอร์ดไว้เรียบร้อย  ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ส่วน เรื่องฝึกงานของ เอดูอาร์โดนั้นก็ถูกจัดการไว้หมดเรียบร้อยแล้วเช่น เอดูอาร์โดจึงต้องยอมมาร์ค โดยได้ใส่เงินให้มาร์คเพิ่มขึ้นไปอีกรวมทั้งค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดที่ ซิลิกอน วัลเลย์ด้วย เอดูอาร์โด ลงทุนเพิ่มไปอีกเป็น 18,000 เหรียญสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ  ที่จะเกิดขึ้นดังกล่าว

แม้จะมีความกังวลอยู่บ้างแต่เค้าก็คงไม่คิดว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้มากมาย เพียงแค่ 2-3 เดือน และที่สำคัญ การห่างกันนั้นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทำงานซักเท่าไหร่ เพราะมี internet เชื่อมต่อเพื่อคุยงานกันได้อยู่แล้ว และก็เป็นหนทางที่ตัวเองต้องการอยู่แล้วกับการไปฝึกงานที่บริษัทวาณิชธนกิจใหญ่ ๆ ในนิวยอร์ค เป็นทางเลือกไว้เผื่อสุดท้ายหากโปรเจค thefacebook มันไม่เวิร์คจริง ๆ ขึ้นมาเค้าก็ยังทางที่จะเดินต่อไปได้

Silicon Valley Effect

การพาทีมเข้ามาสู่ ซิลิกอน วัลเลย์ เพื่อซึมซับ บรรยากาศ ของการสร้างผู้ประกอบการหน้าใหม่ การสร้างสตาร์ทอัพ รวมถึงเป็นสถานที่ ๆ บริษัทใหญ่ ๆ ที่เริ่มก่อตั้งในโรงรถ ได้แจ้งเกิดกลายเป็นบริษัทพันล้าน หมื่นล้านเหรียญมาแล้วหลายราย ตัวอย่างเช่น yahoo , google หรือ แม้กระทั่ง apple เองเคยทำได้

จากตอนที่แล้ว ที่ ฌอน ปาร์คเกอร์ ได้สัญญากับมาร์ค ไว้ว่าจะนัดคุยกันอีกครั้ง ซึ่งทั้งคู่ก็ได้แลกเปลี่ยน email ติดต่อกัน เพื่อหาโอกาสที่จะเจอกันอีกครั้ง โดยมีการนัดแนะกันไว้ ว่าจะเจอกันในงานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิค ที่ลาสเวกัส ในอีกไม่กี่เดือนที่จะถึง

แต่เหมือนทุกอย่างถูกลิขิตไว้แล้ว ฌอน นั้นได้มาพักอยู่กับแฟนสาว ซึ่งเรียนปีสุดท้ายอยู่ที่ มหาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่ง บังเอิญเหลือเกินที่บ้านหลังนั้นอยู่ห่างจากบ้านที่มาร์ค เช่าไว้เพียงไม่กี่บล็อค ซึ่งในที่สุดพวกเขาทั้งสองก็ได้เจอกันอีกครั้ง

บ้านที่มาร์คเช่า กับ บ้านของแฟนสาว ฌอน นั้นห่างกันไม่กี่บล็อค

บ้านที่มาร์คเช่า กับ บ้านของแฟนสาว ฌอน นั้นห่างกันไม่กี่บล็อค

เหมือนชะตาลิขิตให้ทั่งคู่ต้องมาร่วมงานกัน แฟนสาวของฌอน นั้นก็ต้องย้ายกลับบ้านไปในอีก 1 อาทิตย์ ซึ่งหลังจากนั้น ฌอนก็ไม่มีที่สิงสถิตย์แล้ว การเจอกับมาร์คอีกครั้งนั้น มันเป็นการเหมือนเติมไฟความฝันที่จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งของ ฌอน เพราะเค้ารู้ตั้งแต่แรกเห็นว่า thefacebook นั้นจะต้องกลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอน

ฌอนอยากมีส่วนร่วมกับมาร์คมาก ๆ ซึ่งไม่ต้องพูดถึงมาร์คเลย เพราะมาร์คนั้นมองฌอนเหมือนเทพเจ้า ที่ตัวเองต้องเดินตามรอยให้ได้ มันจึงเป็นอะไรที่ลงตัวมาก มาร์คนั้นแทบจะไม่ต้องเอ่ยปากชวน ก็รู้ว่าทั้งสองนั้นต้องการที่จะร่วมมือกัน และพา thefacebook ข้ามไปอีกขั้นให้ได้

สุดท้าย มาร์ค ก็ชวนฌอน ให้มาอยู่ด้วยกัน เมื่อ ฌอน ไปถึงบ้านที่มาร์คเช่าไว้ และพบทีมงานของมาร์ค ก็ทำให้ความรู้สึกเหมือนกลับไปตอนที่สร้าง napster ใหม่ ๆ อีกครั้ง บรรยากาศทุกอย่างมันใช่เลย ทีมงานที่นั่งเขียนโปรแกรมตลอดทั้งวันทั้งคืน ถาดพิซซ่าที่วางอยู่เต็มบ้าน เครื่องเล่นเกมส์ ที่วางอยู่เรียงราย มันใช่เลยจริง ๆ

กับเหล่าทีมงานใน silicon valley

กับเหล่าทีมงานใน silicon valley

ทีมงานโปรแกรมเมอร์ที่มาร์ค พามาจากชมรมคอมพิวเตอร์ ก็ล้วนแล้วแต่อัจฉริยะแทบทั้งสิ้น นี่แหละคือส่วนผสมที่ลงตัวที่สุด ที่ ฌอนไม่ได้พบเจอมานานแล้ว บริษัทนี้แหละจะกลายเป็นบริษัทในตำนานแห่งความสำเร็จที่่ยิ่งใหญ่ในซิลิกอน วัลเลย์ยุคใหม่นี้ได้อย่างแน่นอน

ฌอนแปลกใจอย่างเดียวที่ไม่เห็น เอดูอาร์โด ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานที่หนักหนาสาหัสเหล่านี้ มาร์ค บอกกับฌอนว่า เอดูอาร์โดต้องไปนิวยอร์ค เพื่อไปฝึกงานในวาณิชธนกิจ การไม่มี เอดูอาร์โดมาที่ ซิลิกอน วัลเลย์นั้น ทำให้ ฌอน แทบจะตัดเขาออกไปจากการมีส่วนร่วมกับความยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นที่นี่

ทั้งที่ตัวฌอนเองในขณะนั้นยังไม่ได้มีหุ้นส่วนอะไรเลยใน thefacebook แต่ ฌอน มั่นใจว่า เอดูอาร์โด นั้นได้พลาดการมีส่วนร่วมในการก้าวข้ามไปอีกระดับของบริษัทนี้อย่างแน่นอนแล้ว  ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตลอดที่ซิลิกอน วัลเลย์แห่งนี้ การไม่ได้มาที่นี่มันแสดงให้เห็นถึงความไม่มีความทะเยอทะยาน ที่จะสร้างอะไรที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ มันต้องเป็นแบบมาร์ค ที่หายใจเข้าออกเป็น thefacebook ใช้เวลาทุกนาทีในทุก ๆ วันอยู่กับ thefacebook

สถานะของเอดูอาร์โด ใน thefacebook เริ่มสั่นคลอนแล้ว

สถานะของเอดูอาร์โด ใน thefacebook เริ่มสั่นคลอนแล้ว

ดูเหมือนถึงตอนนี้สถานการณ์ของ เอดูอาร์โด ใน thefacebook เริ่มสั่นคลอนแล้ว แม้เค้าจะเป็นผู้ลงทุนเงินทั้งหมด และถือหุ้นอยู่ 30% แต่ที่นี่คือซิลิกอนวัลเลย์ ดินแดนแห่งทุนนิยม ที่พร้อมจะอัดฉีดเงินได้ไม่อั้น ให้กับ สตาร์ทอัพที่พร้อมจะเติบโตสร้างกำไรให้กับเหล่านักลงทุนในอนาคต และมีนักกฏหมายด้านการลงทุน ที่พร้อมจะพลิกแพลงบริษัท หรือ ยึดบริษัทที่รู้ไม่เท่าทัน เหมือนที่ ฌอน ปาร์คเกอร์ นั้นได้เคยโดนถีบส่งจากบริษัทที่ตัวเองสร้างกับมือ มาแล้ว

และ การที่ ฌอน ปาร์คเกอร์ ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางแห่ง ซิลิกอน วัลเลย์ ที่มี คอนเน็คชั่นมากมายกับเหล่านักลงทุนทั่ว ซิลิกอนวัลเลย์เข้ามาร่วมชายคาเดียวกับมาร์คแล้วด้วยนั้น มันจะส่งผลให้เกิดอะไรขึ้น กับ หุ้นส่วนคนแรก ผู้ซึ่งร่วมสร้าง thefacebook มาตั้งแต่ก้าวแรก ฝ่าฝันต่อสู้กับมาร์คมาโดยตลอด อย่าง เอดูอาร์โด ซาเวริน โปรดติดตามตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 7 : ConnectU

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : Facemash (The Beginning) *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol

ประวัติ mark zuckerberg ตอนที่ 5 : The GodParker

By tharadhol in Books, Business, Investment, Marketing, Programming, Sci & Tech, Startup, Story November 28, 2018

หลาย ๆ คนอาจจะรู้จัก ฌอน ปาร์กเกอร์ (Sean Parker) ผู้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติอุตสาหกรรมดนตรี จากเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง บริการแชร์ไฟล์เพลงชื่อดัง อย่าง napster ร่วมกับ ชอว์น แฟนนิ่ง โดยเป็นการก่อตั้งตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แต่สร้าง effect มหาศาลให้กับอุตสาหกรรมดนตรีทั่วโลก  ซึ่ง napster นั้นประสบความสำเร็จใหญ่หลวงในการบรรลุเป้าหมาย ในการปลดปล่อยอิสระ แก่วงการเพลง และอีกทางหนึ่งก็เป็นการ disrupt ธุรกิจเพลงสมัยเก่าอย่างสิ้นซาก ดังที่จะเห็นในวันนี้ว่า แทบจะไม่มีร้านขาย CD เพลงอีกต่อไป จากเดิมที่เคยเป็นธุรกิจที่ยิ่งใหญ่

แม้สุดท้ายนั้น napster จะถูกฟ้องร้องจากค่ายเพลงจำนวนมาก จนถึงกับล้มละลาย เพราะเป็นบริการแชร์ไฟล์ ที่ผิดกฏหมาย แต่มันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการเพลงอย่างชัดเจน การซื้อขายเพลงรูปแบบเก่าที่เป็นแบบ physical CD แทบจะหายไปจากตลาด และได้กลายมาเป็นระบบดิจิตอลแทนทั้ง จนถึงวันนี้ก็ได้พัฒนามาเป็น บริการด้าน streaming อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

napster ที่เคยล้มละลายไม่เป็นท่าหลังจากถูกฟ้องร้อง

napster ที่เคยล้มละลายไม่เป็นท่าหลังจากถูกฟ้องร้อง

หลังจากจบไม่สวยกับ napster นั้น ฌอน ปาร์กเกอร์ ก็พยายามที่จะรังสรรค์ สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา โดยปรับปรุงตัวใหม่จากหนุ่มเสเพลย์ ให้กลายเป็นนักธุรกิจเต็มตัว แล้วเริ่มสร้างบริการนามบัตรออนไลน์ ในชื่อ “แพล็กโซ” บริษัที่ ฌอน ปาร์กเกอร์  หวังว่าจะลบภาพลักษณ์เดิม ๆ ของเค้าจากความล้มเหลวที่ napster ให้กลับมายิ่งใหญ่ใน ซิลิกอน วัลเลย์ ได้อีกครั้ง

plexo ความล้มเหลวอีกครั้งของ ฌอน ปาร์คเกอร์

plexo ความล้มเหลวอีกครั้งของ ฌอน ปาร์คเกอร์

แต่ทุกอย่างที่เค้าฝัน ก็ต้องพังทลายอีกครั้ง เมื่อถูก บริษัทลงทุน อย่าง เซคัวเอีย แคปปิตอล ของ ไมเคิล มอริตซ์ ซึ่งเป็นบริษัทที่เค้าชักนำเข้ามาเองให้มาลงทุนกับ แพล็กโซ นั้น ถีบเค้าออกจากบริษัท และยึดบริษัทไปครองเป็นของตัวเองแทน เนื่องจากปัญหาหลายอย่างในความไม่ลงรอยกันระหว่าง ฌอน ปาร์กเกอร์ กับ ไมเคิล มอริตซ์ ซึ่งเป็นที่มาของการที่จะต้องหาบริษัทใหม่ ที่กำลังเกิดอยู่ที่ไหนซักแห่ง อีกครั้งเพื่อมากู้หน้าตัวเอง และสั่งสอนพวกบริษัทลงทุนเหล่านี้ ที่เหมือนขโมยบริษัทของเขาไปต่อหน้าต่อตา ได้อย่างเจ็บแสบที่สุด

ชั้นจะตามหานายให้เจอ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก

แม้จะผ่านมาช่วงหนึ่งแล้วหลังจากที่เค้า โดนถีบออกจากบริษัทที่ตัวเองก่อตั้งอย่าง แพล็กโซ แต่ ฌอน ปาร์กเกอร์ ก็ยังคงวนเวียน อยู่แถบ แคลิฟอร์เนียร์ รวมถึง ซิลิกอน วัลเลย์ แม้โดยทฤษฏี แล้วนั้น เค้าก็ยังถังแตกอยู่ จากสองบริษัทแรก แต่ ก็มีชื่อเสียงพอควร ในแถบ ซิลิกอน วัลเลย์ มีเพื่อนเป็นเศรษฐีมากหน้าหลายตา ที่เค้าสนิทด้วย ซึ่งชีวิตช่วงนั้น ก็ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการปาร์ตี้ รวมถึง มองหา startup ที่น่าสนใจ ที่จะทำให้เค้าสามารถที่จะกลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง และมันต้องไม่ล้มเหลวแบบสองครั้งแรก

ซึ่งในช่วงปี 2003-2004 นั้น ความ hot มันอยู่ที่เครือข่ายสังคม online ที่เว๊บเกิดขึ้นมากมายแล้ว ตัวอย่างเช่น friendster หรือ myspace  ซึ่ง ฌอน ปาร์กเกอร์ มองว่าเป้าหมายถัดไปของตัวเองต้องเป็นเครือข่ายสังคมซักตัว ที่จะมาเปลี่ยนโลกได้ มันต้องเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ลำดับถัดไปอย่างแน่นอน หลังจาก ที่ google ทำสำเร็จมาแล้วกับ search engine

มีสัมพันธ์ที่ดีกับ peter thiel

มีสัมพันธ์ที่ดีกับ peter thiel

และส่วนนึงเค้าก็ยังมีการสร้างความสัมพันธ์กับ friendster ไว้ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยแนะนำ บริษัทลงทุน หรือ VC ไปให้กับผู้ก่อตั้ง friendster  เพราะ connection มากมายหลายคนที่สนิทในวงการจากการทำ startup 2 ตัวแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับ ปีเตอร์ ธีล ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการก่อตั้ง paypal ทีกำลังก่อร่างสร้างตัวกับธุรกิจใหม่ในบริษัท VC เหมือนกัน

และในเดือน มีนาคม ปี 2004 หลังจากจบปาร์ตี้อย่างเมามันของคืนก่อน เค้าก็ตื่นขึ้นมาในห้องของสาวนักศึกษาคนหนึ่งของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ที่น่าจะควงกันมาจากปาร์ตี้ โดยที่แทบจะจำอะไรไม่ได้ แต่รู้ว่าต้องเป็นห้องของผู้หญิงอย่างแน่นอน สมฉายา แบดบอย แห่ง ซิลิกอน วัลเลย์ ที่ควงผู้หญิงเปลี่ยนหน้าตาไปเรื่อยๆ

หลังจากหายจากอาการเมาจากเมื่อคืน เค้าก็ลุกมานั่ง และพบว่า บนโต๊ะ ข้างที่นอน มีโน๊ตบุ๊คที่ยังคงเปิดค้างอยู่ ซึ่งมันไม่ใช่โน๊ตบุ๊คของเขาอย่างแน่นอน ซึ่งถึงเวลาที่ ฌอน ปาร์กเกอร์ ต้องเช็คเมล์ ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันที่เค้าต้องทำในทุก ๆ เช้าอยู่แล้ว

เมื่อเขาคว้าโน๊ตบุ๊กมาวางบนตัก แล้วพบเว๊บไซต์หนึ่ง online อยู่ แล้วเค้าก็พยายามเลื่อนเว๊บลงมาเพื่อตรวจสอบ แต่ต้องบอกว่า เป็นสิ่งที่เซอร์ไพรซ์ เขาเป็นอย่างมาก เค้าไม่เคยเห็นเว๊บไซต์แนวนี้มาก่อน มันดูเรียบง่าย มีรูปโปรไฟล์ของเจ้าของ account โชว์อยู่ ทุกอย่างดูดี ด้วยสีฟ้าของ แถบด้านบน มันดูไม่รกตา มี profile ของสาวดังกล่าว มีรายชื่อเพื่อน ๆ ของเธอ เพลงที่เธอชอบ รวมถึงหนังสือ ที่เธอชอบ วิชาที่กำลังลงทะเบียนเรียน

ชั้นจะตามหานายให้เจอ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก

ชั้นจะตามหานายให้เจอ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก

ซึ่งทุก activity ในเว๊บนั้นมามาจากเพื่อนของเธอจริงๆ มันคือ เครือข่ายสังคมของจริง ที่ขับเคลื่อนชีวิตในมหาลัย  ฌอน ปาร์กเกอร์ ตาเบิกโพลง ในที่สุดเค้าก็เจอสิ่งที่เค้าต้องการแล้ว นี่แหละ คือสิ่งที่เค้าตามหา social network ที่เป็นเครือข่ายสังคมจริง ๆ มันชัดเจนมาก ชีวิตในมหาลัย มันเป็นกลุ่มคนที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และยังเป็นช่องว่างของตลาดที่ตอนนั้น friendster หรือ myspace ยังไม่นึกถึง เมื่อเลื่อนมาตรงสุดท้ายที่ footer ของหน้าเว๊บ มันเขียนไว้ว่า “ผลงานของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก”

“นี่มันคือสิ่งเดียวกันชัด ๆ ที่ผมอยากจะทำ นี่มันต้องเป็นสิ่งที่พลิกโลก ได้อย่างแน่นอน มันต้องกลายเป็นบริษัท มูลค่าหลายพันล้านเหรียญ แล้วชั้นจะตามหานายให้เจอ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก”  ฌอน ปาร์กเกอร์ กล่าว

The GodParker

หลังจาก thefacebook เปิดให้ใช้งานมา กว่า 3 เดือนครึ่ง กระจายไปยังหลาย ๆ มหาลัย ทั่วสหรัฐอเมริกา มีผู้ใช้งานสูงถึงกว่า 75,000 คนแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องปรกติที่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ต้องเพิ่มมากขึ้นตาม ค่า server ต่าง ๆ ที่ต้องรองรับการใช้งานเพิ่มขึ้นในส่วนนี้นั้น ก็ต้องใช้ของ เอดูอาร์โด ซาเวริน ที่เป็นนายทุนหลักของ thefacebook กว่าหลายพันเหรียญ

เพราะฉะนั้นในฐานะ CFO การปล่อยให้เงินไหลออกไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีรายรับเข้ามาคงไม่ดีแน่ เอดูอาร์โด ซาเวริน จึงได้เริ่มทำการออกตระเวนหาสปอนเซอร์ ที่จะเข้ามาสนับสนุน เว๊บไซต์ ผ่านการโฆษณา จึงได้จัด Business Trip เพื่อไปที่นิวยอร์ค ร่วมกับ มาร์ค และ แฟนสาวของเอดูอาร์โด ซาเวริน (เคลลี่) ที่จะมาเยี่ยมครอบครัวที่นิวยอร์กพอดี

แม้ เอดูอาร์โด ซาเวริน จะพยายามนัดหาพาร์ทเนอร์ เพื่อมาลงโฆษณากับ thefacebook กับธุรกิจหลายราย แต่มันไม่เคยเป็นไปด้วยความราบรื่นเลย เพราะมาร์ค นั้น ไม่ได้อยากจะให้ เว๊บมีโฆษณา ในขณะที่ยังไม่รู้ว่าทิศทางของเว๊บ จะเป็นยังไงต่อไป โดยเอาแต่หลับ หรือ เงียบกริบ เมื่อพูดคุยเรื่อง ธุรกิจกับ เหล่า สปอนเซอร์ที่คาดว่าจะเป็นลูกค้า thefacebook

facebook ต้องมีโฆษณามาหล่อเลี้ยง

thefacebook ต้องมีโฆษณามาหล่อเลี้ยง

แม้สถิติ การใช้งานทุกอย่างจะดูดี ผู้ใช้งาน thefacebook นั้น มีแนวโน้มที่จะเข้ามาใช้อีกกว่า 67% แต่ในช่วงนั้นก็ต้องยอมรับว่า เครือข่ายสังคมออนไลน์ แบบที่ thefacebook ทำนั้นยังเป็นเรื่องใหม่ ที่เหล่านักธุรกิจต่าง ๆ ยังไม่เข้าใจ ว่าจะใช้ประโยชน์จากมันยังไง

แต่มีการนัดกับคน ๆ หนึ่ง ที่มาร์คให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยจัดขึ้นที่ร้านอาหารจีนสุดหรู แห่งหนึ่ง กลางเมืองนิวยอร์ก ซึ่งเค้าคนนั้นก็คือ ฌอน ปาร์กเกอร์  ผู้ที่ในที่สุดก็ตามหามาร์ค จนเจอนั่นเอง แต่ดูเหมือน  เอดูอาร์โด ซาเวริน จะกังวลกับ นัดครั้งนี้อยู่มาก เพราะชื่อเสียงที่ย่ำแย่ของ ฌอน ปาร์กเกอร์  ที่เคยทำ 2 ในบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอินเตอร์นั้น พังพาบมาแล้วกับมือ ซึ่ง เอดูอาร์โด ซาเวริน เองก็ไม่รู้ว่าทำไม ฌอน ถึงอยากพบเจอกับพวกเขา

เมื่อ ฌอน มาถึง แม้จะสายกว่าเวลานัดไปมาก แต่ดูเหมือน มาร์ค จะตื่นเต้นอย่างมากที่จะได้พบกับ ฌอน ซึ่งถ้ามองในเรื่อง computer แล้วนั้น ฌอน ถือเป็นเทพแห่งวงการ เป็น hacker มือฉมัง จึงไม่แปลกใจที่ มาร์ค จะดูเหมือน เทิดทูน ฌอน เป็นอย่างมาก ผิดกับ เอดูอาร์โด ซาเวริน ที่มองแต่ด้านธุรกิจ รวมถึง ข่าวเสีย ๆ หาย ๆ เรื่อง เหล้ายา เป็นหนุ่ม ปาร์ตี้ และเป็น แบดบอย แห่ง ซิลิกอน วัลเลย์

ในสายตาของ มาร์คแล้วนั้น ฌอน คือเทพเจ้าดี ๆ นี่เอง การพูดคุยกันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่อง facebook เลย เป็น ฌอน ที่ร่ายยาว ประวัติส่วนตัว การผจญภัย ในซิลิกอน วัลเลย์ของเขา ตั้งแต่การก่อตั้ง napster ตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ การถูกฟ้องล้มละลาย มาสร้างบริษัทใหม่อย่าง แพล็กโซ ซึ่งหวังจะกู้ชื่อกลับมา แต่สุดท้าย ถูกถีบส่งทิ้งอย่างไม่ใยดี อย่าเรียกว่า business meeting เลย เป็น ฌอน ปาร์กเกอร์โชว์ เสียมากกว่า เพราะมีการคุยกันเรื่อง facebook เพียงนิดหน่อย เป็นการถามข่าวคราวอัพเดทล่าสุดเพียงเท่านั้น แล้วเค้าก็จากไป โดยสัญญากับมาร์คว่าจะหาทางพูดคุยกันต่ออีกครั้งในเร็ว ๆ นี้

มาร์ค มอง ฌอน เหมือนเป็นเทพเจ้าในขณะนั้น

มาร์ค มอง ฌอน เหมือนเป็นเทพเจ้าในขณะนั้น

จบการคุยกัน มาร์ค ถึง กับยังตาค้างอยู่กับ ความเทพ ที่พ่นออกมาจากปากของ ฌอน แม้ว่า ฌอน จะกลับไปนานแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนสีหน้าปลาบปลื้มของมาร์ค นั้น ยังไม่เลือนหายไปจากใบหน้าของเขาเลย ซึ่งไม่ใช่คำเกินเลย หากจะเรียก ฌอน ว่า The GodParker ของมาร์ค ตอนนี้ ฌอน เข้าไปอยู่ในใจมาร์ค เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รอแค่ว่าจะมีโอกาสได้คุยกันอีกครั้งเมื่อไหร่ก็เท่านั้น

ส่วน เอดูอาร์โด เองก็ยังคิดไม่ออก ว่าจะทำอย่างไรกับ เว๊บไซต์นี้ดี จะทำเงินกับมันได้อย่างไร เพราะตอนนี้ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่เว๊บ ยังไม่มีทีท่าว่าจะทำเงินได้เลย และที่สำคัญคือ มาร์ค ยังมอง thefacebook เป็นเพียงเรื่องสนุก ความ cool  ความเจ๋งเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงเรื่อง business ใด  ๆ

และอีกอย่างนึงก็คือ ขณะนี้ก็ใกล้ช่วงปิดเทอมแล้ว ซึ่งมาร์ค กับทีมนั้นมีแผนการที่จะพาทีมไปยัง ซิลิกอน วัลเลย์ เพื่อไปซึมซับบรรยากาศการทำงาน และเข้าใกล้แหล่งเงินทุนให้มากขึ้น ส่วน เอดูอาร์โด นั้นเนื่องจากยังไม่เห็นทีท่าว่าเว๊บจะทำเงินได้อย่างไร จึงเลือกไปฝึกงานตามคำแนะนำของพ่อที่นิวยอร์ค แทน และใช้เวลาว่าง คอยหาสปอนเซอร์ ที่ส่วนใหญ่มีฐานบริษัทอยู่แถบนิวยอร์คแทบทั้งสิ้น

เค้าจึงคิดว่าการปล่อยมาร์ค กับทีมไปครั้งนี้คงไม่ได้เกิดปัญหาอะไร และเค้ายังลงเงินไปอีกกว่า 10,000 เหรียญ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของทีม ซึ่งใครจะไปคิดว่านี่ถือเป็นความคิดที่ผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ เอดูอาร์โด ทำ เพราะการไปบุก ซิลิกอน วัลเลย์ของมาร์คกับทีม โดยที่ตัวเองแยกมาที่นิวยอร์กคนเดียวในครั้งนี้นั้น ทำให้มาร์ค และ  thefacebook เปลี่ยนไปตลอดกาล แล้วเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนในช่วงปิดเทอมนั้น จะเปลี่ยนอะไรได้มากมายที่ ซิลิกอน วัลเลย์ โปรดติดตามตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 6 : Silicon Valley Effect

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : Facemash (The Beginning) *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol

Search

  • POSTS
  • TAGS

POSTS

  • Becky Li กับอิทธิพลของ KOL ที่ขายรถ Mini ออนไลน์ได้ 100 คันในเวลา 4 นาที
  • Henrys คนรุ่นมิลเลนเนียลที่ทำรายได้ 6 ​​หลัก แต่ก็ยังบอกว่าพวกเขารู้สึกยากจน
  • Geek Monday EP81 : Real-Time Engagement กับเทคโนโลยีเบื้องหลังสตาร์ทอัพพันล้านอย่าง Clubhouse
  • รักแรก รักเดียว และรักแท้ ของชายที่ชื่อ Bill Gates
  • Geek Story EP85 : Digital Music War (ตอนที่ 6 – ตอนจบ)

TAGS

AI alibaba amazon android apple big data bill gates CoronaVirus Covid19 ebay elon musk facebook google huawei iphone ipod jack ma machine learning mark zuckerberg microsoft netscape paypal paypal mafia peter thiel Robot samsung SpaceX startup steve jobs Tesla ประวัติ alibaba ประวัติ alipay ประวัติ Elon Musk ประวัติ facebook ประวัติ google ประวัติ Jack Ma ประวัติ Larry Page ประวัติ mark zuckerberg ประวัติ paypal ประวัติ อีลอน มัสก์ ประวัติ แจ๊ค หม่า สตีฟ จ๊อบส์ หุ่นยนต์ แจ๊ค หม่า โคโรน่าไวรัส
March 2021
M T W T F S S
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031  
« Feb    
Proudly powered by WordPress. Theme: DW Minion by DesignWall.

อย่าลืมช่วยกด Like เพจกันด้วยนะคร้าบ!


This will close in 320 seconds